Group Blog All Blog
|
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 13 - เมื่อความจริงเปิดเผย (2) อุ้ย... เข้ามาอ่านอีกที มีตั้ง 7 comment แน่ะ .. แสดงว่าแอบอ่านกันอยู่เยอะเหมือนกันนะเนี่ย วันหลังอ่านแล้วเม้นท์กันบ้างนิดดดด นึง จะได้รู้สึกว่ามีคนรออ่าน แหะๆ ... (เผื่อจะรีบกดดันตัวเองให้รีบแปลต่อไง) เอาหล่ะ... อ่านกันได้เลย... เร็วทันใจกันมั้ยเนี่ย เปล่า.. อย่างน้อยก็คิดว่าไม่ใช่นะ เขาตอบเบาๆ ฉันรู้ว่ามันทำให้เขาเจ็บปวดที่ต้องปฏิเสธและฉันก็เจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องได้ยินเขาตอบไปแบบนั้น สีหน้าที่เจือความหวังน้อยนิดเมื่อสักครู่ดับสูญไป ฉันเข้าใจว่าเธอคงจะรู้แล้วว่าไม่มีใครเลยที่เป็นแบบเดียวกับเธอ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทันใดนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ พระเจ้าช่วย คริสเตียน! เธอร้องพร้อมกับวิ่งกลับไปยังซากรถที่พังยับเยิน เจคอบหันมามองฉัน ฉันพยักหน้าเป็นตอบรับ คงจะเป็นการดีกว่าที่ฉันจะรักษาระยะห่างเอาไว้ก่อน ฉันมองเขาวิ่งนำหน้าแอนาเบลไปที่รถแล้วตรงเข้ากระชากประตูรถที่บุบบี้ออกทั้งบานด้วยมือเปล่า เจคอบดึงร่างของคริสเตียนออกมา แอนาเบลมองไปที่เขาอย่างตื่นตกใจ แต่แล้วก็รีบเข้าไปหาคริสเตียน ฉันเดินเข้าไปใกล้อีกแต่ยังคงทิ้งระยะห่างเพียงพอที่จะไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอบอวลจากบาดแผลของคริสเตียน ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้น มันกำลังเต้นเบาลงและช้าลงเรื่อยๆ เขากำลังจะตาย! เจคอบค่อยๆ วางร่างเขาลงบนพื้นขณะที่แอนาเบลคุกเข่าลงนั่งข้างๆ ประคองคริสเตียนเอาไว้และรั้งตัวเขาให้เข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ร่างของคริสเตียนดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและไร้ซึ่งสัญญาณชีวิตพอๆ กัน ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ ฉันโทรหาคาร์ไลส์ทันที ฮัลโหล เนสซี่ เขารับในเสียงสัญญาณดังครั้งแรก เราเจออุบัติเหตุค่ะ รีบมาเลยนะคะ เราอยู่นอกถนนเส้น I-94 ระหว่างทางจะกลับบ้านน่ะค่ะ ฉันพูดระรัวด้วยความเร็วขนาดที่คงไม่มีมนุษย์คนไหนจับความได้ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ พอวางสายฉันก็ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างช้าๆ เจคอบนั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหาพวกเขา ฉันหันไปมองที่แอนาเบล ดวงตาทั้งคู่ของเธอปิดสนิท แต่กระนั้นน้ำตาก็ยังเล็ดรอดออกมาจากดวงตาทั้งคู่ ได้โปรด.. ได้โปรด.. อย่าทิ้งฉันไป เธอกระซิบข้างหูของคริสเตียน แอนาเบล เธอช่วยเขาได้ไหม? เจคอบพูดกับเธออย่างอ่อนโยน เธอไม่ตอบอะไร ยังคงร้องขอต่อคริสเตียน ดวงตายังคงปิดสนิทและเริ่มนิ่วหน้า หลายนาทีผ่านไปแต่ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น หัวใจของคริสเตียนยังคงเต้นแผ่วลงเรื่อยๆ คาร์ไลส์มาพร้อมกับพ่อ พวกเขาขับรถมากันคนละคัน คาร์ไลส์รีบตรงเข้าไปหาแอนาเบลกับเจคอบพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์สีดำ พ่อมายืนอยู่ข้างหลังฉันและวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ฉันอย่างต้องการปลอบใจ ลูกไม่เป็นไรนะ? เขาถาม ไม่เป็นไรค่ะ เกิดอะไรขึ้น? ฉันยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วทาบไปบนมือของพ่อข้างที่วางอยู่บนไหล่ของฉัน แสดงภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ดู พ่อมองและจูบแก้มฉันเบาๆ แต่สายตาของฉันยังคงจับจ้องไปที่แอนาเบล แอนาเบล ถ้าหนูต้องการให้ฉันช่วยเขา หนูต้องปล่อยเขาก่อน คาร์ไลส์พูดอย่างอ่อนโยน เธอส่ายหัวไปมาอย่างโกรธขึ้งและนิ้วหน้าคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นอีก แอนาเบล? เจคอบเรียกเธอเบาๆ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงัน เสียงเพียงอย่างเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงรถแล่นอยู่ไกลๆ และเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ไหว ลูกได้ยินไหม? พ่อเอ่ยถาม ฉันพยักหน้า นั่นคือเสียงหัวใจของคริสเตียน มันค่อยๆ เต้นเร็วขึ้นและแรงขึ้น ฉันเห็นหน้าอกเขากระเพื่อมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แต่ดวงตายังคงปิดสนิท เหลือเชื่อ พ่อกระซิบกับตัวเองเบาๆ ขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ แอนาเบลลืมตาขึ้นและมองไปที่คาร์ไลส์ สายตามีแววกังวล เขารู้หรือเปล่า? คาร์ไลส์ถาม เธอส่ายหน้า หนูอยากให้มันยังคงเป็นแบบนั้นใช่มั้ย? เขาถามเธอต่อ เธอพยักหน้าตอบ คาร์ไลส์หยิบเข็มฉีดยาออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ ฉันมองไปที่พ่อ อัศจรรย์ดีแท้ พ่อกล่าว นี่จะทำให้เขาหลับไปจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล เราควรจะโทรบอกพ่อแม่ของหนูมั้ย? คาร์ไลส์ถามแอนาเบล พ่อแม่ของหนูเสียไปแล้วค่ะ เธอกระซิบตอบ xxxxxxxxxxxxxxxxxxxx ฉันมองแอนาเบลผ่านช่องกระจกที่ประตูห้องผู้ป่วย เธอนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ คริสเตียนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาหายดีทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่คาร์ไลส์คิดว่าน่าจะดีกว่าที่จะใส่ลงไปในรายงานว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่แขนและขา เพราะคงจะเป็นการยากที่จะอธิบาย ว่าเราทั้งหมดรอดมาจากอุบัติเหตุโดยไม่มีรอยขีดข่วนเลยได้อย่างไร ฉันรู้สึกถึงแขนอันอบอุ่นของเจคอบที่โอบรอบไหล่ฉัน ดึงฉันให้ซบลงบนไหล่ข้างหนึ่งของเขา และประทับจูบเบาๆ ที่กระหม่อม ฉันพลิกตัวและซุกใบหน้ากับอกกว้าง สูดลมหายใจลึกๆ ปล่อยให้กลิ่นอายของเจคอบปลอบประโลมฉัน (โห... อ่านฉากนี้แล้วอยากเอาอกกว้างๆ ของเอ็ดฯ มาซุกบ้างจัง >w< ) ฉันรู้สึกสับสนกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้และวิถีที่มันเป็นไปเหลือเกิน เจคอบลูบหลังฉันไปมาเบาๆ อย่างปลอบใจ แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดี? จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? ฉันถามอย่างหวาดหวั่น เพราะไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของพ่อเดินใกล้เข้ามา เจคอบปล่อยแขนที่โอบไหล่ฉันอยู่เปลี่ยนมาเป็นกุมมือไว้แทน (อ่า... ก็ยังมีเกรงใจว่าที่คุณพ่อตากันนิดนึงอ่านะ ดีแล้วค่ะ งามกริยามารยาทแบบนี้คุณพ่อตาจะได้เอ็นดู) ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะยอมเปิดเผยความลับกับเราไหม เธอยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นอย่างจริงจังเพราะมัวแต่เป็นห่วงคริสเตียนอยู่ แต่เธออยากจะฟังความลับของพวกเรา เธอรู้ความลับของเจคอบเพราะเธอได้เห็นกับตา และเธอก็รู้ว่าพวกเรามีอะไรบางอย่างที่เก็บงำเอาไว้ พ่ออธิบาย ฉันถอนหายใจ แล้วเราจะทำยังไงละคะ ถ้าเกิดเธอถาม? ฉันรู้ดีถึงความเสี่ยงต่อการบอกเล่าความลับของเราให้คนธรรมดาๆ ฟัง แต่ข้อยกเว้นนี้คงไม่อาจใช้กับคนที่แตกต่าง.. หรืออาจจะไม่ใช่คนด้วยซ้ำ?? บอกเธอไปตามตรง แต่อย่าลืมเตือนเธอด้วยถึงความเสี่ยงของเราต่อสิ่งที่เธอจะได้รับรู้ เธอก็เป็นห่วงความลับของเธอพอๆ กับที่เราเป็นห่วงความลับของเราเหมือนกัน พ่อก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองยังไง เมื่อเธอล่วงรู้ความลับของพวกเรา ฉันมองกลับไปที่แอนาเบลซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ คริสเตียนไม่ขยับไปไหน พ่อจะกลับบ้านก่อน แล้วเจอกันที่บ้านนะลูก พ่อบอกพร้อมจูบลาฉัน ฉันมองพ่อเดินห่างไปตามทางเดินและก้าวพ้นบานประตูออกไป เจคอบเดินตามมาขณะที่ฉันเดินออกมารอที่ที่นั่งข้างนอกในห้องที่จัดไว้ให้สำหรับนั่งรอเยี่ยมผู้ป่วย ฉันไม่สามารถทิ้งแอนาเบลไว้ที่นี่คนเดียวได้ เท่าที่รู้ เธอคงโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง เห็นๆ อยู่ว่าเธอโกหกเรื่องพ่อแม่ของเธอ ฉันฆ่าเวลารอด้วยการนั่งดูทีวีและพลิกแม็กกาซีนไปมา เหลือบมองดูนาฬิกาก็เห็นว่ามันเพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาตามทางเดิน ฉันเดินออกไปชะเง้อดูว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่ของคริสเตียนน่ะเอง คริสเตียน? โอพระเจ้า คริสเตียน! แม่ผู้ขวัญเสียร้องเรียกขณะวิ่งไปที่ห้องของเขา พ่อของเขา.. เดาเอานะ เดินตามเข้าไปติดๆ ฉันเห็นแอนาเบลปลีกตัวออกมาจากห้องเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เธอเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับฉันและฉันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา และแล้วแอนาเบลก็โอบแขนรอบเอวฉันไว้แล้วซบหน้าลงกับไหล่ของฉัน ขอบใจนะ เนสซี่ เธอกล่าว ฉันรู้สึกโล่งใจและสับสนนิดหน่อยต่อคำขอบคุณของเธอเพราะไม่รู้ว่าเธอจำเป็นต้องขอบคุณฉันเรื่องอะไรกันแน่ โล่งอกต่อสิ่งที่เธอกำลังคิดต่อเรานั้น ไม่ได้ทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจ ฉันเอื้อมแขนโอบตอบเธอ พยายามปลอบใจเธอเช่นกัน สำหรับอะไรเหรอ? ฉันถาม ก็ที่เธอยังรออยู่ที่นี่น่ะสิ ฉันยิ้มอย่างจริงใจกลับไปให้เธอ เรายืนดูพ่อแม่ผู้ขวัญเสียของคริสเตียนสอบถามอาการบาดเจ็บกับคาร์ไลส์และมีสีหน้าโล่งอกกับเรื่องอะไรก็ตามที่เขาอธิบายให้ฟัง ดีแล้วที่เธอช่วยเขาไว้ได้ แอนาเบล พ่อแม่เขาดูรักเขามากเลยนะ นึกไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะเป็นยังไงถ้า... ฉันกล่าว ใช่จ้ะ เขาเป็นลูกคนเดียวที่เหลืออยู่ เหลืออยู่งั้นเหรอ? ใช่จ้ะ เขามีพี่สาวคนนึง คือพี่สาวต่างพ่อน่ะ ลูกติดจากสามีเก่าของแม่เขา แล้วเกิดอะไรขึ้น? ฉันก็ไม่รู้ละเอียดนักหรอก รู้แค่ว่าเขาสนิทกับพี่สาวมาก ถึงแม้เธอจะหนีออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม เธอยังคงส่งจดหมายหาเขาเสมอๆ เล่าเรื่องการผจญภัยท่องเที่ยวของเธอให้เขาฟัง เขาไม่เคยบอกพ่อแม่เรื่องจดหมายเลย จนเมื่อสองปีก่อนเขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากพี่สาวอีกเลย