W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 
ฉลองกล้องใหม่ Canon EOS Kiss X5 กับหลากหลายบทเรียนมูลค่ารวมกว่า 6,500 เยน (ประมาณ 2,535 บาท)


จากในบล็อคก่อนๆบางคนอาจทราบแล้วว่าช่วงนี้เราเรียนจบแล้ว เหลือแค่รอรับปริญญาและบินกลับไทย เทียบกับตอนยังเรียนไม่จบก็ถือว่าเวลาว่างมากขึ้นเพียบเลยค่ะ(แต่ก็ต้องเก็บห้องเตรียมออก) เดินสายไปโน่นมานี่ถ่ายรูปโน่นนี่มาเยอะเลย ถ้านับรวมกับพวกบล็อคท่องเที่ยวทั้งในญี่ปุ่นและนอกญี่ปุ่นที่ดองไว้ตั้งแต่ปีก่อนนี่ มีเรื่องให้เราเอามาเขียนบล็อคไปได้อีกเป็นเดือนๆเลยล่ะค่ะ

... แต่เนื่องจากห่างการเขียนบล็อคท่องเที่ยว(ยาวๆ)มาพักนึงก็เริ่มขี้เกียจค่ะ พอตั้งท่าจะกลับมาเขียน ยังไม่ทันเริ่มก็เหนื่อยซะแล้ว ไปๆมาๆก็เลยยังไม่ได้เคลียร์เลยสักบล็อค ขอปล่อยอันนี้เป็นบล็อคสั้น(ซะที่ไหน)ทันเหตุการณ์เพิ่งเกิดกับเราหมาดๆไม่กี่วันนี้ละกันค่ะ

เรื่องของเรื่องคือเราตัดสินใจซื้อกล้องใหม่ Canon EOS Kiss X5 มาแทน Kiss X3 เพื่อนยากตัวเดิม ที่เป็นกล้อง DSLR ตัวแรกของเราที่อายุการใช้งาน 1 ปีกับอีกเกือบ 10 เดือน กดชัตเตอร์ไปเกือบ 19,000 ช็อต มีประวัติเคยทำตกหนึ่งหน ขึ้น error กดถ่ายไม่ได้กล้องปิดตัวเองไปอัตโนมัติอยู่วันนึง แต่หลังจากนั้นไม่รู้ยังไงกลับมาใช้ได้ปกติไม่มีปัญหาอีกเลยค่ะ (หลังจากตก ระยะเวลาสามเดือนกว่าให้หลัง ไม่เคยมี error อะไรอีกเลย)

ถามว่าทำไมถึงคิดเปลี่ยนกล้องล่ะ สมัย Kiss X4 (= 550D) ออกก็ยังเฉยๆไม่ได้รู้สึกอยากเปลี่ยนอะไร (แค่แอบไปศึกษาความต่างกับ Kiss X3 เอาไว้หน่อย ) ... พอ 60D ออกบ้าง อันนี้ต่อมเริ่มกระตุกเล็กน้อยค่ะ ชอบจอพับได้พลิกได้ แล้วก็อยากจะปรับ WB Kelvin ได้จากตัวกล้องด้วย เจ้า Kiss X3 เพื่อนยากถ่าย JPEG ใต้แสงเหลืองทีไร Preset WB ที่ให้มาไม่มีอันไหนออกมาดี ภาพออกมาแดงเถือกทุกทีไปค่ะ ... แต่ 60D ก็มีเรื่องน่าลังเล เพราะมันใหญ่กว่าแถมหนักกว่า Kiss X3 กลัวว่าตัวเองจะแบกไปเที่ยวตะลอนๆไม่ไหว

แต่ด้วยทริปๆหนึ่งค่ะ(ดองอยู่ใน HDD ตั้งแต่ใบไม้ร่วงปีก่อน) ที่ทำให้ตัดสินใจได้แน่วแน่ว่ากล้องตัวต่อไปของเราจะต้องมีจอแบบพับได้บิดได้เท่านั้น ... สั้นๆคือตอนนั้นไปมุงถ่ายวีดีโอคนดังที่มาเยี่ยมญี่ปุ่นค่ะ ตัวเราก็เตี้ยคนด้านหน้าก็เยอะ จะถ่ายวีดีโอก็ต้องใช้วิธีชูกล้องเหนือหัวสุดแขน โดยให้กล้องกดลงนิดนึงจะได้ถ่าย subject ได้มุมพอดี แล้วคราวนี้ KissX3 มันไม่มีจอพับใช่มั๊ยคะ กล้องทั้งอยู่สูงแถมยังมุมกด ตัวเตี้ยอย่างเราจะมอง Live view ให้เห็นก็ต้องยืนแบบเกร็งๆให้หลังเอียงไปด้านหลังนิดนึงประมาณนี้น่ะค่ะ


พออยู่ท่าด้านบนนี้นานๆนี่เมื่อยสุดๆเลยค่ะ ทั้งเมื่อยแขน ทั้งเมื่อยหลัง แถมเราใส่รองเท้าบู๊ตส้นสูงด้วยสิคะ กว่าคนที่มุงจะจากไปเล่นเอาแขนสั่นไปหมดเลย(สั่นเพราะเมื่อย&หนัก) เหล่ไปเห็นญี่ปุ่นมุงใกล้ๆกันเค้าใช้ DSLR Nikon รุ่นที่มีจอพับถ่าย ดูแล้วยืนถ่ายชิวๆแสนจะสบายน่าอิจฉา ... ตั้งแต่ตอนนั้นก็ตั้งใจเลยค่ะว่า จอพับได้เท่านั้น ที่เราต้องการ ... แล้วหลังๆนี้เรามี Sony NEX-5 เป็นกล้องเสริมอีกตัว เริ่มนิสัยเสียค่ะ ขี้เกียจก้มเองเงยเอง ปล่อยให้หน้าจอกล้องมันก้มๆเงยๆแทนเราดีกว่าเนอะคะ

