กันยายน 2552

 
 
1
2
4
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่19 - Destiny (Anabelle&Seth)
มาแว๊วว!!!~ คราวนี้ป้องกันการหายตัวไปนานๆ เดี๋ยวจะมิมีอารมณ์มานั่งแปล เลยกันไว้ก่อนด้วยการนั่งแปลมาราธอน 2 วันเต็มจนตุ๊ดชา... แฮ่... พูดตรงไปหน่อยป่าว

เหลือเวลาอีกเกือบเดือนที่จะวางแผนเที่ยว ก็เลย chill chill ตอนนี้ไม่อยากเครียดมากกับงานก็เลยโหลดเกมเด็กๆ มาเล่น ประมาณ Wedding Dash, Dinner Dash, Cake Mania, Sally's Salon อะไรพวกนี้อ่ะ สนุกดีนะ ผึกทักษะการใช้สมองด้วยแหล่ะ (ตรงไหนฟระ?!) มันช่วยจริงๆ นะ เพราะเราต้องใช้สมองในการเล่นเกมแข่งกะเวลา

เอาหล่ะ บทต่อไปนี้ไม่รู้จะตั้งชื่อไทยยังไงให้สละสลวย เนื้อเรื่องก็ยกให้เซ็ธกับแอนาเบลเอาไปเด่นซะให้พอก็เลยตั้งชื่อว่า Destiny เพราะมันเป็นโชคชะตาฟ้าสั่งใ้ห้เธอและเค้าได้มาเจอกัน (หลังจากเพิ่งสัญยิงสัญญากับพ่อคริสเตียนผู้เซ้นส์ซิทีฟไปหมาดๆ) เค้าก็เซ้นส์ซิถีบเหมือนกันนะ เลยแอบหลงใหลได้ปลื้มไปกับพ่อเค้าด้วย (พ่อเซ็ธน่ะ) เอาหล่ะ บ่นเยอะเดี๋ยวไม่ได้อ่านกัน ... ยังไงก็ขอ comment เป็นกำลังใจด้วยเหมือนเดิมน๊าาาาาา...


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

มื้อค่ำเริ่มขึ้นอย่างอึกอักและพิลึกพิลั่น ที่มันแปลกก็เพราะสมาชิกในครอบครัวของฉันทุกคนดูจะมีความสุขและรื่นเริงบันเทิงใจอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับสถานการณ์เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

แม้กระทั่งพ่อกับคาร์ไลส์เองก็ยังดูอิ่มเอิบสุขสำราญใจอย่างออกนอกหน้าเช่นเดียวกัน ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องอาหารนั้นทั้งคู่ต่างก็ตรงเข้ามากอดกระชับฉันแน่นแล้วเหวี่ยงหมุนตัวฉันเป็นวงรอบห้องราวกับว่าฉันกลับไปเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง แอนาเบลก็ประหลาดใจไม่แพ้ฉันเหมือนกันที่พวกเขาต่างก็กอดเธอแบบที่ทำกับฉัน พอคาร์ไลส์วางเธอลงยืนบนพื้นตามเดิม เธอก็หันหน้ามาทางเซ็ธและสังเกตเห็นเขาเป็นครั้งแรก ฉันเห็นดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นขณะที่เขาก็มองตอบกลับไปที่เธอด้วยแววตาราวกับต้องมนสเน่ห์ดุจเดียวกันกับเธอ

สิ่งที่ทำให้มื้อค่ำในคืนนี้ดำเนินไปอย่างเงอะงะสุดๆ อีกอย่างก็คือ สายตาแรงกล้าของเซ็ธที่จ้องมองแอนาเบลอย่างไม่ลดละ ตอนที่ทุกคนเริ่มลงมือทานอาหาร คนอื่นๆ ในบ้านก็พยายามที่จะหันเหเบี่ยงเบนความสนใจของเขาจากเธอ แต่ปรากฏว่ามันยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขากลับยิ่งทุ่มเทความสนใจที่มีต่อแอนาเบลมากขึ้นไปอีก ส่วนแอนาเบลเองก็มองตอบสายตาที่คอยจับจ้องอย่างไม่วางตาของเขาอยู่บ่อยๆ เธอหน้าแดงสลับกับการก้มหลบตาโดยเสกลับมามองที่อาหารในจาน ทุกครั้งเวลาที่ใครซักคนสามารถดึงความสนใจของเซ็ธมาจากเธอได้ แอนาเบลก็จะใช้โอกาสนั้นลอบมองเขาเช่นกัน

ส่วนเจคอบก็มองออกไปนอกหน้าต่างห้องอาหารอยู่บ่อยครั้ง ฉันคิดว่าเขาคงนึกเป็นห่วงลีอาอยู่ไม่น้อยทีเดียวเพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะกลับมาร่วมโต๊ะ

“เซ็ธ เธอวางแผนที่จะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเมืองหรือเปล่า?” คาร์ไลส์เอ่ยถาม

ฉันมองตามคาร์ไลส์ไปยังเซ็ธผู้กำลังเหม่อมองแอนาเบลราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝันก็ไม่ปาน ฉันอดถอนหายใจด้วยความรู้สึกหลากหลายที่กำลังอัดอั้นอยู่ในใจไม่ได้และเขี่ยเส้นพาสต้าในจานเล่นแก้เซ็ง พาลนึกไปถึงคริสเตียน.. คริสเตียนผู้น่าสงสาร แอนาเบลจะเลิกกับเขาหรือเปล่านะ? แล้วเขาจะเป็นอะไรมั้ย? แล้วเธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ เขารู้ความลับของเธอแล้วไม่ใช่เหรอ?

“เซ็ธ?” คาร์ไลส์เอ่ยชื่อเขาอีกครั้งเพื่อดึงความสนใจจากเซ็ธ

“ฮะ?” เซ็ธขานรับอย่างตื่นๆ

“เธอวางแผนจะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเมืองหรือเปล่า?” คาร์ไลส์ถามคำถามเดิมอีกครั้ง

“อ้อ..เอ่อ..ก็น่าจะนะครับ”

ฉันมองไปทางแอนาเบลผู้ซึ่งกำลังจ้องมองเซ็ธอย่างไม่วางตาขณะที่เขาหันไปคุยกับคาร์ไลส์

“ผมว่าจะกลับไปลงเรียนอีกครั้งตอนภาคเรียนฤดูหนาวปีหน้าน่ะ” เขาตอบแต่สายตาหันกลับไปมองยังแอนาเบล ขณะที่ดวงตาของทั้งคู่พบกัน แอนาเบลก็หลบตากลับลงไปมองที่จานของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“นายเรียนเอกอะไรล่ะ?” แจสเปอร์เอ่ยถามบ้าง แต่เซ็ธยังคงจ้องไปที่แอนาเบลและตกอยู่ในภวังค์ไปแล้ว

“เซ็ธ?” แจสเปอร์เรียกชื่อเขาอีกครั้ง (เหอะๆ ... อะไรมันจะ ณ จังงังกันได้ขนาดนั้นเนี่ยยยยยย~~ พ่อ~~)

“หืม..อะไรนะ?” เซ็ธตอบพร้อมกับค่อยๆ ละสายตาจากแอนาเบลอย่างเชื่องช้า ราวกับว่ามันทำให้เขาเจ็บปวดอย่างที่สุดที่ต้องทำเช่นนั้น

“ฉันถามว่านายเรียนเอกอะไร?”