สุดท้ายที่เขารู้ก็คือ เธออยู่ที่อิตาลี (ชักจะตะหงิดๆ ซะแล้วสิ เมื่อพูดถึงอิตาลีขึ้นมาเนี่ย หรือว่า....) เขาไม่เคยบอกพ่อกับแม่เลยเหรอ? เธอยักไหล หลังจากพยายามตามหาข่าวคราวอยู่หลายปี พวกเขาก็คิดว่าเธอคงตายไปแล้ว บางทีเธออาจจะต้องการหายไปเฉยๆ ก็ได้ คริสเตียนคงต้องการให้เกียรติเธอในเรื่องนั้น แล้วพ่อแท้ๆ ของเธอล่ะ? เงียบกริบไปเลย แรกๆ ก็ติดต่อมาบ้างแล้วก็หายจ้อยไปไม่เคยติดต่อเธอมาอีกเลย ฉันคิดว่ามันคงส่งผลกระทบต่อจิตใจเธอทางใดทางหนึ่ง และอาจเป็นสาเหตุให้เธอหนีออกจากบ้านไป ฉันหันกลับไปมองพวกเขา มองดูแม่ของคริสเตียนโอบประคองร่างกายที่หลับใหลของลูกชายไว้ในอ้อมแขนและพยายามสวมกอดเขาไว้อย่างรักใคร่ ฉันพลางคิดไปไกลว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนถ้าพวกเขาต้องสูญเสียลูกชายไปอีกคน ลูกๆ ไม่ควรจะต้องมาตายไปก่อนพ่อกับแม่สิ ฉันหันไปหาแอนาเบลอีกครั้งขณะที่เธอกำลังหาวหวอดๆ ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านดีมั้ย? ฉันถามเธอ ดีสิ ดูเหมือนมีเรื่องให้คุยกันมากมาย คงดีกว่าคุยกันที่นี่หล่ะนะ ฉันนึกถึงการสนทนาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้ ฉันพยักหน้าให้เธอ ฉันเดินไปหาเจคอบ เขาผล็อยหลับอยู่ตรงเก้าอี้ ช่วยไม่ได้ที่ฉันต้องปลุกเขาขึ้นมา ตื่นได้แล้วพ่อคนขี้เซา ฉันเรียก เขาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เขาเดินไปหาคาร์ไลส์ คงจะเดินไปขอกุญแจรถแน่ๆ ฉันเดินกลับไปยืนรอข้างๆ แอนาเบล งั้น... ไม่มีพ่อแม่สินะ? ฉันถาม ไม่มีมาสักพักใหญ่แล้วหล่ะ ความทรงจำเกี่ยวกับพวกเขาเลือนรางไปมากแล้ว เธอตอบและยักไหล่อย่างไม่อีนังขังขอบสักเท่าไรนัก จริงเหรอ? จ้ะ ฉันถูกเลี้ยงมาโดยพี่ชายน่ะ แต่เขาก็จากไปนานแล้ว อย่างนี้มั้งฉันกับคริสเตียนเลยสื่อถึงกันได้ พวกเราต่างก็สูญเสียพี่น้องผู้เป็นที่รักไปเหมือนกัน เธอพูดเรื่อยๆ ราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง เสียใจด้วยนะ เธอพยักหน้า ฉันไม่อยากตอกย้ำเธอด้วยการถามว่าพี่ชายเธอเสียยังไง งั้นเธอก็อยู่คนเดียวมาสักพักใหญ่แล้วสินะ? ฉันถามด้วยความห่วงใย ฉันอดถามไม่ได้จริงๆ ทั้งที่รู้ว่าควรจะรอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนี้ไปก่อน ดูเหมือนฉันจะอยู่คนเดียวมาเสมอๆ นั่นแหล่ะ เธอตอบอย่างเฉยเมย เธออายุเท่าไหร่แล้ว? (อุ๊ย! ... ถ้าเกิดตอบมาว่า 17 มาซักระยะแล้วจะว่าไง?? แหะๆ ... อดคิดถึงฉากเบลล่า-เอ็ดเวิร์ดตอนเปิดเผยกันในป่าไม่ได้น่ะ) เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาอิดโรย สองสามร้อยปีได้ ฉันพยักหน้ารับด้วยท่าทีปกติจนเธอเองเป็นฝ่ายมองฉันด้วยสายตาอยากรู้กึ่งประหลาดใจขณะที่ทำท่าเอียงหัวไปข้างหนึ่ง เธอล่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว? เธอถามฉัน ฉันกัดริมฝีปาก โต้แย้งตัวเองในใจว่าควรจะโกหกเธอหรือไม่ หกจ้ะ เธอพยักหน้ารับขณะที่พยายามทำท่าทางเป็นปกติ ถูกแล้ว.. คืนนี้มีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยทีเดียว เจคอบไปส่งพวกเราที่หน้าบ้านแอนาเบล มันเป็นบังกาโลเล็กๆ ในป่าซึ่งไม่มีเพื่อนบ้านรายรอบ เธอลงจากรถแล้วเดินนำเข้าบ้านไปก่อน ฉันมองมาที่เจคอบ ฉันว่าคงจะดีกว่าถ้าฉันเข้าไปคนเดียว