เรื่องจอพับได้นี่ตัดสินใจมานานแล้ว แต่เนื่องจากครึ่งปีที่ผ่านมาก่อนเรียนจบยุ่ง max เลยไม่มีเวลาจะมานั่งคิดเรื่องเปลี่ยนกล้องค่ะ ช่วงไหนว่างก็ใจลอยนึกไปพลางๆว่า 60D หรือ 600D ดีหนอ ... จอพับได้เหมือนกัน ... เซนเซอร์ก็(เห็นว่า)ตัวเดียวกัน ... สั่ง wireless flash จากกล้องได้เหมือนกัน ... สองสิ่งที่ลังเลมากว่าจะอันไหนดีคือ 60D ปรับ WB Kelvin ได้ แต่ 600D เล็กและเบากว่า (ส่วนเรื่อง Cross-type 9 จุด, ยิงรัวได้เร็วกว่า, จอแสดงผลด้านบน หรือ วงแหวนมหัศจรรย์นี่เราไม่ค่อยสนใจน่ะค่ะ)

ให้เวลากับการตัดสินใจสองรุ่นนี้มาหลายเดือนค่ะ คิดสารตะดูแล้วหลังๆเราติดถ่ายภาพ RAW มาก เอามาแก้ WB แก้สีเพี้ยน เปลี่ยน picture style หรือดึงแสงอะไรได้อีกเยอะ ซึ่งถ้าจะใช้ RAW เป็นหลักตัว WB Kelvin ในกล้องมันก็ไม่จำเป็นแล้ว สรุปว่าตัดสินใจเลือกรุ่นเล็ก 600D เพื่อสุขภาพที่ดีของไหล่เราในระยะยาวค่ะ (เราสะพายกล้องแบบพายไหล่ข้างเดียวน่ะค่ะ ไม่ชอบคล้องคอ มันหนักๆไงไม่รู้ แถมพันกันยุ่งกับบรรดาสร้อยคอเครื่องประดับเราด้วย)

ตัดสินใจได้แล้วแต่ก็ขี้เกียจต่อไปเรื่อยค่ะ เรียนจบ(ค่อนข้าง)ว่างแล้วก็ยังไม่ซื้อซะที ยังคิดอยู่เลยว่าสงสัยจะได้ดีเลย์ไปจน 650D ออกปีหน้า หรือไม่ก็ดีเลย์จนต้องกลับไปซื้อที่ศูนย์ Canon ที่ไทยแทน ... แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ค่ะ ไม่รู้เกิดนึกเฮี้ยนอะไรขึ้นมา ไปเปิดเช็คราคาบอดี้ของ Kiss X5 ในเว็บ kakaku.com เจ้าเก่า


ออกขายมาประมาณเกือบห้าเดือน ราคามือหนึ่งลงไปประมาณ 32.7% ถูกสุดตอนนี้ที่ซื้อในเน็ตได้อยู่ที่ 60,391 เยนแล้วค่ะ (ประมาณ 23,563 บาท) ... เทียบกันแล้วถูกกว่า Olympus e-pen 3 ที่ออกใหม่ตั้งเยอะ เห็นคนญี่ปุ่นที่แล็บสั่งซื้อพร้อมเลนส์คู่มั้งคะ 100,000 เยนแน่ะ


โดยปกติดูราคาใน kakaku.com เสร็จก็เสร็จค่ะ เพราะเท่าที่ซื้อมาราคาในนี้ถูกที่สุดเท่าที่หาได้แล้ว ราคาตามหน้าร้านใหญ่ๆอย่าง Yodobashi, Bic Camera นี่ต่อให้รวมพ๊อยต์แล้วก็ยังแพงกว่ากันหลายพันเยน ... แต่สงสัยวันนั้นจะเป็นวันตกฟากดีอะไรสักอย่าง อยู่ๆไปเข้า Yahoo auction เทียบราคาดูด้วยค่ะ ... ไปเจออันล่างแล้วก็ตาลุกวาวเลย มือหนึ่งบอดี้แค่ 53,500 เยนเท่านั้น (ประมาณ 20,870 บาท) ประหยัดไปเกือบ 6,150 เยนแน่ะค่ะ (ปกติสั่งตามร้านใน kakaku.com ของราคาเกินหมื่นเยนมักส่งให้ฟรี แต่ใน auction อันนี้ค่าส่งแยกอีก 750 เยนค่ะ)


