Group Blog All Blog
|
"ตัวเรา"เป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น สร้างกริตเตอร์ | ฟังเพลง | ดารา | เกมส์ src="//www.pantip.com/cafe/toy/icon/icon168.gif" />การเข้าใจธรรมะคือการเข้าใจความจริงทางธรรมชาติ... คือเข้าใจได้ว่าตัวเราเป็นการปรุงแต่งทางธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นความรู้สึกที่ว่าเป็น "ตัวเรา" จึงเป็นการยึดมั่นขึ้นมา เป็นการยึดเอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นตนเอง...การเห็นความจริงนี้ได้เราจึงเห็นความหลงที่เกิดอยู่ และการเสพรสต่างๆทางความรู้สึกที่เป็นอยู่จึงเป็นการไปยึดเอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นของตนเอง....การเห็นความจริงนี้ได้จึงต้องละวางการประพฤติ/การปฏิบัติอย่างนั้น. Free TextEditor หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่ากำลังถูกล้างสมอง ซึ่งคำว่าถูกล้างสมองฟังแล้วมันมีความหมายในทางดูถูกกัน เพราะจะหมายถึงว่าเชื่อง่าย หรือไม่มีเหตุผล หรือไม่ก็อาจจะหมายถึงถูกมนต์เสน่ห์ ถูกสะกดจิตทำให้ขาดสติไปทำนองนั้น แต่เชื่อไหมครับคนเราก็สามารถจะล้างสมองตัวเองได้....คือทำซ้ำๆซาก ความคิดความเชื่อของเราก็เริ่มเอนเอียงได้...........
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:10:02 น.
เวลาเข้าวัดเราจะมีความรู้สึกจิตสงบ เพราะจิตเราหลุดจากความว้าวุ่นนั่นเอง เวลาไปทำบุญเราจะมีความรู้สึกอิ่มเอิบและเป็นสุข ความจริงวัดหรือการทำบุญเป็นสื่อให้เราสร้างความรู้สึกขึ้นมา ในทำนองเดียวกันเราอาจจะสร้างภาพเสมือนขึ้นมาก็ได้ คือนึกภาพว่ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เราก็จะเกิดความรู้สึกแบบนั้นได้ นี่คือวิธีล้างสมองตัวเอง โดยสมมุติภาพนั้นขึ้นมาทางความรู้สึก จิตของเราก็จะหลุดจากความว้าวุ่น และเป็นสุข ......เช่นการทำจิตใจให้งดงามเป็นต้น.
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:12:27 น.
***ทำจิตใจให้งดงามดุจ "พระจันทร์วันเพ็ญ" จึงจะเห็น "ตัวบุญ" *** โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:13:21 น.
คงจะพอเข้าใจวิธีการคร่าวๆ คือสร้างความรู้สึกที่เราต้องการขึ้นมาเอง....โดยการนึกขึ้นมาหรือใช้เหตุผลประกอบ
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:14:00 น.
และหลายท่านคงจะเคยฝึกหัดขี่จักรยาน การฝึกก็คือการป้อนอาการเข้าไปทางความรู้สึกประกอบกับการกระทำ ให้จิตกับกายมันทำงานสิ่งนั้นสัมพันธ์กัน แรกๆก็จะล้มลุกคลุกคลานทำไม่ได้ ถ้าเลิกล้มไม่พยายามต่อก็อาจจะขี่จักรยานไม่เป็น แต่เมื่อขี่เป็นก็เหมือนไม่ได้ใช้ความพยายามมากมายอะไร จับจักรยานมาก็ขี่เลย เหตุที่ทำอย่างนั้นได้เพราะเกิดความมั่นใจนั่นเอง ถ้ามองในมุมกลับว่าถ้าเรามีความมั่นใจอย่างนั้นแต่แรก ก็น่าจะขี่ได้โดยไม่ยาก สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะท่านมีความมั่นใจนั่นเอง ความมั่นใจจึงเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ โดยการสร้างภาพสิ่งที่เราจะทำไว้ในใจให้มันเป็นภาพจำลอง หรือเป็นแบบขึ้นมาก่อนแล้วจึงลงมือทำ จิตใต้สำนึกจะทำงานของมันไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:14:54 น.
โดยนัยเดียวกันนี้จะเห็นได้ว่าเราใช้พลังของจิตใต้สำนึกอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่เราไม่สังเกตุว่าเราใช้มันอย่างไร ถ้าไม่มีพลังของจิตใต้สำนึกเราจะเหมือนคนไม่มีศักยภาพ ไม่มีความสามารถอะไรเลย
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:16:00 น.
การให้จิตใต้สำนึกมันทำงาน บางครั้งมันก็กลับมาถามเราเหมือนกันนะครับ ว่าเรากำลังทำสิ่งนั้นไปทำไม มีจุดมุ่งหมายอย่างไร และมันอาจจะถามเราว่าเรามาทำธุระอะไรอยู่บนโลกใบนี้.....แล้วเราก็จะพบว่าเราก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ากำลังหิว.............
