จากสถิติอุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น มักจะเกิดในช่วงที่อากาศยานกำลังบินขึ้นหริือร่อนลงจอด โดยทั่วไปแล้วเกิดจากสาเหตุหลายตัวแปรที่จะทำให้เครื่องบินที่กำลังลดระดับ เพื่อร่อนลงจอดยังสนามบินปลายทางไม่สามารถบินไปถึงได้ สภาพอากาศที่เลวร้ายเครื่องยนต์หรือระบบนำร่องผิดพลาด หรือเกิดจากความผิดพลาดของนักบินผู้ควบคุมเครื่องบิน เมื่อการบินต้องพบกับสภาวะอากาศที่เลวร้าย มักจะเกิดขึ้นโดยมีความเร็วของลม และสภาพพื้นผิวของรันเวย์ในขณะนั้น เป็นหลักสำคัญ กระแสลมที่พัดในบริเวณรันเวย์ หรือพื้นที่ใกล้เคียงในขณะที่เครื่องกำลังลดระดับ ถ้ามีความเร็วเกินกว่า 25-30 นอต ไม่ว่าจะพัดมาจากทิศทางใดในระหว่างที่เครื่องบินจะทำการร่อนลงจอดมักสร้าง ปัญหาให้กับนักบินในการควบคุมเครื่องบินให้ได้แนวระดับ เนื่องจากนักบินต้องลดกำลังเครื่องลงมา ควบคู่ไปกับการลดความสูงและปรับทิศทางเพื่อทำการร่อนลง ไม่ว่าลมกำลังแรงจะพัดมาจากหน้าเครื่อง ด้านข้างของลำตัว หรือด้านท้ายก็ตาม สนามบินแทบทุกแห่งทั่วโลกจึงทำการติดตั้งเครื่องวัดความเร็วลมบริเวณหัว รันเวย์ ทั้งสองฝั่งจนสุดทางวิ่งและบริเวณด้านข้างของรันเวย์ที่สามารถ วัดความแรงของกระแสลมที่พัดอยู่ในทุกบริเวณของสนามบินเพื่อแจ้งค่าความเร็ว ของลมในขณะนั้น ให้นักบินรับทราบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการบินขึ้นหรือร่อนลงจอด
14.45 น.เครื่อง ATR 72-600 ของสายการบินลาวซึ่งให้บริการบินระยะสั้นภายในประเทศ เที่ยวบินที่ QV310 มีต้นทางที่สนามบินวัดไตในเวียงจันทน์จะไปสถานีปลายทางที่สนามบินปากเซ โดยมีระยะทางในการบินไม่ไกลนักและผู้โดยสารส่วนใหญ่ในเที่ยวบินนี้มักเป็น นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ต้องการบินจากเวียงจันทน์ไปปากเซด้วยความรวดเร็วและสะดวกสบายในการเดิน ทาง รวมถึงประหยัดเวลาได้มากกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์
ระหว่าง ที่บินใกล้ถึงถึงสนามบินปากเซและจะทำการร่อนลงจอด เกิดสภาพอากาศที่ไม่ดีบริเวณรอบ ๆสนามบินปลายทาง เนื่องจากมีพายุฝนและลมกระโชกแรง จากคำให้การของผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาในจุดที่เครื่องตกแจ้งว่า มีลมจากพายุฝนพัดผ่านขณะเกิดเหตุ นักบินได้วิทยุแจ้งไปยังหอบังคับการในสนามบินปากเซโดยแจ้งยกเลิกการร่อนลง จอดในครั้งแรกและแจ้งขอทำการบินวนเพื่อกลับมาร่อนลงจอดอีกครั้ง หลังจากนั้นเครื่องบินได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เครื่อง ATR 72 ตกกระแทกลงบนแม่น้ำโขงจนทำให้นักบิน พนักงานต้อนรับและผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 44 คน เสียชีวิตทั้งหมดทันทีในที่เกิดเหตุ
จาก การตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบต้นไม้ข้างแม่น้ำถูกชนหักเป็นทางยาว คาดว่าเครื่องบินได้เผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายจนนักบินไม่สามารถบังคับ เครื่องได้ จึงตกกระแทกน้ำ เครื่องขาดออกเป็นสองท่อนและจมลงในแม่น้ำโขงในจุดที่มีความลึกกว่าสิบเมตร นายสมพร ดวงดารา ผู้อำนวยการของสายการบินแห่งชาติลาวได้กล่าวว่า ทางบริษัทกำลังเร่งหาสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้อย่างเร่งด่วน โดยจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สอบสวนและเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้ผลิตเครื่อง บิน พร้อมทั้งแสดงความเสียใจต่อญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมในครั้ง นี้ ขณะที่อธิบดีกรมการบินพลเรือนของลาวกล่าวว่า การค้นหายังคงดำเนินต่อไปแต่คงหมดความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิต เนื่องจากเครื่องตกกระแทกอย่างรุนแรงก่อนที่จะจมลงสู่แม่น้ำโขง