ถ้าจะบิดของราคามากกว่า 5,000 เยนในนี้จะต้องมี Premium account ค่ะ จ่ายค่าสมาชิกรายเดือนเดือนละ 346 เยน ซึ่งกว่าจะได้เป็นสมาชิกพรีเมี่ยมนี่ไม่ใช่ว่ากรอกข้อมูลนิดหน่อยก็เสร็จเหมือนสมัคร email account นะคะ ต้องมีขั้นตอนการ verify ยุ่งยากหน่อยนึง มีเจ้าหน้าที่มาเช็คที่อยู่และยืนยันบัตรเครดิตรวมถึงบัตรประจำตัวต่างๆของเราอย่างละเอียดถึงที่บ้านเลยค่ะ ยืนยันแล้วก็เห็นยิงโค้ดและโทรศัพท์อะไรอีกไม่รู้ สุดท้ายเรายังต้องเอาโค้ดที่ได้มามา activate ผ่านเน็ตอีกทีค่ะ ... เรียกว่าค่อนข้างระวังกันพอควรเลย

จริงๆเราเป็น Premium account มาเป็นปี ตั้งแต่สมัยไปแข่งบิด 35L มากอดแล้วค่ะ แต่เพิ่งไม่กี่อาทิตย์นี้เองเพิ่งจะไปแคนเซิลสมาชิกเพราะเตรียมตัวจะกลับไทย มาเจอราคาประหยัดไป 6,150 เยนนี่ความงกขึ้นหน้ารีบกลับไปสมัครใหม่ทันทีค่ะ (เนื่องจากมีประวัติเดิมอยู่แล้ว หนนี้แค่กดสมัครก็ได้ Premium account กลับมาแล้วไม่ต้อง verify ใหม่อีกรอบ .. เห็นว่าการแคนเซิล Premium account เค้าจะตัดตอนปลายเดือน ช่วงระหว่างนี้เลยยังสามารถกลับไปใช้ได้ใหม่)

ที่ผ่านมาบิดเลนส์สองตัว และเครื่องสำอางเล็กๆน้อยๆ ซึ่งคนปล่อยของก็เป็น user ธรรมดาๆเหมือนเรานี่ล่ะค่ะ มาหนนี้ user นี้เป็นร้านค้ามาเอง ดังนั้นเราเลยไม่ต้องไปบิดแข่งกะใคร กดแล้วแทบจะได้ของเลยค่ะ เพราะสินค้าเค้าก็เอามาลงใหม่เรื่อยๆ เราเลยชนะบิดมาอย่างง่ายดาย (เพราะมีบิดอยู่คนเดียว )

เพื่อเป็นการรักษาเครดิตที่ดีในฐานะผู้ซื้อ บิดได้แล้วเราก็รีบจัดการกรอกแบบฟอร์มเพื่อจ่ายเงินเลยค่ะ บทเรียนที่ไม่คาดคิดอย่างแรก คือ เรื่องราคาของค่ะ ... ค่าส่งของ 750 เยนนี่เฉยๆเพราะรู้อยู่แล้ว แต่ราคาของตอนบิดที่เขียนว่า 53,500 เยน พอบิดได้ กลับโดนบวก vat อีก 5% ราคาขึ้นเป็น 56,175 เยนค่ะ


บทเรียนแรกนี้แอบอยากเขกหัวตัวเองค่ะที่ไม่รอบคอบ ตอนอ่านรายละเอียดไม่ได้ดูว่าราคานี้รวม vat แล้วหรือยัง ... แบบว่าคนมันเคยตัวน่ะค่ะ เคยบิดแต่กับ user ด้วยกันก็ตรงๆง่ายๆตอนบิดบิดไปเท่าไหร่ ถึงตอนจ่ายก็บวกเพิ่มแค่ค่าส่งของอย่างเดียว หรือบางทีมีค่าธรรมเนียมการโอนเงินบ้าง ... หนนี้เจอ user แบบร้านขายของเข้าบวก vat 2,675 เยนจากที่คิดว่าจะได้ถูกกว่ากัน 6,150 เยนก็ลดเหลือแค่ถูกกว่ากันประมาณ 3,475 เยน

แต่ ณ จุดๆนี้ยังรับได้ค่ะ ยังไงก็ยังถูกกว่าซื้อตรง kakaku.com ว่าแล้วก็ไปต่อ ... วันนั้นสงสัยผีเข้าจริงๆค่ะ นึกเฮี้ยนขึ้นมาหลายอย่าง แต่ไหนแต่ไรเลือกจ่ายเงินแบบเดินไปโอนสดที่เงินธนาคารทุกครั้ง หนนั้นนึกไงไม่รู้อยากจ่ายบัตรเครดิต (แบบว่าช่วงนี้อากาศโตเกียวร้อนอึดอัดสุดๆเลยค่ะ แถมเป็นวันหยุดโอบ้งด้วยกลัวธนาคารไม่เปิด) ก็เลยกดเลือกในภาพตะกี้เป็นแบบจ่ายด้วย Yahoo!かんたん決済 (Yahoo!Kantan-kessai) เป็นบริการจ่ายเงินของทาง Yahoo เค้าน่ะค่ะ

กดไปเรื่อยๆไม่ได้คิดอะไรค่ะ จนมาถึงหน้านี้ต้องขยี้ตาอีกรอบ ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพิ่มถ้าใช้บัตรเครดิตจ่ายผ่าน Yahoo!kantan บวกเพิ่มอีก 2,989 เยน นี่มันอะไรก๊านนนน