โอเคนะ? ฉันพูดกับเขา ไม่รู้สิเนสซี่ เราไม่รู้นะว่าเธอเป็นอะไรหรือทำอะไรได้บ้าง ถ้าเธอจะทำร้ายฉัน เธอคงทำไปแล้วหล่ะ ได้โปรดอย่าห่วงฉันเกินไปหน่อยเลยนะ ฉันจะโทรหาคุณให้มารับตอนจะกลับบ้านก็แล้วกันนะ เขาถอนใจเพราะรู้ดีว่ายังไงก็คงไม่มีทางห้ามฉันได้แน่ พลางมองไปที่แอนาเบลผู้ซึ่งกำลังไขลูกบิดประตูอยู่ โอเค โทรหาผมทันทีเลยนะ เขาประคองใบหน้าของฉันไว้ด้วยมือทั้งสองพร้อมมอบจูบอันนุ่มนวลบนริมฝีปาก ฉันยิ้มให้ทีหนึ่งก่อนที่จะก้าวลงจากรถ และเคลื่อนที่ด้วยความว่องไวระดับแวมไพร์ ฉันมาหยุดยืนอยู่ข้างเธอขณะที่เธอกำลังเปิดประตูบ้าน เธอตกตะลึงไปนาทีหนึ่งแล้วจึงส่งยิ้มให้ฉัน นำฉันเดินเข้าบ้าน ฉันหันกลับมาโบกมือลาเจคอบ บ้านของเธอดูน่ารักและอบอุ่น เตาผิงหน้าตาสวยงามภายในห้องนั่งเล่นถูกประดับประดาไปด้วยกรอบรูปเก่าๆ มากมาย บ้านทั้งหลังของเธออบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของวานิลลา เธอจุดตะเกียงเล็กๆ สองสามดวงและเทียน เดี๋ยวฉันมานะ เธอพูดขณะที่เดินขึ้นบันไดไป ฉันเดินชมรูปภาพต่างๆ ที่ถูกจัดวางประดับอยู่บนแท่นหน้าเตาผิง มีรูปวาดเก่าๆ เล็กๆ รูปหนึ่งวางอยู่ท่ามกลางกรอบรูปน่ารักๆ เหล่านั้น เป็นภาพช่ายหนุ่มรูปหล่อมองลงมาที่หญิงงามผมตรงยาวสีดำขลับผู้ซึ่งมองขึ้นไปเพื่อสบตาเขาเช่นกัน เป็นการยากที่จะละสายตาออกจากความลึกซึ้งของสายตาคนทั้งสองที่จ้องมองกันอย่างรักใคร่เช่นนั้น ฉันดูภาพอื่นๆ ซึ่งเป็นภาพของบุคคลต่างๆ ต่างคน ต่างกาลเวลา และดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ต่างๆ กันคนละมุมโลกด้วย ภาพต่างๆ ถูกนำมาใส่กรอบรูปประดับแขวนเอาไว้ทั่วบ้าน แต่ละรูปแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอบอุ่นแจ่มใส่ที่ไม่เคยเปลี่ยนของแอนาเบล ดูเหมือนว่าแต่ละคนในรูปนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอในแต่ละมุมโลก แอนาเบลเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใส่อยู่บ้านและถืออีกชุดหนึ่งไว้ในมือ ฉันคิดว่าคืนนี้คงจะยาวนานแน่เลย เธอบอก ฉันพยักหน้าแล้วหยิบมันไปเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในห้องน้ำ เมื่อเดินกลับออกมา เธอกำลังนั่งรออยู่บนโซฟาตัวนุ่มโดยมีผ้าห่มคลุมอยู่ที่ขา ฉันตรงไปนั่งยังโซฟาอีกตัวฝั่งตรงข้าม ภาพวาดที่อยู่ตรงกลางเหนือเตาผิงน่ารักดีนะ ฉันเอ่ย จ้ะ นั่นเป็นภาพโปรดของฉันเลยนะ เป็นรูปเดียวของพ่อกับแม่ที่เหลืออยู่ ฉันยังเด็กเกินกว่าที่จะจำอะไรได้ คืนนึงมีช่างวาดรูปมาขออาศัยนอนที่บ้านเรา เขาก็เลยวาดรูปให้เพื่อเป็นการตอบแทนน่ะ ฉันพยักหน้ารับ เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดเข้ามาแทรกระหว่างพวกเราสองคน เล่าให้ฉันฟังสิแอนาเบล เล่าเรื่องของเธอหน่อย ฉันโพล่งออกไปตามใจคิด ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน แต่เธอไว้ใจฉันได้ เราต่างก็มีเรื่องที่ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเก็บความลับของเธออีกคน แล้วเธอจะบอกความลับของเธอให้ฉันฟังไหม? แน่นอน ก็เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่นา ใช่มั้ย? เธอยิ้มกว้างตอบฉัน จ้ะ เพื่อนรักเลยหล่ะ เธอตอบ เพื่อนรัก ฉันย้ำคำนั้นอย่างปลาบปลื้ม เรื่องของฉันออกจะพร่าเลือนไปแล้วหล่ะ เพราะว่ามันผ่านมานานพอดู