สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่10 - ตัวตนที่แท้จริง
“เอ็มเม็ต ช่วยหยุดหัวเราะซะทีได้มั้ย” พ่อขอร้อง

ฉันมองผ่านห้องครัวไปยังห้องนั่งเล่นที่กลางบ้าน เอ็มเม็ตกำลังหัวเราะอยู่อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง โรซาลี่มองไปที่เขาแล้วส่ายหัวเร็วๆ เธอเองก็กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างที่สุดเหมือนกัน ส่วนแม่, เอสเม่, อลิซและแจสเปอร์ออกป่าไปล่าสัตว์ ฉันคิดว่ามันก็พอจะสร้างความสนุกสนานจากการนี้ได้บ้างน่ะนะ แต่คงไม่ถึงกับออกอาการเว่อร์อย่างที่เอ็มเม็ตทำอยู่ตอนนี้หรอก

(ประมาณว่าฮา สมน้ำหน้าหมาเจคจนเว่อร์ โหย..คนเค้ากำลังอินเลิฟงอนกันนิดหน่อยแค่ตบหน้าจนกรามแตกเอง เอ็มเม็ตแกก็ถือโอกาสเชียวนะ)

“ฉันหยุด… จริงๆ ฉันกะ.. พยายามอยู่” เขาพยายามพูดด้วยเสียงขาดเป็นห้วงๆ เพราะกำลังหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานเหลือเกิน

ส่วนฉันเองก็นั่งบนเคาเตอร์ครัวระหว่างที่มองดูคาร์ไลส์ตรวจอาการเจคอบ

“ยังรู้สึกเจ็บอยู่หรือเปล่า?” คาร์ไลส์ถามขณะที่มือคลำขากรรไกรเขา

“ไม่ครับ ไม่เจ็บเลย ผมคิดว่ามันคงหายดีแล้วหล่ะ” เจคตอบ

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ยังไงวันนี้ก็ระวังไว้หน่อย” (อย่าไปหาเรื่องโดนตบเข้าอีกล่ะ)

เขาพยักหน้ารับ

เอ็มเม็ตกำลังใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะหยุดหัวเราะ (แวมไพร์ติ๊งต๊องได้ขนาดนี้เลยอ่ะ??) ฉันเหลือบมองไปทางพ่อซึ่งกำลังมองไปที่เอ็มเม็ตอย่างอ่อนเพลียละเหี่ยใจอยู่พอดี

“ขำอะไรนักหนาคะ?” ฉันเอ่ยถาม

เจคอบทำสีหน้าเหมือนคนป่วยหนัก ตาเอาแต่จ้องมองพื้นไม่ขยับเลย

“ก็เนสซี่ มันตลก–” เอ็มเม็ตตอบ

“พอได้แล้ว เอ็มเม็ต” พ่อปราม

“อะไรกันล่ะ?”

“มาเถอะเอ็มเม็ต ไปกันเถอะ” ป้าโรซาลี่สนับสนุนพ่ออีกเสียงแล้วลากแขนเขาออกไปจากบ้าน

ฉันหันไปหาพ่อ

“ไม่มีอะไรหรอก เนสซี่” พ่อตอบ

ฉันยักไหล่ ไม่สนใจจะค้นหาคำตอบ

“ทำไมลูกไม่ไปล่าสัตว์กับเจคล่ะ?” พ่อถาม แต่น้ำเสียงออกจะเป็นการสั่งซะมากกว่า

เจคอบเดินตรงมาหาฉันทันที

“เธออยากไปล่าหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามอย่างลังเล

ฉันนิ่งคิดครู่หนึ่ง อารมณ์ขุ่นเคืองยังไม่สลายคลายหมดไป ดังนั้นคงจะเป็นความคิดที่ดีอยู่เหมือนกันที่จะหาทางระบายมันออกไปบ้าง

“โอเค” ฉันตอบตกลง

ฉันปีนขึ้นไปบนกิ่งหนึ่งของต้นไม้ใหญ่แล้วพิงลำต้นของมันเอาไว้ สายลมแรงพัดหวือมาจากทางด้านหลังทำให้ผมของฉันปลิวสะบัดมาปรกหน้าจนต้องเอามันทัดหูไว้ ฉันได้ยินเสียงเจคอบอยู่ที่พื้นดินคล้อยหลังฉันไปนิดหนึ่ง