“บริหารธุรกิจน่ะ” เขาตอบสั้นและห้วนแล้วรีบดึงสายตากลับไปหาแอนาเบลอย่างรวดเร็ว

(บักเซ็ธนี่มัน....ชักจะน่ารำคาญแล้วนะเนี่ย!!! คนแปลเริ่มรำคาญความนอยของมันแย้ว~~)

บทพูดคุยสนทนาดำเนินไปเช่นนี้ตลอดมื้อค่ำ คนอื่นๆ ในครอบครัวซึ่งไม่กินอาหารของมนุษย์ก็นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่โต๊ะอาหารนั้นเองขณะที่พวกที่เหลือก็จัดการกับอาหารอิตาเลี่ยนตรงหน้า ฉันไม่ลืมที่จะทำเป็นตักพาสต้าใส่ปากทุกครั้งที่แอนาเบลหันมาทางฉันแต่ในใจก็หวังว่าเจคอบจะออกไปล่าเป็นเพื่อนฉันทีหลัง พอพวกเราจัดการกับของหวานตบท้ายมื้อค่ำเสร็จ ฉันก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมาตามถนนทางเข้าบ้านเรา

ใช่คริสเตียนหรือเปล่าคะพ่อ? ฉันเอ่ยถามพ่อในความคิด พ่อตอบกลับมาด้วยการพยักหน้านิดๆ

ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นการดีที่สุดที่จะให้แอนาเบลออกไปพบคริสเตียนหน้าบ้าน แทนที่จะให้เขาเดินเข้ามารับในบ้าน เพราะมันอาจจะทำให้เขารู้สึกแย่ก็ได้ถ้าได้เห็นสายตาของเซ็ธที่คอยมองจ้องแฟนสาวของเขา แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่ากับการได้เห็นสายตาที่เธอมองตอบเซ็ธ

“เอ่อ แอนาเบลจ๊ะ ฉันได้ยินเสียงรถของคริสเตียนมารับเธอแล้วหล่ะ เราไปรอเขาที่หน้าบ้านกันดีกว่านะ” ฉันพูดพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ออกและลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร พยายามเร่งให้เธอลุกออกจากโต๊ะไปยังหน้าบ้านตามที่บอก ฉันยังไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายกับทุกฝ่ายในตอนนี้ แต่พอฉันหันมาหาแอนาเบลก็พบว่าดวงตาทั้งคู่ของเธอเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะจำได้ว่าคริสเตียนมีตัวตนเอาก็ตอนที่ฉันพูดชื่อเขานั่นแหล่ะ

“อ๊ะ! จ้ะ ฉันควรจะไปรอเขาที่หน้าบ้าน” เธอตอบเบาๆ เหมือนกับจำใจต้องทำแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินมายังประตูหน้าบ้านพร้อมๆ ฉัน เธอหันกลับไปมองเซ็ธอีกสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินผ่านประตูออกมา และเซ็ธก็ตั้งท่าจะลุกจากโต๊ะเพื่อหวังจะเดินตามแอนาเบลไป แต่เจคลุกขึ้นขวางไว้ได้ทันก่อนจะกดไหล่เขาให้กลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม

“ยังไม่ใช่ตอนนี้น่า..เซ็ธ” พ่อเอ่ยปรามเบาๆ

เซ็ธหยุดและถอนหายใจ ในตอนที่ฉันหันหลังกลับมาปิดประตูหน้าบ้าน ฉันก็ส่งสายตาขอโทษกลับมายังเขา นี่อาจทำให้เขาเจ็บปวดก็ได้ที่ต้องทนดูเธอกลับไปพร้อมกับคนอื่น... โดยเฉพาะเมื่อคนอื่นที่ว่านั่นดันเป็นแฟนของเธอเสียด้วยสิ ฉันได้ยินเสียงรถของคริสเตียนแล่นใกล้เข้ามา

“ขอบใจที่แวะมาทานอาหารค่ำนะจ๊ะ แอนาเบล” ฉันบอกพร้อมกับมองเธอขณะที่แอนาเบลมีท่าทีเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ยังไงยังงั้น

“จ้ะ ขอบใจเธอมากเลยนะ เป็นอาหารค่ำที่วิเศษจริงๆ ฝากบอกครอบครัวเธอด้วยนะว่าฉันสนุกมากๆ ที่ได้พบกับ..เอ่อ..เซ็ธ” เธอตอบแต่อึกอักในตอนที่จะเอ่ยชื่อของเซ็ธออกมา

“เสียดายที่เธอไม่ได้เจอลีอาด้วย เอาไว้คราวหน้าละกันเนอะ?”

“แน่นอน!” เธอรีบตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเกินกว่าที่ฉันคาดไว้ ไม่แน่ว่าเธออาจจะตื่นเต้นที่จะได้เจอเซ็ธด้วยก็เป็นได้

เมื่อรถแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน คริสเตียนก็ลดกระจกลงเพื่อกล่าวทักทายฉัน แอนาเบลเดินช้าๆ ไปขึ้นรถเหมือนกับเสียดายที่ต้องกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไรกับคริสเตียนจนกระทั่งรถแล่นออกไป ฉันโบกมือลาและยืนมองตามไปจนมองไม่เห็นไฟท้ายรถแล้วจึงหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ฉันไม่อยากจะนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในความคิดของเธอ ตอนที่เปิดประตูเข้ามาฉันก็เห็นเซ็ธกำลังทำท่าขอร้องอะไรสักอย่างจากพ่ออยู่

“เถอะน่าเอ็ดเวิร์ด นายต้องบอกอะไรฉันสักนิดก็ยังดี” เซ็ธเอ่ย

“เซ็ธ ฉันรู้สึกไม่สบายใจกับการเล่าความคิดส่วนตัวของเธอให้คนอื่นฟังหรอกนะ”

“ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอรู้สึกถึงมันได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”

ฉันเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ เจคอบ เขายิ้มนิดๆ ให้ฉันและลูบหลังฉันเบาๆ

“เฮ้ยเซ็ธ ฉันว่าทุกคนในที่นี้ต่างก็มองออกว่าเธอก็มีใจให้นายเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการอ่านใจของเอ็ดเวิร์ดหรอก” เอ็มเม็ตต์พูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ ในขณะที่ลุกออกจากโต๊ะอาหาร

“ดีนี่ เอ็มเม็ตต์” ป้าโรซาลี่พูดแล้วเดินตามลุงเอ็มเม็ตต์ไปยังห้องของพวกเขา

เซ็ธนั่งยิ้มร่า ฉันไม่คิดว่าจะมีใครอยากทำลายอารมณ์ปลาบปลื้มยินดีของเขาลงในตอนนี้ รอยยิ้มนั้นดูเจิดจ้าอยู่บนใบหน้าเขา

“ฉันจะออกไปตามหาลีอาหน่อย เซ็ธ-นายจะไปด้วยมั้ย?” เจคถาม

“ไปสิ ตอนนี้ฉันคึกคักอยากวิ่งสุดๆ” เซ็ธตอบพร้อมกับแล่นออกนอกประตูโดยไม่รอเจคอบ

เจคหันมาหาฉันพร้อมกับประทับจูบเบาๆ ที่หน้าผาก เขามักจะระมัดระวังเรื่องการแสดงออกไม่ให้ประเจิดประเจ้อต่อหน้าพ่อแม่ฉัน เขาบีบมือฉันเบาๆ ทีนึง

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ?” เขาถาม

“แน่นอน ฉันจะรอที่รถนะ”

เขาทำปากขมุบขมิบเป็นคำว่า “รักนะ” ก่อนที่จะเดินออกทางหลังบ้านตามเซ็ธไปติดๆ ฉันหันกลับมายังโต๊ะอาหารที่สมาชิกในบ้านยังคงนั่งกันอยู่เกือบครบ : พ่อกับแม่, คาร์ไลส์, เอสเม่, น้าอลิซกับอาแจสเปอร์

“เฮ้อ.. เป็นคืนที่วุ่นวายใช่ย่อยเลยว่ามั้ยคะ?” ฉันเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ

พ่อหัวเราะหึๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ทำไมทั้งสองคนถึงได้อารมณ์ดีนักล่ะคะ?” ฉันเอ่ยถามพ่อและคาร์ไลส์พร้อมกับชี้นิ้วไปหาพวกเขาเพื่อระบุตัวว่าหมายถึงใครด้วยความสงสัยที่ค้างคาใจมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว

“ก็เพราะคำพูดของแอนาเบลที่คุยกับลูกในห้องไงล่ะจ๊ะ” แม่เป็นฝ่ายตอบแทนให้ทั้งสองคนขณะที่มองสบตากับพ่อ “แต่แม่ก็ไม่แปลกใจหรอกนะ เพราะแม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเราก็มีจิตวิญญาณเหมือนกัน”

“พ่อสงสัยเหรอคะว่าพวกเรามีวิญญาณหรือเปล่า?” ฉันหันไปถามพ่อ ถึงแม้ครอบครัวเราจะไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ อย่างจริงจัง แต่ฉันก็ทึกทักเอาเองว่าพวกเขาล้วนเชื่อมั่นว่ามีอะไรบางอย่างรออยู่ในชีวิตหลังความตาย.. สวรรค์หรือนรก ฉันออกจะประหลาดใจกับการคาดเดาที่ว่าพวกเราไม่มีวิญญาณ

“เคยมีช่วงเวลานึงที่พ่อนึกแคลงใจเรื่องนั้นมาโดยตลอด แต่เมื่อได้มาเจอแม่ของลูก แม่เขาช่วยให้พ่อเปลี่ยนความเชื่อผิดๆ แบบนั้นและเมื่อเรามีลูก พ่อก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป คนที่ไร้จิตวิญญาณจะสามารถให้กำเนิดนางฟ้าน้อยๆ ได้ยังไงกันล่ะจริงมั้ย?”

