สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 12 - เมื่อความจริงเปิดเผย
*** บทนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วจ้า ***

แปลผิด หรือ งงๆ ตรงไหนก็ comment ไว้หน่อยนะ จะได้ปรับปรุง เพราะนี่ไม่ได้ย้อนกลับมา review ช่วงแรกๆ เลย แปลไปข้างหน้าอย่างเดียว

--------------------------------------------------------------------------

ฉันประหลาดใจมากเมื่อได้เห็นจำนวนคนที่มางานที่บ้านเทเล่อร์ อย่างกับว่าแทบทุกคนที่งานเต้นรำพากันมาที่นี่หมดอย่างนั้นแหล่ะ บ้านของเทเล่อร์ตั้งอยู่ในละแวกที่น่าอยู่และไม่ไกลจากโรงเรียน ฉันก้าวเดินเข้าบ้านขณะที่ยังกุมมือเจคอยู่ เมื่อเหลียวกลับไปมองด้านหลังก็พบว่าแอนาเบลกำลงคุยโทรศัพท์กับคริสเตียนอยู่ เราเดินไปทั่วบ้าน กล่าวทักทายปราศรัยกับทุกๆ คน แอนาเบลตามมาเจอพวกเราที่ห้องเกมและดึงใครบางคนมาด้วย

“เนสซี่!” เธอโบกมือเรียกฉัน

“นี่คริสเตียนจ้ะ” เธอแนะนำ

หนุ่มคนหนึ่งผู้มีผมสีบลอนด์ยุ่งๆ เซอร์ๆ ก้าวออกมาจากด้านหลังของเธอ เขาปัดผมที่ปรกหน้าอยู่ให้พ้นดวงตา เขามีใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์ แต่หล่อเหลาคมคาย เขาสูงกว่าเธอราวๆ ฟุต

“คุณคงเป็นเนสซี่สินะ แอนาเบลเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังเยอะเลย” เขากล่าวในขณะจับมือทักทายฉัน ฉันมองหน้าเขาอย่างพิจารณาและพบว่าเขามีดวงตาสีฟ้าใส

“ดีใจจังที่ในที่สุดก็ได้เจอคุณเสียที” ฉันกล่าว

“และคุณคงคือเจคอบสินะ” คริสเตียนพูดต่อและหันไปทางเจคอบ

“ใช่แล้ว ยินดีที่ได้รู้จัก”

“คุณเรียนโรงเรียนแถวนี้เหรอ?” ฉันถาม

“ครับ ห่างจากที่นี่ไปซัก 10 นาที ผมเรียนที่นอร์ทเธิร์นไฮฯ น่ะ”

“ฉันมีความสุขจริงๆ เลย! ทุกคนที่ฉันชอบมารวมกันครบเสียที!” แอนาเบลกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงในตอบที่โผเข้ากอดฉัน

คืนที่เหลือดำเนินต่อไป ส่วนใหญ่พวกเราสี่คนจะคุยเล่นอยู่ด้วยกัน, เล่นพูลหรือไม่ก็ปาเป้า ฉันมองดูคริสเตียนและแอนาเบลเวลาที่อยู่ด้วยกัน พวกเขามักจะจูบกันนิดๆ เหมือนจูบทักทายกันตลอดเวลา ดูช่างน่ารักเหลือเกิน พวกเขาดูเหมาะสมกันเป็นที่สุด

ถึงแม้ฉันจะอยากแอบสังเกตการณ์ระหว่างแอนาเบลกับแฟนหนุ่มของเธออยู่ก็ตาม แต่ฉันก็ยังพะวงเรื่องเจคอบอยู่ ฉันรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาแลตามฉันไปทุกที่ จนฉันอยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วว่าตกลงนี่ฉันเป็นฝ่ายมองเขาใช่มั้ยเนี่ยถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวของเขาขนาดนี้ แต่ความอดทนของฉันไม่มากพอ คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบระหว่างเรายังคงอยู่ ฉันรู้สึกได้นี่นาว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไปแล้ว และฉันก็อยากค้นหาคำตอบนั้น

เราอยู่ที่ห้องครัวชั้นบน (ขึ้นมาจากห้องเกมที่ใต้ดินแล้วไง) และฉันก็ยืนอยู่ที่โต๊ะกลางครัวคนละฝั่งกับเจคอบ เราทำป๊อบคอร์นกินเล่นกัน ผู้คนพากันเดินเข้าๆ ออกๆ ไปมา คริสเตียนกำลังคุยเรื่องหนังใหม่ที่เขาอยากจะไปดูสุดสัปดาห์นี้

“ใช่ เรื่องนั้นน่าสนุกมาก” เจคอบสนับสนุน

(เป็นอีกครั้งที่แกทำชั้นอึ้งอ่ะเจค... แกเคยไปดูหนังกะเค้าอย่างคนธรรมดาด้วยเหรอเนี่ย?? เป็นอีกแง่มุมนึงของแกเลยนะ)

ฉันเหลือบตามองก็พบว่าเขาก็กำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน ฉันพยายามคิดหาหนทางที่จะทำให้เขาอยู่ตามลำพังแต่มันดูเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในปาร์ตี้แบบนี้ ฉันไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับเขาในครัวบ้านคนอื่นนี่นา เกิดคุยๆ อยู่แล้วมีใครเดินเข้ามาล่ะ...

“งั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเลยสิ แบบเดทคู่ไง” แอนาเบลบอกพลางขยิบตาให้ฉันอย่างมีแผน หวังว่าเจคอบจะไม่ทันเห็นนะ


“ผมก็ว่าน่าสนุกดีนะ นายล่ะเอาด้วยมั้ยเจคอบ?” คริสเตียนถาม

สงสัยจริงว่าเขาจะตอบว่ายังไง? ..