ช่วงหลังๆ ที่เราออกล่ากัน เขาแทบไม่ค่อยได้กินอะไรเลย เจคอบมัวแต่ง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมการเปลี่ยนร่างของเขา แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนออกมาล่าด้วยกัน การควบคุมตัวเองของเขาพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาสามารถหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ที่เขาต้องการ แต่เขาก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนร่าง เขาพยายามเปลี่ยนร่างทุกวันเว้นวันและต้องคอยเปลี่ยนร่างอยู่เรื่อยๆ เพื่อคงความเป็นชีวิตอมตะเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะได้ใช้ช่วงเวลาชั่วนิรันดร์ร่วมกับเขา

ฉันจ้องมองเขาในตอนที่เขาเดินนำหน้าฉันไปทางด้านล่าง เขากำลังยกแขนขึ้นเพื่อสวมเสื้อเข้าทางศีรษะของเขา สายตาของฉันกวาดต่ำลงไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาทันที ฉันสามารถมองเห็นมัดกล้ามเนื้อตึงแน่นขณะที่เขาดึงเสื้อลง ความรุกร้อนปั่นป่วนก่อตัวขึ้นในตัวฉันจนต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเพื่อพยายามข่มมันเอาไว้

“น่าขันสิ้นดี” ฉันพึมพำกับตัวเอง (หนูอดหื่นไม่ได้อ่ะดิ่)

ฉันกระโดดลงมาที่พื้นห่างจากเขาเพียงไม่กี่นิ้ว ฉันอยากโอบแขนรอบตัวเขาแล้วซุกหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วสูดหายใจรับกลิ่นอายของเขาเหลือเกิน เขาควบคุมตัวเองได้ดีขนาดนั้นเลยหรือไงนะ?

เขาหันกลับมา (คงเสียวสันหลังวูบๆ อยู่อ่ะดิ่)

“อยากกลับแล้วเหรอ?” เขาถาม

ฉันพยักหน้าหงึกๆ

ยังคงมีความกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้างสำหรับพวกเรา ไม่มีใครคนใดพูดอะไรมากนัก ฉันวิ่งตามเขาระหว่างทางในป่า ขณะที่เราอยู่ห่างจากบ้านเพียงไม่กี่กิโลเมตร ฉันเฝ้ามองเขาเคลื่อนที่อย่างสง่างามไปตามกิ่งไม้ใหญ่ต่างๆ ความคิดฉันล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง เขาไม่กล้าสู้กับฉันหรอกน่า ฉันคิด (เย้ย! อย่าบอกนะ ว่าหนูจะขืนใจไอ้หม่าเจค!!) พวกเราก็ไม่เคยเล่นมวยปล้ำกันมาก่อนเสียด้วยสิ แต่ไม่เป็นไรฉันวาดภาพจินตนาการเอาเองก็ได้ฮึ! (จ้า.. ดีแล้วจ้า ถูกต้องแล้วจ้า .. แบบนี้เค้าเรียกว่า “จิ้น” เอาเองก็ได้ใช่มั้ยเนี่ย) ท่ามกลางความขะมุกขมัวของความคิดอันบิดเบือนนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีลมพัดมาวูบหนึ่งและฉันจับกลิ่นที่คุ้นเคยนั้นได้

“ได้กลิ่นนั่นหรือเปล่า?” ฉันถามเจคอบ

เขาหันหลังกลับมามองฉัน ลมพัดมาอีกวูบหนึ่ง

“ตอนนี้ได้กลิ่นแล้ว” เขาตอบ

“คุณว่าเธอออกมาทำอะไรในป่าแบบนี้?”

เราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเป็นตามกลิ่นนั้นไป ขณะที่เรากำลังเดิน เจคอบก็โทรกลับไปที่บ้านเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนกลับถึงบ้านและอยู่บ้านกันครบทุกคนแล้ว ปกติแล้วเรามักจะออกไปล่าไกลๆ แต่มันก็ยังอันตรายอยู่ดีถ้าหากมีใครซักคนมาอยู่ในป่าอย่างผิดที่ ผิดเวลาแบบนี้

ขณะที่เราเดินเลาะป่าไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ นั้นเอง ฉันก็ค่อยๆ เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น รูปร่างท่าทางจากระยะไกลๆ แบบนั้น แอนาเบล!

