|
ทำบุญโรงพยาบาลสงฆ์ ถวายเพลเพื่อภิกษุอาพาท
เริ่มต้นจากที่ผมได้ชมรายการจุดเปลี่ยน (21/6/2008)ทางโรงพยาบาลบอกว่า รายได้งบค่ารักษาพยาบาลสงฆ์เพียง 1.2 ล้านต่อปี ทั้งที่รายจ่ายจริงอยู่ที่ 13.6 ล้านบาทต่อปี จึงขอให้ทุกคนช่วยๆกันอ่านหน่อยน่ะครับ ไม่ก็ส่งต่อก็ยังดีครับ ทำบุญโรงพยาบาลสงฆ์ ถวายเพลเพื่อภิกษุอาพาท และขั้นตอนการติดต่อ
วิธีเดินทางโดยรถยนต์ (ขับเอง) เริ่มจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ขับเข้าวงเวียนแล้วเลี้ยวเข้าด้านโรงพยาบาลราชวิถี ให้ขับชิดซ้ายไว้ (ไม่ขึ้นสะพานข้ามแยก) พอถึง 4 แยกเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 6 เจอ 4 แยกอีกก็เลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวจะเจอประตูทางเข้าโรงพยาบาล อยู่มุมสี่แยกเลย จริง ๆ แล้วก็อยู่ตรงข้าม ร.พ. รามาฯ (หมายถึงด้านข้าง) แต่ทางเข้าจริง ๆ อยู่ถนนศรีอยุธยา หรือถ้ามาทางอื่นได้ก็แล้วแต่นะ เพราะมันมีหลายทางที่จะมาได้ แต่ร.พ.อยู่ถนนศรีอยุธยา ก็เท่านั้น จะมายังไงก็ตามใจแล้วกัน
วิธีเดินทางโดยรถเมล์ (ขสมก) เริ่มที่อนุสาวรีย์ (เอาตัวเองเป็นหลัก) ขึ้นสาย 8 หน้าโรงพยาบาลราชวิถี ลงฝั่งตรงข้าม ร.พ.รามา เดินตรงไปสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึงโรงพยาบาลสงฆ์แล้วจ้า ขั้นตอนการจองกาทำบุญขั้นตอนการจองการทำบุญถวายอาหารเช้า หรือเพล แด่พระภิกษุอาพาทในโรงพยาบาล การจอง ควรไปแต่เนิ่น ๆ ไปจองต้น ๆ ปี หรือปลาย ๆ ปีเพื่อจองปีต่อไป จะมีโอกาสเลือกวันที่ต้องการ ไม่อย่างนั้น ขาประจำจะลงต่อเนื่องกันไว้หมดแล้ว เพราะเราไปจองไว้ จำได้ว่าหลังจากวันจองประมาณ 3 เดือนถึงได้มาทำบุญวันนี้ จองไว้แล้ว คนละ 9 รูป เป็นเงินทำบุญ 360 บาท มาทำเดือนละครั้ง รู้สึกดี ไม่ต้องเข้าวัดก็ได้บุญ เปลี่ยนบรรยากาศ โทรไปสอบถามที่ร.พ.ก็ได้ แต่ควรไปจองเองจะได้ศึกษาสถานที่ไปในตัว (กรณีไม่เคยไป)
1. ติดต่อที่จองทำบุญที่ตึก (ตึกเดียวกับที่จอดรถอะ) ห้องจองอยู่ด้านหน้าเลย เข้าไปติดต่อด้านในได้เลย มีเจ้าหน้าที่ใจดี รอรับเยอะมาก
2. มีให้จองทำบุญ 2 เวลา คือ ถวายภัตตาหารเช้า รอบ 06.00 น. และถวายเพล 10.30 ทั้งสองเวลาควรมาก่อนเวลาถวายครึ่งชั่วโมง
3. เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่จองวันเวลา เรียบร้อยแล้ว ยังไม่ต้องจ่ายเงินทำบุญ มาจ่ายตอนวันนัดมาถวายเพลเลย
4. เมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็กลับ ไปเดินเล่นสำรวจสถานที่ถ้ามีเวลา
.. จ บ ขั้ น ต อ น ข อ ง ก า ร จ อ ง เ พี ย ง เ ท่ า นี้ ....