ฉันยิ้มให้กับพ่อและแม่

“คุณคิดว่าสิ่งที่เธอสัมผัสได้..แสงสว่างนั่น..คือวิญญาณของพวกเราจริงๆ เหรอคะ?” เอสเม่เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไงก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่ดี” คาร์ไลส์ตอบ

ฉันมองไปที่น้าอลิซสังเกตเห็นว่าเธอกำลังขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน น้าอลิซหันมาพบกับสายตาที่กำลังจดจ้องเธอด้วยความสงสัยใคร่รู้ของฉันพอดีเข้าพอดี เธอยักไหล่

“อนาคตของแอนาเบลเพิ่งจะหายไปเมื่อกี้นี้ เดาว่าทุกคนคงรู้แล้วสินะว่ามันหมายความว่ายังไง” น้าอลิซแจ้งข่าวสำคัญให้ทุกคนได้รับรู้

ฉันถอนหายใจ ยิ่งฉันอยากจะดีใจกับแอนาเบลและเซ็ธมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งอดไม่ได้ที่จะเสียใจกับคริสเตียน เธอเพิ่งจะให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักเขาตราบชั่วชีวิตของเขา แต่เห็นทีว่าตอนนี้คงต้องถอนคำมั่นสัญญาเหล่านั้นคืนแล้วสินะ เธอจะบอกเขาว่ายังไงล่ะ? บอกว่า ‘ตอนนั้น...ฉันคิดว่าฉันรักคุณจริงๆ เพราะฉันยังไม่ได้เจอกับเซ็ธ’อย่างนั้นหรือ?

ฉันจำได้จากความคิดของแอนาเบลที่ได้เห็นโดยการอ่านความคิดของพ่อ บอกได้เลยว่าคริสเตียนเป็นคนที่ยึดมั่นและมั่นคงในความรักขนาดไหน ก็ใช่ที่ว่าเขาพลาดไปหน่อยตอนที่เธอบอกความจริงกับเขาว่าเธอเป็นอะไร แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยอมรับทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอได้...บางทีอาจจะยิ่งรักเธอมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ นี่อาจจะทำให้หัวใจเขาแหลกสลายเป็นผุยผงได้เลยทีเดียว..เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นกับลีอา


~*~*~*~

เช้าวันถัดมาฉันตื่นขึ้นมาพบกับหิมะที่กำลังตกอยู่ ขณะที่เดินออกไปยืนพิงบานหน้าต่างฉันก็ยื่นมือออกไปรับเจ้าเกล็ดน้ำแข็งที่ขาวและเบาราวกับปุยนุ่นที่ตกลงมาจากฟากฟ้านั้นเอาไว้

เจคอบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฉันจึงไม่ชอบหิมะเอาเสียเลยและฉันก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงชอบมันนักหนา เขาไม่เคยชนะในการต่อสู้ปาลูกบอลหิมะระหว่างเราได้เลยสักครั้ง...โดยส่วนมากก็เป็นเพราะเขาไม่สามารถปั้นลูกบอลหิมะให้เป็นรูปเป็นร่างได้น่ะสิ เพราะมันมักจะละลายคามือที่อุ่นจัดของเขาก่อนที่จะได้ปามันออกไปเสมอๆ โดยส่วนตัวแล้วฉันเห็นว่าหิมะคือต้นตอของความไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย ผู้คนมักจะขับรถช้าๆ เพราะว่าหิมะเคลือบถนนเอาไว้ทำให้ลื่นต้องใช้ความระมัดระวัง

ที่โรงเรียน ตอนที่ฉันเดินเข้าห้องเรียนวิชาคหกรรม ก็เห็นแอนาเบลที่นั่งเอามือท้าวคางคอตกอยู่ที่โต๊ะเรียน มีเสียงกรนเบาๆ แสดงว่าเธอหลับอยู่จริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย?

ฉันเดินไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เธอแล้วตบที่ไหล่ของเธอเบาๆ 2-3 ที เธอตื่นขึ้น กระพริบตาไล่ความง่วงออกไป ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ก่อนจะหาวแล้วยิ้มให้ฉันด้วยดวงตาสะลึมสะลือ

“ไปทำอะไรมาเนี่ยถึงดูเหนื่อยๆ ?” ฉันต้องถามแล้วหล่ะก็สภาพอดนอนขนาดนี้

“เมื่อคืนฉันไม่ค่อยได้นอนน่ะจ้ะ”

“ได้ไงกัน?”

“เอ่อ...ก็นอนดึกน่ะ” เธอยักไหล่และเบือนหน้าหนีสายตาที่กำลังสำรวจตรวจสอบของฉัน

เธอโกหกแล้วฉันก็ค่อนข้างเสียใจที่เธอโกหกฉัน ฉันรู้อยู่แล้วหล่ะว่าอะไรกันที่ทำให้เธอไม่ได้นอนเลยทั้งคืน...เซ็ธแน่ๆ ไม่ต้องให้เจคอบบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนเซ็ธหายไปไหนมาทั้งคืนเหมือนกัน เพราะมันน่าสงสัยอยู่ที่ว่าทำไมเมื่อคืนเจคอบถึงกลับมากับลีอาเพียง 2 คนตอนห้าทุ่มแล้วก็ตื่นมาตอนตี 4 เพราะเสียงผิวปากอย่างสบายใจของเซ็ธตอนที่เขาเดินเข้าบ้าน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะผูกเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน

“แค่นอนดึกจริงๆ น่ะเหรอ?” ฉันถามย้ำกับเธออีกครั้ง

“จ้ะ” แอนาเบลยังคงตอบโดยไม่กล้าสบตาฉันอยู่ดี เธอแกล้งหยิบดินสอขึ้นมาเคาะรัวกับโต๊ะเพื่อกลบเกลื่อนอาการ

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งรอบและมองจ้องไปยังแอนาเบลขณะที่เธอแกล้งทำเป็นมองตรงไปยังหน้าชั้นเรียนที่ยังว่างเปล่าเพราะอาจารย์ยังไม่มา ฉันเถียงกับตัวเองในใจเป็นนาทีเลยว่าจะคาดคั้นถามความจริงจากเธอเลยดีมั้ย แต่ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรได้ฉันก็หลุดปากออกไปเสียแล้ว

“ฉันรู้ว่าเธออยู่กับเซ็ธ” ฉันกระซิบบอกเธอด้วยเสียงที่เบาที่สุด พอได้ยินดังนั้น ดินสอเจ้ากรรมที่แอนาเบลเคาะอยู่ก็พลันหลุดมือกระเด็นไปโดนหัวเพื่อนคนนึงที่นั่งอยู่อีกฟากของห้อง

“ขอโทษที จาเร็ด!” เธอตะโกนบอกด้วยความตกใจรีบเดินไปหยิบดินสอคืนแล้วเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งที่ตามเดิม โดยมีฉันยังคงนั่งท้าวคางมองเธออยู่

“ฉัน... เอ่อ... มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ เมื่อคืนฉันออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงสวนหลังบ้านน่ะแล้วอยู่ๆ เขาก็โผล่มายืนอยู่ตรงนั้น เราใช้เวลาทั้งคืนคุยกันเฉยๆ... ไม่มีอะไรมากกว่านั้น คือ...ฉันมีแฟนอยู่แล้วนี่นา” เธอสารภาพออกมาตามตรง

