สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 7 - ข่าวลือ
บรรยากาศระหว่างทางขับรถกลับบ้านเหมือนเมื่อเช้านี้ไม่มีผิด.. มันมีแต่ความเงียบงันหรือไม่ก็การถามคำตอบคำ ตอนนี้มันเลยคำว่าอึมครึมไปแล้ว หล่ะ เพราะมันกำลังเปลี่ยนเป็นน่าโมโห! ระหว่างเจคกับฉันไม่เคยมีชั่วขณะที่เงียบงันอึมครึมแบบนี้มาก่อน และไม่เคยมีครั้งใดที่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถถามเขาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นระหว่างที่เรากำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน ฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องถามเขาให้รู้เรื่องไปเลย

“คุณเป็นอะไรไปน่ะ?” ฉันถามพร้อมกับหันไปมองเขา

“เธอหมายถึงอะไร?”

“คุณรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร ก็คุณทำเหมือนคุณมีอะไรอยู่ในใจอย่างงั้นหล่ะ ทำไมถึงต้องพูดกับฉันแบบถามคำตอบคำด้วย?”

“ฉันขอโทษเนสซี่ ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะน่ะ”

“เรื่องอะไรล่ะ?”

เขาถอนใจแล้วมองตอบฉัน

“ก็เรื่องที่เธอโตเร็วเหลือเกิน บางครั้งฉันก็ปรับตัวยากนะ รู้มั้ย?”

ฉันหัวเราะ “คุณน่ะเหรอปรับตัวยาก?”

“ใช่ ฉันต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอถึงเธอจะทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเธอก็แค่ 6 ขวบเท่านั้น”

ฉันนิ่วหน้า ไม่อยากให้เขาต้องมาคอยเตือนตัวเองว่าฉันเพิ่งเกิดมาได้เพียงหกปีเท่านั้น ในความคิดของฉัน ฉันโตแล้ว ฉันรู้สึกได้เลยว่าทั้งจิตใจและร่างกายของเราเท่าเทียมกัน ทำไมเขาถึงมองเรื่องนั้นไม่ออกนะ?

“ฉันโตแล้วนะ” ฉันเถียงเบาๆ

“ในทางเทคนิคต่างหาก แต่กฏหมายของสหรัฐอเมริกาบัญญัติไว้ว่า เธอจะยังไม่บรรลุนิติภาวะจนกว่าจะสิบแปด”

“นี่เราปฏิบัติตามกฏหมายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เราไม่ได้ถูกกำหนดโดยกฏไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นกฏแห่งแรงโน้มถ่วงหรือแม้แต่กฏทางวิทยาศาสตร์นะ”

เขาส่ายหัว

ฉันไม่ชอบที่เห็นเขาอยู่ในอารมณ์แบบนี้เลย

“ได้โปรดเถอะเจคอบ เราเลิกพูดเรื่องที่ว่าในทางปฏิบัติแล้วฉันอายุแค่หกขวบเสียทีได้ไหม? มันไม่ใช่ว่าฉันเป็นเด็กหกขวบจริงๆ เสียหน่อย ก็แค่ฉันเพิ่งอยู่มาได้หกปีเท่านั้นเอง ฉันเป็นอย่างที่ฉันเป็นอยู่ ฉันแตกต่าง ฉันยอมรับมัน และคุณก็ควรจะยอมรับมันด้วย”

“เนสซี่ ฉันยอมรับ”

“เห็นได้ชัดว่าไม่ ถ้าคุณยังคอยเตือนตัวเองอยู่ว่าฉันเป็นแค่เด็กหกขวบ”

เขาไม่ตอบอะไรกลับมา

“ได้โปรด เจคอบ” ฉันขอร้องอีกครั้ง “เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย อย่าคิดถึงมันอีกได้ไหม?”