“ก็เอาสิ ท่าทางน่าสนุกดีเหมือนกัน” เขาตอบพร้อมฉันมายิ้มยั่วใส่ฉัน

ทันใดนั้นตาฉันก็กระตุกขึ้นฉันพลัน เขาโอเคที่เราจะไปออกเดทกันน่ะหรือ? แล้วมันจะเป็นการไปแบบเดทจริงๆ หรือว่าเราแค่ไปกันแบบเพื่อนธรรมดาๆ กันล่ะ? ฉันละอยากแยกตัวเขาไปตามลำพังจริงๆ ให้ตาย!

ตอนนั้นเองเทเล่อร์ก็เดินเข้ามาในครัว

“เฮ้ ใครจะเล่นหมอกปริศนาบ้าง? เขาถามพวกเราทั้งหมด

“หมอกปริศนาเหรอ?” ฉันถามด้วยความงุงงนสงสัย

“ใช่แล้ว สนุกจริงๆ นะ บางครั้งที่สนามฟุตบอลโรงเรียนเราจะมีหมอกลงจัด เกือบจะมองอะไรตรงหน้าไม่เห็นเลยหล่ะ เราจะไปเล่นไล่จับกัน ตอนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครในนั้นนั่นแหล่ะที่มันส์ แล้วก็ต้องจับตัวใครซักคนให้เจอ” แอนาเบลอธิบายเกม

“เฮ้ เมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่ค่อยมีอะไรทำนักหรอก เราต้องหาวิธีเล่นสนุกกันเอง เดฟเพิ่งขับรถผ่านมา เขาว่าคืนนี้หมอกจัดจริงๆ เอ้าใครจะไปบ้าง?” เทเล่อร์ถาม

“คริสเตียนกับฉันเอาด้วย แล้วเธอล่ะเนสซี่?” แอนาเบลหันมาถามฉัน
ฉันกำลังคิดหาคำตอบ ชั่งน้ำหนักทางเลือกที่มี ถ้าเกิดทุกคนตัดสินใจไปกันหมด ดังนั้นนี่ก็จะเป็นโอกาสที่ฉันจะได้คุยกับเจคอบอย่างเป็นส่วนตัว แต่ก่อนที่ฉันจะได้ตัดสินใจตอบอะไรไป เจคอบก็ตัดหน้าให้คำตอบแทนฉันโดยไม่ได้ถามเลย

“เราเล่นด้วย” เขาตอบ

ฉันส่งสายตาไปยังเจคอบ หวังว่าเขาคงไม่ได้กำลังจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยประเด็นที่ไม่สามารถเลี่ยงได้อยู่หรอกนะ ฉันเริ่มจะสงสัยว่าเขาจะพยายามหลบเลี่ยงทั้งหมดทุกประเด็นอยู่หรือเปล่า อารมณ์โกรธเริ่มครุกรุ่นขึ้นมาในตัวฉัน เขาจะมาเล่นเกมแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ กอดฉันอย่างที่กอดในฟลอร์เต้นรำแล้วยังจะมาแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแบบนี้ไม่ได้นะ!

ฉันเหลือบตามองไปยังเจคอบ “ได้” ฉันตอบ

เขาแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาขุ่นเคืองของฉันแต่ฉันรู้ว่าเขาเห็นมันแน่ เพราะเขารีบเสไปมองทางอื่น

ระยะทางเดินไปถึงโรงเรียนนั้นใกล้มาก พวกเรามีกันอยู่ราวๆ สามสิบคน ส่วนคนอื่นที่เหลือปาร์ตี้กันต่อที่บ้าน บางคนที่มาก็มีทีท่าง่วงเหงาหาวนอนกันแล้ว ก่อนจะออกมาจากบ้านฉันเห็นบางคนก็นอนพับอยู่กับโซฟาหรือไม่ก็บนพื้นเลย พอเรามาถึงหมอกหนาจัดก็ปกคลุมสนามไปทั่ว

“สุดยอด!” เทเล่อร์ร้อง

เอ็มม่าวิ่งไปหาเทเล่อร์ แตะเขาที่ไหล่แล้ววิ่งเข้าไปในหมอก

“เธอเป็น!” เธอร้องบอกเขาโดยไม่ได้หันหน้ากลับมามอง

เขาหัวเราะขณะวิ่งตามเธอไป ทุกคนที่เหลือก็ออกวิ่งเข้าไปในดงหมอก ฉันได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงคิกคักดังไปทั่วขณะที่พวกเขากำลังวิ่งหากัน
สำหรับสายตาของคนธรรมดาแล้วมันคงยากที่จะมองฝ่าหมอกหนาขนาดนี้ แต่ฉันสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ฉันหอนถายใจขณะที่คิดกับตัวเองว่ามันไม่สนุกอย่างที่ควรเป็นเลย การเคลื่อนไหวด้วยความเร็วแบบมนุษย์ยังยากอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นเกมการแข่งขัน

เจคอบคว้ามือฉันไว้แล้วดึงฉันเข้าไปอยู่ในม่านหมอก เราเดินไปสองสามหลายังอีกฟากของสนาม ฉันได้ยินเสียงคนอื่นๆ อยู่ห่างไปค่อนข้างไกลแล้วตอนนี้

“คุณจะทำอะไรเนี่ย?” ฉันถามขณะที่เขายังคงจูงมือให้ฉันตามไป

เขาไม่ตอบอะไรหากแต่หยุดเดินแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน

“พวกเขาไม่เห็นเราแล้ว” เขากระซิบเบาๆ

ฉันนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองเขาไม่วางตาในขณะที่เขาขยับเดินเข้ามาใกล้ มือของเขายังคงเกาะกุมมือของฉันอยู่ขณะที่ตัวของเราเกือบประชิดกัน เขาก้มหน้าลงมา ดวงตาของเขามีเค้าแววของความคร่ำเคร่งคล้ายกับว่ามีสิ่งที่เขาอยากจะบอก แต่ไม่แน่ใจว่าจะพูดมันออกมาได้อย่างไรดี

“เนสซี่...” เขาเรียกชื่อฉันแล้วหยุดอยู่เพียงแค่นั้น

“หืม?”