“ฉันรู้จ้ะว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว”

“อืม ฉันรู้”

“แต่เธอก็ไม่ได้คิดถึงเขาอีกเลยตั้งแต่เธอได้พบกับเซ็ธ ใช่มั้ยล่ะ?” ฉันยิงคำถามนั้นออกไปตรงๆ อย่างที่ใจคิด มันออกจะดูโหดร้ายไปหน่อย
เธอก้มหน้าลงมองโต๊ะและไม่ได้ตอบอะไรฉันอีก

ตลอดสัปดาห์นั้น แอนาเบลมาโรงเรียนพร้อมกับรอยคล้ำที่ใต้ขอบตาทั้งสองข้าง ถ้าเธออวบกว่านี้อีกสักนิดเธอคงกลายร่างเป็นหมีแพนด้าไปแล้วละมั้ง เธอผล็อยหลับในห้องเรียนเอาดื้อๆ จนฉันต้องคอยปลุกเธอในคาบที่ 4 ที่เราเรียนด้วยกันและในช่วงมื้อเที่ยงโดยการตบไหล่ปลุกเธอเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งจะเอาชนะเธอได้ แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะผล็อยหลับในชั่วโมงเรียนวิชาอื่นๆ ด้วยหรือเปล่าน่ะสิ ฉันคงตามไปปลุกเธอตลอดเวลาไม่ได้หรอก

แล้วฉันก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเซ็ธหรือคริสเตียนเพิ่มจากเดิมเพราะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เธอคงต้องคิดและตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง ฉันจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรนักเมื่อเธอขาดเรียนในวันศุกร์ เดาว่าเธอคงเพลียจัดเลยโดดเรียนพักผ่อนอยู่กับบ้านหรือไม่ก็คงอยู่กับเซ็ธ

แต่ที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ การปรากฏตัวของคริสเตียนหลังโรงเรียนเลิก เขามายืนรออยู่ที่รถของฉัน ดูจากสถานการณ์แล้ว.. คงมารอเจอฉันแน่ๆ สงสัยจะโดดเรียนคาบสุดท้ายเพื่อที่จะมาให้ทันโรงเรียนเลิกพอดี เขายืนเอนหลังพิงประตูฝั่งคนขับเอาไว้

ฉันประหลาดใจมากขึ้นเมื่อได้เห็นสภาพทรุดโทรมของคริสเตียน ดวงตาทั้งคู่ดูแดงช้ำและมีถุงใต้ตาเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ผมเผ้าก็ดูยุ่งเหยิงเหมือนกับคนเพิ่งตื่นหรือไม่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมาสักระยะนึงแล้ว ฉันหันไปหาเจคอบซึ่งดูจะเป็นห่วงคริสเตียนจากสภาพที่เราเห็นเหมือนกัน

“บางทีเขาอาจจะอยากคุยกับคุณตามลำพังนะ ถ้าผมอยู่ด้วยเขาอาจจะไม่สะดวกใจเท่าไหร่” เจคอบเอ่ยบอกกับฉันแล้วเดินแยกไปรวมตัวกับครอบครัวคนอื่นๆ ของฉันที่อีกฟากของลานจอดรถ ตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติแล้วเดินเข้าไปหาคริสเตียนที่รออยู่ ส่ายหน้าเล็กน้อยไปกับสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมของเขา ฉันก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าแล้วเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาหาฉันช้าๆ

“เฮ้ คริสเตียน” ฉันเอ่ยทักก่อน

“หวัดดีเนสซี่” เขาตอบเบาๆ อย่างสิ้นเรี่ยวแรง

เขาก้มหน้าลงมองที่พื้นอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ฉันเลยรีรออยู่สักพักเพื่อรอให้เขาเริ่มพูดก่อนแต่ก็ไม่เป็นผล

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ฉันถามกระตุ้นให้เขาพูดออกมา สิ่งที่ฉันกำลังคาดเดาอยู่ตอนนี้คงไม่ผิดแน่ๆ

เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วลูบผม 2-3 ทีก่อนที่จะเริ่ม

“วันนี้แอนาเบลไม่มาโรงเรียนใช่มั้ย?” คริสเตียนเอ่ยถาม

“จ้ะ..เธอไม่ได้มาเรียน”

“คุณได้คุยกับเธอบ้างหรือเปล่าช่วงหลังๆ นี่?”

“อื้ม ฉันเห็นเธอที่โรงเรียนเมื่อวานนะ แต่วันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่าคริสเตียน?”

“เอ่อ...น่าจะ บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง”

“คิดมากเรื่องอะไรเหรอ?”

“ได้โปรดอย่าเล่าเรื่องที่ผมมาคุยกับคุณให้เธอฟังนะ.. มันก็แค่..ช่วง 2-3 วันมานี้เธอดูห่างเหินไปน่ะ มีอะไรบางอย่างแปลกๆ ไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“คุณได้คุยกับเธอเรื่องนี้หรือเปล่าล่ะ?” ฉันอดถามไม่ได้ทั้งๆ ที่ในใจนั้นรู้ดีว่าเรื่องราวมันจะเป็นไปอย่างไร

“ผมเคยถามแล้วแต่เธอพยายามเลี่ยงผมตลอด ผมเลยจะมาดักรอเจอเธอที่นี่แต่แปลกใจที่ไม่เห็นรถของเธอจอดอยู่ นึกว่าบางทีคุณจะอาสาขับไปส่งเธอที่บ้าน”

“ฉันเสียใจด้วยนะคริสเตียน ฉันคิดว่าวันนี้เธอขาดเรียนน่ะ”

เขาถอนหายใจเฮือกแล้วก้มหน้าลงมองพื้นอย่างผิดหวัง ท้องไส้ของฉันรู้สึกโหวงเหวงตามเขาไปด้วย ความรู้สึกผิดเกาะกินใจฉันเมื่อเห็นสภาพของคริสเตียนอย่างนี้ ฉันรู้อยู่แก่ใจดีเลยหล่ะว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ฉันอยากจะปลอบใจและบอกกับเขาว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแต่ก็รู้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปแบบนั้นแน่

เขาส่ายหน้าให้กับตัวเอง

“พระเจ้า ผมนี่มันน่าสมเพชจริงๆ เลยใช่มั้ยเนี่ย?” เขาบอกพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ อย่างพยายามปลอบใจตัวเอง

มันทำให้ฉันเจ็บปวดจริงๆ ที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ นึกไม่ออกเลยว่าสำหรับแอนาเบลแล้วเธอจะยิ่งเจ็บปวดมากกว่าฉันอีกกี่ร้อยพันเท่า

“ไม่หรอก คุณก็แค่แฟนที่เป็นห่วงน่ะ” ฉันพยายามพูดปลอบเพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง

“อื้ม..นั่นสินะ เนสซี่ ได้โปรดอย่าบอกเธอเรื่องที่ผมมาที่นี่นะ ผมรู้สึกงี่เง่าจริงๆ ”

(เฮ้อ.... พ่อคุณ.. น่าสงสารเหลือเกิน ...)

“ความลับของคุณจะปลอดภัยแน่ๆ”

“ขอบใจนะ”

ฉันมองตามคริสเตียนที่เดินคอตกกลับไปยังรถของตัวเอง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจกลับมาและยังคงมองตามเขาไปเรื่อยๆ จนเขาก้าวขึ้นรถและค่อยๆ ขับออกไป เจคอบเดินเข้ามาหาฉันแล้วโอบเอวไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

“เขาอาการไม่ค่อยดีเลยว่ามั้ย?” เจคอบเอ่ยถามฉัน

“ฮื่อ..ไม่ค่อยจะดีเลย เห็นทีว่าฉันต้องไปคุยกับแอนาเบลแล้วหล่ะ จะไปดูเธอหน่อยว่าเธออยู่บ้านหรือเปล่า คุณช่วยขับรถฉันกลับบ้านทีนะ?”