และก็ถึงวันนัดแล้ว ของเรา 7 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยปฏิบัติตามนี้เลย
ขั้นตอนการมาถวายเพลตามที่นัดไว้ 1. มาถึงก็เข้าไปติดต่อห้องที่เราไปจองวัน เพื่อเช็คชื่อ จ่ายเงิน รับใบเสร็จ แล้วก็ไปทางหอฉันท์ (ตรงข้ามห้องจอง) เข้าติดต่อที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ เคาน์เตอร์ติดต่อสอบถาม
2.ติดต่อเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบผู้ใจบุญ พาขึ้นไปถวายเพลพระภิกษุอาพาทที่ตึกกัลยานิวัฒนา
3. เมื่อขึ้นไป (จำชั้นไม่ได้) จะพบว่ามีพระภิกษุที่อาพาท (อาการไม่ค่อยหนัก) รอรับการถวายเพลจากเราอยู่ มีทั้งหมด 4 ล็อก ๆ ละ ประมาณ 10 รูปได้ แต่ เตียงไม่เต็ม เจ้าหน้าที่ให้ถวายทุกล็อก (แต่จริง ๆ จองไว้ 9 รูป เจ้าหน้าที่ใจดี) พอจบล็อกก็ได้รับพรจากพระ รู้สึกดีจริ ง เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจ ดีใจที่รู้จักการทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ อ้อ ลืม ถวายซองปัจจัยด้วยก็ดีนะ เล็ก ๆ น้อย (ขั้นตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
4.. เมื่อเรียบร้อยจากการถวายเพลแล้ว เราก็ต้องลงไปที่หอฉัน เพื่อนั่งรอพระที่ทางโรงพยาบาลนิมนต์มาฉันท์เพล(วันนี้พระจากวัดอนงคาราม) เพื่อให้ท่าน สวดมนต์ ให้ศีล ให้พร ตามระเบียบ
เมื่อพระฉันเพล(เราสามารถเตรียมอาหารคาวหวานผลไม้มาถวายได้) เมื่อฉันเรียบร้อย แล้วก็สวดอีก ทีนี้ถึงคราวใครจะถวายสังฆทาน ปัจจัย ดอกไม้ ก็เดินไปถวายที่ด้านหน้าที่พระท่านนั่งอยู่ แล้วก็กรวดน้ำ รับน้ำมนต์ เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนใครที่จะสะเดาะห์ ต่อชะตา ทำบุญวันเกิด ให้รอทีหลังพิธีคะ ทุกขั้น ทุกตอนจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศให้ทราบเป็นระยะ ๆ อุปกรณ์สำคัญในการกรวดน้ำ ที่นี้มีเตรียมไว ้สำหรับผู้ใจบุญเยอะมาก
การบริจาคเงินมูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ ดังเช่น พระพุทธองค์ตรัสว่า "ถ้าหากผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด" - การบริจาคตั้งทุน เริ่มต้นทุน 1,000 บาทขึ้นไป ใช้เฉพาะดอกผล - การบริจาคสมทบมูลนิธิฯ แบ่งเป็น 1. ค่าถวายภัตตาหาร 2. ค่าเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค 3. ค่าบำรุงโลหิต 4. ค่าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ 5. ค่าบำรุงทั่วๆ ไป การบริจาคสมทบทุนจะระบุได้หลายรายการแล้วแ ต่ความประสงค์ของผู้บริจาค
ที่อยู่ มูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ 445 ถ. ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400 โทร 02-354-4278, 02-354-4293 FAX. 02-644-9779 Wesite : //www.priest-hospital.go.th/
สถานที่บริจาค อาคารคิลานเภสัช ชั้นล่าง ติดร้านค้าสวัสดิการ ร.พ. สงฆ์ เวลาทำการ วันจันทร์ วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. วันหยุดราชการและนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00-13.00 น.