“ผม.. ผมผิดเอง” เขาพูดต่ออย่างกระซิบกระซาบ

“ผิดเหรอ?” ฉันกระซิบตอบกลับไปเช่นกัน พยายามกระตุ้นให้เขาพูดสิ่งในสิ่งที่อยากจะพูดออกมาเสียที

“ใช่ ผิดมากด้วย ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ผมเห็นแววความพ่ายแพ้มาตั้งแต่แรกแล้วแต่ทำไมถึงยังดันทุรังอีกก็ไม่รู้ ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวเวลาที่อยู่ใกล้คุณแล้วผมจะไม่อยากแตะต้องคุณ มองดูคุณเฉยๆ โดยห้ามใจไม่ให้อยากสวมกอดคุณไม่ได้ หรือเมื่ออยู่ข้างๆ คุณ ผมก็อดห้ามใจไม่ให้จูบคุณแทบไม่ได้ มันเหมือนว่าการควบคุมตัวเองของผมถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ และเมื่อเรามาอยู่ตรงนี้ด้วยกัน มันก็มลายหายไปจนสิ้น”

ฉันจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละสายตา ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาจากปาก เหมือนว่าฉันไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาบอกเขาดี เขาโน้มตัวลงมาหาฉัน รู้สึกได้ถึงลมหายใจผะผ่าวของเขาบนใบหน้า คำพูดต่างๆ เหมือนถูกกลืนหายไปตลอดกาล

และแล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงแวบหนึ่ง ฉันยังได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของเพื่อนๆ ที่ยังวิ่งไล่จับกันอยู่ในสนาม ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างเต็มตา ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาบอกกล่าวเขาดี

วงแขนแข็งแกร่งของเขาโอบรอบเอวของฉันแล้วดึงตัวฉันให้เข้าไปใกล้
“เนสซี่ ผมจำเป็นต้องมีคุณ” เขากระซิบอย่างแผ่วเบาที่สุดที่ข้างๆ ริมฝีปากของฉัน เขาประทับจูบเบาๆ ทีหนึ่งบนนั้น ผละออกและรั้งรอ หัวใจของฉันเต้นระรัว ริมฝีปากร้อนผ่าวเหมือนมันกำลังจะถูกเผาไหม้ด้วยสัมผัสแผ่วเบาเมื่อครู่ ฉันหายใจแรง

เขามองมาที่ฉันเหมือนเป็นการรอหยั่งเชิง เขาอาจจะกำลังสงสัยว่าฉันจะผลักเขาออกห่างหรือว่าจะยกโทษให้เขาในความผิดนั้นดี แต่ฉันว่าเขาคงรู้อยู่แล้วว่าฉันจะมีท่าทีแบบไหน

“คุณจะมีฉันตลอดไป” ฉันกระซิบตอบ

แล้วแขนข้างหนึ่งของเขาก็คว้าตัวฉันให้แนบชิดยิ่งขึ้น พร้อมกับประทับริมฝีปากของเขาลงมาอย่างสนิทแนบแน่น ริมฝีปากของเราทาบประกบกันอย่างเหมาะเจาะพอดี และเคลื่อนไหวราวกับพยายามจะดื่มด่ำกับความหอมหวานทุกหยาดหยดของจูบนั้น แขนของฉันโอบรอบลำคอของเขาขณะที่ฝ่ามือทั้งสองลูบไล้อยู่ที่ต้นคอ เขาปัดผมที่เคลียไหล่ข้างหนึ่งของฉันออก ริมฝีปากอุ่นไล่พรมจูบจากใบหน้าระเรื่อยไปจนถึงลำคอของฉันโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันหอบหายใจแรงเพราะมันทั้งจั๊กจี้และรู้สึกดีอย่างประหลาด

ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าและเสียงอันดังของสายฟ้าก็พาดผ่านลงบนท้องฟ้าค่ำคืน เสียงร้องอึกทึกของพวกเพื่อนๆ ดึงฉันกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งและเตือนว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังที่นี่ แล้วอยู่ๆ สายฝนระลอกใหญ่ก็เทลงมาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณเตือน กลุ่มหมอกจางหายไปโดยฉับพลันทันใด เจคอบปล่อยฉันจากอ้อมแขนแต่กระนั้นฉันก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่มแนบกับแผงอกกว้างอย่างน่าดู (เอ่อ... น้องเนสฯ เธอหื่นได้อีกจริงๆ .. ไม่รู้ได้มาจากพ่อหรือแม่กันแน่เนี่ย เอ... หรือว่าจะดับเบิ้ลเลย??) ฉันได้ยินเสียงแอนาเบลร้องเรียกขณะที่เธอวิ่งหนีฝนกลับบ้านแต่ฉันเหมือนถูกตรึงไว้ที่นั่นเสียแล้ว ผมของฉันเปียกโชกและลีบติดกับใบหน้า ฉันสะบัดมันไปไว้ข้างหลัง

“คุณเปียกหมดแล้ว” เขาพูดแล้วหัวเราะน้อยๆ

ฉันไม่สนใจหรอก ฉันแค่อยากจะจูบเขาอีกเหลือเกิน ทุกคนหนีฝนกลับกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงพวกเราณ สนามฟุตบอลแห่งนี้เท่านั้น ฉันยิ้มแล้วกระโดดเข้าใส่เขา ขาเกี่ยวกระหวัดรับรอบตัวเขาแน่นและกดตัวเองให้แนบแน่นกับเขายิ่งขึ้นไปอีก ฉันประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาอีกครั้ง ถึงแม้สายฝนจะเย็นเยียบเพียงไหนแต่ฉันก็อบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดของเขา เรากอดกันอยู่แบบนั้น ในอ้อมแขนของกันและกัน ตั้งแต่ฝนขาดเม็ดและดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอีกครั้ง

ฉันตื่นขึ้นบนเตียงของตัวเองในเช้าวันนั้น ไม่แน่ใจว่ากลับมาที่ห้องของตัวเองได้ยังไง ฉันคงเผลอหลับไปในรถระหว่างทางกลับบ้านเป็นแน่ ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษและรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจนแทบจะกระโดดลงจากเตียงเลยทีเดียว ภาพของค่ำคืนที่ผ่านมาย้อนกลับมาในความคิดของฉันอีกครั้งราวกับว่าฉันจำทุกๆ จูบและทุกๆ สัมผัสที่เขากอดฉันไว้ได้หมดโดยไม่มีตกหล่น อย่างเดียวที่ฉันอยากทำในวันนี้ก็คือการใช้เวลากับเจคอบเท่านั้น ฉันแอบมองลอดหน้าต่างออกไป เขาตื่นแล้วและจากที่เห็น.. เขากำลังทำอะไรซักอย่างอยู่ในครัว ฉันยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูห้องในตอนที่พ่อกับแม่ตัดหน้าชิงเข้ามาเสียก่อน

“เนสซี่ มีเวลาสักเดี๋ยวไหมลูก?” พ่อถามฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ประมาณว่าฉันกำลังจะเจอปัญหาเข้าแล้ว สีหน้าของแม่ก็แทบไม่ต่างไปเท่าไหร่

“แน่นอนค่ะ” ฉันตอบ พยายามไม่ครางออกไปด้วยความขัดใจขณะที่หันหลังเดินกลับเข้าห้อง

ฉันทิ้งตัวกลับไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง เคาะนิ้วบนหัวเข่าอย่างร้อนรน ใจอยากจะวิ่งไปที่บ้านริมสระจะแย่อยู่แล้ว

“แม่กับพ่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้ว จากที่เราเห็นๆ อยู่” พ่อเริ่มอธิบาย “เรารู้ว่าสักวันเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นแน่ ถึงแม้จะเร็วกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้ แต่เราก็ยังเป็นผู้ปกครองของลูกอยู่ดี และเราก็อยากคุยเรื่องกฏพื้นๆ กับลูกก่อน ถ้าลูกเริ่มที่จะมีเอ่อ.. แฟนน่ะ”

การใช้คำว่า “แฟน” สำหรับความสัมพันธ์กับเจคอบมันฟังดูทะแม่งๆ พิกล ดูเหมือนว่าพ่อก็จะคิดอย่างนั้นเหมือนกันถึงได้พูดออกมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก

“กฏพื้นๆ เหรอคะ?” ฉันถาม ฉันไม่เคยมีกฏมาก่อนเลย ฉันแทบจะนึกภาพมันไม่ออกเลยสิให้ตายเถอะ

“ลูกคงไม่ได้คิดจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านริมสระใช่มั้ย?” แม่ถามอย่างอดรนทนไม่ได้

ฉันมองแม่อย่างไม่เชื่อ นั่นไม่เคยผ่านเข้ามาในสมองฉันเลย

“อะไรนะคะ?” ฉันตอบคำถามแม่ด้วยคำถาม

“ช่วยบอกแม่ทีเถอะ ว่าลูกไม่ได้คิดจะย้ายไปอยู่กับเจคอบ”

“เปล่าค่ะ! แม่คะ เปล่าจริงๆ! หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม่คิดอย่างนั้น”

“โอ้ ขอบคุณพระเจ้า”

จริงอ้ะ แม่คิดแบบนั้นอยู่จริงๆ เหรอเนี่ย?

“แล้วกฏที่ว่าคืออะไรบ้างคะ?” ฉันถามอย่างฉงนสงสัย

“ก็ห้ามค้างคืนที่บ้านริมสระ เคอร์ฟิว--”

“เคอร์ฟิว?!” ฉันขัดจังหวะขึ้นก่อนที่พ่อจะพูดจบ

“ใช่ เคอร์ฟิวที่สี่ทุ่มสำหรับวันธรรมดาและเที่ยงคืนสำหรับสุดสัปดาห์ อย่าลืมสิว่าลูกยังเป็นเด็กมัธยมอยู่ และต้องรักษาสมดุลไว้ด้วย ลูกต้องพักผ่อนนอนหลับใช่ไหมล่ะแล้วเราก็ไม่อยากให้การเรียนของลูกถูกกระทบด้วย”

ฉันกลอกตาอย่างไม่เชื่อ พ่อกับแม่รู้แก่ใจดีว่าฉันสามารถคว้า A รวดทุกวิชาได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยอมรับว่ามันก็น่ารักดีนะที่ได้นั่งดูพ่อกับแม่เล่นบทผู้ปกครอง

พ่อหยุดนิดหนึ่งและฉับพลันก็ปรากฏสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นบนใบหน้า
“แล้วก็.. เอ่อ.. ห้ามมีเซ็กส์จนกว่าลูกจะแต่งงาน และใช่ ลูกต้องรอไปอีก 12 ปีถึงจะแต่งงานได้” พ่อกล่าว

ฉันดึงผ้าปูที่นอนขึ้นมาคลุมหน้าแล้วร้องฮึดฮัด ก็มันน่าอายนี่นาที่จะต้องมาคุยเรื่องแบบนี้ แม่เอื้อมมือมาดึงผ้าลง