“ได้เลย แล้วรีบกลับบ้านนะ”

ฉันเขย่งเท้าจูบแก้มเขาทีนึงก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าเข้าไปที่ชายป่าจนกระทั่งพ้นสายตาของเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แล้วจึงเริ่มออกวิ่งไปยังบ้านของแอนาเบล

~*~*~*~

เมื่อฉันมาถึงบ้านของแอนาเบลก็ได้ยินเสียงเธอกำลังพูดคุยอยู่กับใครคนหนึ่งที่สวนหลังบ้าน น้ำเสียงของเธอดูร้าวราน ฉันค่อยๆ เดินอ้อมไปทางหลังบ้านเมื่อมาถึงมุมบ้านฉันก็หยุดกึกแล้วรีบแนบแผ่นหลังเข้ากับกำแพงอิฐ หวังว่าเธอคงไม่สังเกตเห็นฉันนะ

ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะสอดรู้สอดเห็นหรอกนะ แต่ก็บังคับตัวเองให้เดินออกมาจากการแอบฟังการพูดคุยระหว่างพวกเขาไม่ได้จริงๆ ฉันสบตากับเซ็ธแว่บหนึ่งเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เขารู้แล้วว่าฉันอยู่ที่นั่นด้วยและฉันควรจะหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม

“เซ็ธ ได้โปรด คุณต้องออกไป.. คุณต้องอยู่ให้ห่างจากเรื่องนี้..” เสียงแอนาเบลเอ่ยขึ้น

“อยู่ห่างๆ งั้นเหรอ?! คุณอยากให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอแอนาเบล?”

เซ็ธถามเธอกลับพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเธออีก 2-3 ก้าว

“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนั้น...แต่ฉัน...ฉันต้องการอย่างนั้น”

เซ็ธก้าวเดินเข้าไปใกล้เธออีกจนแทบจะเอื้อมแขนออกไปดึงร่างของแอนาเบลเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาได้ แต่ทว่าเธอกลับยกมือข้างหนึ่งยันหน้าอกเขาไว้เพื่อห้ามไม่ให้เขาเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้

“ฉันทำไม่ได้เซ็ธ..” เธอบอก “ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันบอกเขาไปแล้วว่าฉันจะรักเขาตลอดไป ฉันกลับคำพูดไม่ได้”

“คุณรักเขาอย่างนั้นเหรอแอนาเบล? คุณรักเขามากกว่าผมงั้นเหรอ?”

เธอเงยหน้ามองจ้องเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของเขา นัยน์ตารื้นไปด้วยน้ำตาที่เอ่อไหลอาบแก้มลงมาเป็นทาง เซ็ธไล้นิ้วมือของเขาไปบนไปหน้าของเธอเพื่อเช็ดน้ำตา

“เซ็ธ ถ้าฉันเป็นคนจบมัน...มันคงทำให้ใจเขาแหลกสลาย ฉันรู้ว่าเขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับฉันแค่ไหน เท่านี้ฉันก็ทำให้เขาเจ็บปวดมากพอแล้ว ฉันไม่อยากจะทำแบบนี้อีกแล้ว ยิ่งคุณมาอยู่ใกล้ๆ ฉันมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งตัดใจจากคุณยากขึ้นเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสิ” เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่ไล้นิ้วมือบนพวงแก้มของเธออย่างพยายามปลอบโยน เขาโน้มตัวก้มลงแนบแก้มของเขาเข้ากับเธอพร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “ได้โปรดแอนาเบล..อยู่กับผมนะ”

เธอก้าวถอยหลังห่างออกไป 2-3 ก้าวหากแต่สายตายังคงมองตรงไปที่เขาด้วยความปรารถนา เธอส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธทั้งต่อคำขอของเขาและต่อความปรารถนาของตัวเธอเอง หัวใจของฉันแทบถูกฉีกกระชากตามเธอไปด้วย

แอนาเบลพยายามอย่างที่สุดเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อคริสเตียนแต่ฉันรู้ดีว่ามันเป็นความพยายามที่สูญเปล่าแท้ๆ เธอไม่สามารถปฏิเสธหรือละเลยความรู้สึกที่มีต่อเซ็ธได้เลย ไม่มีคู่ผูกวิญญาณคนไหนสามารถทำได้ ถึงแม้คุณจะมีทางเลือกอื่นอยู่ก็ตามแต่คุณจะสามารถปฏิเสธความรักที่ไร้ซึ่งเงื่อนไขได้หรือ? ความรู้สึกและความผูกพันกันนั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่จะสามารถทำลายได้

ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากทักท้วงใดๆ เขาก็ก้าวเข้าไปจนถึงตัวและฉุดรั้งเธอมาไว้ในอ้อมอกพร้อมกับประทับริมฝีปากเข้ากับเธอ ปฏิกิริยาตอบสนองของแอนาเบลเป็นไปโดยสัญชาติญาณ เธอโอบแขนทั้งสองรอบลำคอของเขาพร้อมกับจูบตอบเขา

“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะรอ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานสักแค่ไหน” เขากระซิบบอกแผ่วเบาจนแทบจะไม่มีเสียงหลุดรอดออกจากริมฝีปาก

รอเธอเหรอ? ฉันคิด รอจนถึงเมื่อไหร่ล่ะ? รอจนกว่าคริสเตียนจะแก่เฒ่าและจากไปตามอายุขัยงั้นเหรอ?

เขาวางเธอกลับลงยืนบนพื้นตามเดิม

“ผมรักคุณนะแอนาเบล” เขาบอกแล้วเดินผละจากเธอไป

“ฉันก็รักคุณค่ะเซ็ธ” เธอแทบจะตะโกนตามหลังเขาไป

เธอมองตามเซ็ธที่กำลังวิ่งมุ่งหน้าเข้าไปในป่า และเมื่อเขาไปไกลจนลับสายตา เธอก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเอามือปิดหน้าแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ฉันรีบรุดเข้าไปนั่งลงข้างๆ พร้อมกับดึงตัวเธอเข้ามากอด ดูเหมือนเธอจะไม่แปลกใจเลยที่ฉันมาอยู่ที่นั่นด้วย ไม่แน่ว่าเธออาจจะรู้มาตั้งแต่แรกก็ได้แล้วว่าฉันแอบฟังอยู่ด้วย ฉันลูบหลังเพื่อพยายามปลอบโยนเธอ

“เนสซี่ นี่ฉันทำอะไรลงไป? ฉันมันน่ารังเกียจ” เธอกระซิบบอกฉันทั้งน้ำตา

“เธอไม่ใช่คนน่ารังเกียจหรอกจ้ะ เธอไม่รู้นี่นาว่ามันจะเกิดขึ้น ตอนนั้นเธอยังไม่ได้เจอกับเซ็ธ”

พอฉันพูดจบแอนาเบลก็เริ่มมีอาการสั่นเทาด้วยความหนาว ฉันจึงประคองเธอลุกขึ้นและพาเธอเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน นำเธอไปนั่งที่โซฟาแล้วรีบวิ่งไปหยิบผ้าห่ม 2-3 ผืนจากตู้มาห่มให้เธอ มันต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังมือเลยหล่ะในเมื่อข้างนอกเมื่อกี้คุณมีฮีตเตอร์ส่วนตัวคอยให้ความอบอุ่นทั้งทางร่างกายและจิตใจอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่ออยู่โดดเดี่ยวคนเดียวนั่นก็เป็นอีกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่ลำพังในสภาพอากาศที่มีหิมะตกลงมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 วันที่ผ่านมาแบบนี้ ฉันเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงชอคโกแลตร้อนให้เธอร่างกายจะได้อุ่นขึ้นไวๆ

“ขอบใจจ้ะ” เธอกล่าวขอบคุณเบาๆ ขณะที่ยื่นมือออกมารับแก้ว และค่อยๆ จิบอย่างระมัดระวัง

“เธอโอเคมั้ย?” ฉันถามออกไปทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดเจนว่าไม่

“ไม่เลย” เธอตอบอย่างไม่โกหก “เธอเห็นทุกอย่างแล้วใช่ไหม?”

