สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 15 - สหายเก่า??
มาต่อให้ก่อนนิดนึง เดี๋ยวจะลงแดงกันไปซะก่อน ช่วงนี้งานเข้า~~ TT^TT ~~
ขอตัวไปจัดการหน้าที่การงานก่อนน๊า



เรื่องอะไรจะต้องเอาไว้ปรึกษากันวันหลังอีกล่ะ เราจะปรึกษากันเดี๋ยวนี้แหล่ะ ฉันคิด (ไม่ลืมที่จะย้ำคำว่า ‘เรา’ ในความคิดของฉันด้วย) เพื่อให้พ่อได้ยิน ขณะที่ฉันกระโดดลงจากเตียงแล้วปราดลงไปที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ได้ยินพ่อถอนหายใจดัง

เมื่อฉันลงมาถึงชั้นล่าง ก็พบว่าครอบครัวทั้งหมดทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหาร ทุกคนอยู่ในความเงียบขณะที่ฉันเดินไปสมทบและนั่งลงบนเก้าอี้ ฉันเหลือบมองไปฝั่งตรงข้าม เจคอบก็นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน ฉันประหลาดใจที่ทำไมไม่เห็นเขาตั้งแต่แรก ฉันพยายามสบตา แต่เขากลับหลบสายตาของฉันหันไปจ้องมองที่มือของตัวเองซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ตอนนี้ฉันชักจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ

เจคอบได้ร่วมประชุมลับแต่ฉันไม่งั้นเหรอ? ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสะกดเก็บความโกรธเคืองที่กำลังสุมอยู่ ฉันต้องการการปฏิบัติอย่างผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปเหมือนกันนะ และฉันก็รู้ว่าฉันโตแล้ว

“ว่าต่อสิคะ” ฉันพยายามข่มเสียงพูดให้เป็นปกติที่สุด

ทุกๆ คนหันไปมองทางพ่อและแม่คล้ายจะขอความเห็น ขณะที่พ่อกับแม่ก็มองมาที่ฉัน

“เนสซี่ นี่ไม่ใช่การสนทนาที่ลูกจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” พ่อกล่าว
“ทำไมจะไม่ล่ะคะ?”

“เราไม่อยากให้ลูกต้องหวั่นวิตกอะไรโดยไม่จำเป็น”

“ไม่หรอกค่ะ หนูรับมือได้”

“เนสซี่ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกแล้วนะ” พ่อพูดโดยใช้น้ำเสียงโทนที่เฉียบขาด ฉันรู้สึกได้เลยว่าคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเพราะกำลังถูกบังคับให้เป็นพยานในการโต้เถียงกันในภายในครอบครัว

“หนูก็มีสิทธิ์จะรับรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหมือนกันนี่คะ! มันไม่ยุติธรรมเลย!” โอ๊ย.. ประโยคเมื่อกี้ทำไมมันดูโหยหวนอย่างนั้นล่ะ?

“เนสซี่ ไม่” พ่อตอบ

“เมื่อไหร่พ่อกับแม่จะเลิกทำตัวเหมือนหนูเป็นเด็กซะที?!”

ตอนนั้นเอง ฉันได้ยินเสียงลุงเอ็มเม็ตกระแอมทีหนึ่งแต่เสียงที่ออกมามันดันคล้ายกับคำว่า “หก” มากกว่า ฉันหันไปจ้องหน้าเขาในขณะที่เขายักไหล่และพยายามซ่อนรอยยิ้มทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ สงสัยบ้านนี้จะมีแค่ลุงเอ็มเม็ตคนเดียวเท่านั้นหล่ะมังที่ยังอุตส่าห์จะทำตัวตลกได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยเฉพาะขณะที่ไม่ใช่เวลาที่จะมาล้อเล่นกันแบบนี้

“อย่างน้อยหนูก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าลุงเอ็มเม็ตละกัน คงไม่มีใครไม่เห็นด้วยหรอกใช่มั้ยคะ” ฉันกล่าว

“เฮ้!” ลุงเอ็มเม็ตโพล่งขึ้นมาและทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงระเบิดหัวเราะของลุงแจสเปอร์มาขัดลำไว้ก่อน

“ถ้าลุงได้อยู่รับฟัง หนูก็ควรได้อยู่ด้วย” ฉันเถียง

ฉันชำเลืองมองกลับไปยังพ่อ และพบว่าพ่อก็มองกลับมาที่ฉันอยู่เช่นกัน ฉันเกลียดสายตาใช้อำนาจแบบนั้นของพ่อจริงๆ มันทำให้ฉันอยากจะหันหน้าหนีแล้วหลบสายตาไปทางอื่น แต่กระนั้นฉันก็มองตอบอย่างไม่ลดละ ก็ฉันอยากรู้จริงๆ นี่นา

“ไม่” พ่อพูดน้ำเสียงเด็ดขาด ฉันหันไปทางแม่อย่างต้องการเสียงสนับสนุน แต่แม่ก็มีสีหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกเดียวกันกับพ่อ และอาจจะไม่ค่อยชอบใจด้วยซ้ำที่ฉันหัวรั้นต่อต้านพ่อ ฉันต้องรวบรวมความอดทนอดกลั้นทั้งหมดเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้ออกฤทธิ์ออกเดชมากไปกว่านี้

ฉันคำรามเสียงต่ำในคอ เบี่ยงตัวเองออกจากโต๊ะแล้วเดินกระทืบเท้ากลับขึ้นชั้นบนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนรับรู้ว่าฉันอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดขนาดไหน จนกระทั่งฉันวางมือลงบนราวบันไดนั่นแหล่ะถึงได้เกิดความคิดแวบหนึ่งแล่นปราดขึ้นมาในหัว ฉันหยุดคิดนิดหนึ่ง

ไว้ฉันค่อยถามจากเจคอบก็ได้นี่! เขาคงไม่กล้าปฏิเสธฉันแน่ ฉันคิด รู้สึกว่ามีรอยยิ้มกระหยิ่มใจผุดขึ้นบนใบหน้า ได้ยินเสียงคำรามหลุดรอดออกมาจากช่องอกของพ่อ ฉันรู้ในทันทีโดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าตอนนี้พ่อคงกำลังจ้องมองไปที่เจคอบอย่างแน่นอน