เธอกำลังนั่งอยู่กับพื้นหันหน้ามาทางเรา ดวงตาทั้งสองของเธอปิดสนิท ใบหน้าของเธอแหงนหงายขึ้นเพื่อสัมผัสแสงอาทิตย์ราวกับว่าเธอพยายามจะซึมซับความอบอุ่นทั้งหมดของมันเอาไว้ เราเดินใกล้เข้าไปอีกอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังใดๆ เจคอบกลับมาอยู่ข้างหลังของฉันพร้อมกับวางมือลงบทไหล่ของฉัน ฉันหันกลับไปมองเขาและพบว่าเขาเองก็กำลังมองตรงไปข้างหน้า จ้องเธอขเม็งเช่นกัน มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

ฉันมองไปข้างหน้าตรงที่เธอนั่งอยู่อีกครั้ง เธอกำลังโอบประคองเจ้าลูกกวางน้อยวางบนตัก ฮัมเพลงเบาๆ พลางลูบหัวของมันด้วยความเอ็นดู เจ้าลูกกวางกำลังร้องครางขณะดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ฉันพลันเหลือบไปเห็นว่าขาของมันหักเป็นแผลฉกรรจ์ ฉันเห็นเธอค่อยๆ วางมือข้างหนึ่งของเธอลงบนขาข้างที่หักนั้น อยู่ๆ เจ้าลูกกวางตัวนั้นก็สงบนิ่งไม่ไหวติง

ลมหายใจของฉันและเจคอบก็หยุดชะงักลงทันใด เราทั้งคู่ต่างก็จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็น ฉันรู้สึกถึงแรงบีบจากมือของเจคอบบนไหล่ของฉัน

เมื่อเธอลืมตา ลูกกวางก็ยืนขึ้นและหายดีราวกับว่ามันไม่เคยบาดเจ็บมาก่อนเลย มันเลียมือข้างหนึ่งของเธอคล้ายจะเป็นการขอบคุณแล้วออกวิ่งกลับเข้าสู่ป่าลึก หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนและออกเดินไปในทิศทางตรงข้ามกับที่เราอยู่ เธอยังคงฮัมเพลงด้วยท่วงทำนองเดิม เตะหินก้อนเล็กๆ เล่นบ้าง เก็บกิ่งไม้มาขว้างเล่นบ้างอย่างสบายใจขณะที่เดินไปเรื่อยๆ เราตามดูเธอไปจนกระทั่งเธอเดินมาถึงถนน รถของเธอจอดอยู่ริมข้างทาง พวกเราได้แต่ยืนดูเงียบๆ จนกระทั่งรถของเธอแล่นไปไกลจนสุดสายตา

“เราควรจะกลับได้แล้ว เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง” เจคอบพูด ทำลายความเงียบงันที่เกิดขึ้นมาได้พักใหญ่ๆ

ฉันจ้องมองกลับไปยังเขา ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง สิ่งที่เราเพิ่งเห็นเมื่อครู่มันคืออะไรกัน?? ฉันคงไม่มีทางเชื่อตาตัวเองเป็นแน่ถ้าหากเจคอบไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ฉันต้องการการยืนยันในสิ่งที่ฉันเพิ่งได้เห็นไป

เราหันหลังและมุ่งหน้ากลับบ้าน ฉันใช้ความคิดอย่างหนักจนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีฉันก็เป็นฝ่ายรั้งท้ายตามหลังเจคอบอยู่ ฉันแย้งกับตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้เห็น แอนาเบลเป็นมนุษย์ นั่นจริงแท้แน่นอน ท่าทางต่างๆ รอยยิ้มของเธอ เสียงหัวใจเต้น ทุกสิ่งบ่งบอกและยืนยันถึงความเป็นมนุษย์ของเธอ

เจคอบหันกลับมาและเดินมาหาฉัน เขาจับมือข้างหนึ่งของฉันไว้แล้วพาเดินกลับบ้าน

ฉันเห็นบ้านอยู่ห่างไปอีกไม่ไกลนัก ขอบคุณจริงๆ ที่เราใกล้จะถึงบ้านแล้ว ฉันสามารถได้ยินเสียงของทุกๆ คนในครอบครัวที่รวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเลยทีเดียว

พอเราเดินมาถึงระเบียงหลังบ้าน เจคอบก็เอ่ยปากถามฉัน “เธอคิดว่าเราควรจะทำยังไงกันดี?”

ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันจะกล้าถามเธอตรงๆ เหรอ? ถ้าฉันกล้าขึ้นมาจริงๆ ก็นึกภาพไม่ออกอยู่ดี ว่าฉันจะเริ่มต้นยังไง “เฮ้! ตอนฉันเข้าไปในป่า ฉันได้กลิ่นเธอก็เลยตามกลิ่นนั้นไป และแล้วก็บังเอิญเจอเธอกำลังสร้างปาฏิหารย์รักษากวางขาหักอยู่ ทำไมฉันถึงเข้าไปอยู่ในป่าได้น่ะเหรอ? แหม! ถามอะไรตลกๆ อย่างนั้นล่ะ ก็ฉันเองนั่นแหล่ะที่ฆ่าพวกสัตว์ที่เธอช่วยรักษายังไงล่ะ”

“ไม่ทำอะไรทั้งนั้นหล่ะ” ฉันตอบได้เท่านั้นเอง

เราก้าวเดินผ่านประตูบานกระจกเข้ามาในห้องนั่งเล่น


(ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “French Doors” ซึ่งเป็นศัพท์เรียกประตูที่มีหน้าตาประมาณในรูปน่ะ ดังนั้นในเรื่องเลยแปลว่า “บานประตูกระจก” ก็แล้วกัน)

“เนสซี่พูดถูก” คาร์ไลส์บอก

ฉันมองไปรอบๆ ห้อง ดูเหมือนว่าทุกคนจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกันอย่างถ้วนทั่วแล้ว

“พ่อเล่าเรื่องที่ลูกกับเจคอบเพิ่งเห็นมาให้ทุกคนฟัง” พ่ออธิบายกับฉัน
ฉันพยักหน้ารับแล้วนั่งลงบนโซฟา

“พ่อเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าคะ?” ฉันถาม

พ่อส่ายหน้าปฏิเสธ ฉันมองไปที่สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ทุกคนล้วนแต่ส่ายหน้าหรือไม่ก็ตอบอย่างแผ่วเบาว่าไม่

ป้าโรซาลี่มีสีหน้าที่อ่านยาก แววตาของเธอแปลกไป มันน่าจะก้ำกึ่งกันระหว่างสายตาที่มีความหวังอย่างเลือนลาง หรือจะเป็นความปรารถนาถึงอะไรบางอย่างกันนะ?

(น้องมายอธิบายว่า โรสฟังแล้วเกิดความหวังที่ว่าแอนาเบลอาจจะสามารถทำอะไรสักอย่างที่เธอต้องการได้)

“คิดว่าเธอจะเป็น-” เธอทำท่าจะพูดสิ่งที่เธอคิดออกมา

“ไม่ใช่หรอก โรส” พ่อรีบตอบ

โรสดูเหมือนพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่เอ็มเม็ตส่ายหน้าแล้วเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้

“แต่เธอเป็นมนุษย์นี่ ใช่มั้ยคะ?” ฉันถาม และยังมีอีกหลายคำถามที่ฉันอยากจะถามต่อ

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น คำอธิบายอย่างเดียวที่พอจะคิดได้ก็คือ บางทีเธออาจจะเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือข้อยกเว้น บางทีนั่นอาจเป็นพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมาให้เธอ” คาร์ไลส์อธิบาย

“ก็ยังไม่น่าเป็นไปได้อยู่ดี เธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนนึงเท่านั้น ตอนที่เอ็ดเวิร์ดยังมีชีวิตอยู่เขาเพียงแค่ไวต่อความคิดของคนอื่นเท่านั้น แจสเปอร์มีความสามารถพิเศษในการพูดจาหว่านล้อมคน อลิซก็แค่มีลางสังหรณ์ ส่วนฉันก็แค่อ่านใจยาก แต่เธอกลับมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งได้.. รักษามันได้ นั่นถือเป็นพลังที่แกร่งกล้าของแวมไพร์เชียวนะ” แม่กล่าว

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นเป็นคำอธิบายอย่างเดียวที่ฉันนึกออก” คาร์ไลส์ตอบ