อย่าโกรธนะถ้าฉันจำรายละเอียดไม่ค่อยได้น่ะ พ่อของฉันเป็นนักสำรวจ เขายังหนุ่มและรักการผจญภัย พ่อเป็นลูกทีมคนหนึ่งในทีมสำรวจวัฒนธรรมใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งยังไม่มีใครเคยค้นพบมาก่อน ฉันเดาว่าพวกเขาคงบังเอิญไปพบแผ่นดินในทวีปเอเชียเข้า นั่นแหล่ะที่ทำให้พ่อได้พบกับแม่ พี่ชายฉันเล่าให้ฉันฟังว่าพ่อของเราเคยพรรณาถึงแม่ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่พ่อเคยพบเจอมา แม่เผลอหลับอยู่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ ฉันเดาว่าท่านคงจะตกใจตื่นขึ้นมาแล้วก็เจอหน้าพ่อห่างเพียงไม่กี่นิ้ว คงจะน่ากลัวพิลึกเลยเนอะว่ามั้ย? แต่พ่อของฉันบอกว่านั่นเป็นรักแรกพบและท่านก็จูบเธอ พวกเขาตกหลุมรักกันทันที แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะต่างอยู่กันคนละฟากของโลก ในคืนก่อนที่พ่อของฉันจะเดินทางกลับบ้านนั้นเอง พวกเขาก็พากันหนีไปด้วยกัน ถึงจะจนแต่พวกเขาก็มีกันและกัน ปีต่อมาพวกท่านก็มีพี่ชายฉัน และอีกหกปีต่อมาก็มีฉัน ตอนนั้นฉันอายุราวๆ สิบขวบ ฉันกับพี่ชายกำลังเล่นกันอยู่นอกบ้าน อยู่ๆ ผู้ชายคนนึงก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เขาตัวซีดเซียวและมีดวงตาสีดำสนิท เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและจ้องมองมาที่ฉัน ฉันจำได้ว่าฉันกลัวมาก กลัวเสียจนก้าวขาไม่ออก พี่ชายฉันต้องอุ้มฉันใส่หลังแล้วพาฉันวิ่งหนีรวดเดียวถึงบ้าน ตอนที่เรามากลับมาถึงบ้าน ฉันก็เห็นผู้ชายคนเดียวกันกับเมื่อก่อนหน้านี้กำลังเดินออกมาจากประตูบ้าน เขาไม่ได้มองมาที่พวกเราหากแต่วิ่งหายเข้าไปในป่า เรารีบวิ่งเข้าบ้านด้วยความเป็นห่วงพ่อกับแม่ พอเข้าไปแล้วก็โล่งใจที่ยังเห็นพวกท่านอยู่ดี แต่นัยน์ตาของพวกเขามีแต่ความตื่นตระหนก.. หวาดกลัว เธอหยุดเล่านึงหนึ่ง ฉันเห็นแอนาเบลจ้องมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า นั่นเป็นครั้สุดท้ายที่ฉันได้เห็นพวกเขา เธอเล่าต่อ พวกเขาบอกให้พี่ชายรีบพาฉันหนีไปไกลๆ หนีไปเรื่อยๆ อย่าหยุด พวกเขาเก็บข้าวของให้เราอย่ารวดเร็ว พ่อกระซิบบอกอะไรสักอย่างกับพี่และยื่นของมีค่าทุกอย่างให้ ฉันจำได้ว่าพี่ต้องลากแขนฉัน ผลักฉันให้ออกจากประตู ฉันร้องตะโกนเรียกพ่อกับแม่ ฉันไม่อยากไป ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องผลักไสเรา หรือทำไมถึงไม่ยอมไปกับเรา แม่ของฉันแทบจะคุ้มคลั่ง ท่านยื่นแขนไขว่คว้าหาฉันขณะที่ฉันก็พยายามที่จะยื่นแขนออกไปหาท่าน แต่พ่อรั้งตัวแม่ไว้ พ่อร้องตะโกนให้พี่ชายรีบพาฉันหนีไป ในตอนที่พี่อุ้มฉันขึ้นหลังม้า แม่วิ่งมาหาฉัน เอาภาพวาดนั้นยื่นให้ฉัน ( TT^TT) ตอนนี้แปลแล้วมันรันทดใจสุดเลยให้ตายเหอะ อ่านแล้วนึกภาพตามกันเลยนะ...) แอนาเบลชี้มือไปที่ภาพวาดบนแท่นเหนือเตาผิง ฉันเห็นน้ำตาไหลเป็นทางบนแก้มของเธอ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รำลึกถึงความทรงจำนี้มานานแล้ว เธอสูดหายใจเข้าลึกเหมือนพยายามจะเรียกความเข้มแข็งกลับคืนมา ท่านบอกฉันว่าท่านรักฉัน แล้วฉันกับพี่ชายก็ขี่ม้าออกมาด้วยกัน เราหนีกันอยู่หลายเดือนจนกระทั่งกลายเป็นหลายปี ไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าเรากำลังหนีอะไรกันแน่ เราไม่เคยหยุดอยู่ที่ไหนนานๆ นั่นเป็นวิถีชีวิตของพวกเรา แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายเธอ? เขาจากไปในที่สุด ตามวัยน่ะ แล้วทำไมเธอถึงไม่แก่ลงเลยล่ะ? ฉันไม่รู้ เธอตอบพลางส่ายหน้าไปมา ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปนั่งลงข้างเธอ วางมือลงบนไหล่ของเธอ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่แก่ ทำไมฉันถึงรักษาตัวเองได้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเป็นตัวอะไร ถึงแม้จะผ่านไปเป็นปี.. เป็นศตวรรษ.. ฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงต้องให้เราหนี ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกท่านเป็นยังไงต่อไปหลังจากนั้น ฉันโอบแขนรอบตัวเธอ เราจะค่อยๆ หาคำตอบพวกนั้น ฉันสัญญา ฉันจะช่วยเธอเอง.. ครอบครัวฉันจะช่วยเธอด้วย PS : เอาหล่ะ บทนี้แปลอย่างไว หวังว่าจะทันใจใครหลายๆ คน และแล้วก็ได้รู้กันแล้วสินะว่า... แท้จริงแล้วชื่อเรื่องเนี่ย... คือใคร เหอะๆ ... บทหน้าบอกไว้ก่อนว่ามันยาวมากๆๆๆๆๆ ดังนั้นอาจจะต้องแบ่งทยอยๆ อัพทีละนิดเหมือนตอน 12 ที่ผ่านมาน๊า... อยากอ่านต่อจ๊า
ลงมาเลยน่ะจ๊ะ ขอบคุณมากค่ะ โดย: ิีburinbell IP: 124.120.84.115 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:23:45:24 น.
อยากอ่านเหมือนกันค่ะ
โดย: mai IP: 124.121.35.21 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:23:49:26 น.
อยากอ่านค้าาาาาาาาาาาา
โดย: ทิวลิป IP: 117.47.29.172 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:05:16 น.
จะรอถึงเช้าเลยค่ะ (กดดันๆ) อิอิ
โดย: mai IP: 124.121.35.21 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:23:12 น.
อยากอ่านค่ะ
มากมายยยย มาลงไว้ๆนะคะ โดย: cherry IP: 202.149.25.241 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:31:10 น.
อยากอ่านสิคะ
เอามาลงด่วนเลย ไม่งั้นเดี๋ยวขึ้นค่าตัวประกันนะ ( อ้าว !! สรุปอยู่ฝ่ายไหนเนี่ย ) โดย: biiggii IP: 202.176.70.104 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:32:33 น.
ลงแล้วน๊า~~~ บทนี้แปลไป ซึ้งไป อยากให้ทุกคนพยายามอ่านกันหน่อยอย่าให้ตกหล่นเลยนะ โดย: amuro4ever วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:1:40:10 น.
ชอบตอนที่แอนาเบลถามเจคมากเลยค่ะ แบบว่าถามด้วยความหวังสุดๆว่าในโลกนี้จะมีใครซักคนที่เป็นเหมือนตัวเอง เป็นพวกเดียวกันบ้างมั้ย (ดูจากที่เล่าก็อยู่คนเดียวมาตลอดนี่นะ) แล้วพอเจคบอกว่าไม่ใช่...ก็คงจะผิดหวังสุดๆไปเลยทีเดียว
รออ่านตอนหน้าค่า อยากรู้ว่าถ้าแอนาเบลรู้ว่าครอบครัวคัลเลนมีแต่แวมไพร์จะทำยังไง (อ้อ มีหมาน้อยด้วยตัวนึง) จะได้ไม่เศร้าหาว่าตัวเองแปลกอีกแล้วล่ะนะ (ก็มีคนแปลกยิ่งกว่านี่นา) จะว่าไปอายุสองร้อยอัพนี่...แก่กว่าเอ็ดเวิร์ดอีกนะเนี่ย แอบสงสัยค่ะ ว่าคนผิวซีด ตาดำสนิทเนี่ย จะใช่ "แวมไพร์" หรือเปล่าหนอ? โดย: Sarren IP: 58.9.87.225 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:2:10:40 น.
555+
เพิ่งตื่นค่ะ พอตื่นมาปุ๊บก็รีบเปิดคอมอ่านเลย หุหุ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ รออ่านบทหน้าต่ออยู่นะคะ โดย: biiggii IP: 202.176.71.109 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:11:05:33 น.