“อะไรกัน? ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ?” เสียงเจคอบกล่าวขณะที่ฉันกำลังเดินขึ้นชั้นบนอย่างรีรอ ค่อยๆ ย่างก้าวทีละก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ รอเวลา

“เนสซี่ ลงมาข้างล่าง” ได้ผล! เสียงพ่อเรียกฉันให้กลับลงไปที่ชั้นล่างตามเดิม

ฉันเดินกลับลงมาและเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ กัดริมฝีปากแน่นเพื่อพยายามซ่อนรอยยิ้มกริ่มที่เป็นสิ่งยืนยันถึงชัยชนะในการโต้เถียงกับพ่อเมื่อครู่ ตอนที่กำลังขยับเก้าอี้นั่งลงนั้นฉันก็มองไปรอบๆ โต๊ะ พ่อกับแม่ยังคงมองไปทางเจคอบขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้อย่างเต็มที่ ทุกคนยกเว้นป้าโรซาลี่ซึ่งไม่มีที่ท่าว่าต้องการจะปกปิดรอยยิ้มกว้างๆ นั้นเอาเสียเลย

“ก็ดีแล้วนี่นา” เธอเอ่ย ฉันรู้ว่าป้าสนุกสนานเวลาเห็นพ่อเป็นฝ่ายปราชัยในการโต้เถียงกัน

“ใครช่วยเล่าเรื่องย่อๆ ให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ?” ฉันถาม

“เรากำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกโวตูรี อลิซเฝ้าดูพวกนั้นอยู่” คาร์ไลส์กล่าว
“ดูเหมือนว่าอาโรจะหมดสิ้นความอดทน ความกระหายในอำนาจทะลักเกินจุดเดือด ไกอัสก็ช่วยเติมเชื้อไฟให้ลุกโชติช่วงเข้าไปอีก เขาต้องการสงคราม เขาไม่มีอีไลซาร์คอยช่วยค้นหาผู้มีพรสวรรค์รายใหม่ๆ แล้ว” อลิซกล่าว

“พรสวรรค์?” ฉันทวนคำถามจากคำพูดน้าอลิซ

“ถูกแล้ว เขากำลังมองหามนุษย์ธรรมดาผู้มีความสามารถพิเศษ เราสันนิษฐานว่าพวกนั้นหวังว่าเมื่อคนเหล่านี้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแวมไพร์แล้วจะได้รับสืบทอดพลังพิเศษนั้นมาจากความเป็นมนุษย์ด้วย อาโรคาดหวังว่าจะพบใครสักคนที่มีพลังซึ่งแข็งแกร่งกว่าแม่ของหลาน.. อลิซ.. พ่อของหลาน.. หรือแม้แต่หลานเอง –เนสซี่” แจสเปอร์อธิบาย

แจสเปอร์ดันกองกระดาษบทความจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งถูกตัดรวบรวมเอาไว้มาตรงหน้าฉัน แต่ละข่าวเป็นการรายงานการหายตัวไปของคนไข้จากโรงพยาบาลจิตเวชจากที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ฉันเพ่งความสนใจไปที่บทความหนึ่งที่มีรูปหญิงสาวในวัยราวๆ 30 เธอคนนี้มีผมสีน้ำตาลเข้มและมีรอยบุ๋มชัดเจนที่ใต้คาง ฉันอ่านบทความนั้นอย่างรวดเร็ว เธอถูกพาตัวไปส่งที่นั่นโดยสามีของเธอ บทความกล่าวว่าเธอสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ แต่พรสวรรค์นั่นกลับเป็นเหมือนโรคระบาดร้ายแรงสำหรับเธอ เธออ้างว่าพวกคนตายพากันมาหลอกหลอนเธอและไม่ยอมปล่อยให้เธอได้อยู่อย่างสงบสุข จนทำให้เธอแทบบ้า

“เราได้ข่าวพวกนี้จากสหายของเราที่ส่งมาทางไปรษณีย์ เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเคร่งเครียดในหมู่แวมไพร์” เขากล่าวต่อ

“ดูเหมือนตอนนี้พวกนั้นจะไม่สนใจเรื่องหาข้ออ้างแล้วหล่ะ” อลิซบอกเบาๆ

“ข้ออ้างอะไรเหรอ?” ฉันถาม

“ข้ออ้างที่จะมาเยี่ยมเยียนพวกเราน่ะสิ” แม่ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเบา

ฉันรู้สึกใจหายวูบเหมือนว่ามันจะหยุดเต้นไปเสียแล้ว ฉันไม่เคยนึกถึงพวกโวลตูรีอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นที่ลานโล่งขณะที่ฉันยังเด็กนัก เพราะฉันมีครอบครัวที่คอยปกป้องคุ้มครองฉันให้ปลอดภัยและนั่นทำให้ฉันมั่นใจว่าจะไม่มีใครหรือสิ่งใดที่จะมาพรากพวกเราไปจากกันหรือทำให้พวกเราแตกแยกกันได้ ภาพของพวกตาแดงฉานเหล่านั้นแวบเข้ามาในหัวฉัน

“พวกนั้นจะมากวาดล้างเราหรือ?!” ฉันถามอย่างวิตกกังวล

“พ่อจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นหรอก พวกเราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่นอน!” พ่อกัดฟันพูดเสียงรอดไรฟัน

ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ

“เมื่อไหร่คะ?” ฉันเอ่ยถามน้าอลิซ

“น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน โชคดีที่พวกนั้นยังไม่สามารถหาใครสักคนที่มีพลังอำนาจพอจะเทียบเคียงพวกเราคนหนึ่งคนใดได้ สายสัมพันธ์ของเรากับโคเว่นอื่นๆ ก็แผ่ขยายออกไปกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกอื่นๆ ได้ยินเรื่องราวของพวกเราปากต่อปากจากเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน”

ฉันนึกถึงแอนาเบลขึ้นมาโดยฉับพลัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอเป็นมนุษย์ที่พิเศษไม่มีใครเหมือน และหากพวกโวลตูรีรู้เรื่องเธอเข้าละก็ พวกนั้นคงต้องหาทางเปลี่ยนเธอให้เป็นแวมไพร์อย่างแน่นอนที่สุด เมื่อนึกถึงตรงนี้ใจฉันก็สั่นสะท้านเสียแล้ว