บริจาคผ่านธนาคาร ธนาคารทหารไทย บัญชีออมทรัพย์ สำนักพหลโยธิน เลขที่ 001-2-461-80-2 ชื่อบัญชีมูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ 1. กรุณาระบุวันที่โอนเงินเข้าบัญชี 2. บอกชื่อและที่อยู่ 3. แจ้งวัตถุประสงค์การบริจาค ส่ง FAX. 02-644-9779 หรือโทร 02-354-4278, 02-354-4293 ติดต่อเจ้าหน้าที่การเงิน
บริจาคทางธนาณัติ สำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ ที่อยู่ 445 ถ. ศรีอยุธยา เขตราชเทวี กทม. 10400 สั่งจ่าย ปณ. ราชเทวี หรือ ปณ.ดุสิต กรุณาแนบจดหมายแจ้งความประสงค์การบริจาคเงินและที่อยู่ หมายเหตุ ถ้ามีทุนอยู่ ให้เขียนชื่อทุน เลขที่ หรือปีแรกที่ตั้ง
สุดท้ายนี้ ขอบคุณมาก ๆ
ที่เสียสละเวลาอ่านน่ะ
อย่าลืมช่วยกันส่งต่อเยอะ ๆ น่ะครับ
Create Date : 25 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 9:31:16 น. |
Counter : 6853 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จิตกับสมองสัมพันธ์กันอย่างไร
ไม่มีคำว่าสายเกินไป..
เขียนโดย พระไพศาล วิสา โล
กานดาวศรี มีอาชีพพยาบาล คราวหนึ่งป่วยหนักถึงกับเข้าสู่ภาวะโคม่าเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ เธอเล่าว่าในขณะที่หมดสติอยู่นั้น เธอได้ยิน เสียงผู้คนรอบตัว และรู้ว่าหมอและพยาบาลพูดอะไรกันบ้างขณะที่อยู่ข้างเตียง เธอ
ประสบการณ์เกือบ ๓๐ ปีในการเป็นพยาบาล ทำให้เธอรู้ว่ามี ผู้ป่วยขั้นโคม่าหลายคนที่มีประสบการณ์คล้ายเธอ บางคนเล่าว่าได้ยินเสียงพระสวดมนต์ จากเครื่องอัดเสียงที่ลูกเปิดไว้ข้างศีรษะขณะที่หมดสติ บางคนมีปฏิกิริยาตอบ สนองต่อคำพูดของญาติมิตร เช่น น้ำตาไหล หรือถึงกับพนมมือ
ตามความเข้าใจของคนทั่วไป ผู้ที่หมดสติ หรือเข้าสู่ภาวะโคม่า ย่อมไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรกับเขา ก็ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้หรือมีทีท่าตอบสนอง แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้น ไม่ อย่างน้อยก็มิได้เป็นเช่นนั้นในทุกกรณี การที่เขาไม่สามารถตอบสนองออกมาได้ มิได้หมายความว่า เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เป็นแต่ร่างกายของเขาไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ได้อย่างคนทั่วไปเท่านั้น
มีผู้ป่วยบางคนที่เจ็บป่วยด้วยความผิดปกติทางสมอง และเข้าสู่ภาวะโคม่า มีสภาพไม่ต่างจาก ผัก และมีโอกาสที่จะ ฟื้นขึ้นมาได้น้อยมาก แต่ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาได้ เขาเล่าว่าในช่วงที่หมดสติอยู่นั้น เคยถูกหมอทดสอบด้วยการบิดและบีบนิ้วเท้าของเขา เขารู้สึกเจ็บปวดมาก จนร้องในใจว่า หยุดได้แล้ว ๆ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดหรือแสดงอาการเจ็บปวดออกมาได้ ผลคือหมอยังคงบิดและบีบต่อไปจนเลิกไปเอง โดยเข้าใจว่าเขาหมดความรู้สึกเสีย แล้ว
มิเพียงแต่ได้ยินหรือรู้สึกทางกายเท่านั้น ผู้ป่วยในภาวะโคม่ายังสามารถ เห็น ได้ด้วย คริสเติล เป็นเด็ก ชาวอเมริกันอายุ ๗ ขวบ มีคนพบเธอหลังจากจมอยู่ใต้สระน้ำเป็นเวลา ๒๐ นาที อาการของเธอเพียบหนัก นอกจากจะอยู่ในภาวะโคม่าแล้ว การตรวจด้วยเครื่องซีทีสแกนพบว่า สมองของเธอบวมมาก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อีกทั้งเลือดของเธอก็มีความเป็นกรด สูงมาก บ่งชี้ว่าเธอใกล้จะเสียชีวิตแล้ว หมอยอมรับว่ามาถึงจุดนี้แล้วก็ทำอะไร แทบไม่ได้แล้ว