“พ่อกับแม่คงไม่รู้หรอกใช่มั้ยคะ ว่านี่ตอนนี้มันน่ากลัวขนาดไหน” ฉันบอก

“มันก็น่ากลัวสำหรับพ่อกับแม่พอๆ กันนั่นแหล่ะจ้ะ” แม่ตอบ

“เราไม่คุยเรื่องนี้กันได้ไหมคะ?” ฉันถามแบบเลี่ยงๆ อยากให้บทสนทนานี้จบลงเร็วๆ เสียที

“เนสซี่จ๊ะ เราดีใจที่ลูกได้พบกับความรัก แต่พูดกันตามตรง แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราพร้อมที่จะให้ลูกเติบโตหรือยัง” แม่บอกกับฉัน ดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

“เวลาที่เราได้ใช้กับลูกนั้นมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราได้ทำหน้าที่พ่อและแม่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

“ยังไงพ่อกับแม่ก็ยังเป็นพ่อแม่ของหนูเสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนั้นได้หรอกค่ะ”

“เรารู้ เราแค่อยากทำหน้าที่นั้นนานขึ้นอีกสักหน่อยน่ะลูก” พ่อพูดพร้อมกับเอื้อมแขนมาโอบฉันเอาไว้

ฉันมองตาพวกเขาก็รู้แล้ว ว่ามันยากมากเหมือนกันสำหรับพ่อกับแม่ที่จะทำใจยอมรับว่าฉันโตแล้วจริงๆ แต่พวกท่านก็ยอมรับมันได้ค่อนข้างดี พ่อแม่คนอื่นๆ มีเวลา 18 ปีเต็มที่จะได้ชี้แนะให้การอบรมลูกๆ ฉันอาจโชคดีที่ผ่านช่วงเวลาที่ทุลักทุเลเมื่อ 2-3 เดือนก่อนมาได้ด้วยดี แต่ฉันก็พอจะรู้ว่าพวกท่านอยากจะยืดช่วงเวลานั้นสำหรับฉันให้เนิ่นนานออกไปอีกหน่อยหากทำได้ ฉันรักพวกเขามาก เพราะเขามักจะมองฉันด้วยสายตาดุจว่าฉันเป็นปาฏิหารย์จากความรักของพวกเขาอยู่เสมอๆ ฉันสัญญากับตัวเองในตอนนั้นเองว่า ฉันจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังแน่นอน

“ได้ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับกอดตอบพ่อและหอมแม่ที่แก้ม

ทันทีที่การพูดคุยทำความเข้าใจจบลง ฉันก็โผออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังบ้านริมสระ ก่อนทื่มือของฉันจะทันได้เคาะลงไปที่กระจก เจคอบก็เปิดประตูออกมาและรับฉันเข้าสู่อ้อมแขน เขาโอบประคองใบหน้าของฉันด้วยมือทั้งสองข้างแล้วประทับริมฝีปากของฉันเข้ากับเขา

“ฉันจะได้จูบคุณไปตลอดกาล” ฉันเอ่ยขณะที่เขาผละหายใจ
“ฟังดูดีมากๆ เลย”

เขาวางฉันลงบนพื้น เราเดินเข้าไปในครัว ฉันกระโดดขึ้นไปนั่งเล่นบนเค้าเตอร์

“งั้นวันนี้เราจะทำอะไรกันดี?” เขาถามขณะที่เข้ามายืนตรงหน้าฉัน

“ทุกอย่างเลย อะไรก็ได้ที่มีคุณอยู่ด้วย”

เขาหัวเราะ ฉันสังเกตว่าเขาดูดีเสมอในชุดเสื้อยืดขาวและกางเกงยีนส์
ฉันคว้าหมวกเบสบอลที่เขาสวมกลับหลังไว้มาใส่ เห็นได้ชัดเลยว่ามันใหญ่เกินไปเพราะปีกมันตกลงมาบังหน้าฉันกว่าครึ่ง ฉันงยหน้าขึ้นทั้งที่หมวกยังครอบอยู่อย่างนั้นแหล่ะ

“คุณนี่หัวโตชะมัดเลย” ฉันกล่าวพร้อมกับยื่นหมวกคืนให้เขา

เจคอบหัวเราะหึๆ “ถ้าได้ผู้หญิงแบบเธอมาอยู่ในอ้อมแขนละก็ ให้กลายเป็นชาวนาชาวไร่ก็ยอมหล่ะ” (อ๊าย! ลูกทุ่งจริงๆ ว่ะเจคแกเอ๊ย... ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็น่ารักดีนะ ว่ามั้ย?)

ฉันหัวเราะ “ลูกทุ่งมากๆ เลย เจคอบ”
“ลูกทุ่งบ้างก็ดีเหมือนกันนะ”
เขาจูบฉันที่แก้ม
“ฉันกำลังสงสัยเรื่องนึงหล่ะ” ฉันบอก
“เอ๋.. อะไรเหรอ?”

“อื้ม ที่จริงก็ไม่สำคัญเท่าไหร่นักหรอก ฉันแค่สงสัยว่าอะไรที่ทำให้คุณเปลี่ยนใจในตอนสุดท้าย?”

เขามองมาที่ฉันและทำหน้าตลกล้อเลียน

“เจ้าเด็กสเป็นซ์ไงล่ะ” เขาตอบ

“สเป็นซ์น่ะเหรอ?”

“ช่าย”

“เขาไปเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของคุณได้ยังไงกัน?”