“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องของเธอนอกจากเรา เธอจะปลอดภัย พวกเราจะคอยดูแลเธอ” พ่อเอ่ยเมื่อได้ยินความคิดของฉัน

“ไม่ต้องห่วงจ้ะเนสซี่ น้าจะคอยดูเธอเอาไว้เอง” น้าอลิซย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับฉันอีกรอบ

ฉันมองข้ามโต๊ะไปยังตำแหน่งที่เจคอบนั่งอยู่ สายตาของเขามองตรงมาที่ฉันอยู่แล้ว ดูท่าทางเขาหวั่นวิตกและฉันก็มองเห็นวี่แววของความหวาดกลัวทับซ้อนอยู่ลึกๆ ในดวงตาของเขา ฉันไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้จากเจคอบมาก่อนเลย เขาไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ ฉันกัดริมฝีปากล่างอย่างต้องการจะสะกดเก็บความหวาดผวาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเอาไว้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่ทำไมอยู่ๆ โลกของฉันถึงกลับดูน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้?

“เจคอบจะพาลูกกลับฟอร์คส์ช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้” แม่เอ่ยสั้นๆ

ฉันมองไปทางแม่ด้วยความไม่เข้าใจ

“พวกเราจำเป็นต้องเดินทาง รวบรวมพันธมิตรและพามาที่นี่เพื่อร่วมปรึกษาหารือว่าควรจะทำยังไงกันต่อไป” คาร์ไลส์กล่าว

“ให้หนูไปด้วยไม่ได้เหรอคะ? หนูช่วยได้นะ” ฉันร้องขอ รู้สึกถึงความตื่นตระหนกของตัวเองที่กำลังย่างกรายเข้ามา ฉันไม่เคยต้องอยู่ห่างจากครอบครัวมาก่อนเลยในชีวิต โดยเฉพาะกับพ่อและแม่

“ไม่ได้เนสซี่ มันอันตรายเกินไป อาจจะมีพวกเกิดใหม่มากมายและลูกก็ยังเป็นลูกครึ่งมนุษย์อยู่ดี ลูกจะปลอดภัยถ้าอยู่กับเจคอบ.. และฝูง แค่เฉพาะสุดสัปดาห์นี้เท่านั้น” พ่อกล่าว

“หนูปกป้องตัวเองได้ค่ะ”

“ยังไงก็ไม่ได้!” เจคอบพูดสวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ฉันหันไปทางเขาทันทีด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ นี่น่ะหรือคำพูดแรกที่เขาเลือกที่จะพูดกับฉันตั้งแต่ที่ฉันก้าวลงมาจากชั้นบน มันค่อนข้างจะเจ็บปวดอยู่นิดๆ ที่เขาไม่คิดว่าฉันจะสามารถดูแลตัวเองได้

ฉันถอนหายใจ

“โทรศัพท์ไปแทนไม่ได้เหรอคะ?” ฉันถามน้ำเสียงแผ่วเบา

“ลูกก็รู้ว่าเราทำอย่างนั้นไม่ได้” พ่อตอบ เขาพูดถูกและฉันก็รู้อยู่แก่ใจดีว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำได้ เพราะถ้าทำได้พวกเขาก็คงไม่อยากทิ้งฉันไว้ตามลำพังเช่นกัน แวมไพร์หัวเก่างี่เง่าชะมัดที่ไม่ยอมอ้าแขนรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เอาเสียเลย แวมไพร์บางตนก็ชอบที่จะพยายามใช้ชีวิตอยู่เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นคนธรรมดา เหมือนพยายามที่จะยึดติดไว้กับสิ่งที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็น

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะเนสซี่ ก็แค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น เดี๋ยวเดียวก็จะได้กลับบ้านก่อนทันรู้ตัวซะอีก ลูกไม่คิดถึงพวกในฝูงเหรอจ๊ะ? เซ็ธกับแคลร์ล่ะ? ลูกต้องสนุกมากแน่ๆ แคลร์คงดีใจที่จะได้เจอลูกเหมือนกัน” แม่กล่าวสมทบ
ฉันกลอกตาไปมา คงจะสนุกมากแน่หล่ะที่ต้องพยายามไม่เป็นห่วงครอบครัวตัวเองตลอดเวลาที่ห่างบ้านน่ะ

…………………………………………….

“ฉันว่าจะบอกเขาหล่ะ” แอนาเบลโพล่งขึ้นมาหลังจากเสียงกริ่งเลิกชั้นเรียนดังขึ้น

ฉันเก็บรวบรวมสมุดหนังสือเรียนและเดินตามเธอออกนอกห้องมา

“คริสเตียนน่ะเหรอ?” ฉันถาม

“ใช่”

“แล้วเธอจะบอกอะไรกับเขาล่ะ?”

“ความลับของฉันไง”

ท้องไส้ฉันบิดเกลียว ฉุดแขนแอนาเบลหลบเข้าห้องเรียนที่ว่างอยู่แล้วรีบปิดประตูทันที เธอมองฉันอย่างประหลาดใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะเนสซี่ ฉันจะไม่ปริปากเรื่องครอบครัวเธอหรอก”

“เปล่าเลย ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ฉันไว้ใจเธอ แต่ฉันแค่... เธอคิดว่ามันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วเหรอ?”

ฉันยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่ครอบครัวเราคุยกันเมื่อวันก่อน ไม่น่าไปบังคับให้พวกเขาบอกความจริงกับฉันเลย ฉันพยายามทำเป็นลืมๆ มันไปเสียเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเก็บมานอนฝันร้าย... ฝันร้ายที่พ่อก็เห็นมันเหมือนกัน ท่านเป็นคนที่ต้องคอยปลุกฉันให้ตื่นจากมันตลอดสองสามคืนมานี้ ฉันละอายใจทุกครั้งขณะที่พ่อมองฉันด้วยสายตา ‘พ่อบอกลูกแล้วนะ’ หลังจากตกใจตื่นแต่กระนั้นฉันก็ยังคงซาบซึ้งใจที่พ่ออยู่ปลอบโยนจนฉันหลับลงไปได้อีกครั้ง

“ฉันคิดว่าฉันรักเขาแล้วหล่ะเนสซี่ ฉันไม่อยากสูญเสียเขาไปเพราะเพียงแค่ฉันไม่แก่เฒ่าไปตามกาลเวลา ฉันไม่แคร์ถ้าเขาจะแก่ตัวลง ฉันต้องการอยู่กับเขาไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉันอยากให้เขาได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉัน”

“ไม่รู้สิแอนาเบล รออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“จะต้องรออะไรอีกล่ะ?”