“ถ้าเธอเป็นคนธรรมดาจริงๆ ละก็ ใครนึกภาพออกบ้างว่าพรสวรรค์ของเธอจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน ถ้าเธอกลายเป็นแวมไพร์” แจสเปอร์ตั้งคำถามได้เข้าประเด็นทีเดียว

“ก็ต่อเมื่อร่างกายเธอไม่ต่อต้านไวรัสโดยอัตโนมัติเท่านั้น” พ่อกระโจนเข้าร่วมประเด็นอีกคน

“หมายความว่ายังไงกัน? นายจะบอกว่าพิษแวมไพร์ถูกต้านได้? จะบอกว่าเธอสามารถสู้กับมันได้งั้นเหรอ?”

“แจสเปอร์.. ถ้าเธอรักษาอย่างอื่นได้ ฉันก็พอจะนึกภาพออกว่าร่างกายของเธอก็คงสามารถรักษาตัวเองได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ร่างกายเธอน่าจะต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้.. แม้กระทั่งความแก่ชรา ซึ่งนั่นเป็นคำอธิบายเรื่องความทรงจำต่างๆ ของเธอ”

“นายว่าไงนะ?” แจสเปอร์ถามกลับ

พ่อส่ายหน้า “ไม่รู้สิ มันน่าจะอธิบายเรื่องความทรงจำของเธอได้น่ะ เธอมีความทรงจำในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นเป็นภาพจากยุคสมัยเก่าๆ ที่เด็กอายุสิบหกธรรมดาๆ ไม่มีทางมีได้”

“เธอเป็นอมตะงั้นรึ?”

ความเงียบงันระลอกใหญ่ถาโถมเข้าใส่พวกเรา ไม่มีใครต่อตอนจบของทฤษฏีดังกล่าว

“งั้นเราจะไม่ทำอะไรเลย? ไม่แม้แต่จะถามเธอ?” เอ็มเม็ตโพล่งขึ้นมา

“ไม่ อย่าเพิ่งทำอะไร เอ็ดเวิร์ดจะคอยจับตาดูเธอไว้ก่อน” คาร์ไลส์บอกและพ่อพยักหน้ารับ

“เด็กน้อยที่น่าสงสาร หวังว่าเธอคงไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวนะ” เอสเม่พูดเบาๆ เธอมักจะเมตตาเป็นห่วงเป็นใยทุกคนเสมอๆ

เธออยู่ตัวคนเดียวหรือเปล่านะ? เธอรู้จักคนอื่นที่มีความสามารถเหมือนกับเธอหรือเปล่า? พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า? สารพัดคำถามผุดขึ้นในสมองของฉัน
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้องของตัวเอง ตามคู่ของตัวเองไป เหลือเพียงแค่เจคอบและฉันที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เราทั้งคู่ต่างก็นั่งอยู่บนโซฟาและเหม่อมองออกไปไกลหากแต่ต่างคนต่างครุ่นคิด ไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน

หลายสัปดาห์ต่อมาดูน่าตื่นเต้นน้อยลงและอะไรๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นกิจวัตรที่ต้องทำซ้ำๆ เข้าทุกทีๆ สัปดาห์แรกในโรงเรียนดูเหมือนจะกลายเป็นความฝันไปเสียแล้วสินะ แต่ยังไงผลกระทบของมันก็ยังคงอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเจคอบก็ยังคงเรียกได้ว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยู่ดี ทั้งๆ ที่ทุกวันเราก็ขับรถไปเรียนด้วยกัน นั่งเรียนข้างๆ กัน เดินไปห้องเรียนวิชาถัดไปด้วยกัน

ความไม่สมหวังของฉันถูกสะกัดกั้นและถูกบังคับให้ฝังมันลงไปให้ลึกที่สุด บางครั้งที่ฉันเข้าใกล้เขามากไปหน่อย ฉันก็จะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นแข่งกับหัวใจของฉันเช่นกัน แต่เขามักจะขยับหนีอย่างรวดเร็วและผละออกไป ฉันพยายามเก็บซ่อนความคิดของตัวเองเอาไว้ให้เงียบที่สุดเพราะพ่ออยู่ไม่ห่าง

