วงเสวนา “อวสานรถหรูเลี่ยง กม.” ชี้ อนาคตควรตั้งเจ้าภาพสางปัญหารถหรูแอบนำเข้าโดยเฉพาะ ย้ำที่ผ่านมาไม่ชัด ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เชื่อปิดอวสานรถจดทะเบียนเมื่อ กม.บังคับใช้...

วันที่ 17 มิ.ย. ที่ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง “อวสานรถหรูเลี่ยงกฎหมาย” โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา ดังนี้ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายราฆพ ศรีศุภอรรถ รองอธิบดีกรมศุลกากร นายณันทพงศ์ เชิดชู ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ร.ต.อ.(หญิง) สุวนีย์ แสวงผล รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) คมนาคม วุฒิสภา

นายณันทพงศ์ กล่าวถึงกรณีเลขคัสซีรถหรู เลขตัวถังพบว่ามีความซ้ำซ้อนกันว่า ในส่วนสำนักงานขนส่ง กทม.นั้น มีการตรวจสอบอยู่แล้ว มีการส่งไปกองพิสูจน์หลักฐาน เพราะที่ผ่านมา พบว่าอาจมีการทำปลอมขึ้นมาก็เป็นได้ ตรงนี้ต้องมีการกลั่นกรอง จากวิศวกรเครื่องยนต์ แล้วจึงเสียภาษีที่สรรพาสามิต แล้วผ่านไปยัง สมอ.แล้วจึงกลับมาที่ขนส่งฯ ซึ่งเป็นปลายน้ำในที่สุด เรามีหน้าที่เพียงตรวจสอบเอกสารเท่านั้น

ขณะที่ ผอ.สำนักงานขนส่งฯ ยังกล่าวต่ออีกว่า เรื่องการจัดทะเบียนรถจดประกอบในประเทศที่ผ่านมา ยอมรับยังมีอยู่และทำกันนานแล้ว แต่ต่อจากนี้ไปหลังกฎกระทรวงคมนาคม มีผลบังคับใช้ในเร็วนี้ รถยนต์หรูคันใดที่ติดตั้งใช้ถังแก๊ส และตรวจสอบแล้วว่านำเข้ารถมาอย่างถูกต้อง จะต้องจดทะเบียนให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน

แต่หากเป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่น ให้เวลาประมาณ 1 ปี ต้องจดทะเบียนให้เสร็จ แล้วจะปิดประตูตาย เรื่องนี้มีทางออกอยู่ แต่ต้องให้ดีเอสไอตรวจสอบเสียก่อน แล้วน่าจะมีทางออกให้ผู้บริโภคแน่ เพราะผู้บริโภคอาจไม่มีความผิด

ขณะที่ นายเกชา แสดงความเชื่อมั่นว่า รถที่นำเข้าเป็นการลักลอบเข้ามาหลายทาง แต่เชื่อมั่นในหน่วยงานกรมศุลกากรว่า ปล่อยรถทั้งคันนำเข้ามาแน่นอน จนกลายเป็นรถหรูจดประกอบที่เข้ามาแบบผิดกฎหมาย มองว่าเดิมหน่วยงานรัฐอาจไม่ละเอียดรอบคอบพอ ต้องของดูที่มาก่อน โดยเฉพาะกรณีที่ดีเอสไอจะเรียนรถหรู ประมาณ 500 คัน มาสอบก่อน ต้องขอดูยอดก่อนมามีอยู่จริงเท่าไร การตรวจสอบรถหรูต้องตรวจจำนวน 6,000 คัน ไม่ใช่แค่ 500 คัน ส่วนมีกรณีล้างเล่มคู่มือจดทะเบียนรถนั้น ที่ผ่านมาก็ยอมรับว่า มีขบวนการดำเนินการอยู่

นายเกชา กล่าวต่อว่า พูดถึงวิธีลักลอบนำรถเข้าประเทศนั้น มีวิธีนำรถจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาแล้วให้กรมสรรพากรจับกุม พอผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็จะได้คืนรถหรูไป แล้วจึงนำมาประมูลตามกฎหมายก็คือ การฟอกรถ แล้วผู้นำเข้าก็ได้กำไรจากส่วนต่างราคา ยอมรับว่าจุดบอดของประเทสไทยคือไม่มีหน่วยงาน ต้องมีหน่วยงานอะไรซักอย่าง เพื่อมาเป็นหลักให้ผู้บริโภคยึดถือ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการตั้งหน่วยงานลักษณะนี้มาก่อน ต่อไปการจดทะเบียนรถจดประกอบในประเทศไทย จะไม่มีแล้วในอนาคต ต่อไปกรรมาธิการจะกำชับความถูกต้องของเอกสารทางราชการว่ามีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร ที่ผ่านมายังไม่มีการตรวจสอบเอกสารกรณีเลขตัวถังรถเป็นเลขเดิมหรือไม่ อย่างเป็นจริงเป็นจังเลย ซึ่งดีเอสไอจะเรียกตรวจสอบในวันพรุ่งนี้