ฉันไม่รู้จะบอกกับเธอยังไงจริงๆ จะบอกว่าฉันกลัวว่าความลับของเธอจะรั่วไหลไปเข้าหูคนผิดงั้นเหรอ? จะบอกว่าความลับที่เรามีจะต้องถูกจำกัดวงให้แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้งั้นเหรอ? ฉันจะพูดแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ ก็ฉันไม่อยากทำให้เธอกลัวนี่นาและถ้าเกิดฉันบอกเธอไป นั่นก็หมายความว่า ฉันจะต้องอธิบายเรื่องในอดีตหนหลังซึ่งฉันยังไม่พร้อมจะแบ่งปันให้เธอฟังด้วยน่ะสิ ฉันสูดลมหายใจลึกๆ เข้าเต็มปอด

“แล้วกะว่าจะบอกเขาเมื่อไหร่เหรอ?” ฉันถาม

“ไม่รู้สิ... อาจจะเดือนหน้าหรือไม่ก็ช่วงหยุดวันขอบคุณพระเจ้าละมั้ง”

โล่งอก! นั่นช่วยยื้อเวลาออกไปได้อีกหน่อย

“เธอคิดว่าเขาจะพูดยังไง?”

“ฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยน่ะ” เธอตอบพร้อมกับยักไหล่

“ฉันว่าเธอน่าจะลองคิดดูหน่อยนะ”

แอนาเบลนิ่งคิดไปพักหนึ่ง

“เธอพูดถูก ฉันควรจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้หน่อย เผื่อว่าเขาจะ... รับไม่ได้” เธอตอบ

ฉันมองเห็นริ้วรอยของความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เห็นได้อย่างชัดเจนเธอไม่เคยได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

ฉันยื่นแขนทั้งสองโอบรอบเธอและดึงเธอเข้ามากอดเพื่อให้กำลังใจ นี่ฉันทำให้เธอตื่นตระหนกเกินเหตุไปหรือเปล่า

“เฮ้ ฉันมั่นใจว่าเขาต้องรับเรื่องนี้ได้อย่างสบายๆ เลยหล่ะ ถ้าเขารักเธอจริงๆ ละก็ เขาจะต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน มันจะเป็นบททดสอบบทสำคัญเลยหล่ะ”

“ฉันรู้จ้ะ ไปเถอะ ไปกินมื้อเที่ยงกัน”

-------------------------------------------------


และแล้ววันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ก็มาถึง ครอบครัวของเราตัดสินใจกลับจากโรงเรียนก่อนเวลานิดหน่อย เจคอบกับฉันออกล่ากันอย่างเร่งรีบก่อนที่จะออกเดินทาง เราตัดสินใจกันในนาทีสุดท้ายหลังจากจัดกระเป๋าเสร็จ ดังนั้นฉันจึงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อกลับมาที่บ้านแล้วพบรถของแอนาเบลจอดอยู่ที่ถนนเข้าบ้าน นี่มันยังไม่ถึงเวลาโรงเรียนเลิกเลยนี่นา

ฉันเดินผ่านประตูหลังบ้านเข้าไปยังห้องครัว ที่ซึ่งแอนาเบลกำลังนั่งคุยกับคาร์ไลส์ ส่วนคนอื่นๆ ในครอบครัวยืนกระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของห้องครัว

แอนาเบลสังเกตเห็นฉันแล้วยิ้มให้

“เฮ้ เนสซี่!” เธอทัก

“เฮ้ เธอมาทำอะไรที่นี่เหรอ? โรงเรียนยังไม่เลิกเลยนี่นา?” ฉันถาม
เธอยักไหล่เล็กน้อย

“ฉันโดดน่ะจ้ะ คาร์ไลส์โทรบอกฉันว่าผลตรวจเลือดออกมาแล้ว ไม่ต้องห่วงฉันไม่พลาดบทเรียนอะไรไปหรอกจ้ะ ฉันลงเรียนตรีโกณมาเกิน 10 รอบแล้วนะ”

“ผลเลือดงั้นเหรอ?” ฉันสงสัย ไม่เคยเห็นใครเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

“ใช่แล้ว แอนาเบลอนุญาติให้เก็บตัวอย่างเลือดของเธอไปตรวจ ตอนที่พาคริสเตียนไปรักษาตัวยังไงล่ะ” คุณปู่คาร์ไลส์ผู้ยังหนุ่มของฉันอธิบาย

“เผื่อบางทีคาร์ไลส์ค้นพบว่าฉันเป็นอะไรกันแน่ หรือไม่อย่างน้อยก็อาจจะมีเค้าลางที่พอจะบอกได้บ้างว่าฉันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

“แล้วผลเป็นยังไงบ้างล่ะจ๊ะ?”