เห็นค่าธรรมเนียมขนาดนี้ก็รีบกลับลำเลยสิคะ ถ้าเดินไปโอนเองแบงค์ที่ว่านี้อย่างมากก็เสียค่าธรรมเนียมโอน 4-600 เยนเอง พยายามกด back กลับไปหน้าก่อนๆ แต่ปรากฏว่าไม่ว่ายังไงทางระบบของ Yahoo auction ก็ไม่ให้เราเลือกวิธีจ่ายเงินใหม่ค่ะ จะปิดคอม ล็อคอินล็อคเอ้าท์ที่ yahoo กี่รอบก็เหมือนเดิม แถมยังมีเขียนย้ำสีแดงตัวใหญ่ๆไว้ที่หน้า auction ด้วยนะคะว่า "คุณได้ทำการเลือกจะจ่ายเงินด้วยวิธี Yahoo!Kantan ไปแล้ว ณ วันที่ XX เดือน XX เมื่อเวลา XX โมง XX นาที"

เอาแล้วสิคะกลับลำไม่ได้ แต่ทางยังพอมีค่ะ เหลือบไปเห็นว่าวิธี Yahoo!Kantan นอกจากบัตรเครดิตแล้วยังมี Internet banking ด้วย กดเช็คดูแล้ววิธีนี้ค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียให้ Yahoo แค่ 298 เยนเท่านั้น ว่าแล้วก็ลุยโลดค่ะ


ถึงตรงนี้ถ้าใครคิดว่าบทเรียนเล่มนี้ของเราจะจบแค่สองตอนนี้ ก็ผิดไปแล้วค่ะ กว่าจะได้กล้องใหม่นี้มานี่ได้บทเรียนใหม่มาเพียบเลย ... ปัญหาต่อไปคือเราไม่เคยสมัคร Internet banking ไว้ แต่จะไปยากอะไรก็เข้าเว็บธนาคารไปสมัครเลยสิคะ ทำจนเสร็จทุกขั้นตอน แต่ผลปรากฏว่า security code ขั้นที่สอง (ขั้นแรกคืออันที่เรากำหนดเองตอนสมัคร) มันจะส่งไปรษณีย์มาให้เราทีหลังภายในหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ... มีรหัสไม่ครบทั้งสองขั้นเราก็ไม่สามารถใช้ internet banking ซื้อของอะไรได้ ช่วงนั้นติดวันหยุดยาว กว่าจะรอหมดวันหยุด รอรหัสมาส่งน่ากลัวรอเป็นสิบวันค่ะ

เจอบทเรียนตอนที่สามนี้เข้าไปนี่ก็อย่างเซ็งเลยค่ะ จริงๆก็ความผิดเราเองทั้งหมดที่ไม่เคยได้อ่านละเอียดถึงวิธีการจ่ายเงินด้วยบริการ Yahoo!Kantan มาก่อน อยู่ๆนึกเฮี้ยนจะลองใช้แล้วดันไปอาศัยความคุ้นเคยจากการซื้อของด้วยบัตรเครดิตผ่านเน็ตมาหลายปี(ในเว็บอื่นๆ)ว่าไม่เคยโดนชาร์จอะไรเพิ่มมาก่อน ...

เขกหัวเองไปหลายทีแล้วก็ตัดสินใจค่ะ กรณีนี้เห็นๆเลยว่าความผิดเราชัดๆ ไม่รู้ว่าจะไปเจรจากับทางผู้ขายหรือทาง Yahoo เพื่อเปลี่ยนได้ไหม เพื่อตัดปัญหาในการไปเจรจา(ภาษาญี่ปุ่นอีกต่างหาก ไม่รู้จะเจรจาได้รู้เรื่องไหม)และด้วยอาการไม่อยากเสียเครดิตใน yahoo account ก็เลยยอมจ่ายด้วยบัตรเครดิตไปค่ะ

จากที่คิด(หลังโดน vat)ว่าอย่างน้อยก็ยังถูกกว่า kakaku.com 3,475 เยนล่ะน่า เจอค่าธรรมเนียมนี้ไปอีก 2,989 เยน สรุปว่าจ่ายไปทั้งหมดจากการประมูลหนนี้ 59,914 เยน ถูกกว่าซื้อใน kakaku.com แค่ 477 เยนหรือแทบจะเรียกว่าไม่ต่างเลยก็ได้ค่ะเนี่ย ถ้าซื้อทาง kakaku.com แต่แรกก็จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่ต้องหัวหมุนอย่างนี้

... เท่าที่ไปตามอ่านดูทีหลัง การที่เราใช้บัตรเครดิตผ่านทาง Yahoo!Kantan นี้ ทาง Yahoo เค้าจะไปโอนเงิน(สด)ให้กับทางผู้ปล่อยของ(ตามรอบเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน) ดังนั้นผู้ขายจะได้เงินสดเป็นค่าของทันทีค่ะ พอยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีแล้วเค้าก็ส่งของให้ลูกค้าได้ทันที ผู้ขายไม่ต้องรับความเสี่ยงใดๆ ... ส่วนทาง Yahoo ค่อยจะได้เงินคืนจากการหักบัตรเครดิตของเราทีหลัง(เป็นเดือน) ... ที่ค่าธรรมเนียมวิธีนี้มันแพงคิดว่าคงเป็นค่าความเสี่ยงนี่ล่ะมั้งคะ เพราะทาง yahoo ต้องรับความเสี่ยงเต็มๆในกรณีที่คนบิดได้เบี้ยวขึ้นมา ได้ของเรียบร้อยแต่บัตรเครดิตจ่ายเงินไม่ผ่านอะไรอย่างนี้เป็นต้น

.
.
.
.