เจคอบเอนตัวพิงเค้าเตอร์ครัวฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าว

“เจ้าหมอนั่นตัดสินใจจะบอกรักคุณเมื่อคืน”

“ล้อเล่นหรือเปล่า? ฉันแทบไม่เคยคุยอะไรกับเขาเลยนะ แล้วเขาเองก็ทำท่าว่ากลัวฉันซะขนาดนั้น”

เขายักไหล่

“เขาเตรียมคำพูดมาอย่างดีเลยหล่ะ เขาเคยคิดจะบอกคุณสองสามครั้งแล้วแต่เหลวไปซะก่อน ที่จริงพอคิดๆ ดูแล้ว ที่คุณบอกว่าผมลูกทุ่งน่ะ คุณน่าจะได้ยินที่เจ้าหมอนั่นวางแผนจะสารภาพรักกับคุณก่อนเหอะ”

“แล้วคุณไปรู้เรื่องเขาได้ยังไงล่ะ?”

“ก็เอ็ดเวิร์ดน่ะสิถามได้ สเป็นซ์ซ้อมพูดในหัวมาราวๆ สองอาทิตย์ได้แล้วมั้ง”

“พ่อเนี่ยนะบอกคุณ?”

เจคอบพยักหน้ารับ มันออกจะเซอร์ไพรส์ฉันจริงๆ ก็ถ้าพ่อรู้ว่าสเป็นซ์วางแผนจะสารภาพรักกับฉันแล้วทำไมพ่อถึงต้องคะยั้นคะยอให้ฉันไปเต้นรำกับเขาอีกล่ะ? นี่มันไม่ใช่นิสัยปกติของพ่อที่หวงลูกสาวเลยนะ

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยังไงกัน แต่ในตอนที่เห็นคุณกำลังเต้นรำอยู่กับเจ้านั่นทำผมโกรธมาก แค่คิดว่าคุณกำลังเต้นอยู่กับใครซักคนที่คิดว่าเขายังมีหวังในตัวคุณถึงจะเลือนรางก็เถอะ ผมแทบทนไม่ได้ที่รู้ว่าเขากำลังพยายามจะสารภาพรักกับคุณ และไอ้การที่ได้มารับรู้ว่าหมอนั่นคิดว่าเขารักคุณมากกว่าใครๆ มากกว่าผม มันทำเอาผมโกรธเป็นไฟเลยหล่ะ”

ฉันมองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมาในที่สุด

“จริงน่ะ? ตกลงพิษรักแรงหึงก็เป็นต้นเหตุให้คุณเปลี่ยนใจสินะ?”

เขานิ่งคิดครู่หนึ่ง

“อืม ก็คงงั้นมั้ง ฟังดูงี่เง่าใช่มั้ยล่ะ?”

“ใช่สิ ถ้าฉันรู้มาก่อนนะ ฉันคงจะรีบวางแผนแกล้งให้คุณหึงไปนานแล้ว”

เจคอบเดินเข้ามาใกล้ แล้วกอดฉันไว้ในอ้อมแขน ฉันรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ที่แผ่นหลังของฉัน

“เป็นการพยายามและการรอคอยที่สูญเปล่าจริงๆ” เขาบอก

“ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องรอ แต่ถ้ามีละก็ พึงระลึกไว้เลยว่าฉันน่ะเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าคุณซะอีก”

“คุณคิดว่างั้นเหรอ?”

เขาหัวเราะหึๆ

“คงไม่มีคำไหนที่เหมาะสมเพื่อจะอธิบายว่าผมรักคุณมากแค่ไหน” เขาเอ่ยเบาๆ

ฉันโน้มตัวไปข้างหน้าและประทับจุมพิตเบาๆ ลงที่ริมฝีปากนุ่มของเขา ฉันมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอันอบอุ่นทั้งคู่ของเขา

“ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะลองฟังดูนะ” ฉันตอบ

มันเป็นสัปดาห์ที่สุดแสนวิเศษมากๆ เป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีมา เวลาที่โรงเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงช่วงท้ายๆ กับนั่งอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเจคอบ สีหน้าของฉันคงบอกถึงความอิ่มเอมเปรมปรีได้อย่างชัดเจน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ นี่นา แต่ฉันก็รู้สึกได้เลยเช่นกันว่ามันมีรัศมีแห่งความสุขสมหวังแผ่ซ่านออกมาจากตัวฉัน แอนาเบลรู้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนไปตั้งแต่นาทีที่เธอเห็นฉันในเช้าวันจันทร์ ในที่สุด เธอพูดเพียงเท่านั้น

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเจคอบและเขาก็มองตอบกลับมาเช่นกัน เรากำลังขับรถกลับจากการดูหนังกับแอนาเบลและคริสเตียน ฉันกับเจคอบนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังในรถของคริสเตียน โดยมีแอนาเบลนั่งอยู่ที่เบาะหน้าข้างคริสเตียนซึ่งเป็นคนขับ

“หนังสนุกมากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ?” แอนาเบลหันมาพูดกับพวกเรา

“จ้ะ สนุกมากเลย ฉันชอบมุขตลกเค้านะ” ฉันตอบ

“คุณคิดว่าไงคะ?” แอนาเบลหันไปถามคริสเตียนต่อ

“ก็สนุกดี” เขาหัวเราะหึหึ

ฉันลอบสังเกตคริสเตียนจากกระจกมองหลัง มีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้เกิดบรรยากาศลึกลับห้อมล้อมรอบๆ ตัว เขาไม่ค่อยพูดมากนักและโดยสัตย์จริง ฉันแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับรู้รับฟังก็มาจากการบอกเล่าของแอนาเบลแทบทั้งนั้น

เขาดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยในตัวเธอเอามากๆ เขามักจะตั้งท่าปกป้องเธอจนดูเหมือนเกินเหตุ ทำตัวสเมือนว่าตัวเขาเองนั้นเป็นโล่ห์กำบังอันตรายต่างๆ และแอนาเบลต้องการการปกป้องจากอะไรสักอย่าง

ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเขาล่วงรู้ความลับของเธอแล้วหรือยัง ฉันออกจะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาตะหงิดๆ เพราะตั้งหน้าตั้งตารอว่า เมื่อไหร่เธอจะวางใจในตัวฉันมากพอที่จะเล่าความลับของเธอให้ฉันฟังเสียที มีคำถามเป็นล้านๆ คำถามเลยหล่ะที่ฉันอยากจะถามเธอ

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เห็นต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าผ่านไปแล้วเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าไปเรื่อยๆ มันเป็นค่ำคืนที่งดงามและทุกๆ อย่างก็สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด

ฉันรู้สึกถึงแรงแบบของเจคอบที่มือของฉันแล้วหันหน้าไปหาเขา ขณะที่ฉันกำลังมองสบตาของเขาอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นแสงไฟเจิดจ้าที่ด้านหลังของเขากำลังพุ่งเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว ตาฉันเบิกกว้างและก่อนที่จะทันได้พูดอะไร เจคอบก็หันหลังกลับไปมองตามสายตาตระหนกตกใจของฉัน โดยไม่ทันได้คิดหรือหาเหตุผลใดๆ ด้วยสัญชาติญาณ เขาคว้าตัวฉันแล้วโอบไว้ในอ้อมอกเขา

“เจคอบ! ไม่!!” ฉันร้องตะโกน ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ต้องการความช่วยเหลือ

ก่อนที่จะทันดึงตัวออก ฉันก็เห็นแสงไฟพุ่งกระแทกเข้ากับรถกึ่งกระบะของคริสเตียนทางด้านคนขับเข้าอย่างจัง รถเราชนเข้ากับรั้วกันถนนและทำองศาพอดีที่จะทำให้ตัวรถพลิกคว่ำขึ้นไปในอากาศ

ฉันจ้องมองที่แอนาเบลอย่างหวาดกลัวสุดขีดขณะที่พยายามไขว่คว้าตัวเธอไว้ เธอไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยและด้วยแรงกระแทกนั้นทำให้ตัวเธอพุ่งชนกระจกรถแล้วกระเด็นออกไป ขณะที่รถกำลังหมุนคว้าง เจคอบถีบประตูข้างรถกระเด็นออก เราทั้งคู่กระโจนออกจากรถแล้วกลิ้งลงไปตามไหล่ทางพร้อมกัน

ฉันได้กลิ่นเลือดจากบาดแผลฉกรรจ์ที่แขนของเจคอบซึ่งเกิดจากการกระโจนลงพื้นเมื่อครู่ ลำคอฉันแสบร้อนแต่พยายามกล้ำกลืนมันเอาไว้ เลือดของเจคอบไม่ได้มีกลิ่นชวนพิศมัยสำหรับฉันเท่าเลือดของมนษย์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายดายเสมอที่จะต้านทาน

เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งฉันรีบมองหาแอนาเบลและพบร่างของเธอนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้น โอพระเจ้า ได้โปรดเถอะ ไม่นะ...ฉันคิด

ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตเธอไว้ได้หรือไม่ยังไง แต่ด้วยจิตใต้สำนึกฉันรีบวิ่งตรงไปยังร่างของเธอทันที ฉันไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของเจคอบเข้ามารัดตัวฉันไว้ก่อนที่ฉันจะได้ทันคิดว่าการวิ่งไปหาแอนาเบลเพื่อช่วยเธอ จะกลับแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาอีกอย่างที่ตรงกันข้าม

“ไม่! เนสซี่!” เจคอบตะโกนกรอกหูฉัน

ฉันดิ้นรนผลักไสในกรงแขนของเขา รู้สึกถึงแขนที่แตกหักของเขาด้วยแรงดิ้นมหาศาลของฉัน แต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามล็อคตัวฉันเอาไว้ ฉันอยู่ห่างเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้นและเธอก็ส่งกลิ่นหอมยวนใจเหลือเกิน

“เนสซี่ ได้โปรด! คุณไม่ต้องการทำแบบนั้นหรอก” เขาร้อง ฉันหยุดดิ้นรนอย่างช้าๆ กลับมาสู่ความเป็นจริงและเริ่มหวั่นกลัวในสิ่งที่เพิ่งกระทำลงไป

(โอเคเจค.. ฉันยอมรับแล้วว่าแกเป็นพระเอกจริงๆ ฉากนี้เท่ห์สุดๆ เรียกคะแนนจากแม่ยก ได้ใจไปเต็มๆ เลย! >w<)

ทันใดนั้นฉันก็เห็นแอนาเบลขยับตัวและร้องครางออกมา ฉันเห็นเธอค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นจากพื้นเปลี่ยนเป็นท่านั่ง เธอหันมามองที่เราและหยุดนิ่ง ไม่นานนักสายตาและสีหน้านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวในที่สุด ฉันแน่ใจว่าฉันคงทำให้เธอสยดสยองเต็มที่เลยในนาทีนี้ ทว่าเธอกลับลุกขึ้นยืนได้อย่างปกติและออกเดินตรงมาหาพวกเรา

ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอไม่ได้กำลังมองมาที่ฉัน แต่เธอกำลังจ้องมองมาที่แขนของเจคอบ บาดแผลของเขากำลังสมานตัวอย่างรวดเร็วต่อหน้าเธอ

