สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 13 - เมื่อความจริงเปิดเผย (2)

Smiley

อุ้ย... เข้ามาอ่านอีกที มีตั้ง 7 comment แน่ะ .. แสดงว่าแอบอ่านกันอยู่เยอะเหมือนกันนะเนี่ย วันหลังอ่านแล้วเม้นท์กันบ้างนิดดดด นึง จะได้รู้สึกว่ามีคนรออ่าน แหะๆ ... (เผื่อจะรีบกดดันตัวเองให้รีบแปลต่อไง) เอาหล่ะ... อ่านกันได้เลย... เร็วทันใจกันมั้ยเนี่ย




“เปล่า.. อย่างน้อยก็คิดว่าไม่ใช่นะ” เขาตอบเบาๆ ฉันรู้ว่ามันทำให้เขาเจ็บปวดที่ต้องปฏิเสธและฉันก็เจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องได้ยินเขาตอบไปแบบนั้น สีหน้าที่เจือความหวังน้อยนิดเมื่อสักครู่ดับสูญไป ฉันเข้าใจว่าเธอคงจะรู้แล้วว่าไม่มีใครเลยที่เป็นแบบเดียวกับเธอ

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทันใดนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้

“พระเจ้าช่วย คริสเตียน!” เธอร้องพร้อมกับวิ่งกลับไปยังซากรถที่พังยับเยิน

เจคอบหันมามองฉัน ฉันพยักหน้าเป็นตอบรับ คงจะเป็นการดีกว่าที่ฉันจะรักษาระยะห่างเอาไว้ก่อน ฉันมองเขาวิ่งนำหน้าแอนาเบลไปที่รถแล้วตรงเข้ากระชากประตูรถที่บุบบี้ออกทั้งบานด้วยมือเปล่า เจคอบดึงร่างของคริสเตียนออกมา แอนาเบลมองไปที่เขาอย่างตื่นตกใจ แต่แล้วก็รีบเข้าไปหาคริสเตียน ฉันเดินเข้าไปใกล้อีกแต่ยังคงทิ้งระยะห่างเพียงพอที่จะไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอบอวลจากบาดแผลของคริสเตียน ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้น มันกำลังเต้นเบาลงและช้าลงเรื่อยๆ เขากำลังจะตาย!

เจคอบค่อยๆ วางร่างเขาลงบนพื้นขณะที่แอนาเบลคุกเข่าลงนั่งข้างๆ ประคองคริสเตียนเอาไว้และรั้งตัวเขาให้เข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ร่างของคริสเตียนดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและไร้ซึ่งสัญญาณชีวิตพอๆ กัน ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ ฉันโทรหาคาร์ไลส์ทันที

“ฮัลโหล เนสซี่” เขารับในเสียงสัญญาณดังครั้งแรก

“เราเจออุบัติเหตุค่ะ รีบมาเลยนะคะ เราอยู่นอกถนนเส้น I-94 ระหว่างทางจะกลับบ้านน่ะค่ะ” ฉันพูดระรัวด้วยความเร็วขนาดที่คงไม่มีมนุษย์คนไหนจับความได้

“จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

พอวางสายฉันก็ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างช้าๆ เจคอบนั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหาพวกเขา ฉันหันไปมองที่แอนาเบล ดวงตาทั้งคู่ของเธอปิดสนิท แต่กระนั้นน้ำตาก็ยังเล็ดรอดออกมาจากดวงตาทั้งคู่

“ได้โปรด.. ได้โปรด.. อย่าทิ้งฉันไป” เธอกระซิบข้างหูของคริสเตียน

“แอนาเบล เธอช่วยเขาได้ไหม?” เจคอบพูดกับเธออย่างอ่อนโยน

เธอไม่ตอบอะไร ยังคงร้องขอต่อคริสเตียน ดวงตายังคงปิดสนิทและเริ่มนิ่วหน้า

หลายนาทีผ่านไปแต่ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น หัวใจของคริสเตียนยังคงเต้นแผ่วลงเรื่อยๆ คาร์ไลส์มาพร้อมกับพ่อ พวกเขาขับรถมากันคนละคัน

คาร์ไลส์รีบตรงเข้าไปหาแอนาเบลกับเจคอบพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์สีดำ พ่อมายืนอยู่ข้างหลังฉันและวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ฉันอย่างต้องการปลอบใจ

“ลูกไม่เป็นไรนะ?” เขาถาม

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้น?”

ฉันยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วทาบไปบนมือของพ่อข้างที่วางอยู่บนไหล่ของฉัน แสดงภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ดู พ่อมองและจูบแก้มฉันเบาๆ แต่สายตาของฉันยังคงจับจ้องไปที่แอนาเบล

“แอนาเบล ถ้าหนูต้องการให้ฉันช่วยเขา หนูต้องปล่อยเขาก่อน” คาร์ไลส์พูดอย่างอ่อนโยน

เธอส่ายหัวไปมาอย่างโกรธขึ้งและนิ้วหน้าคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นอีก

“แอนาเบล?” เจคอบเรียกเธอเบาๆ

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงัน เสียงเพียงอย่างเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงรถแล่นอยู่ไกลๆ และเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ไหว

“ลูกได้ยินไหม?” พ่อเอ่ยถาม

ฉันพยักหน้า นั่นคือเสียงหัวใจของคริสเตียน มันค่อยๆ เต้นเร็วขึ้นและแรงขึ้น ฉันเห็นหน้าอกเขากระเพื่อมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แต่ดวงตายังคงปิดสนิท

“เหลือเชื่อ” พ่อกระซิบกับตัวเองเบาๆ ขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้

แอนาเบลลืมตาขึ้นและมองไปที่คาร์ไลส์ สายตามีแววกังวล

“เขารู้หรือเปล่า?” คาร์ไลส์ถาม

เธอส่ายหน้า

“หนูอยากให้มันยังคงเป็นแบบนั้นใช่มั้ย?” เขาถามเธอต่อ

เธอพยักหน้าตอบ

คาร์ไลส์หยิบเข็มฉีดยาออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ ฉันมองไปที่พ่อ
“อัศจรรย์ดีแท้” พ่อกล่าว

“นี่จะทำให้เขาหลับไปจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล เราควรจะโทรบอกพ่อแม่ของหนูมั้ย?” คาร์ไลส์ถามแอนาเบล

“พ่อแม่ของหนูเสียไปแล้วค่ะ” เธอกระซิบตอบ

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ฉันมองแอนาเบลผ่านช่องกระจกที่ประตูห้องผู้ป่วย เธอนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ คริสเตียนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาหายดีทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่คาร์ไลส์คิดว่าน่าจะดีกว่าที่จะใส่ลงไปในรายงานว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่แขนและขา เพราะคงจะเป็นการยากที่จะอธิบาย ว่าเราทั้งหมดรอดมาจากอุบัติเหตุโดยไม่มีรอยขีดข่วนเลยได้อย่างไร

ฉันรู้สึกถึงแขนอันอบอุ่นของเจคอบที่โอบรอบไหล่ฉัน ดึงฉันให้ซบลงบนไหล่ข้างหนึ่งของเขา และประทับจูบเบาๆ ที่กระหม่อม ฉันพลิกตัวและซุกใบหน้ากับอกกว้าง สูดลมหายใจลึกๆ ปล่อยให้กลิ่นอายของเจคอบปลอบประโลมฉัน (โห... อ่านฉากนี้แล้วอยากเอาอกกว้างๆ ของเอ็ดฯ มาซุกบ้างจัง >w< ) ฉันรู้สึกสับสนกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้และวิถีที่มันเป็นไปเหลือเกิน เจคอบลูบหลังฉันไปมาเบาๆ อย่างปลอบใจ

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดี? จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?” ฉันถามอย่างหวาดหวั่น เพราะไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป

ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของพ่อเดินใกล้เข้ามา เจคอบปล่อยแขนที่โอบไหล่ฉันอยู่เปลี่ยนมาเป็นกุมมือไว้แทน
(อ่า... ก็ยังมีเกรงใจว่าที่คุณพ่อตากันนิดนึงอ่านะ ดีแล้วค่ะ งามกริยามารยาทแบบนี้คุณพ่อตาจะได้เอ็นดู)

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะยอมเปิดเผยความลับกับเราไหม เธอยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นอย่างจริงจังเพราะมัวแต่เป็นห่วงคริสเตียนอยู่ แต่เธออยากจะฟังความลับของพวกเรา เธอรู้ความลับของเจคอบเพราะเธอได้เห็นกับตา และเธอก็รู้ว่าพวกเรามีอะไรบางอย่างที่เก็บงำเอาไว้” พ่ออธิบาย

ฉันถอนหายใจ

“แล้วเราจะทำยังไงละคะ ถ้าเกิดเธอถาม?”

ฉันรู้ดีถึงความเสี่ยงต่อการบอกเล่าความลับของเราให้คนธรรมดาๆ ฟัง แต่ข้อยกเว้นนี้คงไม่อาจใช้กับคนที่แตกต่าง.. หรืออาจจะไม่ใช่คนด้วยซ้ำ??