ยังไงก็ตาม transaction นี้ก็จบไปแล้วค่ะเหลือแต่รอรับของมาส่งอย่างเดียว ... เรื่องต่อไปที่ต้องคิดคือการแปรรูป KissX3 ให้เป็นเงิน เพื่อมาสมทบทุนกล้องใหม่

บล็อคที่ระลึกสมัยซื้อ Kiss X3 มาใหม่ๆก็ อันนี้ เลยค่ะ จริงๆก็แอบอาลัยอาวรณ์นิดๆ ก็มันกล้อง DSLR ตัวแรกน่ะนะคะ ใช้มาตั้งแต่เรายังถือกล้องได้ไม่นิ่ง เซ็ตค่าอะไรยังไม่ค่อยเป็น ก็ได้กล้องนี้เป็นครูคนแรกสอนอะไรเรามาหลายอย่าง แถมยังไม่เคยดื้อหรือมีปัญหาอะไรเลย(ยกเว้นหนึ่งวันหลังจากที่เราทำมันตกพื้น) ไปไหนไปกันกับเรามาตั้งหลายประเทศในหลายทวีปของโลกแล้ว

แต่จุดประสงค์ของเราคือซื้อกล้องมาเพื่อใช้น่ะค่ะ ในเมื่อเราตัดสินใจซื้อตัวใหม่มาแล้ว ตัวเก่าก็ขอแปรรูปให้มันเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมากกว่าการเก็บใส่กล่องเป็นที่ระลึกดีกว่า ให้คนที่เค้าได้ใช้ประโยชน์ได้มันไป ใช้มันให้คุ้มจนพังก็ยังดีกว่าวางทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับจนพัง ... แล้วคือคนรอบตัวเราไม่มีใครใช้ DSLR เลยค่ะ(เหตุเพราะมันหนัก) จะยกให้ใครก็ไม่ได้เลยขายดีกว่า

เช็คราคาที่เว็บต่างๆในไทยคร่าวๆ KissX3 (เลนส์ไม่มี)หมดประกัน มือสอง อย่างนี้น่าจะได้อย่างมากก็ 10,000 - 13,000 บาท ... เช็คเว็บญี่ปุ่นบ้างตอนนี้มือหนึ่งราคาอยู่ที่ 47,500 เยน (ประมาณ 18,532 บาท) ลดลงจาก เมย 2009 ตอนออกมาใหม่ๆ 47.1% แล้ว


ถ้าจะขายที่ญี่ปุ่นเราก็เลือกจะขายที่ตัวกลางซื้อขายใหญ่อย่าง MapCamera ค่ะ แบบว่าขี้เกียจลงขายเองใน Yahoo Auction (ไม่เคยลองขายด้วยค่ะ ซื้ออย่างเดียว) ปล่อยให้ทางผู้เชี่ยวชาญเค้าประเมิน ตัดเกรด และเสนอราคาให้เลยดีกว่า ... ขายอย่างนี้ไม่ยุ่งยากดี ไม่ต้องต่อราคากัน(เค้าให้เท่าไหร่คือจบค่ะ ต่อไม่ได้ ถ้าราคาไม่ถูกใจก็ไปหาทางขายที่อื่นแทน) ไม่ต้องโดนซักประวัติว่าทำไมถึงขาย เคยเกิดอุบัติเหตุอะไรกับกล้องบ้างไหม จะรับประกันคืนกล้องหลังซื้อภายในกี่วัน บลาๆๆ

... อีกอย่างคือ เราเชื่อในความมีมาตรฐานและความตรงไปตรงมาของร้านที่ญี่ปุ่นน่ะค่ะ ว่าเค้าจะตัดเกรดไปตามความเป็นจริง ไม่แอบกดราคาเราแบบไม่มีเหตุผล หรือกดราคาโดยอ้างอะไรก็ไม่รู้ทางเทคนิคลึกๆที่เราเองไม่มีความรู้พอจะไปตรวจสอบได้เองว่าเค้ามั่วหรือเปล่า

ประเมินดูว่าถ้าเป็นเรา ราคามือหนึ่งใหม่เอี่ยมอยู่ที่ 47,500 เยน ถ้าจะซื้อมือสอง(ที่ใช้มาไม่น้อย แถมสภาพภายนอกมีร่องรอยจากการใช้งาน) ไม่ได้ราคาต่ำกว่า 30,000 เยนเราคงไม่ซื้ออ่ะค่ะ และจากประสบการณ์ขายเลนส์มือสองที่ MapCamera เมื่อ ครั้งโน้น พอรู้แนวแล้วว่าเราต้องเผื่อทางร้านหักราคาเรา เพื่อเป็นค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ และ อะไรทั้งหลายแหล่ของร้านด้วย

สรุปไว้ล่วงหน้าว่าเราต้องการราคา 20,000 - 25,000 เยนค่ะ ถ้าได้น้อยกว่านี้ก็ไม่ขายที่ญี่ปุ่น ไว้เก็บไปลองขายเองอีกทีตอนกลับไทยแทน ... บทเรียนตอนที่สี่ที่เป็นตอนสุดท้ายอันแสนเจ็บใจ(ตัวเอง)ก็เกิดตอนขายกล้องนี่ล่ะค่ะ หอบกล้อง + สายคล้อง + แบตแท้ + ที่ชาร์ต + สายต่อ USB กับคอม ไปรอเค้าประเมินราคาอยู่ 40 นาที

ผลออกมาดังนี้ค่ะ ... กล้องเราได้รับการตัดเกรดเป็น "良品 Good : No problems except for some scratches or signs of wear" อย่างที่เราคาดไว้เป๊ะค่ะ เกรดนี้หมายถึงของที่ทำงานได้ปกติทุกอย่าง แต่สภาพภายนอกมีร่องรอยบ้าง (รายละเอียดเกรดอื่นๆดูใน บล็อคเก่า นะคะ) ... ราคาที่ประเมินมาคือ 18,500 เยน แต่มีโน้ตเล็กๆติดมาด้วยค่ะ ว่าเราจะได้ราคาเพิ่มเป็น 22,000 เยน ถ้าเรามีหนังสือคู่มือต่างๆของกล้องมาพร้อมกันด้วย

ตรงนี้ล่ะค่ะที่ได้ยินแล้วอยากจะร้องไห้ ... ทำไมน่ะเหรอคะ ก็เพราะว่าตั้งแต่ซื้อ KissX3 มาหนึ่งปีกับอีกเกือบสิบเดือนนี่ ทั้งกล่อง ทั้งคู่มือ ทั้งใบรับประกันต่างๆ(หมดอายุไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว) แม้แต่ซองพลาสติกเล็กๆน้อยๆ เราเก็บมันไว้ในกล่องอย่างดีมาตลอด แต่เพิ่งจะ 1-2 อาทิตย์นี้เองที่เราเก็บของทิ้งขยะในห้องเพื่อเตรียมคืนห้องก่อนกลับไทย พวกกล่องกล้องต่างๆ หนังสือคู่มือต่างๆที่เราไม่เคยได้แตะก็โดนมัดทิ้งไปพร้อมกันด้วย ... จะกลับไปรื้อขยะก็ไม่ทันแล้วค่ะรถขนขยะเอาไปหมดแล้ว

อารมณ์นั้นนี่เซ็งอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ไม่เคยรู้เลยว่าแค่หนังสือคู่มือกล้องต่างๆนี่จะมีค่าเป็นเงินถึง 3,500 เยน ส่วนตัวเราตอนได้มาใหม่ๆก็แค่เปิดอ่านผ่านๆเท่านั้นเพราะมันภาษาญี่ปุ่นหมด อาศัยไปโหลดภาษาอังกฤษแล้วอ่านในคอมเอาเป็นหลักค่ะ (แต่จริงๆคู่มือกล้องมันก็เป็นหนังสืออย่างดีเล่มหนาน่ะนะคะ ก็ถือว่ามีมูลค่าอยู่) ... ถามย้ำเค้าอีกทีว่าไม่ได้หมายถึงใบรับประกันใช่มั๊ย เค้าก็ยืนยันค่ะว่าใบรับประกันไม่เกี่ยว(เพราะหมดประกันแล้ว) เกี่ยวแค่หนังสือคู่มือเท่านั้น (นึกได้อีกอย่างว่าสายต่อกล้องกับทีวีเราก็ไม่มีไปขายค่ะ ปกติเราไม่ใช้เลย)

ให้เวลาตัวเองไว้อาลัยตัวเองไม่กี่นาที แต่ก็ตัดสินใจขายค่ะ 18,500 เยนก็ได้ ... ถ้าดูราคา 22,000 เยนมันก็อยู่ในเกณฑ์ที่เราต้องการอยู่ ความผิดเราอีกแล้วที่ทิ้งคู่มือไปไม่ดูตาม้าตาเรือ(ก็คนมันไม่รู้จริงๆอ่ะค่ะ) เพื่อเป็นประจักษ์พยานของบทเรียนราคา 3,500 เยนในหนนี้ขอแปะภาพเอกสารยืนยันการซื้อขายมา ณ ที่นี้ค่ะ ... อันนี้เพิ่งเห็นว่าในเอกสารเขียนว่าโดนหัก 500 เยนเพราะไม่มีคู่มือ แต่ตอนเราคุยเหมือนเค้าจะบอกว่าเพราะไม่มีคู่มือและยืนยันความเป็นเจ้าของอะไรไม่ได้นี่ล่ะค่ะ สงสัยกลัวว่ามีมาแต่ตัวกล้องอาจเป็นของหยิบชาวบ้านมาโดยไม่ขออนุญาตหรือเปล่าก็ไม่รู้


สรุปตามแผนภูมิด้านล่าง กล้องใหม่ของเราได้มาด้วยราคา 41,414 เยนค่ะ (เลขสวยน่าเอาไปแทงหวยนะคะเนี่ย) เสียค่าความประมาทและความคิดน้อยเกินไปประมาณ 6,490 เยน(ไม่รวม vat5%) สำหรับค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นจะว่ามากก็มาก จะว่าไม่มากก็ไม่มากค่ะ เทียบเป็นค่าครองชีพที่ไทยแล้วเงินจำนวนนี้ก็ประมาณว่าเราเสียค่าโง่ที่ไทย 649 บาทได้ค่ะ (คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยเราก็ได้เงินเดือนจากรัฐบาลญี่ปุ่นมาเป็นเงินเยนอยู่แล้ว ไม่ต้องเอาบาทไปแลกเยนอีกทีล่ะน่า)


บทเรียนสี่ตอนอันแสนชอกช้ำทั้งหลายผ่านไปแล้ว ได้เวลาเปิดกล่องกล้องใหม่ต้อนรับ Canon EOS Kiss X5 แล้วค่ะ