“ก็... โดยส่วนใหญ่แล้ว ฉันก็เป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป”

ฉันหัวเราะในอารมณ์ขันของแอนาเบล

“ดีแล้ว แบบว่า.. มันคงจะเซ็งแย่ถ้าเพื่อนมนุษย์คนแรกของฉันดันไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ซะนี่”

“มันน่ามหัศจรรย์จริงๆ เนสซี่ อวัยวะทุกอย่างของเธอตอบสนองเช่นเดียวกับมนุษย์ปกติ แต่เลือดของเธอมีการแบ่งตัวและสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเนื้อเยื่อของเธอก็เช่นเดียวกัน มันอยู่ในสภาวะที่พร้อมจะสร้างตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะผสมอะไรลงไปในเลือดของเธอ มันก็จะทำการรักษาตัวมันเองได้ และพยายามกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป ฉันได้ลองทดสอบกับพิษแวมไพร์ด้วย” คาร์ไลส์อธิบายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นประหลาดใจ

“พิษไม่มีผลเลยเหรอคะ?” ฉันรู้สึกโล่งอก อย่างนั้นเธอคงถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ไม่ได้สินะ

“ก็ไม่เชิง มันใช้เวลาสักระยะ แต่ในที่สุดแล้วเลือดของเธอก็ไม่ยอมรับมัน มันรักษาตัวเองจได้” ฉันมองกลับไปยังแอนาเบลพร้อมกับยิ้มให้เธอ

“แอนาเบล พรสวรรค์ของเธอเป็นของขวัญจากพระเจ้าโดยแท้” คาร์ไลส์กล่าว

ทุกคนนิ่งเงียบขณะรับฟังข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างของแอนาเบลเป็นมนุษย์ แต่การที่เธอเป็นนั้นมันช่างมหัศจรรย์เสียจริงๆ ฉันยิ้มให้กับตัวเองและตื้นตันใจที่เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง คนที่ดีพอๆ กับเจคอบ ฉันช่างเลือกคบคนได้สุดยอดจริงๆ

“คาร์ไลส์.. คุณคิดไหม?” โรซาลี่ถาม

“โรส” พ่อเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงกึ่งๆ ตำหนิ

“ฉันไม่ถามไม่ได้หรอกนะ เอ็ดเวิร์ด” เธอพูดตอบพ่อ

“ไม่ใช่ตอนนี้ โรส” พ่อกัดฟันตอบเสียงรอดไรฟัน

เธอคำรามตอบพ่ออย่างถูกขัดใจแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากครัวอย่างรวดเร็ว เอ็มเม็ตเดินตามออกไป

“ป้าโรซาลีเป็นอะไรไปเหรอคะ?” ฉันถาม ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับใครเป็นพิเศษ

“ไม่มีอะไรหรอก” น้าอลิซและพ่อตอบเกือบจะพร้อมๆ กัน

ฉันเดินไปส่งแอนาเบลที่รถ พร้อมกับเอ่ยลา

“เธอจะกลับมาวันจันทร์เลยใช่มั้ยจ๊ะ?” แอนาเบลถาม

“จ้ะ สุดสัปดาห์นี้เธอจะทำอะไรบ้างล่ะ?”

“แหม ก็รู้นี่ ก็คง.. อยู่กับคริสเตียนนั่นแหล่ะ”

“ฟังดูเข้าท่าจัง”

“ก็เหมือนเดิมแหล่ะจ้ะ”

“ยังจะรอบอกเขาอยู่ใช่มั้ย?” ฉันถามเธอตรงๆ อยากให้แน่ใจว่าเธอยังคงอยู่ในขั้นตอนการคิดทบทวนและรีรอก่อนที่จะบอกความจริงกับเขา

“จ้ะ ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นการดีที่สุดแล้ว ฉันต้องเตรียมคำพูดที่จะบอกกับเขาซะก่อน คงอีกซักพักนั่นแหล่ะ มันง่ายที่ฉันบอกเธอก็เพราะ เอ่อ.. ไม่ได้ว่านะ เพราะเธอก็ประหลาดเหมือนฉันน่ะ”

ฉันหัวเราะแล้วกอดลาเธอ

“ไว้ฉันจะโทรไปหาเธอบ้างดีมั้ย?” เธอถามความเห็นฉัน

“ดีสิ! ได้เลย”

ฉันมองดูเธอก้าวขึ้นรถและโบกมือลา เมื่อหันหลังกลับก็พบว่าเจคอบกำลังยืนอยู่ข้างหลังฉันพอดี

“พร้อมหรือยัง? ผมเอาของใส่รถหมดแล้ว” เขาถาม
“ค่ะ”

ฉันเดินกลับเข้าบ้านก่อนเพื่อจะกล่าวลากับทุกคนในครอบครัว ต่อสู้ดิ้นรนกับน้ำตาเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นละครฉากเศร้าโศกเมื่อต้องเอ่ยลากับพ่อแม่เป็นครั้งแรก แต่กระนั้นน้ำตาเจ้ากรรมก็ยังหลุดรอดออกมา 2-3 หยด ฉันยังเป็นเพียงแค่เด็กคนนึงจริงๆ เพียงแค่ระยะทางที่ขับรถมาถึงสนามบินฉันก็เกิดอาการคิดถึงบ้านเสียแล้ว

ฉันพยายามหันเหความสนใจโดยการมองออกไปนอกตัวรถ พยายามเก็บกลั้นอาการว้าเหว่ที่ต้องจากบ้านเอาไว้ และยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาเร็วๆ เพื่อหวังไม่ให้เจคอบสังเกตเห็น รู้สึกถึงฝ่ามือของเขาลูบไหล่ฉันไปมาอย่างต้องการปลอบโยน

“เพียงแค่ 2 คืนเท่านั้นเองเนสซี่ ไม่เป็นไรหรอกนะ ผมสัญญา เดี๋ยวไม่ทันจะรู้ตัวก็ถึงวันจันทร์แล้วหล่ะ” เขาพยายามปลอบใจฉัน ที่ฉันทำได้ก็แค่พยักหน้าตอบเท่านั้น

“คุณไม่ตื่นเต้นที่จะได้เจอทุกๆ คนหรอกเหรอ? ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เห็นคุณ คุณดูเหมือนเด็กอายุ 13 เท่านั้นเอง พวกเขาต้องดีใจมากๆ แน่ที่ได้เจอคุณอีก โดยเฉพาะแคลร์”