“ฉันคิดว่าก็เกือบๆ หล่ะนะ”

แอนาเบลถอนใจและพยักหน้ารับ

“ฉันขอแนะนำอะไรเธออย่างนึงได้มั้ย?” ฉันเอ่ยถามอย่างเกรงๆ เพราะฉันเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องการคบผู้ชายเท่าไหร่นักและคนเดียวที่ฉันคบด้วยก็มีแต่เจคอบเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าฉันอยากจะให้คำแนะนำกับเธอในฐานะที่เป็นคู่ผูกวิญญาณคนหนึ่งเหมือนกัน

“ได้สิ”

“เธอไม่อยากให้คริสเตียนได้รักกับใครสักคนที่มีความรักต่อเขาโดยเท่าเทียมกับความรักที่เขามีต่อเธอหรอกเหรอจ๊ะ?”

“อยากสิ เนสซี่”

“แล้วมันจะไม่ยุติธรรมไปหน่อยเหรอกับการที่เธอต้องแสร้งทำเป็นรักเขาอยู่อีก ในเมื่อหัวใจของเธอได้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว? ฉันรู้จ้ะว่าเธออยากจะรักษาคำมั่นสัญญา แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่ทุกคำสัญญาหรอกนะที่จะถูกรักษาเอาไว้ได้”

เธอก้มหน้าจ้องมองแก้วชอคโกแลตนิ่งๆ โดยไม่ได้ตอบอะไร

“ให้โอกาสคริสเตียนได้ค้นหารักใหม่เถอะนะ.. รักที่เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย เขาอาจจะเจ็บปวดในตอนนี้ แต่มันจะไม่มากเท่ากับความเจ็บปวดอย่างเรื้อรังถ้าหากเรื่องนี้ยังคาราคาซังต่อไป ฉันรู้ เธอคิดว่าเธอสามารถทนอยู่ห่างจากเซ็ธได้แต่เชื่อฉันเถอะ... เธอทำไม่ได้จริงๆ หรอก”

ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบอะไรออกมา ฉันก็ก้มลงจูบแก้มบอกลาเธอแล้วเดินผ่านประตูออกมา วิ่งลัดป่าเพื่อตรงกลับไปที่บ้าน ฉันคิดว่าเธอควรจะได้ใช้เวลาไตร่ตรองกับตัวเองเงียบๆ สักพัก และขณะที่ฉันเร่งฝีท้าววิ่งเร็วขึ้นนั้น อยู่ๆ แรงกระตุ้นจิตใจอย่างหนึ่งก็แล่นผ่านกายจนอยากจะกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของเจคอบให้เร็วที่สุด ฉันอยากจะย้ำเตือนความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง หนึ่งในไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่ได้พบกับคนรักที่เข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวที่สุด

ราวกับว่าเจคอบจะรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของฉันได้ ราวกับว่าเขารู้ดีว่าฉันต้องการอะไร เพราะเมื่อวิ่งเข้าสู่ระยะไม่กี่กิโลเมตรจากบ้านฉันก็เห็นเขายืนรออยู่ที่แนวป่าด้านหลังบ้าน ฉันไม่ยอมลดฝีเท้าลงหากแต่กลับเร่งให้เร็วขึ้นอีก เขายื่นแขนทั้งสองออกมารอรับขณะที่ฉันกระโจนเข้าไปหา เจคอบเซถอยหลังไปก้าวหนึ่งขณะโอบรัดตัวฉันไว้ ฉันฝังใบหน้าของตัวเองเข้ากับลำคอของเขา หายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งเพื่อสูดเอากลิ่นอายของเขาเข้าไปเต็มปอด ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูงี่เง่าแต่ฉันก็แค่อยากจะตอกย้ำกับตัวเองว่าเขามีตัวตนอยู่จริง เขาเป็นของฉันจริงๆ เขากอดรัดร่างฉันเข้ากับแผ่นอกแน่นขึ้นอีก

“ผมคิดถึงคุณ” เขากระซิบบอก

~*~*~*~

คืนนั้นพวกเดนาลีก็เดินทางมาถึงบ้านของพวกเราในตอนที่ฉันเข้านอนไปแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าพวกเขายังคงปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับข่าวคราวล่าสุดจากโลกแวมพ์ไพร์อยู่ในห้องนั่งเล่น อีไลซาร์และคาร์เมนนั่งอิงแอบแนบชิดกันอยู่บนโซฟา เคทกับการ์เร็ตต์กำลังยืนพิงกำแพงห้องอยู่ ส่วนธัญญ่า.. เธอและคู่หมั้นหมายตนใหม่ของเธอ-เบลค เอ่อ...กำลังเล้าโลมกันอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของห้อง

เบลคเคยเป็นนักดนตรีชื่อก้องโลกขณะที่เขายังเป็นมนุษย์ เขากลายมาเป็นคู่ครองคนใหม่ของธัญญ่าและเธอก็เจาะจงต้องการเขาเช่นเดียวกัน
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางคอนเสิร์ตครั้งหนึ่งของเขาและนั่นก็เป็นการเปลี่ยนโลกของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าเธอติดอยู่ในความทรงจำของเขาทันที แต่ฉันกลับคิดว่านั่นคงเป็นครั้งแรกในการดำรงอยู่ของเธอ ที่เธอจดจำตัวเองได้อย่างแจ่มชัดยิ่งกว่าที่เคย

เธอกลายมาเป็นยอดปรารถนาของเขา.. เทพธิดาของเขา เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับ 5 อัลบั้มที่ติดอันดับ1 ตลอด 4 ปีสุดท้ายในชีวิตมนุษย์ของเขา และเมื่อไปถึงปีที่ผ่านมานี้เอง เธอปรากฏตัวขึ้นพร้อมเบลคที่ประตูหน้าบ้านเรา ขอร้องให้คาร์ไลส์ช่วยเปลี่ยนเขาเป็นแวมไพร์ โชคร้ายหน่อยที่เบลคต้องกลายเป็นปริศนาลึกลับแห่งฮอลีวู้ดอันเนื่องมาจากการหายตัวไปเฉยๆ ในขณะที่ยังดังเป็นพลุแตก เรื่องราวของเขาถูกนำมาสร้างเป็นหนังและฉายวนไปวนมาอยู่บ่อยๆ ในช่องเคเบิ้ลทีวี

อีไลซาร์กระแอมดังๆ ทีหนึ่งส่งสัญญาณเตือนเบลคและธัญญ่าให้พักกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ลงก่อน ธัญญ่าถอนหายใจและดึงเบลคให้นั่งลงกับเธอบนโซฟา

พวกเขานำหนังสือพิมพ์จากประเทศอังกฤษมาด้วย บทความชิ้นเล็กๆ นั้นถูกปากกาขีดวงไว้ด้วยหมึกสีแดง มันถูกส่งไปรอบๆ ห้องเพื่อให้สมาชิกครอบครัวทุกคนได้อ่าน ข้อความพาดหัวตัวโตนั้นอ่านได้ว่า : คนทรงผู้กลายเป็นดาวดังหายตัวไปอย่างลึกลับ

น้าอลิซเป็นคนสุดท้ายที่ได้อ่านบทความนั้น เธอถอนหายใจพรืดออกมาขณะที่โยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงบนโต๊ะกาแฟ

“งั้น..พวกนั้นก็คงตามหาอลิซหมายเลข2 อยู่สินะ?” น้าอลิซเอ่ยขึ้น

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ” พ่อตอบ และดูเหมือนแวมไพร์ทุกตนในห้องก็จะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

เนื่องจากมันยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก ฉันเลยยังอยู่ในอาการง่วงซึมและลงมาข้างล่างทั้งชุดนอน ฉันทิ้งตัวลงนอนบนโซฟายาวเอาหัวหนุนตักเจคอบไว้ เขาลูบไหล่ฉันไปมาแต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนลีอาและเซ็ธยังคงหลับอยู่ที่บ้านริมสระน้ำ

“ได้ข่าวเรื่องการยิงกันที่โรงเรียนเซนต์อนาสตาเซียบ้างหรือเปล่า?” คาร์เมนเอ่ยถามกับพวกเรา