บนกล่องเขียนว่ามีเลนส์ EF-S 18-55 IS II ด้วย ทีแรกนึกว่าจะมีปัญหาต้องเปลี่ยนของอีกแล้วเพราะเราสั่งแต่บอดี้มา


เปิดในกล่องปรากฏว่าไม่มีปัญหาค่ะ มาแต่บอดี้ถูกต้องตามที่สั่ง ... เห็นซองคู่มือและซีดีพวกนี้แล้วก็อดหวนไปเจ็บใจและเสียดายเงินไม่ได้ค่ะ ไม่น่าเลยเรา หลายพันเยนสลายไปเพราะของพวกนี้เอง


มาถึงตัวกล้องค่ะ ตอนนี้ยังใหม่เอี่ยมไร้ริ้วรอย แต่ใช้ไปสักพักเดี๋ยวรอยก็มาชัวร์ เราเป็นพวกไม่ได้ถนอมกล้องเท่าไหร่นัก ถือว่าซื้อมาใช้น่ะค่ะ มีร่องรอยริ้วรอยบ้างก็ธรรมดา นึกอยากวางท่าไหนก็วาง ยื่นกล้องขอให้ใครต่อใครช่วยถ่ายรูปเป็นร้อยๆ ... แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจะเอากล้องมาโยนเล่นแทนลูกบอล หรือ วางกระแทกแรงๆเพื่อความสะใจอะไรอย่างนี้นะคะ ให้ความระมัดระวังตามสมควรสำหรับอุปกรณ์อิเลคโทรนิค แต่ไม่ได้ปกป้องขนาดไข่ในหิน ริ้นไม่ไต่ไรไม่ให้ตอม ต้องห่อไว้ในกระเป๋ากล้องตลอดอะไรทำนองนั้น มันไม่ใช่สไตล์เราค่ะ


สำหรับคนเคยใช้ Kiss X3 อย่างเรา Kiss X5 ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ ลองจับๆปรับๆดูก็ใช้งานได้แทบจะเหมือนเดิมโดยไม่ต้องอ่านคู่มือเลยค่ะ ไปๆมาๆเลยค่อนข้างจะไม่ได้เห่อกล้องใหม่นี้เท่าไหร่นัก อารมณ์เหมือนเอาของเดิมไปอัพเกรดมากกว่าได้ของใหม่ ที่จับแล้วรู้สึกต่างคือ ปุ่มด้านหลังกล้องดูจะแบนลงกว่าตอน Kiss X3 และ วัสดุตัวกล้องจะสากๆไม่เป็นพลาสติกลื่นๆเหมือนเดิมค่ะ (อ้อ! อีกอย่างคือ มี Picture Style Auto มาให้ด้วยค่ะ ตอน Kiss X3 ไม่เห็นมี)


ท่องเน็ตไปมาไปอ่านเจอรีวิวภาษาไทยนี้เข้าค่ะ รีวิว Canon EOS-600D และ wireless flash trigger เจ้าของรีวิวเค้าเปรียบเทียบ 500D กับ 600D พอดี อ่านแล้วช่วยย่นเวลาอ่านคู่มือเราได้หลายเลย เหมือนมีคนสรุปความต่างในหลายๆประเด็นของทั้งสองรุ่นมาให้แล้ว ... แต่นิดนึงคือแฟลชเราเป็น Speedlite 430 EX II น่ะค่ะ ต้องใช้การกดปุ่ม "Zoom" หลังแฟลชค้างเพื่อเซ็ตให้แฟลชเป็น slave ก่อน ทีแรกนี่อ่านรีวิวทำตามแล้วงงค่ะว่าทำไมเรา wireless trigger แฟลชแยกไม่ได้สักที (ไปอ่านคู่มือแฟลชมาค่ะ ถึงได้รู้ว่าต้องเซ็ตแบบนี้)

บ่นมาซะยาวก็ขอจบบล็อคนี้ที่ตรงนี้นะคะ จอพับนี้ล่ะค่ะที่เราต้องการ ที่มาของบทเรียนทั้งปวงที่เราได้รับมาในบล็อคนี้ เท่าที่ลองใช้ดูก็สะดวกดีค่ะ ไม่ต้องก้มเองเงยเองให้เมื่อย แต่สปีดของ Auto Focus ใน Live view ของ Canon ก็ยังคงอืดอาดคงเส้นคงวาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราชินมาตั้งแต่ตอนใช้ Kiss X3 แล้ว



อัพเดต 9 SEP 2011

เกิดเรื่องให้เซ็งหนักยิ่งกว่าเดิมค่ะ ระหว่างทำความสะอาดห้องเตรียมย้ายออกกลับไทย โยนขยะต่างๆทิ้งไปเรื่อยๆสายตาก็ไปเจอะกล่องพลาสติกอะไรไม่รู้อันนึง เปิดดูข้างในไม่อยากจะเชื่อ ... มันคือคู่มือและซีดีทั้งหมดของ KissX3 ของเรานั่นเอง ที่แท้ 3,500 เยนมาอยู่ตรงนี้ จำไม่ได้เลยจริงๆค่ะว่าแยกมาเก็บเอาไว้เพราะปกติเป็นคนเก็บรวมไว้ในกล่องเดียวกันหมด มองคู่มือเล่มใหม่กิ๊กแทบไม่มีรอยยับกับบรรดาหนังสือสีสวยๆแนะนำทริกและบริการต่างๆของ Canon (พวกนี้น่าจะเคยเปิดแค่หนึ่งครั้งถ้วนตอนได้ของมาใหม่ๆ) แล้วก็เฮิร์ทค่ะ โธ่ 3,500 เยนของเราโผล่มาซ้ำเติมกันทำไมตอนนี้เนี่ย


-------------------------------------------

ภาพในบล็อคนี้ถ่ายทำด้วย Sony NEX-5 + Alpha E 18-55mm OSS ปรับแสง+ย่อ+sharp ด้วย Photoscape ใส่ลายน้ำแล้วก็เป็นอันเสร็จค่ะ


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด



Create Date : 17 สิงหาคม 2554
Last Update : 9 กันยายน 2554 18:10:15 น. 6 comments
Counter : 9775 Pageviews.