เขามองมาที่ฉัน

“ได้โปรด” ฉันพูดอีกครั้งแล้วทำปากเป้

“ช่วยไม่ได้จริงๆ เนสซี่”


สัปดาห์นี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีเสียงร่ำลือไปทั่วเกี่ยวกับคำขู่ของเอ็มเม็ตที่ห้องอาหารหลายวันก่อน และตั้งแต่นั้นมาฉันก็ถูกหลบเลี่ยงจากเหล่านักเรียนชายราวกับเป็นโรคระบาด

วิชาโปรดวิชาใหม่ของฉันนอกเหนือจากสองวิชาที่ได้เรียนกับเจคแล้ว นั่นก็คือวิชาคหเศรษฐศาสตร์ ฉันพบว่าแอนาเบลน่าดึงดูดชะมัด เธอชอบเล่าเรื่องตลกๆ ที่ทำให้ฉันหัวเราะได้เสมอๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรื่องตอนปิดเทอมฤดูร้อนกับเพื่อนๆ ของเธอ ดีเหมือนกันที่ได้รับฟังเรื่องราวโหดมันฮาแบบวัยรุ่นบ้าง มันรู้สึกเหมือนกับว่าเรามีจิตวิญญาณที่สื่อถึงกันได้ ชั่วโมงนั้นฉันเหมือนกลายเป็นคนอีกคนนึงไปเลย ฉันเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น

วันนี้วันศุกร์ ดังนั้นฉันจึงตั้งหน้าตั้งตารอให้คืนนี้มาถึงเร็วๆ แต่เรื่องเดียวที่กวนใจฉันในวันนี้ก็คือการชวนแอนาเบล

ฉันจะถามว่าเธออยากจะมานั่งทานมื้อกลางวันร่วมกับครอบครัวของฉันไหม ฉันตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะชวนเธอ เพราะบางทีเธออาจจะไม่ได้คิดต่อฉันเป็นเพื่อนก็ได้ บางทีฉันอาจเป็นแค่คนรู้จัก หรือไม่งั้นที่เธอชวนฉันไปงานคืนนี้ก็อาจะเป็นเพราะความสงสารที่ฉันไม่มีเพื่อน ก็จริงๆ นะ ผู้คนที่ฉันไปไหนมาไหนด้วยที่โรงเรียนก็มีแต่ครอบครัวฉันเท่านั้นนี่นา

แต่นี่ไม่ใช่ความคิดของฉันหรอกนะที่จะชวนเธอมากินข้าวกลางวันด้วย พ่อกับแม่ต่างหากที่เป็นต้นคิด พวกท่านอยากเจอเธอ อยากให้แน่ใจว่าเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉัน ทำตามหน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะ ฉันพยายามปฏิเสธแล้วแต่ก็รู้ดีว่าพวกท่านไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยหรือพลังของฉันหรอก พวกท่านก็แค่อยากทำตัวเป็นพ่อแม่ที่ดี มันมีความหมายต่อพวกเขามาก อีกอย่างก็คือความกระหายใคร่อยากที่จะรู้จักเพื่อนใหม่ที่ฉันคบด้วย ฉันรู้สึกแย่เพราะฉันเติบโตเร็วเหลือเกินจนพวกเขาแทบไม่ทันได้ทำหน้าที่พ่อแม่

พวกเขาสัญญาว่าจะไม่ซักไซร้ไล่เรียงอะไรมาก มันคงดูประหลาดมากพอแล้วที่พี่ชายและแฟนของเขาออกจะโรงปกป้องฉันจนเกินเหตุ (ในการคบหาเพื่อนสักคน)

ฉันถอนหายใจ แลปเกือบเสร็จแล้ว เรากำลังล้างอุปกรณ์ที่ใช้ในวันนี้อยู่

“นี่ แอนาเบล” ฉันเริ่ม

“มีอะไรเหรอจ๊ะ?”

“ฉันอยากรู้ว่าวันนี้เธอจะมานั่งกับฉันและเจคอบตอนมื้อเที่ยงได้มั้ย”

เธอนิ่งคิดพักหนึ่ง

“เธอหมายถึงนั่งกับครอบครัวเธอด้วยหรือเปล่า?” เธอถาม

“อื้ม” ฉันบอกตามตรง

“เอ่อ...เอาสิ” น้ำเสียงเธอเหมือนไม่แน่ใจ ลังเล

“ถ้าเธอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”

“เปล่าหรอก ฉันอยากไป ครอบครัวเธอแค่น่ากลัวหน่อยๆ เอง”

ฉันหัวเราะ ฉันรู้ว่าครอบครัวฉันดูพิลึกๆ แต่ดีจังที่เธอสารภาพสาเหตุที่เธอลังเลออกมาตรงๆ

“พวกเขาน่ะอันที่จริงไม่มีอะไรหรอก ฉันรู้ว่าพวกเขาอาจจะดู เอ่อ... (พยายามคิดหาคำที่เหมาะสมอยู่) “ไว้ตัว” ไปหน่อย แต่พอรู้จักแล้วจะรู้ว่าพวกเขาน่ะสุดยอดเลยนะ”

“แล้วที่เขาลือกันเรื่องพี่ชายเธอล่ะจริงมั้ย?”

มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับพ่อหลังจากเหตุในโรงอาหารกับเอ็มเม็ตครั้งนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าข่าวลือเรื่องไหนแน่ที่เธอพูดถึง (ที่ว่าต้องย้ายบ้านเพราะปกป้องเบลล่ากับเนสซี่เกินเหตุจนหนุ่มนิรนามไร้ตัวตนต้องนอนหยอดน้ำเกลือเลยไง)

“ไม่เลย ไม่มีเรื่องไหนจริงเลย”

“แล้วเรื่องติดคุกล่ะ?”

“ไม่จริง”

“โรงพยาบาลจิตเวช?”

“ก็ไม่จริงอีก”

“การทดลองของรัฐบาล..?”

การทดลองของรัฐบาล?? เรื่องนั้นฉันไม่เห็นเคยได้ยิน ฉันส่ายหน้า

“อ้อ เรื่องนั้นดูเลยเถิดไปหน่อยแต่โอเคนะ ฟังดูน่าสนุกดี”

ระหว่างที่เดินไปที่โต๊ะของครอบครัวฉัน ฉันได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ฉันมองเธอแล้วยิ้มให้ความมั่นใจกับเธอ เธอยิ้มตอบ ฉันเห็นเธอมองกลับไปโต๊ะประจำที่เธอนั่ง เพื่อนๆ ของเธอเบิกตาโตจ้องกลับมา เธอแค่โบกมือให้เท่านั้น และพอเรานั่งลง ฉันก็เริ่มแนะนำเธอ

“นั่นเอ็มเม็ตกับโรซาลี่, แจสเปอร์กับอลิซ, เบลล่ากับเอ็ดเวิร์ด และเจคอบที่เธอเคยเจอแล้ว”

เธอพยักหน้าแล้วฉันก็พูดต่อ “ทุกคน นี่แอนาเบล”

“ดีใจที่ได้รู้จักเธอนะ แอนาเบล” แม่พูดขึ้นก่อน

“ไฮ” เธอตอบเสียงอ่อยๆ “เนสซี่เล่าเรื่องเยี่ยมๆ เกี่ยวกับพวกคุณทุกคน”

“โดยเฉพาะฉันใช่มั้ยล่ะ?” เอ็มเม็ตบอก “หวังว่าเธอคงจะเล่าเรื่องสุดยอดๆ ให้ฟังแล้วนะ นั่นแหล่ะฉันเอง”

“สุดยอดงั้นเหรอ?” แจสเปอร์ถามพร้อมเลิกคิ้ว

“เปล่าค่ะ เธอคงลืมเล่าเรื่องนั้นไป” แอนาเบลบอกพร้อมยิ้มตอบเอ็มเม็ต

ส่วนเอ็มเม็ตนิ่วหน้าแล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกับ ความตึงเครียดแผ่วบางลงเล็กน้อย ฉันมองดูพ่อจ้องเธอเขม็งราวกับกำลังตั้งสมาธิกับอะไรสักอย่างอยู่

“เห็นแอนาเบลบอกว่าคืนนี้พวกเธอจะไปปาร์ตี้สระน้ำกันเหรอ?” แม่ถามต่อ

“อ้อใช่ ต้องสนุกมากแน่ๆ และอาจจะเป็นปาร์ตี้สุดท้ายของฤดูนี้ก่อนอากาศหนาวจะมาเยือน มีคนเจ๋งๆ มากันเยอะเลยนะ กลุ่มของเราค่อนข้างหลากหลายน่ะ บ้างก็เป็นนักกีฬา บ้างก็นักดนตรี..” อยู่ๆ เธอก็สะดุดและมองไปรอบๆ โต๊ะ

“เฮ้ พวกคุณเคยคิดเรื่องเข้าทีมฟุตบอลบ้างมั้ยคะ? อาจจะช้าไปหน่อย เพราะเขาฝึกกันไปบ้างแล้วแต่ฉันมั่นใจว่าโค้ชต้องยินดีให้คุณเข้าทีมแน่ๆ ทีมฟุตบอลของเรากำลังอยากได้ความช่วยเหลือจะแย่อยู่แล้ว”

“โอ๊ย ไม่หรอก พวกเขาอาจจะดูหุ่นนักกีฬาก็จริงแต่เชื่อฉันเถอะว่าเขาไม่เฉียดใกล้คำนั้นเลย” แม่บอกแล้วมองไปที่เอ็มเม็ต

“โดยเฉพาะเอ็มเม็ต เขาอาจจะดูหล่อล่ำแต่อันที่จริงแล้วซุ่มซ่ามเป็นที่สุด แค่เดินพื้นราบธรรมดาไม่ให้สะดุดอะไรเข้ายังยากเลย ไม่ใช่เหรอเอ็มเม็ต?”