“จ้ะ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาใช่มั้ย?” เอสเม่ถาม

“คืออันที่จริงมันไม่ใช่การยิงกันหรอก มีแวมไพร์กลุ่มใหม่กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันที่นั่น บางตนก็ไปสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นเกิดทนไม่ไหวขึ้นมาเลยลงเอยด้วยการกวาดเรียบเด็กทั้งห้อง มีข่าวลือว่าเจ้าหน้าที่ต้องออกมาแถลงการณ์ให้ดูเหมือนว่าเป็นการยิงกันหรือฆ่าตัวตายน่ะ”

พ่อสะดุ้งเฮือก และแล้วสิ่งที่เราคาดคิดกันไว้ก็กลายเป็นความจริงขึ้นมาจนได้สินะ

“น่ากลัวจริงๆ” ป้าโรซาลีอุทานเบาๆ

ฉันได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาใกล้บ้าน และเหลือบมองไปยังพ่อซึ่งกำลังหรี่ตาลงเหมือนพยายามจะจับกระแสความคิดของใครก็ตามที่กำลังขับรถใกล้เข้ามา

“ใครเหรอคะ?” แม่เอ่ยถามจากพ่อ

เมื่อพ่อรู้คำตอบและหันมาส่งสายตากับฉัน ฉันก็รู้ในทันทีเลยว่าใคร ฉันลุกขึ้นจากตักของเจคอบแล้วเดินไปเปิดประตูเพื่อออกไปยืนรอแอนาเบลที่ระเบียงหน้าบ้าน ยืนรอจนแอนาเบลจอดรถบนถนนหน้าบ้านและก้าวลงมาจากรถ ดวงตาของเธอบวมแดงและยังคงมีคราบน้ำตาเปรอะอยู่บนแก้มทั้งสองข้าง

“เนสซี่ ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนแล้ว!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมกับโผเข้าสู่อ้อมแขนของฉัน ซุกใบหน้าลงกับไหล่ของฉันแล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!” ฉันถามด้วยความตกใจ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เธอขับรถมาหาฉันถึงที่บ้านในเช้าของวันเสาร์แบบนี้

“ฉันทำแล้ว...ฉันขอเลิกกับคริสเตียนแล้ว”

พ่อและเจคอบปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของฉัน

“เขายอมรับมันไม่ค่อยได้น่ะ” พ่อบอกฉันด้วยเสียงที่เบาที่สุดหลังจากอ่านความทรงจำของเธอ ฉันแน่ใจว่าเธอคงไม่ได้ยินที่พ่อพูด

“เขารู้ เนสซี่ เขาถามฉันว่าฉันมีคนอื่นหรือเปล่า.. ฉันไม่สามารถโกหกได้ เขารู้เรื่องเซ็ธและเขาก็รู้ด้วยว่าเซ็ธเป็นเหมือนกับฉัน..เป็นอมตะ”

ฉันโอบกอดแอนาเบลแน่นขึ้น เธอร้องไห้อย่างหนักจนกลายเป็นสะอึกสะอื้นเพราะหายใจไม่ทัน

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยจ้ะแอนาเบล ฉันสัญญา” ฉันพยายามพูดปลอบโยนเธอ

และแล้วอยู่ๆ เธอก็หลุดออกจากอ้อมแขนของฉันไปอยู่ในอ้อมแขนของเซ็ธแทน ฉันมองตามไปด้วยความประหลาดใจที่เซ็ธมายืนอยู่ข้างๆ ฉันโดยไม่รู้ตัวเลย

“ฉันดูเธอเอง” เซ็ธกล่าว

เขาช้อนอุ้มตัวเธอขึ้นไว้ในอ้อมแขนก่อนจะแนบใบหน้าเข้ากับเรือนผมของเธอแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว ฉันเดินตามเขาไปติดๆ และขณะที่เรากำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่นเพื่อจะตรงไปยังประตูหลังบ้านนั้นเอง..

“แอนาเบล?!”

ทั้งเซ็ธและฉันต่างก็หยุดกึก จะมีใครในกลุ่มเดนาลีบ้างที่จะรู้จักแอนาเบล??
ฉันมองหาต้นตอของเสียงที่เรียกชื่อแอนาเบลและพบกับสีหน้าที่แสดงความประหลาดใจเหลือคณาของอีไลซาร์

“แอนาเบล” เขาเอ่ยออกมาอีกครั้งเหมือนอยากจะย้ำกับตัวเองว่านั่นใช่เธอจริงๆ

แอนาเบลเงยหน้าขึ้นจากบ่าของเซ็ธและหันไปหาบุคคลที่เรียกชื่อเธอ ดวงตาของเธอหรี่แคบลงในตอนแรกอย่างสงสัยแต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจในวินาทีต่อมา เธออุทานแต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมาจากลำคอขณะที่มือขยำเสื้อของเซ็ธไว้ แอนาเบลเกาะติดเขาแน่นเหมือนต้องการให้เขาเป็นผู้ปกป้องชีวิตให้กับเธอ

PS : ตอนนี้ก็ยาวเหมือนกัน ตั้ง 10 หน้าแน่ะ...










Create Date : 27 กันยายน 2552
Last Update : 27 กันยายน 2552 18:33:24 น.
Counter : 3990 Pageviews.

32 comments
  
เข้ามาดูจริง ๆ แต่ยังไม่ได้อ่าน แบบว่าชอบอ่านยาวๆ
จะได้รู้....ติดตามผลงานด้วยใจ ขอบคุณอีกครั้งที่สละเวลาพักผ่อน เที่ยวให้สนุกนะอย่าลืมกลับมาเล่า....
รออยู่
โดย: pa-to31 IP: 222.123.119.27 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:20:15:15 น.
  
ขอเดา (ย้ำว่าขอเดา) ว่าอีไลซาร์ คือคนชุดดำที่แอนนาเบลต้องหนี....อ่ะค่ะ เดาเด้อ ลิงเดาเอา

ขอบคุณที่แปลนะคะ มันส์ขึ้นเรื่อยไลยอ้า..
โดย: ลิง IP: 125.26.253.116 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:20:28:33 น.
  
กำลังสนุก มีให้ลุ้นอีกแล้ว รีบมาแปลต่อเร็วๆ นะค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะช่วงนี้ฝนตกแทบทุกวันเลย
โดย: aorae IP: 58.64.106.110 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:20:52:35 น.
  
อ่านตอนทีแล้วยังเดากันกับเพื่อนเลยว่าแอนาเบลจะคู่กับเซ็ธหรือเปล่า แล้วก็จริง คราวนี้จะลุ้นลีอาร์กับคริสเตียนบ้าง
ขอบคุณจริงๆ ที่แปลให้อ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกเรื่องเลย
โดย: mam IP: 58.9.236.227 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:23:04:47 น.
  
thanks.jaaaa
โดย: G IP: 203.156.93.188 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:8:52:05 น.
  
มาอีกรอบ...สงสัยตอนแปลใจลอยหรือเปล่า มันตกหล่นขาดหายไปนะ ยังมีสะดุดคำใช้แบบยังไม่ได้เรียบเรียง
รู้สึกว่ากระชับไป เหมือนย่อมา ( เข้ามาโจมตี ) อย่าโกรธเชียว ขอลบ 10 คะแนน เพราะว่าตั้งใจแปลมากไป
อยากให้ใช้ความสามารถที่มีแบบเต็มที่ ....ถ้าแปลให้อ่านต้องบอกว่าเก่งจริงๆ แต่ความประทับใจที่อ่านรอบเดียวไม่พอ...ย้อนกลับมาอ่านซ้ำอีก สำคัญมาก...นึกถึงเวลาเราอ่านสิ่งที่ชอบแล้ววางไม่ลง.....ขอโทษแฟนๆของน้องอุ๋มด้วย
กลัวแฟนคลับต่อว่า เป็นกำลังใจเสมอ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.116.242 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:10:25:42 น.
  
ลุ้นให้หนูลีอาห์ผูกวิญญาณกะคริสเตียน...มันจะเป็นไปได้มั๊ยหว่า

คนที่เเอนนาเบลหนีน่าจะเป็นอีลีซ่าร์(ในเบรคกิ้งดาวน์อ่านอีไลซ่าร์ว่าอีลีซาร์)ตอนที่ทำงานหาคนมีความสามารถให้พวกโวตูรี
โดย: fuyugirl IP: 118.172.228.211 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:10:33:59 น.
  