บางครั้งเวลาฉันรู้สึกอึดอัดมากๆ เพราะไม่สามารถคิดหรือระบายอะไรออกมาได้เต็มที่ ฉันก็จะออกไปข้างนอกคนเดียวไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเก็บกดความคิดใดๆ อีก ฉันพบว่าฉันใช้เวลาอยู่ตามลำพังมากขึ้น มันทั้งเจ็บปวดที่ต้องอยู่ใกล้ๆ เจคอบและเจ็บปวดที่ต้องเก็บงำมันเอาไว้โดยไม่ให้คนในครอบครัวรู้

(เข้าใจใช่มั้ยอ่ะ ประมาณเวลาเราอกหัก แต่ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ว่าเราเศร้า-น้ำตาตกใน ทั้งที่ฝืนทำตัวให้เป็นปกติที่สุดอ่านะ)


สิ่งเดียวที่พอจะใช้ยึดเหนี่ยวให้พอมีสติสตังอยู่บ้างนั่นก็คือแอนาเบล เวลาอยู่กับเธอแล้วฉันสามารถแสร้งทำเป็นคนธรรมดาสามัญได้อย่างไม่เคอะเขิน ถึงแม้ฉันจะรู้ดีแก่ใจว่าเธอไม่ใช่ก็ตาม เรายิ่งสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป

ถ้าไม่มีความเป็นเพื่อนระหว่างฉันกับเธอมาคอยช่วยรั้งเอาไว้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะทำอะไรลงไปบ้าง ฉันเริ่มตั้งความหวังว่าเราจะสนิทกันมากพอ จนเธอสบายใจที่จะเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้าง ฉันได้แต่เฝ้าเธอให้เธอเปิดเผยความจริงกับฉัน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างที่ฉันคาดหวังให้เธอพูด

บ่ายวันพุธของสัปดาห์หนึ่ง ระหว่างที่เธอเดินเข้ามาในห้องเรียนคหเศรษฐศาสตร์ ฉันมองดูเธอเดินมานั่งที่เก้าอี้ประจำขณะที่เธอสะดุดขาตัวเองอะไรประมาณนั้น ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอเป็นอะไร แต่ฉันก็มองทักทายเธอตามปกติ เธอยิ้มแล้วโบกมือทักทายตอบ ฉันเกือบจะแดดิ้นตายเพราะอยากถามเธอเหลือเกินว่าไปเอาท่าทางรื่นเริงบันเทิงใจแบบนั้นมาจากไหนกัน? โชคดีที่ฉันไม่ต้องลงไปดิ้นจริงๆ เพราะเธอลากตัวฉันไปที่ข้างห้องเสียก่อน

“ฉันเจอผู้ชายคนนึงหล่ะ” เธอกระซิบ

“จริงอ้ะ?” ฉันกระซิบตอบด้วยความตื่นเต้นที่ได้ยิน

“จริงสิ”

ฉันจ้องหน้าเธอและมันกำลังกลายเป็นสีแดงระเรื่อ

“ใครกันน่ะ?” ฉันถามด้วยเสียงเบาแบบกระซิบเหมือนเดิม

“เขาชื่อคริสเตียนจ้ะ”

“ทำไมเราต้องกระซิบกันด้วยเนี่ย?”

“ก็ฉันไม่อยากให้มันกลายเป็นลางร้ายน่ะสิ”

ฉันจ้องมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ

“อย่าล้อฉันเลยนะได้โปรด คือฉันชอบเขาจริงๆ ฉันเป็นคนอับโชคด้านนี้น่ะ ไม่อยากให้เขารู้ตัวซะก่อน”

ฉันหัวเราะ

“เธอเจอเขาที่ไหนเหรอ?”

“ที่ห้างน่ะจ้ะ ใกล้ๆ ที่ฉันทำงานอยู่”

ฉันยิ้มให้เธออย่างจริงใจ ดีใจที่ในที่สุดเธอก็เจอใครสักคน ฉันรู้ว่าเธอเป็นที่หมายตาของหนุ่มหลายๆ คนที่โรงเรียน ฉันตื่นเต้นอยากรู้จริงๆ ว่าหนุ่มที่มัดใจเธอได้เป็นใครกันนะ

“เล่าให้ฟังอีกสิ” ฉันขอร้อง

“ไม่ได้ จำไว้สิ ว่าฉันไม่อยากกินแห้วไปซะก่อน”

“แล้วฉันจะได้เจอเขาไหมเนี่ย?”