G'od is the only one you
can Trust on when you are hopeless try to ask for his help then you will find the miracal as I do Found! โดย: da IP: 124.120.11.89 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:11:26:01 น.
ดีใจที่ได้อ่าน แล้วก็รอ...อย่าใจร้ายนานนักนะ
มีคนตั้งตาคอยเยอะมากๆ โดย: pa-to31 IP: 117.47.156.168 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:13:31:59 น.
กรี๊ดดดดดด อัพได้ทันใจวัยรุ่นมั่ก ๆ ๆ ๆ (ถึงจะไม่รุ่นเท่าไหร่ ก้อเหอะ) ขยัน ๆ ยิ่งขึ้นนะค้า... (โลภมากได้อีกแน่ะ) ขอบคุณน้องอุ๋มนะคะ อิ ๆ ๆ เดี๋ยวให้เฮียเปงรางวัล 1 คืน
โดย: J.J. IP: 114.128.52.227 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:13:56:05 น.
เกลียดจัง...หลอกให้หลงเข้ามาอ่าน แล้วทิ้งกันไป
อย่าให้นานนัก ยังไงก็จะรอ ขอแบบ ems วันเดียวถึง ขอบคุณที่สุด โดย: harry IP: 117.47.156.168 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:14:07:50 น.
โอ๊ย กะลังรอลุ้นเลย รีบมาอัพไวไวนะค่ะ ขอบคุณมาก สนุก น่าติดตามมากๆ เลย
โดย: aorae IP: 58.64.105.51 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:18:10:54 น.
รีบมาอัฟนะคะ กำลังมันส์เลย ฮิๆ
โดย: Numcha IP: 124.122.71.250 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:19:49:08 น.
เธออายุเท่าไหร่แล้ว?
สองสามร้อยปีได้ เธอล่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว? หกจ้ะ ไม่รู้ทำไม ชอบตอนนี้จัง คนนึงอายุหลายร้อย แต่อีกคนเพิ่งจะหกขวบ 555+ ปล. พี่จุ๋มยกเฮียให้ได้ไง เฮียยังอยู่กับมายอยู่เลยอ่ะ ยังให้เฮียไปอยู่กับพี่อุ๋มไม่ได้หรอกค่ะเดี๋ยวเสียสมาธิหมด คนอื่นๆจะรอบทที่ 14 นานเกินไปน่ะสิคะ พี่อุ๋มต้องรีบๆอัพหน่อยนะคะ ^ ^ โดย: นู๋มาย IP: 124.120.57.4 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:19:54:03 น.
ขอบคุณคุณอุ๋ม มากๆๆค่ะ จารอติดตามต่อไปค่ะ*-*
โดย: นู๋มด IP: 114.128.119.42 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:21:33:18 น.
ชอบสำนวนการแปลมากค่ะ
อ่านไม่สะดุดเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ และขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับความมีน้ำใจและแบ่งปัน ให้ประชากร ผู้ไม่สันทัดภาษาต่างประเทศ อย่างเราได้เข้าใจ หลังจากที่ไปนั่งงม อยู่กับต้นฉบับ eng เสียนาน โดย: Mazzky IP: 61.90.68.69 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:22:04:02 น.
สนุกมากเลย เอาอีก เอาอีก
โดย: moonlight IP: 119.31.67.243 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:0:39:49 น.
ขอบคุณคร่า..เอาอีกๆๆๆๆ
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:8:14:40 น.
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ สนุกมากคะ
โดย: NP IP: 58.181.175.18 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:15:23:54 น.
ยิ่งอ่านยิ่งมึน ตกลงแอนนาเบลเป็นตัวอะไรนิ
ปล. ชื่อเรื่องหมายถึงแอน แล้วงี้ตัวเองเป็นแอนแทนที่จะเป็นเนสอ่ะป่าวนิ ==' ขอบคุณพี่อุ๋มค่ะ ตามไปอ่าน 14 อย่างว่องไว~ โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:17:28:10 น.
พี่อุ๋ม รีบมาอัพให้อย่างไวเลย
(กล้าจิงๆๆ ขอให้เค้าอัพแล้วยัง คิคิ) จุ๊บๆๆ พี่อุ๋มคนเก่ง นู๋จะตามไปอ่านให้อย่างไว (ตามมดไปติดๆๆ) โดย: kookkaid IP: 110.169.23.86 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:21:29:19 น.
ไก่มีการเข้ามากดดันด้วยอ่ะ ตามไปอ่าน บท 14 รู้กันแล้วหล่ะ ว่าน้องแอนคือใคร โดย: amuro4ever วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:0:51:10 น.
^_____^
โดย: แอมแปร์ IP: 210.148.57.5 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:17:01 น.
|
amuro4ever
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] |
absolutely, all of my heart.