“บอกเธอไปตามตรง แต่อย่าลืมเตือนเธอด้วยถึงความเสี่ยงของเราต่อสิ่งที่เธอจะได้รับรู้ เธอก็เป็นห่วงความลับของเธอพอๆ กับที่เราเป็นห่วงความลับของเราเหมือนกัน พ่อก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองยังไง เมื่อเธอล่วงรู้ความลับของพวกเรา”

ฉันมองกลับไปที่แอนาเบลซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ คริสเตียนไม่ขยับไปไหน

“พ่อจะกลับบ้านก่อน แล้วเจอกันที่บ้านนะลูก” พ่อบอกพร้อมจูบลาฉัน ฉันมองพ่อเดินห่างไปตามทางเดินและก้าวพ้นบานประตูออกไป

เจคอบเดินตามมาขณะที่ฉันเดินออกมารอที่ที่นั่งข้างนอกในห้องที่จัดไว้ให้สำหรับนั่งรอเยี่ยมผู้ป่วย ฉันไม่สามารถทิ้งแอนาเบลไว้ที่นี่คนเดียวได้ เท่าที่รู้ เธอคงโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง เห็นๆ อยู่ว่าเธอโกหกเรื่องพ่อแม่ของเธอ

ฉันฆ่าเวลารอด้วยการนั่งดูทีวีและพลิกแม็กกาซีนไปมา เหลือบมองดูนาฬิกาก็เห็นว่ามันเพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาตามทางเดิน ฉันเดินออกไปชะเง้อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

พ่อกับแม่ของคริสเตียนน่ะเอง

“คริสเตียน? โอพระเจ้า คริสเตียน!” แม่ผู้ขวัญเสียร้องเรียกขณะวิ่งไปที่ห้องของเขา พ่อของเขา.. เดาเอานะ เดินตามเข้าไปติดๆ

ฉันเห็นแอนาเบลปลีกตัวออกมาจากห้องเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เธอเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับฉันและฉันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา และแล้วแอนาเบลก็โอบแขนรอบเอวฉันไว้แล้วซบหน้าลงกับไหล่ของฉัน

“ขอบใจนะ เนสซี่” เธอกล่าว

ฉันรู้สึกโล่งใจและสับสนนิดหน่อยต่อคำขอบคุณของเธอเพราะไม่รู้ว่าเธอจำเป็นต้องขอบคุณฉันเรื่องอะไรกันแน่ โล่งอกต่อสิ่งที่เธอกำลังคิดต่อเรานั้น ไม่ได้ทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจ ฉันเอื้อมแขนโอบตอบเธอ พยายามปลอบใจเธอเช่นกัน

“สำหรับอะไรเหรอ?” ฉันถาม

“ก็ที่เธอยังรออยู่ที่นี่น่ะสิ”

ฉันยิ้มอย่างจริงใจกลับไปให้เธอ เรายืนดูพ่อแม่ผู้ขวัญเสียของคริสเตียนสอบถามอาการบาดเจ็บกับคาร์ไลส์และมีสีหน้าโล่งอกกับเรื่องอะไรก็ตามที่เขาอธิบายให้ฟัง

“ดีแล้วที่เธอช่วยเขาไว้ได้ แอนาเบล พ่อแม่เขาดูรักเขามากเลยนะ นึกไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะเป็นยังไงถ้า...” ฉันกล่าว

“ใช่จ้ะ เขาเป็นลูกคนเดียวที่เหลืออยู่”

“เหลืออยู่งั้นเหรอ?”

“ใช่จ้ะ เขามีพี่สาวคนนึง คือพี่สาวต่างพ่อน่ะ ลูกติดจากสามีเก่าของแม่เขา”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันก็ไม่รู้ละเอียดนักหรอก รู้แค่ว่าเขาสนิทกับพี่สาวมาก ถึงแม้เธอจะหนีออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม เธอยังคงส่งจดหมายหาเขาเสมอๆ เล่าเรื่องการผจญภัยท่องเที่ยวของเธอให้เขาฟัง เขาไม่เคยบอกพ่อแม่เรื่องจดหมายเลย จนเมื่อสองปีก่อนเขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากพี่สาวอีกเลย สุดท้ายที่เขารู้ก็คือ เธออยู่ที่อิตาลี”
(ชักจะตะหงิดๆ ซะแล้วสิ เมื่อพูดถึงอิตาลีขึ้นมาเนี่ย หรือว่า....)

“เขาไม่เคยบอกพ่อกับแม่เลยเหรอ?”

เธอยักไหล “หลังจากพยายามตามหาข่าวคราวอยู่หลายปี พวกเขาก็คิดว่าเธอคงตายไปแล้ว บางทีเธออาจจะต้องการหายไปเฉยๆ ก็ได้ คริสเตียนคงต้องการให้เกียรติเธอในเรื่องนั้น”

“แล้วพ่อแท้ๆ ของเธอล่ะ?”