 
ถ่ายรูปด้วยกล้องธรรมดามานานอยากลองเปลี่ยนมาใช้ DSLR กะเค้าบ้างค่ะ เมื่อวานเห็นราคา kiss x5 ที่yodobashi แล้วก็เกิดความอยาก แต่กลัวๆกล้าๆนะค่ะ เพราะถามข้อมูลของกล้องกับเจ้าหน้าที่ที่ร้าน ก็คุยกันลำบาก. พูดญี่ปุ่นไม่เป็นค่ะ กลับมาsearch ข้อมูลที่ห้องดูเอง สงสัยคงไม่ได้ซื้อที่นี่ค่ะ. อ่านในblog แล้วชอบค่ะ


โดย: Took IP: 114.152.234.248 วันที่: 30 กันยายน 2554 เวลา:23:20:53 น.  

 
Nex5 สู้ kiss5 ไม่ได้หรอครับ?


โดย: Ping IP: 58.11.53.64 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2554 เวลา:22:18:07 น.  

 
--> Ping

เท่าที่ลองใช้มาส่วนตัวยังให้ว่า Kiss X3 กับ X5 ดีกว่า NEX5 นะคะ ที่แน่ๆเห็นได้ชัดเลยคือ Kiss ทั้งสองตัวโฟกัสแม่นกว่า NEX5 มาก ไม่ว่าจะเลือกโฟกัสจุดกลางจุดเดียวหรือ AF ทุกจุด ตัว NEX นี่เราจับโฟกัสไม่ค่อยได้ดั่งใจเลยค่ะ

เรื่องที่สองคือ เรื่องหน้าจอแสดงผลค่ะ ส่วนตัวดูว่า Kiss สีที่แสดงหลังจอค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงมากกว่า ในขณะที่ NEX5 สีภาพที่แสดงตอน Live View ก่อนกดถ่ายจะไม่ตรงกับสีภาพที่ถ่ายมาแล้วแล้วกดพรีวิวดูในกล้องค่ะ ลองมาดูเทียบในจอคอมแล้วปรากฏว่าสีตอนพรีวิวคือสีจริงที่ได้ค่ะ ตอน Live View ภาพดูจะติดฟ้ามากเกินไป (จอคอมเราคาลิเบรตมาแล้วนะคะ)

เรื่องที่สามคือ เรารู้สึกว่าสีของ NEX ค่อนข้างจัดค่ะ ขนาดปรับโหมดสีเป็น Standard หรือ Portrait แล้วก็ยังสีสดอยู่ ออกแนวสีสดแบบกล้องคอมแพ็คน่ะค่ะ

เรื่องที่สี่คือ แฟลชที่ติดกล้องมาของ NEX5 กำลังไฟแฟลชอ่อนมากเลยค่ะ เท่าที่ลองใช้มาขนาดปรับแฟลชให้แรงสุดแล้วก็ยังมืดอยู่ ตรงนี้แฟลชติดกล้องของ Kiss ดูจะพึ่งพาได้มากกว่า ไม่งั้นอาจต้องพิจารณาแฟลชแยกตัวใหม่ของ NEX ประกอบกันค่ะ

สุดท้ายอาจเกี่ยวด้วยว่าเลนส์ Canon ที่เรามีอยู่นั้นคุณภาพดีกว่าเลนส์สองตัวของ NEX5 ทำให้ความคมชัดและสีสันอะไรดีกว่าด้วย

แต่ข้อดีก็มีนะคะ NEX5 ตัวเล็กกว่าและพกพาสะดวกดีค่ะ หน้าตาก็ดูดี ผู้หญิงใช้สะพายกับชุดไปเที่ยวก็ยังได้ไม่ดูเป็นตากล้องแบบจงใจมากไปนัก ^^


โดย: White Amulet วันที่: 10 พฤศจิกายน 2554 เวลา:20:31:28 น.  

 
ขอถามหน่อยค่ะ ว่าคู่มือกล้องเป็นภาษาอะไรคะ


โดย: นักอ่าน IP: 14.207.185.189 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:59:01 น.  

 
^
^
คงตอบช้าไปแล้ว คู่มือเป็นแบบหลายภาษาค่ะ มีทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นและอื่นๆ ส่วนโบชัวร์ต่างๆภาษาญี่ปุ่นค่ะ


โดย: White Amulet วันที่: 10 ธันวาคม 2555 เวลา:18:21:25 น.  

 
ธีมบล็อค น่ารักดีนะ
แต่... พอมองภาพรวมไปกับตัวหนังสือในบทความแล้ว... ตาลาย 555

ปล. เป็นบทความที่ดีครับ มีความเป็นตัวของตัวเองดีครับ... ^^


โดย: Lek9dd IP: 180.183.51.137 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2558 เวลา:17:23:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.