แม่ส่งยิ้มกว้างให้เขา ฉันรู้ว่านี่เป็นการเอาคืนจากการที่เอ็มเม็ตชอบแกล้งแม่อยู่ตลอดเวลาตอนที่ยังเป็นมนุษย์ เอ็มเม็ตจ้องกลับ

“ใช่ ขาฉันมันไม่ค่อยสัมพันธ์กันน่ะ” เขาตอบอย่างเสียไม่ได้

พ่อ, เจคอบและแจสเปอร์พยายามกลั้นหัวเราะ

“งั้นเหรอ? แย่จัง” แอนาเบลเสียดาย “เอาเถอะ คืนนี้ต้องสนุกแน่ๆ พวกคุณทุกคนได้รับเชิญมาปาร์ตี้ด้วยเหมือนกันนะ ถ้าพวกคุณอยากมา”

ดวงตาของอลิซเบิกโต เธอมักจะตื่นเต้นกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับปาร์ตี้เสมอ ท้องไส้ฉันเริ่มปั่นป่วน ก็ฉันไม่อยากไปงานปาร์ตี้กับพ่อแม่แล้วก็พวกลุงป้าน้าอานี่นา มันจะกร่อยขนาดไหนกันล่ะ? ฉันรู้ดีว่าคนอื่นคงไม่รู้หรอก แต่ฉันรู้นี่นา ปาร์ตี้แรกในชีวิตเด็กมัธยมของฉันแต่ต้องไปกับพ่อแม่เนี่ยนะ.. พ่อมองมาที่ฉัน

“อ้อ เราก็อยากไปเหมือนกันนะ แต่บังเอิญเรามีแผนอื่นสำหรับคืนนี้แล้วน่ะ ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” พ่อบอก

อลิซทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเสียดายเหมือนกับป้าๆ และลุงๆ ที่เหลือ พวกเขาเข้ากับมนุษย์คนอื่นๆ ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ในตอนแรกพวกมนษย์จะหลบเลี่ยงพวกเขาโดยอัตโนมัติเพราะสัญชาติญาณของพวกนั้นบอกตัวเองเหมือนกันหมดว่าพวกเราเป็นตัวอันตราย แต่เมื่อครอบครัวของเราใช้ความพยายามก็จะสามารถกลมกลืนไปกับพวกมนุษย์ได้ในที่สุด พวกเขาได้ฝึกฝนเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งตอนอยู่ที่ฟอร์คส์ การที่พวกเขาไม่ได้กะเกณฑ์อะไรกับตัวเองมากเท่าเมื่อก่อน ทำให้พวกเขาดูเหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น

ฉันมองกลับไปหาพ่อและกล่าวขอบคุณในใจ พ่อพยักหน้าตอบ

ฉันใช้ชั่วโมงพักกลางวันที่เหลือไปกับการเฝ้าดูแอนาเบลพูดคุยกับครอบครัวของฉัน ชีพจรของเธอเต้นเร็วขึ้นก็เฉพาะเวลาที่มีใครยิ้มหรือโชว์ฟันขาวๆ โดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น

โดยรวมแล้วฉันประทับใจที่เธอดูผ่อนคลายสบายใจระหว่างที่นั่งกับพวกเรา ฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าพ่อส่งสายตามองเธอด้วยความใคร่รู้อยู่เป็นพักๆ ฉันเริ่มสงสัยว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีใครอื่นอีกที่พ่อไม่สามารถอ่านความคิดได้ เพราะแม่ฉันเป็นคนเดียวที่เป็นอย่างนั้น

เมื่อหมดเวลาพักเที่ยง ฉันตัดสินใจเดินไปห้องเรียนพร้อมกับพ่อและแม่ ฉันอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่อยู่ในใจของแอนาเบลที่ทำให้พ่อจ้องมองเธอขเม็งแบบนั้น

“คิดว่ายังไงคะ?” ฉันถาม

“เธอดูเป็นเด็กดีจ้ะ คืนนี้ลูกต้องสนุกมากแน่ๆ” แม่ตอบ

ฉันพยักหน้ารับแล้วหันไปหาพ่อ “ได้ความว่ายังไงคะ?”