“แน่นอนจ้ะ”

ฉันนึกถึงงานเต้นรำวันคืนสู่เหย้าและสัญญาของเราที่จะไปกันแต่พวกผู้หญิงเท่านั้น แน่นอนว่าเธอคงจะเปลี่ยนใจอยากพาหนุ่มคนใหม่ที่เธอพบมาด้วยแล้วหล่ะ

“แล้วจะพาเขาไปงานคืนสู่เหย้าด้วยหรือเปล่าจ๊ะ?” ฉันกระเซ้าเธอ

“ไม่พาไปด้วยหรอกจ้ะ! ฉันละตื่นเต้นกับค่ำคืนของสาวๆ จะตาย บางทีเขาอาจจะมาพบพวกเราที่งานปาร์ตี้หลังจากนั้นแทนน่ะ”

(** เมืองนอกเค้าจะมีงาน after party หลังจบ event อย่างเช่น งานพร๊อม , หลังคอนเสิร์ต สำหรับพวกงานจบแต่อารมณ์ไม่จบ อยากไปเที่ยวต่อ ยังไม่อยากกลับบ้าน บางทีก็นัดไปต่อที่ไหนๆ ก็ว่ากันไป หรือไม่ก็ไปต่อที่บ้านใครซักคนเป็นปาร์ตี้เล็กๆ หรือใหญ่ๆ ต่อไปเลยอ่ะ **)

“ปาร์ตี้หลังเลิกงานงั้นเหรอ?” ฉันถามด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าจะมีงาน after party ด้วย

“อื้อ ที่บ้านเทเลอร์น่ะ เจคอบคงมาด้วยใช่มั้ย?”

ฉันไม่แน่ใจ เขารู้ว่าฉันจะไปงานกับแอนาเบลแต่เราก็ไม่ได้คุยรายละเอียดกันเรื่องนั้น ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีแผนจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่า

“ฉันก็แน่ใจเหมือนกัน” ฉันสารภาพไปตามตรง

เธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ฉันว่าเขาต้องไปแน่จ้ะ เขาไม่กล้าปล่อยเธอไว้คนเดียวนานหรอก”

ฉันยิ้มตอบ ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเขาวางแผนจะทำอะไรหลังจากงานเต้นรำ

********************** จบบทที่ 10 ******************

ps : เล่นเอา เดากันไปต่างๆ นาๆ เลยสินะ ว่าตกลงแล้ว แอนาเบลเธอเป็นอะไรกันแน่? บ้านคัลเลนก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนก็ได้แต่เดาๆ กันไป .. เดี๋ยวตอนหน้าอาจจะมีเฉลยก็ได้นะ อุอุ



Create Date : 15 สิงหาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 12:42:41 น.
Counter : 3989 Pageviews.

6 comments
  
ดีใจจังค่ะแปลต่อให้เร็วดีจัง ขอบคุณจริงๆ แล้วจะแปลบทที่ 11 ต่อเลยรึเปล่าค่ะ จะรออ่านอย่างใจจดใจจ่อเลย ฮิฮิ
โดย: mam IP: 58.9.95.246 วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:13:14:39 น.
  
happy ah anna bell with werewolf (jacob friend) oh nassi.
at the result nassi hasn't sex with jacob until 12 years old.just now she has told everything to share with anna bell when christ nearly died. I aspect to be continue. enjoy
โดย: miss.swan IP: 124.122.70.224 วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:13:41:43 น.
  
แอนนาเบล .... เทอชักม่ายธรรมดา ..อิอิ

สมเนเพื่อ เนสซี่ เจงๆๆ

เป็นกำลังใจให้คร่า สู้ ๆ ๆ
โดย: นู๋มด IP: 114.128.161.252 วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:22:57:13 น.
  
ขำอ่ะ (เย้ย! อย่าบอกนะ ว่าหนูจะขืนใจไอ้หม่าเจค!!) ถ้าเนสซี่เกิดเอาจริงขืนใจหมาขึ้นมาจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย


ชะอุ๊ย!! มีอ้างถึงเราด้วย!! ^ ^
โดย: นู๋มาย IP: 124.121.236.158 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:19:09:33 น.
  
ู^_____^
โดย: แอมแปร์ IP: 210.148.57.5 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:46:01 น.
  
สนุกมาก
โดย: เกด IP: 118.173.9.72 วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:23:40:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]