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:16:39 น.
การเกิดคำถามว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้ มันกินความหมายกว้าง เพราะเราอาจจะไม่ได้คิดจะหาคำตอบนั่นเอง แต่พอจะตอบคำถามนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเรารู้แต่ว่าเราต้องทำมาหากิน มีครอบครัวต้องดูแล ต้องหาสมบัติหาเงินทองเพื่อความมั่นคงของตนเองและครอบครัว มีกินมีใช้ มีหน้ามีตา ดูมันมีภาระที่เราไม่มีเวลาที่จะมาตอบคำอย่างนี้..........
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:17:20 น.
"ถ้าเราตอบคำถามนี้ไม่ได้ จิตใต้สำนึกมันอาจจะตอบแทน ว่าแท้จริงพวกเราเป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น มันเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น.........ไม่มีตัวเราที่แท้จริงเพราะมันเป็นเพียงการแสดงผลของธรรมชาติอยู่เท่านั้น."
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:18:11 น.
"... ถ้าเราเชื่อว่ามันเป็นจริงตามนั้น สติจะเกิดขึ้นเห็นว่ามันเป็นจริงและเห็นว่าเรายึดเอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นตนเอง เพราะถ้าโลกและจักรวาลเป็นเพียงธรรมชาติ ตัวเราก็ต้องเป็นธรรมชาติด้วย ความรู้สึกที่ว่าเป็น ตัวเราที่เกิดขึ้นนี้ ก็เกิดจากปฏิกิริยาทางพลังงานของร่างกายนั่นเองที่ปรุงแต่งกันอยู่ ..
เราเอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นตนเอง คือการเกิดการยึดมั่นทางความรู้สึกว่าเป็น ตัวเรา มันจึงเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งกันของธรรมชาติ เราจึงเกิดความรู้สึกได้ว่าการเสพสิ่งต่างๆทางความรู้สึกก็เป็นการหลงความเป็นธรรมชาตินั่นเอง เป็นการยึดเอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นของตน การเกิดสติเห็นอาการอย่างนี้ จะทำให้การยึดมั่นหยุดลง....เมื่อการยึดมั่นหยุดลงเราจึงจะเกิดสภาวะใหม่ทางความรู้สึก คือมีเพียงอาการรู้ กับสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น" โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:19:28 น.
ขอบคุณครับ มีจิตใจที่สวยงาม จะมีความสุขเกิดขึ้นในวันหยุดครับ โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:00:20 น.
*~*~*~*..แวะมาทักทายจ๊ะ..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..*~*~*~* . . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . . . . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . . . . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . . ..HappY BrightDaY.. โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:13:15 น.
ดีใจที่แวะมาครับ
โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.116.144 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:01:51 น.
"ตัวเรา"ไม่มีอยู่จริง เป็นคำกล่าวที่ท้าทายต่อความเข้าใจ แต่ในเชิงเหตุผลอาจจะหมายถึงการรวมกันอยู่ของอณูหรือธาตต่างๆและในที่สุดก็จะสลายไป เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ของรุ้งกินน้ำ แต่"ตัวเรา"ไม่มีอยู่จริงที่เกิดทางความรู้สึก คือ เมื่อการยึดมั่นหยุดลงมีแต่อาการรู้เกิดอยู่ เมื่อมีสิ่งมากระทบหรือสัมผัสจะรู้สึกเหมือนทำงานเป็นทีม เรารู้อาการต่างได้ทางประสาทสัมผัส คือหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงเหมือนว่ามันเป็นการทำงานของความเป็นธรรมชาติเกิดอยู่ ไม่ใช่ "ตัวเรา" โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.17.177 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:5:23:13 น.
การสิ้นทุกข์คือการรู้ตัวเราตามจริง....... .คือมันเป็นการทำงานของธาตุธรรมชาติ คือ ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ เท่านั้น .............. การยึดมั่นคือความหลง ............... ไม่ใช่อุปมา แต่มันคือความจริง ความรู้สึกที่เป็นเราคือการปรุงแต่งจากธาตุทั้งสี่นี้เท่านั้น การเข้าใจได้อย่างนี้คือที่สุดของความเข้าใจ.......... โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 10 มีนาคม 2555 เวลา:5:06:39 น.
"ตัวเรา"คือการปรุงแต่งกันอยู่ของธาตุทั้งสี่ การจะเข้าใจความจริงนี้ได้ต้องเปลี่ยนมุมมองนะครับ เพราะความรู้สึกของเราจะปรับอาการตามสิ่งที่เราป้อนเข้าไป เราต้องพิจารณากายของเราในความเป็นธาตุต่างๆรวมกันอยู่ มันจะไปคลายอาการที่เกิดเป็นความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา เราจะเห็นอาการที่แสดงเป็นตัวเราคือยึดมั่นทางความรู้สึก.....เราต้องมองตัวเราในมุมนั้นอยู่เสมอเราจึงจะเห็นความจริงนี้ได้ โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 11 มีนาคม 2555 เวลา:8:41:42 น.