ฉันพยายามเค่นยิ้มออกมาให้ปรากฏบนใบหน้า ไม่รู้เพราะอะไรจริงๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันกลับไปฟอร์คส์ แคลร์มักจะเกาะติดกับฉันแจ ไม่ยอมห่างไปไหนทั้งคืน ฉันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เพียงแค่ไม่รู้เหตุผลที่เธอออกจะติดใจฉันเอาเสียจริงๆ ก็เท่านั้นเอง ฉันเดาเอาว่าสงสัยจะเป็นเพราะเราต่างก็มีความรักและพบกับเนื้อคู่ของเราตั้งแต่เกิดเหมือนกัน เธอเลยรู้สึกสนิทสนมกับฉันด้วยเหตุนั้น มันออกจะดูแปลกๆ อยู่เหมือนกันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอันที่จริงทางเทคนิคแคลร์อายุมากกว่าฉันเสียอีก ครั้งเดียวที่เธอยอมห่างฉันนั่นก็คือเมื่อควิลเรียกหาเธอนั่นแหล่ะ

ฉันค่อยๆ เริ่มรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอทุกๆ คนตามที่เจคอบบอกเสียแล้วสิ โดยเฉพาะคุณตาของฉัน ฉันจำสีหน้าประหลาดใจกึ่งดีใจของเขาเมื่อครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันได้ดี ชาร์ลีไม่คิดว่าฉันจะโตเร็วขนาดนั้น ตอนนั้นเรากลับมาร่วมงานแต่งงานของเขา ในที่สุดซูกับชาร์ลีก็ตัดสินใจที่จะผูกสัมพันธ์ชีวิตของพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันเสียที หลังจากที่ใช้เวลาคบหากันมานานถึง 4 ปี ชาร์ลีดูมีความสุขมาก

ฉันหัวเราะได้เมื่อนึกถึงสีหน้าและดวงตาสีน้ำตาลคู่เดิมที่จะจ้องมองฉันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองอีกครั้ง ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็ฉันอยากจะทำอะไรให้ชาร์ลีประทับใจเพื่อให้ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นบ่อยๆ นี่นา

ทีแรกแม่บอกให้ฉันทำอะไรประหลาดเหนือมนุษย์เพื่อให้ชาร์ลีกลัว แต่ฉันรู้ดีว่าคงไม่ได้ผลแน่ๆ ชาร์ลีคงจะรับได้อย่างเรียบเฉยและเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ก็เขาน่ะหนังหนาความรู้สึกช้า อีกอย่างเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขารู้ดีว่าฉันเป็นอะไรและเกิดมายังไง เขารู้ดีอย่างที่สุดว่าครอบครัวทั้งหมดของเราเป็นอะไร อีกทั้งเขายังได้แต่งงานและเกี่ยวดองกับฝูงสุนัขป่าเข้าอีก มีลูกเลี้ยงเป็นหมาป่า มีลูกสาวเป็นแวมไพร์และหลานสาวลูกครึ่งแวมไพร์อย่างฉัน เขาเป็นคนที่อยู่ได้ถูกที่ถูกเวลาและเข้ากับความธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั้นได้อย่างลงตัวที่สุด

ฉับพลันนั้นเองฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ชาร์ลีจะรู้ข่าวคราวเรื่องที่หลานสาวของเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือยังนะ แล้วแฟนคนที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเจคอบ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเลยพยายามจะจีบลูกสาวของเขาแต่ตอนนี้กลับมาคบกับหลานสาวแทน

“คิดอะไรอยู่เหรอ? คุณดูใจลอยนะ” เจคอบเอ่ยถามเมื่อเห็นฉันนิ่งไปนาน

“ชาร์ลีรู้เรื่องที่เราคบกันหรือยัง?”

ฉันเห็นเจคอบนิ่งไปและกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดนิดหนึ่ง

“อืม... ผมคิดว่าไม่นะ คงจะซับซ้อนเกินไปสำหรับเขาที่จะรับมือกับเรื่องนี้ บางทีเราน่าจะสงวนท่าทีกันไว้หน่อยตอนที่อยู่ใกล้ๆ เขา”

ฉันพยักหน้าเห็นด้วย นี่คงจะเป็นสุดสัปดาห์ที่น่าสนุกอย่างที่เจคอบว่าไว้ทีเดียวแหล่ะ

----------------------------------------------

เครื่องบินลงจอดที่สนามบินอย่างเรียบร้อย พวกเรามาถึงในตอนเย็น ขณะที่เราพากันเดินไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าที่สายพานก็สังเกตเห็นเซ็ธกำลังเดินฝ่าฝูงชนมายืนรอพวกเราอยู่ที่ผนังกระจกด้านนอก ว้าว! เขาโตขึ้นเยอะเลย ระดับศีรษะของเขาสูงเกินกว่าคนอื่นๆ รอบข้างมากทีเดียวและนั่นเป็นการยากที่จะไม่สังเกตเห็นเขาตั้งแต่แวบแรกของการมองผ่านๆ เขายิ้มกว้างและนัยน์ตามีประกายแห่งความปีติยินดี บอกได้เลยว่าเขาปลาบปลื้มยินดีแค่ไหนที่ได้พบพวกเราอีกครั้ง

“เจค!” เซ็ธตะโกน “โอ้โห อลิซจับตู้เสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าพวกนายมาให้ด้วยเหรอเนี่ย สบายดีกันใช่มั้ย”

เจคหันไปหาด้วยรอยยิ้มดุจเดียวกันและตรงเข้าสวมกอดเขา

“เฮ้ยเซ็ธ ใช่แล้วเธอจัดให้น่ะ นายเป็นไงบ้าง?” เขาถาม

“สบายดี ก็รู้ๆ ยังแก่เหมือนเดิม” เซ็ธเอ่ย

“แล้วมหา'ลัยล่ะ?”