ขอบคุณมากที่นำเรื่องมาแปลให้อ่าน จะแปลให้อ่านจนจบเลยใช่มั้ยค่ะ (ว่าแต่มีทั้งหมดกี่ตอนหว่า...)
โดย: hnonkaew IP: 58.137.57.138 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:10:54:45 น.
  
อิ่มมากเลยค่ะ

ขอบคุณน่ะค่ะ
โดย: น้ำปั่น IP: 112.142.63.142 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:11:09:16 น.
  
อ่านแล้วอยากมีรักสามเส้ามั่งจังงงงงง อิ ๆ ๆ ๆ ดูท่าคนแปลก้อจะอยากมีมั่งนะเนี่ย คริ ๆ ๆ ๆ อยากรู้มั่ ก ๆ ว่าลีอาจะผูกวิญญาณกะใคร ต้องช่วยกันลุ้นให้สาวแกร่งมีฟามสุขอุตส่าห์ฝ่าฟันมาตั้งเยอะแล้ว ให้เจอคนดีกว่าแซมเลย เอาใจช่วย แปลให้จบก่อนไปเที่ยวก้อดีนะ อุ๋มมมมม จะได้เที่ยวอย่างหายห่วงไง 555++ ชักจูงกันน่าดู๊
โดย: J.J. IP: 114.128.120.59 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:13:01:10 น.
  
Thanks อย่าลืมมาต่อเร็วนะค่ะ
โดย: apple IP: 203.146.0.227 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:13:36:22 น.
  


รอตอนต่อไปค่ะ.......อยากรู้จริง อยากรู้จัง.......

ขอบคุณมากนะคะ........

โดย: Mayree IP: 203.121.162.74 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:15:20:00 น.
  
รีบมาต่อไวๆน๊าค๊า ^^
จะรออย่างใจจดใจจ่อ
กะลังมันส์เลย
ขอบคุณมากๆนะคะ ^^
โดย: maple IP: 124.121.8.176 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:16:15:18 น.
  
เห็นด้วยกะความคิดข้างบน
ลิงก็ว่าลีอาห์ กะคริสเตียน ก็น่าจะ สปาร์ค กันนะคะ

เดาอีกเหมือนกัน
โดย: ลิง IP: 125.26.255.73 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:16:41:35 น.
  
เดี๋ยวให้คาร์ไลส์ กัดคอคริสเตียนก็เป็นอมตะชนแล้วคร้า
โดย: ลิง IP: 125.26.255.73 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:16:45:42 น.
  
woWww !!!
มีลุ้นอีกแล้ว
โดย: biiggii IP: 202.176.70.45 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:16:58:33 น.
  
นั่นไง...3 เศร้าเลยมั้ยนั่น..
คุณอุ๋มแปลเจ๋งค่ะถึงแม้จามีคำซ้ำบ้าง
อาจรีบแปลก้อไม่เป็นไรค่ะ..ขอบคุณจริงๆค่ะ
รอตอนต่อไปอยู่นะค๊ะ....เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
^____________________________________^
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:19:26:37 น.
  
แปลแบบมือสมัครใจ(แปล)ไม่ใช่สมัครเล่น (มั่วๆ )
comment นี้มีแต่ให้กำลังใจค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ตกประเด็นสำคัญค่ะ
โดย: Aor@Aor IP: 119.31.126.141 วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:0:22:54 น.
  
รบกวนหน่อยค่ะ
ตอนที่1-4อ่านได้ที่ไหนคะ
โดย: ืnu_hwa IP: 124.183.147.196 วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:7:17:45 น.
  
เข้ามาดูทุกวันเลยค่ะ กำลังสนุกเลย รีบมาต่อเร็ว ๆ นะคะ
ขอบคุณนะคะ ที่แปลเรื่องสนุก ๆ ให้อ่านกัน
โดย: kino IP: 125.27.131.89 วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:11:16:37 น.
  
ตอนที่ 1- 4 เข้า d-look ดูนะจำชื่อไม่ได้จริงๆ ลองค้น หาไม่ยาก.....
โดย: pa-to31 IP: 222.123.184.163 วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:20:50:56 น.
  
มาต่ออีกซักบทหน่อยสิ คุณอุ๋ม สุดสวย คริ ๆ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.103 วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:23:27:34 น.
  
เอ่อ...อีกซักบทก่อนไปเที่ยวก็ดีนะค๊ะ

แหะๆ (โลภมากๆ)...รอลุ้นน่ะค่ะ
@_______@
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:10:48:20 น.
  
จบได้แบบทิ้งปมมากเลยอ่ะ

จะรอพี่อุ๋มต่อไปนะคะ

จุ๊บๆๆ
โดย: kookkaid IP: 210.4.138.41 วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:15:41:43 น.
  
เห็นด้วยอีกเสียงค่ะ ถ้าลีอาห์ เจอคริสเตียน อาจจะผูกวิญญาณอีกคู่ ก็ดีนะคะ คริสเตียนผู้มั่นคง จะได้เป็นอมตะ อีกคนไง ....ว่าแต่ว่า รีบๆ กลับมาต่อตอนต่อไปนะคะ คนอ่านใจเป็นไฟแล้วค่ะ
โดย: ิBB IP: 118.173.254.82 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:8:57:30 น.
  
สนับสนุนให้มาต่ออีกสักบทก็ดีนะคะ อิอิ แบบว่ากำลังหนุกเลย..รออยู่นะคะ
โดย: kino IP: 125.27.129.67 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:11:08:14 น.
  
รอให้มาต่อเหมือนกันนะคะ....รอๆๆๆๆๆ
โดย: ppu IP: 125.24.228.227 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:11:31:11 น.
  
ขอบคุณมาก ๆ นะค่ะ แอบอ่านมาหลายตอนแล้ว
ลุ้นให้ตอนต่อไปมาไว ๆ ค่ะ
โดย: azumi IP: 10.239.130.48, 203.170.231.233 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:18:20:40 น.
  
แอบอ่านมานานมากแล้วล่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ ที่ช่วยแปลให้อ่าน

คอยลุ้นอยู่ตลอดเลย

ขอบคุณจริงๆค่ะ
โดย: mangpor IP: 125.26.95.216 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:20:54:47 น.
  
เพิ่งจิว่างแวะมาอ่านค่ะพี่อุ๋ม โคดมันไม่ค่อยขึ้นก่าจิเม้นได้
โดย: goi IP: 125.27.63.148 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:11:43:21 น.
  
สำหรับตอนนี้อ่านช่วงแรกๆ อย่างฮาเซ็ธกับแอนนาเบลเลย อะไรมันจะละสายตาไม่ได้ขนาดน้านนนน ครึครึ
แต่ว่า....หลังจากนั้นความสงสารที่มีก็ทุ่มให้กับคริสเตียนไปหมดเลย น่าสงสารจัง (พี่อุ๋มทำมดน้ำตาคลอเลยตอนพูดถึงสภาพคริสเตียนตอนมาหาเนสซี่ T^T)
จะพูดไงดี เซ็ธกับแอนก็น่าสงสารนะ แต่นาทีนี้ยกให้คริสเตียนก็แล้วกัน เฮ้อ~ พบรักใหม่โดยเร็ววันนะพ่อคุณ T^T
แต่ตอนท้ายของพาร์ททิ้งปริศนาแฮะ อีไลซาร์กับแอนมีความสัมพันธ์อะไรกันนี่ ??

ปล. ตอนนี้รู้สึกพาร์ทนี้มีคำตกหล่นเยอะนะคะพี่อุ๋ม เป็นเพราะแปลรวดเดียว 2 วันเรยชิมิ แต่รู้คะว่าพี่ตั้งใจสุดๆ สู้ๆ นะจ๊ะ จุ๊บุๆ
โดย: Eric Mun IP: 115.67.4.250 วันที่: 11 ตุลาคม 2552 เวลา:20:01:51 น.
  
ตอนนี้สนุกดีค่ะ อ่านแล้วไม่อยากลุกไปไหน ต้องอ่านต่อ
เขียนได้ดีค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
โดย: pummy IP: 124.120.52.160 วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:1:09:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]