สำหรับ ผู้โดยสารทั้งหมดที่อยู่บนเครื่ิองเป็นชาวลาว 17 คน ฝรั่งเศส 7 คน ออสเตรเลีย 5 คน ไทย 5 คน เกาหลีใต้ 3 คน เวียดนาม 2 คน ชาวแคนาดา ไต้หวัน จีน มาเลเซียและสหรัฐอเมริกาประเทศละ 1 คน ส่วนอีก 5 คนเป็นนักบินและลูกเรือ ด้านกระทรวงโยธาธิการของทางการลาวระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าวบินขึ้นจากสนามบินวัดไตในนครเวียงจันทน์ไปยังเมืองปาก เซทางตอนใต้ของประเทศ มีระยะทางบิน 467 กิโลเมตรและตกกระแทกแม่น้ำโขงก่อนจะถึงสนามบินปากเซเพียงแค่ 8 กิโลเมตร เครื่องบิน ATR72 ลำที่ตกนับเป็นเครื่องบินลำล่าสุดที่ออกจากสายการผลิตในเดือนมีนาคม 2556
ATR 72-600 ของสารการบินลาวแอร์ไลน์ ขนาด 70 ที่นั่ง มีรายละเอียดดังนี้
ATR-72 สร้างขึ้นโดยบริษัท Aerospatiale Marta จากประเทศฝรั่งเศส และบริษัท Alenia Aerospazio จากประเทศอิตาลี ATR เป็นเครื่องแบบสองเครื่องยนต์ ชนิดใบพัดปีกสูง ATR 72 สร้างจากต้นแบบของ ATR42 ด้วยการต่อลำตัวออกไปอีก 4.5 เมตร และจุผู้โดยสารเพิ่มเป็น 64-72 ที่ ( ATR 42 จุ ผู้โดยสารได้ 42-50 ที่) ATR-72 บินเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1988 ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ตอนปลายปี 1989 สายการบินต่าง ๆ ทั่วโลกได้นำมาให้บริการในวันที่ 27 ตุลาคม 1989 (ATR-42 บินเป็นครั้งแรกเดือน สิงหาคม 1984) ATR 72-600 สามารถสังเกตได้จากมีใบพัด 6 ใบ ซึ่งใบพัดจะสั้นกว่าเก่า และความเร็วรอบช้าลง ทำให้เสียงและการสั่นสะเทือนเข้าไปยังห้องผู้โดยสารน้อยลง ใบพัดเป็นของบริษัท Hamilton Standard /Ratier Figeac และเครื่องยนต์เป็นของบริษัท Pratt & Whitney Canada PW 127 M ซึ่งให้กำลัง 1,500 ชาร์ปฮอร์สพาวเวอร์ (SHP) มีระบบบูสเครื่องยนต์เพื่อช่วยให้บินขึ้นได้ระยะทางสั้นลง ATR 72-600 เพิ่มพื้นที่สำหรับสัมภาระบนห้องเหนือศีรษะ เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ ทำให้สามารถบรรทุกและระยะทางเพิ่มขึ้น เดิมที ATR72-600 ได้ชื่อว่า ATR 72-210A ATR 72-600 ใช้ระยะทางในการวิ่งขึ้น เพียง 3,580 ฟุต (1,091 เมตร) และระยะทางวิ่งลงเพียง 3,235 ฟุต (986 เมตร) ที่ระดับน้ำทะเล
ATR 72-600
ประเภท อากาศยานขนส่งระยะสั้น
ลูกเรือ กัปตันและนักบินผู้ช่วย พนักงานต้อนรับ 2 ผู้โดยสาร 70 คน
เครื่องยนต์ แพลตแอนด์วิดนี่ย์ สองเครื่องยนต์รุ่น PW 127 M เทอร์โบพร๊อบ 2,750 แรงม้า/เครื่อง
น้ำหนักบินขึ้นสุงสุด 22,000 กิโลกรัม
สมรรถนะ ความเร็วในการบินเดินทาง 490 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เพดานบินสูงสุด 7,620 เมตร / 25,000 ฟิต
บินไกล 1,668 กิโลเมตร (900 naut miles)
ระวางบรรทุกสินค้า 7,050 กิโลกรัม
ระยะทางวิ่งขึ้น 1,079 เมตร
ระยะทางร่อนลงจอด 1,048 เมตร
AVIONS DE TRANSPORT REGIONAL ATR 72-600
Engine - 2 X Pratt and Whitney PW127M
Power - 2,500.00 Horsepower
Avionics - Thales Avionics Suite Glass Cockpit
Maximum Cruising Speed - 511.76 km per hr318.00 mph
Service Ceiling - 6,400.80 metres 21,000.00 feets
Rate of Climb - N/A N/A
Numbers Ordered/Sold - 0
Cabin Height - N/A
Cabin Width - N/A
Cabin Length - N/A
Exterior Length - 27.17 metres 89.14 feets
Wingspan / Rotor Diameter - 27.05 metres 88.75 feets
Fuselage Diameter - N/A
Baggage Volume - N/A
Maximum Take Off Weight - 22,500.00 kgs 49,603.50 lbs
Maximum Payload - 7,850.00 kgs17,306.11 lbs
Fuel Tank Capacity - 1,505.94 gallon 5,700.00 litres
Fuel Economy - 0.29 km per litre 0.68 NM per gallon
Minimum Take Off Distance - 1,066.80 metres 3,500.00 feets
Minimum Landing Distance - 914.40 metres 3,000.00 feets