“แอนาเบล ได้โปรดอย่าเพิ่งเข้ามาใกล้” เจคอบร้องเตือน

ฉันมองแอนาเบล เธอหยุดยืนแต่ยังคงจ้องมาที่เจคอบ ฉันเพิ่งสังเกตในตอนนั้นเองว่าบาดแผลเหวอะหวะต่างๆ บนร่างกายก็เริ่มรักษาตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผิวหนังสมานปิดสนิททิ้งไว้แต่รอยเลือดที่เริ่มแห้งกรังเท่านั้น เธอมองมาที่เจคอบด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างมีประกาย หยาดน้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้มเป็นสาย เธอจ้องมองที่แขนของเขาและหันกลับมามองสบตาเขาอีกครั้ง

“เจคอบ... คุณเป็น... เหมือนฉันเหรอ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงปริ่มๆ คล้ายคนที่เกือบจะสูญสิ้นความหวังทั้งหมดไปแล้ว ถามราวกับว่าเธอกำลังรวบรวมความหวังครั้งใหญ่และภาวนาอย่างสุดกำลังเพื่อให้เขาตอบว่าใช่





PS. : บทนี้แปลยาวเลยทีเดียว ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยซะที ก็เลยตั้งชื่อตอนนี้ไปแบบนี้ เพราะว่า.. ในที่สุด เจคอบก็ยอม "เปิดเผย" ความในใจเสียที และ... รวมทั้ง ความจริงที่เจคอบเป็น และสิ่งที่แอนาเบลเป็น .. ก็มาเปิดเผยกันในตอนจบบทนี้นี่เอง





Create Date : 19 สิงหาคม 2552
Last Update : 22 สิงหาคม 2552 15:04:25 น.
Counter : 4050 Pageviews.

18 comments
  
ว้าว สม กับที่รอคอยเลยค่ะ


สู้ ๆ ๆ ขอบคุณค่ะ *-*
โดย: นุ๋มด IP: 222.123.108.24 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:7:44:54 น.
  
โอยยยยย อยากรู้จังเลย ว่าเจคจะพูดอะไรต่ะ
โดย: ทิวลิป IP: 117.47.158.31 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:9:30:13 น.
  
ขอบคุณค่ะ....รอต่อไปด้วยใจระทึก..อิอิ
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:11:41:19 น.
  
ขอบคุณนะคะ
โดย: biiggii IP: 202.176.70.6 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:20:11:51 น.
  

พรุ่งนี้และมะรืนต้องไปนั่งเรียนเต็มวัน ... ไม่ได้ไปเม้าธ์ที่ห้องโซลแน่ๆ คิดถึงกันบ้างน๊า
โดย: amuro4ever วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:0:28:25 น.
  
โอ๊ยยย อยากรู้จัง มาต่อเร็ว ๆ นะคะ จขบ ที่น่ารักที่ซู๊ดดด
โดย: moonlight IP: 119.31.3.170 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:0:28:46 น.
  
น่าประทับใจจริงๆๆเลย พี่อุ๋ม สุดยอด
จะแอบคิดถึงพี่อุ๋มอยู่ที่ห้องโซลนะคะ

ปล. ยังคงรอคอยตอนต่อไป 55
โดย: kookkaid IP: 210.4.138.41 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:11:22:54 น.
  
เฮ้อ...รอคอยต่อไป ขอบคุณมากๆ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.117.130 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:13:00:22 น.
  
แปลเก่งมากค่ะ ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆ
โดย: Little Bee IP: 124.121.224.157 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:15:53:33 น.
  
อ่า ..
แล้วนู๋เนสซี่จะหื่นแบบนี้ไปถึงไหนเนี่ย 555+

แต่ก็น่ารักดีค่ะ

รออ่านต่ออยู่นะคะ

มาแปลต่อเร็วนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.37 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:18:14:18 น.
  
กรี๊ด!!!พ่อเอ็ดกะแม่เบลล่าหวงลูกได้ใจจริงๆ
เนซซี่ก้อหื่นได้อีกนะเนี้ยยยย
รออ่านต่อคร่า....อิอิ...ขอบคุณนะค่ะ
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:7:59:34 น.
  
คุณพ่อเอ็ดเป็นพ่อสื่อหรือคะเนี่ย

ใช้ประสบการณ์ตรงมาวางแผนซะด้วยนะ อิอิ
โดย: นู๋มาย IP: 124.122.69.150 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:16:53:29 น.
  
อ้าว งั้นแอนนาเบลก็เป็นหมาป่าเหมือนกันหรอ
โดย: biiggii IP: 202.176.70.104 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:22:55:27 น.
  
ติดตามตลอด โปรดเห็นใจกันหน่อย...ขอบคุณจากใจ
โดย: pa-to31 IP: 117.47.156.168 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:13:37:23 น.
  
คุณอุ๋ม เก่งจังค่ะ น่าติดตามตอนต่อไป อิอิ*-*
โดย: นู๋มด IP: 114.128.119.42 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:21:14:30 น.
  
บทนี้ยาวจริงๆ พี่อุ๋ม นึว่าแอนนาเบลเป็นแวมพ์ซะอีก
ที่แท้ก็เป็นเหมือนเจคเหรอเนี่ยะ ^^

ขอบคุณนะคะ~
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:17:06:35 น.
  
thx นะคะพี่อุ๋ม
ว่าแต่ เอ.. ถ้าแอนนาเบลเป็นเหมือนเจค แล้วทามมายกลิ่นเลือดหอมยั่วใจเนสซี่น้อ
โดย: kookkaid IP: 110.169.23.86 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:21:01:31 น.
  
แอนนาเบล รักษาตัวเองได้ค่ะ แต่เป็นมนุษย์ธรรมดาค่ะ ไม่ได้เป็นเหมือนเจคตรงที่เจคเป็นคนแปลงเป็นหมาป่าได้ เลือดเลยเหมือนกับว่าไม่ใช่มนุษย์ซะทีเดียว เลยกลิ่นผิดกันอ่ะ ......เนสซี่ว่างั้นนะ
โดย: ิBB IP: 118.173.254.8 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:08:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]