“ก็เหลืออีกเทอมเดียวน่ะ”

เซ็ธ, ลีอา, เอ็มบรีและควิลเป็นสมาชิกฝูงของเจคอบ หลังจากครั้งสุดท้ายที่พวกโวลตูรีมาเยือน เจคก็แยกตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของฉันเพื่อได้อยู่กับฉัน แต่สมาชิกในฝูงที่เหลือยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่ฟอร์คส์เหมือนเดิม

พวกเขาทั้งหมดยังสามารถใช้ชีวิตธรรมดาที่โรงเรียนและเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ มันค่อนข้างจะเงียบเหงาอยู่สักหน่อยเพราะไม่มีอันตรายใดๆ เข้ามาแผ้วพานพวกเราอีกเลย และเจคก็ต้องการเห็นพวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แซมคอยดูแลพวกเขาด้วยเช่นกันในช่วงที่เจคไม่อยู่

“โอ้พระเจ้า! นั่นเนสซี่ใช่หรือเปล่า?!” เซ็ธพูดขณะที่ผละจากเจคอบและคว้าตัวฉันสู่อ้อมแขนในท่าแบร์ฮักทันที

“ใช่แล้วเซ็ธ ฉัน-เอง” ฉันตอบอย่างอึกอักเพราะแรงกอดมหาศาลกำลังจะบี้ปอดฉันจนระเบิดแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเจ็บปวดแต่อย่างใด

“ว้าว! ดูเธอสิ โตขึ้นมากเลยนะ”

ฉันหัวเราะ

“เจค นายนี่มันโชคดีชะมัด”

“อ้อ ฉันรู้แล้วหล่ะ” เขาพูดพร้อมกับโอบแขนรอบเอวของฉัน “นายล่ะมีคนพิเศษกับเขาบ้างหรือยัง?”

“ยังอ่ะ ยังไม่มีหรอก แต่ฉันก็มองหาอยู่นะ” เซ็ธกล่าว “มีเพื่อนน่ารักๆ บ้างมั้ยล่ะเนสซี่?”

ฉันหัวเราะคิก ตลกในคำพูดทีเล่นทีจริงของเซ็ธ

เราคว้ากระเป๋าแล้วมุ่งหน้าไปยังรถของเซ็ธที่จอดอยู่ ระหว่างทางพวกหนุ่มๆ ผลัดกันสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันไปตามเรื่อง แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับฟอร์คส์และเผ่าควิลยูต

“คืนนี้มีแผนอะไรบ้างล่ะ?” เจคอบถาม

“ปาร์ตี้ริมหาด” เซ็ธตอบ

“ปาร์ตี้ริมหาดทรายเหรอ?” ฉันเอ่ยถามซ้ำ

“ช่าย อัลฟ่าของเรากลับบ้านทั้งที เรื่องอะไรจะไม่จัดงานเลี้ยงต้อนรับล่ะ”

--------------------------------------------------------------------------

เฮ้อ.. กว่าจะเรียบร้อย ขอให้อ่านกันให้สนุกน๊า!



Create Date : 27 สิงหาคม 2552
Last Update : 29 สิงหาคม 2552 13:11:02 น.
Counter : 3670 Pageviews.

34 comments
  
ขอบคุณคะ
รอนะค่ะ
โดย: sarana IP: 60.250.251.164 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:7:59:58 น.
  
ติดตามอ่านอยู่นะคะ เป็นกำลังใจในการแปลค่ะ

ปล.เห็นเอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าเป็นพ่อแม่เต็มตัวแล้วน่ารักดีแฮะ
โดย: ong IP: 202.57.129.99 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:8:30:30 น.
  
พี่อุ๋มมาอัพแต่เช้าเรยนะเนี่ยะ
ขอบคุณนะคะ เด๋วรอต่อๆ

ปล. สู้ๆ นะก๊ะ งานคือเงิน และเงินคืองาน ~
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:9:45:40 น.
  
ขอบคุณค่า...รอต่อไปด้วยใจระทึก..อิอิ
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:10:27:35 น.
  
จารอนะจ๊ะ
โดย: น้ำปั่น IP: 112.142.6.188 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:11:18:33 น.
  
ขอบคุณนะคะ ^-^
โดย: ทิวลิป IP: 222.123.186.160 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:12:00:48 น.
  
วันนี้งดให้คะแแนน ไม่มีการ comment ขออ่านต่อให้จบ
ตอนก่อน แปลต่อแบบสบายๆนะ อย่ากดดันตัวเอง
มีคนตั้งเยอะรออ่าน สู้ๆ.....เทใจให้หมดเลย
โดย: pa-to31 IP: 117.47.196.141 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:13:26:40 น.
  
ขอบคุณนะคะ นิดหน่อยก็ยังดี
โดย: NP IP: 58.181.175.18 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:13:52:52 น.
  
อยากทราบว่าตอนที่ 1-3 อยู่ไหนคะ เพิ่งจะเข้ามาอ่านนะคะ มาเจอ 4 เลย แต่ก็ติดตามเข้ามาดูทุกวันเลยคะ
โดย: ANN IP: 124.120.75.24 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:15:03:53 น.
  
สงสัยอยู่เหมือนกันว่า 1-3 อยู่ไหน อยากอ่านมากเลยช่วยแนะนำหน่อยนะ โปรดกรุณา...ชี้ทาง ขอบคุณมาก แล้วเราจะกลับมาเทคะแนนอีกรอบ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.198.225 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:20:49:50 น.
  
ตอนที่ 1-3 อยู่อีกเวบอีกคนเขาเป็นคนเริ่มแปลก่อน แต่แปลช้ากว่าเวบนี้ ไปอ่านตอนแรกที่อันนั้นก่อนก็ได้

//www.d-looks.com/showblog.php?Bid=18694
โดย: mimi IP: 58.8.110.135 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:21:26:15 น.
  
มาต่อเร็ว ๆ นะ
เดี๋ยวลงแดงซะก่อน ^^
นอนหลับฝันดีนะคะ สาว ๆ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.159 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:23:37:51 น.
  
ขอบคุณพี่อุ๋มที่แปลให้อ่านอิอิ เพิ่งจะได้คอมเม้น
เฮียเอ็ดตอนเน้เปงคุณพ่อเต็มตัวเรยนิดุจิงๆ นู๋เนสก็หัวรั้นใช่ย่อยเง้อ
โดย: goi IP: 125.27.39.140 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:8:46:25 น.
  
ขอบคุณอีกครั้งคะ สนุกดีคะ
โดย: บุ๋มบิ๋ม IP: 10.1.8.193, 203.185.69.14 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:9:48:33 น.
  
จอรออ่านนะคะ

ขอบคุณที่แปลให้อ่านค่ะ
โดย: ลิง IP: 125.26.252.35 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:11:17:52 น.
  