แต่แล้วเธอก็ฟื้นขึ้นมาหลังจาก โคม่าได้ ๓ วัน ทันทีที่เห็นหมอเข้ามาในห้อง เธอก็ทักหมอผู้นั้นทันที เพราะ เธอ เห็น หมอคนนี้ในขณะที่ยังหมดสติอยู่ เธอยังพูดถึงลักษณะของหมออีกคนที่ รักษาเธอได้อย่างถูกต้อง แม้ว่ายังไม่ได้พบกันเลยก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเธอยัง พรรณนาลักษณะของห้องฉุกเฉินได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งอุปกรณ์และผู้คนที่อยู่ในห้องนั้น
เมื่อปี ๒๕๔๔ วารสารทางการแพทย์ของอังกฤษฉบับหนึ่ง กล่าวถึงผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เขาถูกนำส่ง โรงพยาบาลอย่างรีบด่วน หมอทำการช่วยเหลือด้วยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ แต่ก่อนที่จะใส่ท่อช่วยหายใจพยาบาลได้ถอดฟันปลอมของเขาออก ในที่สุดหัวใจเขาก็เต้นเป็น ปกติ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมื่อผู้ป่วยรายนี้เห็นหน้าพยาบาลคนที่ถอดฟันปลอมให้ เขาก็จำเธอได้ทันที และถามว่า คุณเป็นคนถอดฟันปลอมให้ผมใช่ไหมครับ ใช่แต่เท่านั้น เขายังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างถูกต้อง
ทั้งสองกรณีข้างต้น ผู้ป่วยล้วนหมด สติไร้สัมปฤดี สมองอยู่ในสภาพไม่ปกติเพราะขาดอากาศ แต่เขา เห็น ผู้คนและสถาน ที่รอบตัวได้อย่างไร เขาไม่ได้เห็นด้วยตาอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่ได้รับรู้ด้วย ระบบประสาทหรือสมองอย่างในภาวะปกติด้วย ทั้งสองกรณีเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก เขาจะเห็นด้วย ใจ
ทั้งสองกรณีมิใช่กรณีพิเศษหรือยกเว้น มีรายงานการวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าผู้ป่วยในภาวะโคม่ายังสามารถรับรู้ได้ เช่น รายงานของนายแพทย์พิมฟอน ลอมเมล ซึ่งได้สัมภาษณ์ผู้ป่วย ๓๔๓ รายที่รอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น ข้อสรุปที่ออกมาก็คือ ผู้ป่วยร้อยละ ๑๘ จดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นขณะไร้ความรู้สึกตัวได้อย่างแม่นยำ รายงานอีกชิ้นหนึ่งของนัก วิจัยชาวอังกฤษ พบว่าผู้ป่วยร้อยละ ๑๑ สามารถจดจำเหตุการณ์ขณะหมดสติ ได้
ตัวอย่างที่กล่าวมาบ่งชี้ว่าการรับรู้โลกภายนอกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่สมองเท่านั้น เราสามารถได้ยิน รู้สึก หรือ เห็นได้แม้ในภาวะที่สมองไม่อาจทำงานอย่างปกติได้ หากการรับรู้รวมทั้งความจำได้ หมายรู้เป็นเรื่องของจิต นั่นก็หมายความว่าจิตไม่ได้ผูกติดกับสมอง หากเป็นอีก ส่วนหนึ่งที่แยกต่างหากจากสมอง แต่ทำงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จิตอาจรับรู้หรือ มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกโดยผ่านสมอง แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในภาวะที่ สมองหยุดทำงานหรือมิอาจทำงานได้อย่างปกติ จิตก็ยังสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ แต่อาจไม่ชัดเจนเท่าในยามปกติ อีกทั้งไม่อาจบัญชาให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ แม้จิตปรารถนาจะทำเช่นนั้นก็ตาม กระนั้นก็ตามมีบางกรณีที่ ผู้ป่วยสามารถแสดงปฏิกิริยาตอบสนองได้ หากจิตถูกกระตุ้นเร้าเพียงพอ ดังกรณีที่จะ กล่าวต่อไป
จิตกับสมองสัมพันธ์กันอย่างไร จิต เกิดจากสมอง หรือเป็นอีกส่วนที่แยกจากสมอง เหล่านี้เป็นประเด็นที่ยังคงโต้เถียงกันอีกนาน แต่นั่นก็ไม่สำคัญสำหรับคนทั่วไปเท่ากับความจริงที่ว่า ผู้ที่หมดสติ หรืออยู่ในภาวะโคม่านั้น ยังมีความสามารถที่จะรับรู้ได้ ประเด็นนี้มีความสำคัญมาก เพราะนั่นหมายความว่า ผู้ที่อยู่รอบตัวผู้ป่วยยังสามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้ป่วยได้ คำพูดหรือการกระทำของหมอ พยาบาล และญาติผู้ป่วย อาจส่งผลในทางบวก หรือลบต่อผู้ป่วยก็ได้ ดังนั้นหากปรารถนาดีต่อผู้ป่วย จึงควรปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่หมดสติประหนึ่งคนปกติ แม้เขาจะอยู่ในภาวะอย่าง ผัก ก็ตาม
มีหลายกรณีที่คำพูดของญาติมิตร สามารถส่งผลในทางบวกต่อผู้ป่วยที่หมดสติ จนเขาสามารถแสดงอาการรับรู้ออกมาได้ หรือถึงกับรู้สึกตัวขึ้นมาได้
มีเรื่องเล่าว่า ติช นัท ฮันห์ พระเซนชาว เวียดนาม เคยไปเยี่ยม อัลเฟรด แฮสเลอร์ มิตรชาวอเมริกันที่อยู่ในภาวะโคม่าและ ใกล้จะหมดลม ท่านนัทฮันห์ได้นั่งข้างเตียงอัลเฟรด และพูดถึงประสบการณ์อันน่าประทับใจที่ทั้งสองได้ผ่านมาร่วมกันเมื่อครั้งเรียกร้องสันติภาพในเวียดนาม ท่าน พูดอยู่ประมาณ ๔๐ นาที เมื่อพูดจบ อัลเฟรดทั้ง ๆ ที่ยังโคม่าอยู่ ก็พูดขึ้นมาว่า วิเศษ ๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็จากไปอย่างสงบ
สารคดีของบีบีซีเรื่อง Human Body ที่เผยแพร่ไม่นานมานี้ พูดถึง ไวโอล่า หญิงวัย ๕๘ ที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง จนถึงกับหมดสติ หมอไม่สามารถช่วยให้ฟื้นขึ้นมาได้ จนในที่สุดลูก ชายก็พูดกับแม่ว่า แม่ต้องฟื้นนะ เพราะพ่อกำลังจะพาผู้หญิงอีกคนไปเที่ยว พอ พูดจบ ไวโอล่าก็เปิดตาและรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอเล่าว่าเธอยอมไม่ได้ที่สามีจะ ควงผู้หญิงอื่นไปเที่ยว
อีกกรณีหนึ่งซึ่ง วีรกร ตรีเศศ นักเขียนประจำมติชนสุดสัปดาห์ ได้อ้าง ดร.สมศักดิ์ ชูโต อีกทีว่า หญิงฝรั่งผู้ หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนหมดสติ อาการหนักมาก ถูกนำส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครคิดว่าจะรอด ขณะที่หมอและบุรุษพยาบาลกำลังช่วย ชีวิตเธออยู่นั้น มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า อีนี่ไม่น่าตายเลย นมมันสวย ปรากฏว่า เธอได้ยินและมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมาว่า ฉันต้องไม่ตาย ในที่สุดก็กลับฟื้นขึ้นมา ได้
ผู้ป่วยขั้นโคม่าที่ฟื้นขึ้นมาก็มี แต่ที่ไม่ฟื้นเลยก็มาก เพราะสังขารไม่อำนวยแล้ว แต่ไม่ว่าผลในท้ายที่สุดจะ เป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขายังหมดสติอยู่นั้น อย่าลืมว่าเขายังสามารถรับรู้ อะไรได้ ดังนั้นญาติมิตรจึงยังสามารถช่วยเขาได้อีกมาก โดยเฉพาะในด้านจิตใจ เช่น ช่วยให้เขาคลายความวิตกกังวลหรือความหวาดกลัว ด้วยการพูดให้เขาเบาใจ รำลึก ถึงบุญกุศลหรือความดีที่เขาเคยบำเพ็ญ หรือน้อมใจให้รำลึกถึงพระรัตนตรัยและสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ และคลายความกังวลเกี่ยวกับลูกหลานหรือคนรัก การพูดถึง ประสบการณ์ในอดีตที่เขาประทับใจหรือภูมิใจ ก็ช่วยเขาได้เช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่งก็ควรระมัดระวังคำพูดหรือการกระทำที่จะทำให้เขาเป็นทุกข์ เช่น ทะเลาะวิวาทกัน หรือร่ำไห้คร่ำครวญ ข้างเตียง หรือพูดถึงความเจ็บป่วยของเขาในทางที่ไม่สร้างสรรค์
ตราบใดที่ผู้ป่วยยังมีลมหายใจอยู่ ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะทำสิ่งดี ๆ ให้เขา ไม่ว่าการช่วยเขาทำบุญถวาย สังฆทาน ขออโหสิกรรมจากเขา หรือเอ่ยปากให้อภัยเขา (หากคิดว่าความรู้สึกผิดยัง ค้างคาใจเขาอยู่) หรือแม้แต่การบอกความในใจบางอย่างให้เขารับรู้
หญิงชราผู้หนึ่งนั่งเศร้าซึมข้าง เตียงสามีซึ่งอยู่ใกล้ตายและอยู่ในภาวะโคม่า เธอเสียใจที่ไม่เคยบอกสามีว่าเธอ รักเขาเพียงใด มาได้คิดก็สายเสียแล้วเพราะเขาหมดสติไม่ตอบสนองใด ๆ แต่พยาบาลแนะ ให้เธอพูดทุกอย่างที่อยากพูดเพราะเขายังอาจได้ยินคำพูดของเธอได้ เธอจึงขออยู่ กับเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วบอกเขาว่า เธอรักเขาอย่างสุดซึ้ง และมีความสุขที่ได้ อยู่กับเขา หลังจากนั้นเธอก็กล่าวคำอำลาว่า ยากมากเลยที่ฉันจะอยู่โดยไม่มีเธอ แต่ฉันไม่อยากเห็นเธอทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉะนั้นหากเธอจะจากไป ก็ขอให้จากไป เถิด พูดจบ สามีของเธอก็หายใจเฮือกยาวออกมาและสิ้นชีวิตอย่างสงบ
สำหรับผู้ป่วยที่หมดสติ ความดีงามที่สื่อตรงจากใจถึงใจนั้นมีอานุภาพเหลือประมาณ สามารถเยียวยาความทุกข์และเป็น กำลังใจให้เขาก้าวสู่ความตายได้อย่างสงบ ชนิดที่เงินจำนวนมหาศาลและเทคโนโลยีอัน ล้ำเลิศมิอาจทำได้
พระไพศาล วิสาโล แผนงานพัฒนาจิตเพื่อ สุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) //www.jitwiwat.org ตี พิมพ์ใน มติชนรายวัน ๙ กันยายน ๒๕๔๙
Create Date : 28 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2551 14:26:09 น. |
Counter : 1860 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ธรรมะโดนใจ โดยท่าน ว.วชิรเมธี
1. อย่าเป็นนักจับผิด คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี'แม้ใน สิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข'
2. อย่ามัวแต่คิดริษยา 'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน' คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป
3. อย่าเสียเวลากับ ความหลัง 90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น' มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ 'อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน' 'อยู่กับปัจจุบันให้เป็น' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา
4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
'ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่ม ด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม' ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า 'เิกิดมาทำไม' 'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตามหา 'แก่น' ของชีวิตให้เจอ' คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจ ะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'
Create Date : 02 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 13:23:45 น. |
Counter : 1122 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต .....ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระองค์นั้น
อะระหะโต .....ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทธัสสะ .....ตรัสรู่ชอบได้โดยพระองค์เอง
~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~
Blog นี้เอาไว้เก็บเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ เอาไว้อ่านเองค่ะ ไว้ว่าง ๆ ค่อยกลับมาอ่าน ส่วนใหญ่ก็ก็อป ๆ มากจากคนอื่นค่ะ ต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้นะคะ
ขอขอบคุณสมาชิกทุกท่าน ที่แบ่งปันของแต่งบล็อกสวย ๆ ให้มาแต่งบล็อกนี้
และขอขอบคุณทุกท่านที่ Vote ให้ด้วยนะคะ
|
|
|
|
|
|
|