“อะไรได้ความยังไงเหรอ?”

“ไม่รู้สิคะ ก็ดูเหมือนพ่อจะสังเกตเห็นอะไรเป็นพิเศษ”

“อ้อ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เธอมีเจตนาดีจริงๆ เธอเป็นคนดี”

“เธอคงไม่ได้คิดอะไรประหลาดๆ เรื่องครอบครัวเราใช่มั้ยคะ?”

“อันที่จริงกลับตรงข้ามเลย” พ่อหัวเราะ “เอ็มเม็ตทำให้เธอนึกถึงพี่ชายของเธอขึ้นมา”

“พี่ชาย?” ฉันถาม สาบานได้ว่าเธอบอกว่าเธอเป็นลูกคนเดียว

“ถูกแล้ว มีอะไรเหรอ?”

“เธอเคยบอกหนูว่า เธอเป็นลูกคนเดียวนี่คะ”

“ตอนนี้อาจใช่ บางครั้งโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นได้จ้ะ เนสซี่” แม่อธิบาย
น่าเศร้าอะไรอย่างนี้ เธอคงไม่อยากเล่าว่าเธอสูญเสียพี่ชายไป ฉันมองไปที่พ่อและสังเกตว่าเขากำลังครุ่นคริดอย่างหนัก

“แล้วพ่อเห็นอะไรอื่นๆ อีกบ้างคะ?” ฉันถามอีก

“ก็แค่ตอนที่เธอนึกถึงครอบครัวของเธอ พ่อสัมผัสได้ถึงความประทับใจที่พวกเขามีเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่เธอนึกภาพครอบครัวของเธอในใจนั้นมันเป็นคนละยุคคนละสมัยเลย”

“เหมือนว่าเธอใช้ชีวิตอยู่อีกยุคนึงเหรอคะ?”

“จะเป็นไปได้ยังไงกัน?” แม่พูด

“ไม่รู้สิ มันก็เหมือนกับความทรงจำของพวกเราน่ะ บางครั้งก็มีเหตุให้นึกย้อนกลับไปไกล แต่ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กคนนี้มีความทรงจำอย่างนั้นได้ยังไง?”

ฉันมองกลับไปที่พ่ออีกครั้งด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับคำถามมากมายที่คงตอบไม่หมดก่อนจะถึงวิชาถัดไป

“ไม่ต้องห่วงหรอกเนสซี่ ไว้คุยกันทีหลัง”

ฉันพยักหน้าเป็นการตอบแล้วเริ่มออกเดินไปยังห้องเรียนวิชาถัดไปของฉัน ทำไมแอนาเบลถึงได้มีความทรงจำแบบนั้นนะ? ถ้าเธอสูญเสียครอบครัวไปแล้ว ฉันควรได้เห็นภาพที่เธอมีบุคลิกภาพมืดมนสิ แต่เธอกลับเป็นคนสนุกสนานสดใสร่าเริงขนาดนี้ เหมือนกับว่าเธอไม่แคร์อะไรในโลกและไม่แคร์ด้วยว่าโลกนี้จะคิดกับเธอยังไง นี่เป็นบุคลิกที่ไม่ปกติสำหรับมนุษย์ เพราะทุกคนมันจะคิดว่าคนอื่นจะคิดกับเขายังไง ทุกคนแคร์.. แม้กระทั่งแวมไพร์เองก็ตาม ฉันหวังแค่ว่าเราจะกลายเป็นเพื่อนสนิท เธอจะได้เผยความลับนั้นต่อฉัน

คืนนี้ฉันมีแผนอื่นอีก ประเด็นคือการสนุกสุดเหวี่ยงแบบวัยรุ่นๆ ไงล่ะ!



Create Date : 10 สิงหาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 2:45:27 น.
Counter : 4008 Pageviews.

3 comments
  
สนุกมากๆค่ะ
โดย: prettydesign วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:22:30:29 น.
  
ขอบคุณที่มาแปลให้ได้อ่านกันนะคะ
โดย: cha IP: 58.9.120.174 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:23:05:36 น.
  
เร็วววววววสิ
ชอบหายไปประจำเลย
หายไปนานไม่ดีด้วย
มันหงุดหงิด
โดย: 10405 IP: 125.27.149.251 วันที่: 28 ธันวาคม 2552 เวลา:14:53:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]