เข้ามาอีกที มา comment กันเพียบเลย ดีใจๆๆๆๆ ตอนนี้พยายามจะแปลให้เยอะที่สุดเท่าที่เวลาว่างจะมี (ที่บ้าน)
อดทนรอกันหน่อยน๊า สาวๆ
โดย: amuro4ever IP: 58.8.65.159 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:12:39:43 น.
  
ค่ะจะรอ หุหุ
ตามมาจาห้องคุณโซล อ่ะค่ะ ..อิอิ
โดย: ลิง IP: 125.26.252.35 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:12:53:49 น.
  
ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน วันนี้เข้ามาอ่านดีใจสุด ๆ เลย จะได้อ่านเยอะ ๆ ขอบคุณนะคะ
โดย: mam IP: 210.246.148.119 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:13:29:47 น.
  
พี่อุ๋ม รออยู่นะค้า
รีบๆสะสางงานแล้วมาให้ความสุขน้องๆต่อเร็วๆนะคะ

ปล. แอบไปฉลองวันเกิดกับใครมาป่าวตั้งหลายวันแล้วไม่ยอมอัพซะที ^ ^
โดย: madman IP: 124.120.56.97 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:18:02:34 น.
  
ขยันทำงานให้เสร็จเร็ว ๆ นะจ๊าน้องอุ๋มจาได้รีบกลับมาอัพเยอะ ๆ เร็ว ๆ (ไม่ได้ห่วงอะไรอย่างอื่นเลยนะเนี่ย) เอิ้ก ๆ ๆ ๆ ๆ
โดย: J.J. IP: 222.123.49.159 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:19:07:22 น.
  
แหะๆ...ติดตามตลอดถึงไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่
อยากบอกว่าคุณอุ๋มแปลได้ใจมากๆ...เป็นกำลังใจให้
คุณอุ๋มค่ะ...สู้ๆนะค๊ะ ^________________^
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:22:40:05 น.
  
กรี๊ดดดดดดดดด น้องอุ๋มมมมมมมขามาอัพเร็วดีจังงงงง นี่ขนาดติดงานนะเนี่ย สงสัยอีกแป๊บได้ทำเป็นอาชีพแน่ ๆ สู้ ๆ ๆ ๆ เอาใจช่วยเต็มที่
โดย: J.J. IP: 114.128.196.242 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:14:34:45 น.
  
อิอิ พี่อุ๋มมาต่อจบบทอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณมากนะคร้าาาาาาาาาา

รอบทที่ 16 ต่อไป (ไม่ค่อยเลยเรา)
โดย: madman IP: 124.121.237.214 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:15:24:54 น.
  
ขอบคุณคร่า
มาอีกไวไวนะคะ
โดย: Beetajow_Great IP: 202.57.170.55 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:16:22:52 น.
  
ว้าว ปาร์ตี้ริมหาด

น่าสนุกจัง

รอ่านต่อนะคะ
โดย: biiggii IP: 202.176.70.15 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:18:11:22 น.
  
รออ่านอยู่น้า ^^ อัพไวไวๆ ดั้ว ว ว...
โดย: พี่อุ๋มสู้ต่อไป..Numcha IP: 124.122.69.137 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:19:01:44 น.
  
I LOVE YOU AUM.
โดย: jee IP: 125.25.46.218 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:21:52:26 น.
  
เข้ามารายงานตัวแล้วนะ เตรียมตัวพร้อมที่จะโดน....
comment หรือยัง วันนี้ให้เพิ่ม 3 คะแนนพัฒนาขึ้น
แต่...อ่านแล้วยิ้มตาม เริ่มบรรยายได้เข้าที่ทาง มีความรู้สึกว่าไม่รีบร้อนที่จะแปลให้บรรดาแฟนนักอ่าน ขอให้ใจเย็นอะไรๆก็จะออกมาตามจินตนาการ สู้ !
ขอบคุณจากใจที่ให้เวลาทุกคน
โดย: pa-to31 IP: 222.123.193.30 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:23:05:16 น.
  
เย้ๆๆ พี่อุ๋มสุดยอด เข้ามาได้อ่านตอนอัพจบบทพอดี

รออ่านตอน 16 อยู่น้า

ปล. ไม่ต้องรีบ (แต่น้องๆๆรออยู่นะคะ) ขยันๆๆ ทำงานเพื่อท่องเกาหลีนะคะ (รอของฝาก) คิคิ
โดย: kookkaid IP: 114.128.119.164 วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:0:31:34 น.
  


ขอบใจและขอบคุณทุก comment เลยน๊า เข้ามาอ่านก็โพสต์ไว้เฉยๆ ก็ได้ จะได้มีกำลังใจ
โดย: amuro4ever วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:11:48:19 น.
  
ตั้งแต่เจอเอ็ดเวิร์ดและเบลล่าก็ได้เจออะไรอะไรดีดีและเพื่อนเพื่อนในเน็ตที่เก่งเก่งและใจดีช่วยหาเอ็ดเวิร์ดและเบลล่า(เรื่องต่อต่อมา)มาให้เราอ่านทุกวันเลย มีความสุขจัง และขอบคุณมากมาก สำหรับผู้แปลที่น่ารัก
โดย: ANN IP: 124.120.74.13 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:8:49:28 น.
  
มามาอ่านจบจนได้ อ่านตั้งแต่เช้าแล้วพี่ แต่เพิ่งได้อ่านจริงจังตอนหลังเลิกงานนี่เอง ~

อ่านไปอ่านมาเนสซี่นี่ดื้อใช่ย่้อยนะเนี่ยะ แต่ก็งี้แหละ เด็กพิเศษเพียงคนเดียว แถมสวยน่ารักขนาดนี้ ใครจะอดใจไม่รักไหว


ขอบคุณนะก๊ะ ตามอ่าน 16 ต่อในทันที...
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:16:51:46 น.
  
สุดยอดเลยค่ะ เพิ่งค้นพบ เรื่องราวของเจคอบนะเนี่ย
ชั้นร๊ากเจคอบ
โดย: popoko IP: 119.46.108.98 วันที่: 14 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:16:44 น.
  
สงสัยว่าเจคอบต้องออกล่าด้วยหรอคะ เขาไม่ได้เป็นแวมไพร์นิ
โดย: Jumbo IP: 110.168.64.22 วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:18:36:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]