“เงียบกริบไปเลย แรกๆ ก็ติดต่อมาบ้างแล้วก็หายจ้อยไปไม่เคยติดต่อเธอมาอีกเลย ฉันคิดว่ามันคงส่งผลกระทบต่อจิตใจเธอทางใดทางหนึ่ง และอาจเป็นสาเหตุให้เธอหนีออกจากบ้านไป”

ฉันหันกลับไปมองพวกเขา มองดูแม่ของคริสเตียนโอบประคองร่างกายที่หลับใหลของลูกชายไว้ในอ้อมแขนและพยายามสวมกอดเขาไว้อย่างรักใคร่ ฉันพลางคิดไปไกลว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนถ้าพวกเขาต้องสูญเสียลูกชายไปอีกคน ลูกๆ ไม่ควรจะต้องมาตายไปก่อนพ่อกับแม่สิ

ฉันหันไปหาแอนาเบลอีกครั้งขณะที่เธอกำลังหาวหวอดๆ

“ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านดีมั้ย?” ฉันถามเธอ

“ดีสิ ดูเหมือนมีเรื่องให้คุยกันมากมาย คงดีกว่าคุยกันที่นี่หล่ะนะ”

ฉันนึกถึงการสนทนาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้ ฉันพยักหน้าให้เธอ ฉันเดินไปหาเจคอบ เขาผล็อยหลับอยู่ตรงเก้าอี้ ช่วยไม่ได้ที่ฉันต้องปลุกเขาขึ้นมา

“ตื่นได้แล้วพ่อคนขี้เซา” ฉันเรียก

เขาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เขาเดินไปหาคาร์ไลส์ คงจะเดินไปขอกุญแจรถแน่ๆ

ฉันเดินกลับไปยืนรอข้างๆ แอนาเบล

“งั้น... ไม่มีพ่อแม่สินะ?” ฉันถาม

“ไม่มีมาสักพักใหญ่แล้วหล่ะ ความทรงจำเกี่ยวกับพวกเขาเลือนรางไปมากแล้ว” เธอตอบและยักไหล่อย่างไม่อีนังขังขอบสักเท่าไรนัก

“จริงเหรอ?”

“จ้ะ ฉันถูกเลี้ยงมาโดยพี่ชายน่ะ แต่เขาก็จากไปนานแล้ว อย่างนี้มั้งฉันกับคริสเตียนเลยสื่อถึงกันได้ พวกเราต่างก็สูญเสียพี่น้องผู้เป็นที่รักไปเหมือนกัน” เธอพูดเรื่อยๆ ราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง

“เสียใจด้วยนะ”

เธอพยักหน้า ฉันไม่อยากตอกย้ำเธอด้วยการถามว่าพี่ชายเธอเสียยังไง

“งั้นเธอก็อยู่คนเดียวมาสักพักใหญ่แล้วสินะ?” ฉันถามด้วยความห่วงใย ฉันอดถามไม่ได้จริงๆ ทั้งที่รู้ว่าควรจะรอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนี้ไปก่อน

“ดูเหมือนฉันจะอยู่คนเดียวมาเสมอๆ นั่นแหล่ะ” เธอตอบอย่างเฉยเมย

“เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”
(อุ๊ย! ... ถ้าเกิดตอบมาว่า 17 มาซักระยะแล้วจะว่าไง?? แหะๆ ... อดคิดถึงฉากเบลล่า-เอ็ดเวิร์ดตอนเปิดเผยกันในป่าไม่ได้น่ะ)

เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาอิดโรย

“สองสามร้อยปีได้”

ฉันพยักหน้ารับด้วยท่าทีปกติจนเธอเองเป็นฝ่ายมองฉันด้วยสายตาอยากรู้กึ่งประหลาดใจขณะที่ทำท่าเอียงหัวไปข้างหนึ่ง

“เธอล่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว?” เธอถามฉัน

ฉันกัดริมฝีปาก โต้แย้งตัวเองในใจว่าควรจะโกหกเธอหรือไม่

“หกจ้ะ”

เธอพยักหน้ารับขณะที่พยายามทำท่าทางเป็นปกติ ถูกแล้ว.. คืนนี้มีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยทีเดียว

เจคอบไปส่งพวกเราที่หน้าบ้านแอนาเบล มันเป็นบังกาโลเล็กๆ ในป่าซึ่งไม่มีเพื่อนบ้านรายรอบ เธอลงจากรถแล้วเดินนำเข้าบ้านไปก่อน ฉันมองมาที่เจคอบ

“ฉันว่าคงจะดีกว่าถ้าฉันเข้าไปคนเดียว โอเคนะ?” ฉันพูดกับเขา

“ไม่รู้สิเนสซี่ เราไม่รู้นะว่าเธอเป็นอะไรหรือทำอะไรได้บ้าง”

“ถ้าเธอจะทำร้ายฉัน เธอคงทำไปแล้วหล่ะ ได้โปรดอย่าห่วงฉันเกินไปหน่อยเลยนะ ฉันจะโทรหาคุณให้มารับตอนจะกลับบ้านก็แล้วกันนะ”

เขาถอนใจเพราะรู้ดีว่ายังไงก็คงไม่มีทางห้ามฉันได้แน่ พลางมองไปที่แอนาเบลผู้ซึ่งกำลังไขลูกบิดประตูอยู่

“โอเค โทรหาผมทันทีเลยนะ”

เขาประคองใบหน้าของฉันไว้ด้วยมือทั้งสองพร้อมมอบจูบอันนุ่มนวลบนริมฝีปาก ฉันยิ้มให้ทีหนึ่งก่อนที่จะก้าวลงจากรถ และเคลื่อนที่ด้วยความว่องไวระดับแวมไพร์ ฉันมาหยุดยืนอยู่ข้างเธอขณะที่เธอกำลังเปิดประตูบ้าน เธอตกตะลึงไปนาทีหนึ่งแล้วจึงส่งยิ้มให้ฉัน นำฉันเดินเข้าบ้าน ฉันหันกลับมาโบกมือลาเจคอบ

บ้านของเธอดูน่ารักและอบอุ่น เตาผิงหน้าตาสวยงามภายในห้องนั่งเล่นถูกประดับประดาไปด้วยกรอบรูปเก่าๆ มากมาย บ้านทั้งหลังของเธออบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของวานิลลา เธอจุดตะเกียงเล็กๆ สองสามดวงและเทียน

“เดี๋ยวฉันมานะ” เธอพูดขณะที่เดินขึ้นบันไดไป

ฉันเดินชมรูปภาพต่างๆ ที่ถูกจัดวางประดับอยู่บนแท่นหน้าเตาผิง มีรูปวาดเก่าๆ เล็กๆ รูปหนึ่งวางอยู่ท่ามกลางกรอบรูปน่ารักๆ เหล่านั้น เป็นภาพช่ายหนุ่มรูปหล่อมองลงมาที่หญิงงามผมตรงยาวสีดำขลับผู้ซึ่งมองขึ้นไปเพื่อสบตาเขาเช่นกัน เป็นการยากที่จะละสายตาออกจากความลึกซึ้งของสายตาคนทั้งสองที่จ้องมองกันอย่างรักใคร่เช่นนั้น ฉันดูภาพอื่นๆ ซึ่งเป็นภาพของบุคคลต่างๆ ต่างคน ต่างกาลเวลา และดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ต่างๆ กันคนละมุมโลกด้วย

ภาพต่างๆ ถูกนำมาใส่กรอบรูปประดับแขวนเอาไว้ทั่วบ้าน แต่ละรูปแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอบอุ่นแจ่มใส่ที่ไม่เคยเปลี่ยนของแอนาเบล ดูเหมือนว่าแต่ละคนในรูปนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอในแต่ละมุมโลก
แอนาเบลเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใส่อยู่บ้านและถืออีกชุดหนึ่งไว้ในมือ

“ฉันคิดว่าคืนนี้คงจะยาวนานแน่เลย” เธอบอก

ฉันพยักหน้าแล้วหยิบมันไปเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในห้องน้ำ เมื่อเดินกลับออกมา เธอกำลังนั่งรออยู่บนโซฟาตัวนุ่มโดยมีผ้าห่มคลุมอยู่ที่ขา ฉันตรงไปนั่งยังโซฟาอีกตัวฝั่งตรงข้าม

“ภาพวาดที่อยู่ตรงกลางเหนือเตาผิงน่ารักดีนะ” ฉันเอ่ย

“จ้ะ นั่นเป็นภาพโปรดของฉันเลยนะ เป็นรูปเดียวของพ่อกับแม่ที่เหลืออยู่ ฉันยังเด็กเกินกว่าที่จะจำอะไรได้ คืนนึงมีช่างวาดรูปมาขออาศัยนอนที่บ้านเรา เขาก็เลยวาดรูปให้เพื่อเป็นการตอบแทนน่ะ”

ฉันพยักหน้ารับ เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดเข้ามาแทรกระหว่างพวกเราสองคน

“เล่าให้ฉันฟังสิแอนาเบล เล่าเรื่องของเธอหน่อย” ฉันโพล่งออกไปตามใจคิด

“ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน”

“แต่เธอไว้ใจฉันได้ เราต่างก็มีเรื่องที่ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเก็บความลับของเธออีกคน”

“แล้วเธอจะบอกความลับของเธอให้ฉันฟังไหม?”

“แน่นอน ก็เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่นา ใช่มั้ย?”

เธอยิ้มกว้างตอบฉัน

“จ้ะ เพื่อนรักเลยหล่ะ” เธอตอบ

“เพื่อนรัก” ฉันย้ำคำนั้นอย่างปลาบปลื้ม

“เรื่องของฉันออกจะพร่าเลือนไปแล้วหล่ะ เพราะว่ามันผ่านมานานพอดู อย่าโกรธนะถ้าฉันจำรายละเอียดไม่ค่อยได้น่ะ”

“พ่อของฉันเป็นนักสำรวจ เขายังหนุ่มและรักการผจญภัย พ่อเป็นลูกทีมคนหนึ่งในทีมสำรวจวัฒนธรรมใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งยังไม่มีใครเคยค้นพบมาก่อน

ฉันเดาว่าพวกเขาคงบังเอิญไปพบแผ่นดินในทวีปเอเชียเข้า นั่นแหล่ะที่ทำให้พ่อได้พบกับแม่ พี่ชายฉันเล่าให้ฉันฟังว่าพ่อของเราเคยพรรณาถึงแม่ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่พ่อเคยพบเจอมา แม่เผลอหลับอยู่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ ฉันเดาว่าท่านคงจะตกใจตื่นขึ้นมาแล้วก็เจอหน้าพ่อห่างเพียงไม่กี่นิ้ว คงจะน่ากลัวพิลึกเลยเนอะว่ามั้ย? แต่พ่อของฉันบอกว่านั่นเป็นรักแรกพบและท่านก็จูบเธอ พวกเขาตกหลุมรักกันทันที

แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะต่างอยู่กันคนละฟากของโลก ในคืนก่อนที่พ่อของฉันจะเดินทางกลับบ้านนั้นเอง พวกเขาก็พากันหนีไปด้วยกัน ถึงจะจนแต่พวกเขาก็มีกันและกัน ปีต่อมาพวกท่านก็มีพี่ชายฉัน และอีกหกปีต่อมาก็มีฉัน

ตอนนั้นฉันอายุราวๆ สิบขวบ ฉันกับพี่ชายกำลังเล่นกันอยู่นอกบ้าน อยู่ๆ ผู้ชายคนนึงก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เขาตัวซีดเซียวและมีดวงตาสีดำสนิท เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและจ้องมองมาที่ฉัน ฉันจำได้ว่าฉันกลัวมาก กลัวเสียจนก้าวขาไม่ออก พี่ชายฉันต้องอุ้มฉันใส่หลังแล้วพาฉันวิ่งหนีรวดเดียวถึงบ้าน

ตอนที่เรามากลับมาถึงบ้าน ฉันก็เห็นผู้ชายคนเดียวกันกับเมื่อก่อนหน้านี้กำลังเดินออกมาจากประตูบ้าน เขาไม่ได้มองมาที่พวกเราหากแต่วิ่งหายเข้าไปในป่า เรารีบวิ่งเข้าบ้านด้วยความเป็นห่วงพ่อกับแม่ พอเข้าไปแล้วก็โล่งใจที่ยังเห็นพวกท่านอยู่ดี แต่นัยน์ตาของพวกเขามีแต่ความตื่นตระหนก.. หวาดกลัว”

เธอหยุดเล่านึงหนึ่ง ฉันเห็นแอนาเบลจ้องมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

“นั่นเป็นครั้สุดท้ายที่ฉันได้เห็นพวกเขา” เธอเล่าต่อ

“พวกเขาบอกให้พี่ชายรีบพาฉันหนีไปไกลๆ หนีไปเรื่อยๆ อย่าหยุด พวกเขาเก็บข้าวของให้เราอย่ารวดเร็ว พ่อกระซิบบอกอะไรสักอย่างกับพี่และยื่นของมีค่าทุกอย่างให้ ฉันจำได้ว่าพี่ต้องลากแขนฉัน ผลักฉันให้ออกจากประตู ฉันร้องตะโกนเรียกพ่อกับแม่ ฉันไม่อยากไป ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องผลักไสเรา หรือทำไมถึงไม่ยอมไปกับเรา

แม่ของฉันแทบจะคุ้มคลั่ง ท่านยื่นแขนไขว่คว้าหาฉันขณะที่ฉันก็พยายามที่จะยื่นแขนออกไปหาท่าน แต่พ่อรั้งตัวแม่ไว้ พ่อร้องตะโกนให้พี่ชายรีบพาฉันหนีไป ในตอนที่พี่อุ้มฉันขึ้นหลังม้า แม่วิ่งมาหาฉัน เอาภาพวาดนั้นยื่นให้ฉัน”

( TT^TT) ตอนนี้แปลแล้วมันรันทดใจสุดเลยให้ตายเหอะ อ่านแล้วนึกภาพตามกันเลยนะ...)

แอนาเบลชี้มือไปที่ภาพวาดบนแท่นเหนือเตาผิง ฉันเห็นน้ำตาไหลเป็นทางบนแก้มของเธอ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รำลึกถึงความทรงจำนี้มานานแล้ว เธอสูดหายใจเข้าลึกเหมือนพยายามจะเรียกความเข้มแข็งกลับคืนมา

“ท่านบอกฉันว่าท่านรักฉัน แล้วฉันกับพี่ชายก็ขี่ม้าออกมาด้วยกัน เราหนีกันอยู่หลายเดือนจนกระทั่งกลายเป็นหลายปี ไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าเรากำลังหนีอะไรกันแน่ เราไม่เคยหยุดอยู่ที่ไหนนานๆ นั่นเป็นวิถีชีวิตของพวกเรา”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายเธอ?”

“เขาจากไปในที่สุด ตามวัยน่ะ”

“แล้วทำไมเธอถึงไม่แก่ลงเลยล่ะ?”

“ฉันไม่รู้” เธอตอบพลางส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่รู้อะไรเลย”

ฉันลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปนั่งลงข้างเธอ วางมือลงบนไหล่ของเธอ
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่แก่ ทำไมฉันถึงรักษาตัวเองได้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเป็นตัวอะไร ถึงแม้จะผ่านไปเป็นปี.. เป็นศตวรรษ.. ฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงต้องให้เราหนี ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกท่านเป็นยังไงต่อไปหลังจากนั้น”

ฉันโอบแขนรอบตัวเธอ

“เราจะค่อยๆ หาคำตอบพวกนั้น ฉันสัญญา ฉันจะช่วยเธอเอง.. ครอบครัวฉันจะช่วยเธอด้วย”




PS : เอาหล่ะ บทนี้แปลอย่างไว หวังว่าจะทันใจใครหลายๆ คน และแล้วก็ได้รู้กันแล้วสินะว่า... แท้จริงแล้วชื่อเรื่องเนี่ย... คือใคร เหอะๆ ... บทหน้าบอกไว้ก่อนว่ามันยาวมากๆๆๆๆๆ ดังนั้นอาจจะต้องแบ่งทยอยๆ อัพทีละนิดเหมือนตอน 12 ที่ผ่านมาน๊า...



Create Date : 22 สิงหาคม 2552
Last Update : 23 สิงหาคม 2552 1:34:56 น.
Counter : 3575 Pageviews.

26 comments
  
yeap
absolutely, all of my heart.
โดย: miss.swan IP: 124.120.48.87 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:23:30:23 น.
  
อยากอ่านต่อจ๊า
ลงมาเลยน่ะจ๊ะ
ขอบคุณมากค่ะ
โดย: ิีburinbell IP: 124.120.84.115 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:23:45:24 น.
  
อยากอ่านเหมือนกันค่ะ
โดย: mai IP: 124.121.35.21 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:23:49:26 น.
  
อยากอ่านค้าาาาาาาาาาาา
โดย: ทิวลิป IP: 117.47.29.172 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:05:16 น.
  
จะรอถึงเช้าเลยค่ะ (กดดันๆ) อิอิ
โดย: mai IP: 124.121.35.21 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:23:12 น.
  
อยากอ่านค่ะ


มากมายยยย


มาลงไว้ๆนะคะ
โดย: cherry IP: 202.149.25.241 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:31:10 น.
  
อยากอ่านสิคะ
เอามาลงด่วนเลย
ไม่งั้นเดี๋ยวขึ้นค่าตัวประกันนะ
( อ้าว !! สรุปอยู่ฝ่ายไหนเนี่ย )
โดย: biiggii IP: 202.176.70.104 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:0:32:33 น.
  


ลงแล้วน๊า~~~ บทนี้แปลไป ซึ้งไป อยากให้ทุกคนพยายามอ่านกันหน่อยอย่าให้ตกหล่นเลยนะ
โดย: amuro4ever วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:1:40:10 น.
  
ชอบตอนที่แอนาเบลถามเจคมากเลยค่ะ แบบว่าถามด้วยความหวังสุดๆว่าในโลกนี้จะมีใครซักคนที่เป็นเหมือนตัวเอง เป็นพวกเดียวกันบ้างมั้ย (ดูจากที่เล่าก็อยู่คนเดียวมาตลอดนี่นะ) แล้วพอเจคบอกว่าไม่ใช่...ก็คงจะผิดหวังสุดๆไปเลยทีเดียว

รออ่านตอนหน้าค่า อยากรู้ว่าถ้าแอนาเบลรู้ว่าครอบครัวคัลเลนมีแต่แวมไพร์จะทำยังไง (อ้อ มีหมาน้อยด้วยตัวนึง) จะได้ไม่เศร้าหาว่าตัวเองแปลกอีกแล้วล่ะนะ (ก็มีคนแปลกยิ่งกว่านี่นา) จะว่าไปอายุสองร้อยอัพนี่...แก่กว่าเอ็ดเวิร์ดอีกนะเนี่ย

แอบสงสัยค่ะ ว่าคนผิวซีด ตาดำสนิทเนี่ย จะใช่ "แวมไพร์" หรือเปล่าหนอ?
โดย: Sarren IP: 58.9.87.225 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:2:10:40 น.
  
555+
เพิ่งตื่นค่ะ
พอตื่นมาปุ๊บก็รีบเปิดคอมอ่านเลย หุหุ

ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

รออ่านบทหน้าต่ออยู่นะคะ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.109 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:11:05:33 น.
  
G'od is the only one you
can Trust on when you are
hopeless try to ask for his help then you will find the miracal as I
do Found!
โดย: da IP: 124.120.11.89 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:11:26:01 น.
  
ดีใจที่ได้อ่าน แล้วก็รอ...อย่าใจร้ายนานนักนะ
มีคนตั้งตาคอยเยอะมากๆ
โดย: pa-to31 IP: 117.47.156.168 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:13:31:59 น.
  
กรี๊ดดดดดด อัพได้ทันใจวัยรุ่นมั่ก ๆ ๆ ๆ (ถึงจะไม่รุ่นเท่าไหร่ ก้อเหอะ) ขยัน ๆ ยิ่งขึ้นนะค้า... (โลภมากได้อีกแน่ะ) ขอบคุณน้องอุ๋มนะคะ อิ ๆ ๆ เดี๋ยวให้เฮียเปงรางวัล 1 คืน
โดย: J.J. IP: 114.128.52.227 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:13:56:05 น.
  
เกลียดจัง...หลอกให้หลงเข้ามาอ่าน แล้วทิ้งกันไป
อย่าให้นานนัก ยังไงก็จะรอ ขอแบบ ems วันเดียวถึง
ขอบคุณที่สุด
โดย: harry IP: 117.47.156.168 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:14:07:50 น.
  
โอ๊ย กะลังรอลุ้นเลย รีบมาอัพไวไวนะค่ะ ขอบคุณมาก สนุก น่าติดตามมากๆ เลย
โดย: aorae IP: 58.64.105.51 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:18:10:54 น.
  
รีบมาอัฟนะคะ กำลังมันส์เลย ฮิๆ
โดย: Numcha IP: 124.122.71.250 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:19:49:08 น.
  
“เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”

“สองสามร้อยปีได้”

“เธอล่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว?”

“หกจ้ะ”

ไม่รู้ทำไม ชอบตอนนี้จัง คนนึงอายุหลายร้อย แต่อีกคนเพิ่งจะหกขวบ 555+

ปล. พี่จุ๋มยกเฮียให้ได้ไง เฮียยังอยู่กับมายอยู่เลยอ่ะ ยังให้เฮียไปอยู่กับพี่อุ๋มไม่ได้หรอกค่ะเดี๋ยวเสียสมาธิหมด คนอื่นๆจะรอบทที่ 14 นานเกินไปน่ะสิคะ พี่อุ๋มต้องรีบๆอัพหน่อยนะคะ ^ ^
โดย: นู๋มาย IP: 124.120.57.4 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:19:54:03 น.
  
ขอบคุณคุณอุ๋ม มากๆๆค่ะ จารอติดตามต่อไปค่ะ*-*
โดย: นู๋มด IP: 114.128.119.42 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:21:33:18 น.
  
ชอบสำนวนการแปลมากค่ะ
อ่านไม่สะดุดเลย

เป็นกำลังใจให้นะคะ
และขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับความมีน้ำใจและแบ่งปัน
ให้ประชากร ผู้ไม่สันทัดภาษาต่างประเทศ อย่างเราได้เข้าใจ
หลังจากที่ไปนั่งงม อยู่กับต้นฉบับ eng เสียนาน
โดย: Mazzky IP: 61.90.68.69 วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:22:04:02 น.
  
สนุกมากเลย เอาอีก เอาอีก
โดย: moonlight IP: 119.31.67.243 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:0:39:49 น.
  
ขอบคุณคร่า..เอาอีกๆๆๆๆ
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:8:14:40 น.
  
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ สนุกมากคะ
โดย: NP IP: 58.181.175.18 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:15:23:54 น.
  
ยิ่งอ่านยิ่งมึน ตกลงแอนนาเบลเป็นตัวอะไรนิ

ปล. ชื่อเรื่องหมายถึงแอน แล้วงี้ตัวเองเป็นแอนแทนที่จะเป็นเนสอ่ะป่าวนิ =='


ขอบคุณพี่อุ๋มค่ะ ตามไปอ่าน 14 อย่างว่องไว~
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:17:28:10 น.
  
พี่อุ๋ม รีบมาอัพให้อย่างไวเลย
(กล้าจิงๆๆ ขอให้เค้าอัพแล้วยัง คิคิ)

จุ๊บๆๆ พี่อุ๋มคนเก่ง นู๋จะตามไปอ่านให้อย่างไว

(ตามมดไปติดๆๆ)
โดย: kookkaid IP: 110.169.23.86 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:21:29:19 น.
  


ไก่มีการเข้ามากดดันด้วยอ่ะ

ตามไปอ่าน บท 14 รู้กันแล้วหล่ะ ว่าน้องแอนคือใคร
โดย: amuro4ever วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:0:51:10 น.
  
^_____^
โดย: แอมแปร์ IP: 210.148.57.5 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:17:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]