......การคลายจากการยึดมั่น หรือการเห็นอาการยึดมั่นทางความรู้สึก เราจึงจะเห็นการสมมุติทางธรรมชาติ ซึ่งมันคืออาการยึดมั่นทางความรู้สึกของเรานั่นเอง การเข้าใจความจริงทางธรรมชาติได้ จึงหลุดออกไปจากความเป็นโลกิยะ เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องทำความเข้าใจตนเอง มันจึงมีความเป็นศาสตร์ ที่มนุษย์จะต้องทำความเข้าใจตนเอง คือทำความเข้าใจเหตุผลทางธรรมชาติของตนเองนั่นเอง การหลุดพ้นคือการเข้าใจความเป็นเหตุผลได้นั่นเองมันจึงเกิดความกระจ่างเข้าใจความเป็นโลก เข้าใจความเป็นชีวิต.............. โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.24.78 วันที่: 19 มีนาคม 2555 เวลา:5:23:10 น.
ความรุ้สึกของเราเป็นมิติ... ถ้าเรารู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา มันเป็นการปรุงแต่งขึ้นมา แต่ถ้าเรามองว่ามันเป้นการทำงานอยู่ของธรรมชาติ มันจะเป็นอีกความรุ้สึหนึ่งคืออยู่ในอีกมิติหนึ่งซึ่งมีความรู้สึกแตกต่างกัน .......ความรุ้สึกที่เป็นตัวเราเป็นการยึดมั่นขึ้นมา แต่การสลายมันคือการมองในความเป้นธรรมชาติ และเราจะเห็นความจริงของมันว่าความจริงมันเป้นธรรมชาติ คือใช้ความรู้สึกของเราสลายความเป้นตัวเรา ทำอย่างนี้อยู่เสมอมันจะเริ่มชัดเจนขึ้น เห็นความจริงนั้นได้ โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 26 มีนาคม 2555 เวลา:6:27:52 น.
ธรรมะมีความเป็นสากล...เพราะเป็นทางออกให้กับมนุษย์
การเบื่อความซ้ำซากจำเจ เราจึงมองเห็นทางออก และการหยุดการดิ้นรนทางความรู้สึก เราจึงพบโลกอีกโลกหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาล ทางพุทธบอกว่าภพอันเป็นที่เกิดของสัตว์โลกมี31ภพ และเราอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งมีกายหยาบต้องมีอาหารเลี้ยงกาย แต่ยังมีภพของผู้มีกายละเอียดซึ่งไม่ต้องการอาหารหรือต้องการอาหารที่ละเอียดซึ่งมีระดับชั้นของความละเอียดอีกมากมาย.... ...แล...ะเราสามารถจะเข้าไปสัมผัสกับภพต่างๆนั้นได้ทางความรู้สึก แต่ในภพที่ละเอียดความรุ้สึกของเราต้องละเอียดด้วยจึงจะสัมผัสหรือเข้าไปอยู่ได้ มันจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องฝึกตนเองเพื่อให้จิตใจมีความละเอียด เมื่อจิตใจละเอียดเราจึงจะเลื่อนระดับตัวเองได้เราจึงจะเห็นความหยาบของภพที่เราอยู่ได้. อุปมา...ความเป็นสัตว์ถูกแบ่งให้อยู่คนละภพกับมนุษย์ เราจึงเห็นความหยาบทางความรู้สึกที่แตกต่าง และทำนองเดียวกันภพที่สูงกว่ามนุษย์ก็สามารถเห็นความหยาบของภพมนุษย์ การพัฒนาความรู้สึกหรือทัศนคติของตนเองจึงเป็นการเลื่อนภพของตนให้ออกไปจากภพเดิมเราจึงพ้นไปจากความเศร้าหมอง ได้คือแนวทางแห่งธรรมะนั่นเอง.ดูเพิ่มเติม โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 29 มีนาคม 2555 เวลา:10:23:03 น.
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:50:39 น.
***ผู้ปฏิบัติธรรมที่เห็นทุกข์มากแล้ว ควรหยุดการวนเวียน และอยู่ในวิหารแห่งความว่าง
ส่วนผู้เริ่มต้นยังเห็นทุกข์น้อย ก็ให้ฝึกการมีสติ การรู้สึกตัวให้มาก... ..........จุดหมายคือการมีเพียง ความรู้สึกรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ คือการเป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่เป็นผู้กระทำ คือการเกิดเป็น ตัวตนหรือ อัตตา ............................................................................................................................ ***ธรรมะกำมือเดียว*** ปัจจุบันขณะ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amarasin สติคือแสงสว่าง https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4 ตัวเราอยู่ตรงไหน https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=11&group=4&gblog=6 รู้สึกตัวอยู่เสมอ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=3 โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:6:31:50 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |