แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู เตือนผู้ที่ไปร่วมชุมนุมเป่านกหวีดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ควรมีอุปกรณ์ช่วยบรรเทาเสียงดัง เพราะเสี่ยงต่อการเกิดประสาทหูเสื่อมฉับพลัน แนะวัยรุ่นชอบใส่หูฟังเปิดเพลงดัง ต้องปรับพฤติกรรมเพราะล้วนเป็นการทำร้ายหูให้เสียหาย...

จากกระแสการต่อต้าน "ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม" ที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมถึงการร่วมชุมนุมของคนจำนวนมากตามสถานที่ต่าง ๆ และได้ร่วมกันเป่านกหวีดเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งในประเด็นนี้ "ทีมข่าวไอทีออนไลน์" สอบถามไปยัง นพ.ประเสริฐ์ สินธุรัตเวช อายุรแพทย์ เชี่ยวชาญตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเวชธานี เพื่อนำความรู้และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน รวมถึงผู้ที่ตัดสินใจไปร่วมชุมนุมแสดงพลังทางการเมืองหรือเหตุการณ์อื่น

โดย นพ.ประเสริฐ อธิบายว่า หูของคนเรามีเซลล์ประสาทที่ใช้ในการรับเสียงมากหลายล้านเซลล์ ซึ่งแต่ละเซลล์นั้นมีความสามารถในการรับเสียงที่แตกต่างกันไป ขณะเดียวกัน เซลล์ประสาทหูของมนุษย์แต่ละคนก็มีความทนทานและความอ่อนแอไม่เท่ากันอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับความดังเสียง โดยมีการจำกัดว่าหากต้องอยู่ในสภาวะที่มีเสียงดังราว 115 เดซิเบล ก็ไม่ควรอยู่ในสถานที่นั้นนานกว่า 15 นาที หากต้องอยู่ในสภาวะเสียง 110 เดซิเบล ไม่ควรอยู่ในสถานที่นั้นนานเกิน 30 นาที และหากต้องอยู่ในสภาวะที่มีเสียง 105 เดซิเบล ไม่ควรอยู่ในสถานที่นั้นนานเกิน 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันความเสียหายต่อหูหรือระบบการได้ยิน

"แน่นอนว่าในการชุมนุมหรือประท้วงนั้นคงไม่มีใครเข้าไปวัดระดับความดังเสียง โดยเฉพาะการแสดงพลังด้วยการเป่านกหวีดคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่คาดว่าระดับเสียงอาจจะอยู่ที่ 90-100 เดซิเบล ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับเสียงในสถานบันเทิงหรือผับ จึงถือว่าเป็นระดับเสียงที่หูของมนุษย์รับไหวแต่ก็ไม่ควรเป่านกหวีดต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือเป่าติดต่อกันเป็นชั่วโมง เพราะอาจสร้างความเสียหายแก่เซลล์ประสาทหู หรือทำให้เกิดภาวะประสาทหูเสื่อมอย่างฉับพลันได้" นพ.ประเสริฐ กล่าว

อายุรแพทย์ เชี่ยวชาญตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวอีกว่า นอกจากการอยู่ในพื้นที่ชุมนุมหรือการประท้วงที่มีเสียงดัง ปัจจุบันก็มีหลายอาชีพและหลายพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการผิดปกติทางหู เช่น อาชีพทหาร ตำรวจ พนักงานโรงงาน ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งมีเสียงดังโดยตลอด ส่วนพฤติกรรมของวัยรุ่นในปัจจุบันที่นิยมใส่หูฟังและเปิดเพลงเสียงดังนั้น ถือเป็นการกระทำที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางหูอย่างมาก เพราะการใส่หูฟังทั้งแบบเสียบในหูหรือครอบหูก็ล้วนเป็นการส่งเสียงเข้าสู่หูโดยตรง โดยเฉพาะการเปิดเสียงเพลงดัง ๆ ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคประสาทหูเสื่อม หรือหากมีพฤติกรรมเสี่ยงเป็นเวลานานก็อาจเกิดเป็นโรคทางหูเรื้อรังได้อีกด้วย

นพ.ประเสริฐ แนะนำว่า อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดโรคทางหูหรือประสาทหูเสื่อมนั้นสามารถเกิดได้ทั้งโดยที่รู้สาเหตุและไม่รู้สาเหตุ บางรายอาจเกิดจากโรคประจำตัว อยู่ในภาวะที่มีเสียงดังมาก เกิดจากเชื้อไวรัสบางชนิด หรือพบในผู้สูงอายุ ซึ่งอาการที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคประสาทหูเสื่อม คือการได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงจิ้งหรีดหรือจักจั่นอยู่ในหู หรือรู้สึกคล้ายมีอะไรดันอยู่ในหู ซึ่งผู้ที่มีอาการควรรีบพบแพทย์ภายใน 24-48 ชั่วโมง เนื่องจากการรักษาอย่างรวดเร็วก็จะช่วยให้เห็นผลได้เร็วและให้ผลดีกว่า หรือจะตรวจเช็กการได้ยินหรือเข้ารับการแก้ไขการได้ยินจากทีมแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีให้บริการอยู่ในโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนทั่วไป

ทั้งนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเวชธานี  ยืนยันว่า การแสดงออกทางการเมืองนั้นสามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพของตนเอง โดยอาจหาอุปกรณ์ป้องกันเมื่อต้องอยู่ในสถานที่เสียงดัง เช่น ที่อุดหูซึ่งทำจากยางหรือซิลิโคน ที่ครอบหูสำหรับใช้ในโรงงาน ซึ่งหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาขนาดใหญ่ หรือใช้ที่อุดหูสำหรับว่ายน้ำ และหูฟังเพลงแบบเป็นที่ครอบหู ก็จะช่วยบรรเทาเสียงดังมาก ๆ ได้ ส่วนผู้ที่คิดว่าใช้สำลีหรือทิซชูแล้วจะสามารถป้องกันได้นั้นถือเป็นความเชื่อแบบผิด ๆ นอกจากนี้ก็ไม่ควรอยู่ในสถานที่นั้นเป็นเวลานาน หากจะเป่านกหวีดหรือส่งเสียงดังก็ไม่ควรทำเป็นเวลานาน เพราะนอกจากความกังวลเกี่ยวกับโรคที่อาจเกิดขึ้นทางหูเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน ยังมีความไม่ปลอดภัยด้านอื่น รวมถึงโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของคนหมู่มากได้อีกด้วย.