ทางด้าน นายราฆพ กล่าวว่า ยืนยันว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็มีลักษณะนี้ แต่ปัจจุบันยืนยันว่า 70% เป็นรถที่จับ เพราะมีความผิดทางกฎหมายจริง ย้ำกรมศุลฯ ฟอกความผิดรถไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ที่จับจะได้ค่านำจับเพียง 30% ถามว่าขบวนการฟอกรถมีไหม ยอมรับยังมีอยู่ แต่กรมศุลฯ มีความจำเป็นต้องนำรถหรูที่จับมาได้ประมูลนำรายได้เข้ารัฐ ยืนยันที่กรมศุลฯ ทำอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ เราทำดีที่สุดแล้ว ต้องทราบก่อนว่าจำนวนรถที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ที่ถูกต้อง มีผิดบ้างก็เป็นรถจดประกอบ ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า

นายราฆพ กล่าวต่อว่า นอกจากดูเอกสารรถจดประกอบแล้ว ก็ดูตัวรถด้วย ราคา 4 ล้าน คือ ราคารถใหม่ ไม่ใช่รถจดประกอบ เพราะถ้าทำเช่นนั้น ราคาจะดร็อปลงไป อย่างที่บอกตั้งแต่ปี 2553 มีขบวนการ พยายามหลบเลี่ยงหลายวิธีการ ซึ่งทางกรมกำชับได้ออกเอกสารเตือนไปยังหน่วยงาน และกำชับไปที่ช่างตรวจอย่างจริงจัง พร้อมบันทึกภาพการทำงานด้วย ทั้งนี้ ช่างต้องทราบอยู่แล้วว่ารถคันไหนมีการติดตั้งถังแก๊สหลอก หรือจริง วิสัยช่างตรวจต้องทราบอยู่แล้ว ย้ำต้องมีการลงบันทึกประวัติรถอย่างละเอียดและชัดเจนให้เห็น

ส่วนคำถามที่ว่า จริงหรือไม่ที่รถหรูจดประกอบนำเข้ามาทั้งคัน มีหลุดเข้ามาในประเทศไทยนั้น ทางทฤษฎีเป็นไปได้ไหมว่า เป็นรถจดประกอบที่นำอะไหล่เข้ามาประกอบในประเทศ นายราฆพ กล่าวยอมรับว่า ปีหนึ่งๆ ก็ลักลอบนำเข้ามาประมาณ 200 คัน

ส่วน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าวว่า ดีเอสไอและหน่วยงานต่างๆ ประมาณ 7 หน่วยงาน ร่วมกันทำการตรวจสอบรถหรูจดประกอบอยู่ ล่าสุด กรมการขนส่งทางบกช่วยให้ข้อมูล โดยใช้เกณฑ์รถราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 500 คัน ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้อง เป็นเท็จหรือไม่ ถ้าเอกสารไม่ถูกต้องก็จบ ผิดกฎหมายเลย

กรณีรถหรู 6 คันที่ไฟไหม้ ที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง นครราชสีมา ความคืบหน้า ต้องยอมรับว่า การสอบสวนเดินไปมากพอสมควรแล้ว ออกหมายจับแล้ว คนที่เกี่ยวข้องจะมีเพิ่มในเร็วๆ นี้ เราได้ข้อมูลเกี่ยวข้องกับตัวบุคคลค่อนข้างมาก แต่ยังไม่สามารรถเปิดเผยมากได้ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องเยอะ ยืนยันว่าเรามองทุกมิติ ไม่ได้มองว่าผู้ประกอบการด้านนี้กระทำผิดทุกคน แต่เขาต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เหมือนผู้บริโภคบางราย เขาก็ไม่ทราบจริงๆ คงต้องกันไว้ให้เป็นผู้เสียหายก่อนตามที่อธิบดีพูดไว้ เราต้องมีการอำนวยความยุติธรรม ส่วนผู้ที่กระทำผิดไม่ต้องพูดถึง ต้องมีการพิจารณาโทษอย่างแน่นอน

ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าสืบสวนไปมาแล้วเกิดเจออุปสรรคแล้วดีเอสไอจะทำอย่างไรนั้น รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวต่อว่า เราทำงานร่วมกัน 7 หน่วยงาน เรื่องนี้เชื่อว่า ไม่มี เราเชื่อได้เลย เรื่องพวกนี้ไม่มีแน่นอน เพราะทุกหน่วยงานดูร่วมกันทุกขั้นตอน แล้วสื่อมวลชนก็เฝ้าดูเราทุกวัน

นอกจากนี้ ในส่วน ร.ต.อ.(หญิง) เสวนีย์ กล่าวว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จะเร่งตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงิน เมื่อดูข้อมูลตัวเลขแตกต่างกันอยู่ แต่เรายังไม่ฟันธง แต่จะส่งข้อมูลบริษัทเกรย์มาเก็ตที่มีปัญหา ให้ทางกรมศุลลากร ตรวจสอบต่อไป ยืนยันว่า พร้อมร่วมมือในการตรวจสอบกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ.