...หลากเรื่อง รายวัน ในวันหนึ่งของหวาน...

Hit Target Goal ปีใหม่ “ไหว้พระ 9 วัด”

ช่วงปีใหม่ฉันหยุดพักร้อนหลายวัน เลยตั้งใจว่าขอสักหนึ่งวันฉันจะไปไหว้พระ 9 วัด..ไม่น่ายาก..คิดเสร็จก็ลงมือหาข้อมูลวัดที่เค้านิยมไปกันในอินเตอร์เนท ได้รายนามมา 9 วัด (กับอีก 2 ศาล) ทั้งหมดเป็นพระอารามหลวง และยังมีการตั้งคติประจำแต่ละวัดให้เป็นสิริมงคลคล้องจองกับชื่อวัดด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง..ไปทำเรื่องดี ๆ แบบนี้ ชวนเพื่อนไปทำด้วยน่าจะดีกว่า เลยลองชวนเพื่อนในกลุ่มดู..ปรากฎว่าวันที่ไปมีฉันกับกอปเพื่อนสนิทแค่สองคน... -_-‘ อุตส่าห์เอาอาหารมาล่อให้เป็นผลพลอยได้ “ตามรอยอร่อย 9 วัด” ก็แล้ว แต่ก็ไม่นำพา..
“กอป..แกอยู่ไหนแล้ว?” 8.30 น. ฉันรอกอปที่รถไฟฟ้าอ่อนนุช กอปเพิ่งออกจากบ้าน..เรานัดกันแปดโมงครึ่งที่สถานีอ่อนนุช..ไม่เป็นไร ฉันกินกาแฟรอก็ได้ วันนี้ชิล ๆ เจอกันได้ฤกษ์เดินทางเรานั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีราชเทวีเพื่อต่อรถเมล์ไปลงสนามหลวง จุดแรกที่จะไปคือ ศาลหลักเมือง..ฉันกังวลใจเล็กน้อยเพราะตามข้อมูลที่หามา เค้าแนะนำให้แลกแบงค์ 20 ไว้เยอะ ๆ กอปเองก็แอบกังวลใจกับรถเมล์ที่ไม่ได้นั่งนานแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะไปจอดตรงไหนของสนามหลวง..ฉันบอกเพื่อนว่าไม่ต้องกังวล เพราะอย่างมากเราก็เดิน..สุดท้ายเราก็ได้เดิน...ท่ารถเมล์จอดตรงตีนสะพานปิ่นเกล้า พอเริ่มออกเดินก็มีแสงแห่งบุญส่องจ้า..จ้าจนเราทั้งคู่ต้องหยิบแว่นดำมาใส่โดยพร้อมเพรียงกัน แต่กอปบุญน้อยกระจกแว่นหลุดจากกรอบ กอปเลยได้โวยวายนิดหน่อย เหมือนจะรู้ว่าควรเก็บแรงไว้ก่อน วันนี้ยังมีเรื่องให้โวยอีกเยอะ
ที่ศาลหลักเมือง ธูป, เทียน, ทอง, ดอกไม้, ผ้าผูก และน้ำมันตะเกียง ถูกจัดไว้เป็นชุด ๆ ราคามากน้อยต่างกัน ฉันได้ที่แลกแบงค์ก็ที่นี่แหละ มีเคาน์เตอร์ให้แลกกันโดยเฉพาะเสียดายที่แลกน้อยไปหน่อย ไม่คิดว่าจะใช้หมดเร็วขนาดนี้ คติของการไหว้ศาลหลักเมืองก็คือ “ตัดเคราะห์ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี” ฉันและเพื่อนเราไหว้และผูกผ้าสีที่ด้านนอก แล้วจึงเข้าไปไหว้หลักเมืองของจริงด้านใน ทันใดนั้นเราก็นึกถึงงาน Sketch Design ตอนปี 1 แต่มันนานจนจำโจทย์ไม่ได้ ที่แย่กว่านั้นคือจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรไป..ไหว้เสร็จก็ออกมาถ่ายรูป แล้วจึงเดินทางไปยังวัดแรกของวัน
“วัดพระแก้ว” (วัดที่ 1) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม “เพื่อจิตใจสะอาดดุจรัตนตรัย” ตอนเข้าไปกำลังมีทหารเดินสวนสนามอยู่ดูน่าตื่นเต้นสำหรับชาวต่างชาติและชาวไทยอย่างเราสองคน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหัวดำ (ฉัน) หัวแดง (กอปและฝรั่ง) วิ่งวุ่นกันเพื่อหามุมถ่ายรูป ผ่านช่วงชุลมุนพ้นประตูทางเข้าไป กอปก็ถามหามุม A ตอนมานั่ง Drawing ที่นี่ แล้วเราก็สรุปกันได้ว่าเป็นมุมของพระศรีรัตนเจดีย์ที่อยู่เบื้องหน้า ตัวเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องสีทองทั้งองค์ กอปถ่ายรูปอยู่ขณะที่ฉันเดินไปถ่ายรูปกลุ่มนักศึกษาที่มานั่งวาดรูปมุม A นี้อยู่ ตรงนี้เองที่ฉันกับกอปและพง (เพื่อนอีกคน) ก็เคยมานั่งวาดรูปกัน เสร็จแล้วเราก็เดินไปยังพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ผ่านพระระเบียงที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่ยาวที่สุดในโลก...ใช่! ...ในโลก..ขณะที่ชาวต่างชาติกำลังตั้งใจฟังเรื่องราวรามเกียรติ์จากปากของไกด์ ฉันเองกำลังมองดูคนเหล่านั้นและนึกเสียใจอยู่กับของที่เป็นที่สุดในโลกตรงหน้า เรื่องราวรามเกียรติ์โดยรอบระเบียงที่ฉัน (และเพื่อน) ไม่รู้เรื่องเลย และกำลังนึกไปถึงเด็ก ๆ หรือคนรุ่นหลัง ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องกันหรือเปล่าว่าวัดพระแก้วหนะสำคัญอย่างไร...ไหว้พระแก้วเสร็จ ลองถามกอปดู
“แกรู้ไม๊ว่า..พระแก้วมรกต ไทยเอามาจากลาว” เพื่อนของฉันตาใส ตอบกลับมาว่า
“เอ๋..?!!” ..เอ๋ของเพื่อน ในที่นี้คงแปลว่า ไม่รู้หรือไม่แน่ใจนั่นเอง เราเดินดูโน่นนี่ไปตามทางจนถึงพระที่นั่งจักรีแล้วออกมาตรงประตูด้านท่าช้าง กะว่าจะขึ้นรถเมล์ไปวัดโพธิ์..แต่ ป้ายรถเมล์ตรงนี้หายไปแล้ว ไปตุ๊ก ๆ ก็ได้..แต่ ไม่มีตุ๊ก ๆ วิ่งมาซักคัน
“เดินไหวไม๊กอป” ฉันถามเพื่อน..ถ้าแกไหว ฉันก็ไหว...เราจึงตัดสินใจเดิน
ถึงวัดโพธิ์ (วัดที่ 2) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร “ร่มเย็นเป็นสุข” ถึงที่หมายกอปก็พูดเรื่องศาลารายในวัดที่มีมากมายให้เลือก Drawing หรือ Painting แต่กอปก็เลือกศาลาที่ไม่สวยมาทำ เกรดก็คงไม่ต้องพูดถึง ไหว้พระประจำวันด้านนอกเสร็จเราก็เข้าไปด้านในพระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่สวยงามที่สุดและองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ผืนพระบาทประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ ตรงมุมพระบาทนี้เองที่เราจะได้เห็นพระพุทธรูปแบบเต็มองค์โดยไม่มีเสาบัง และแน่นอนทุกคนก็จะต้องมาหยุดถ่ายรูปกันตรงนี้ เดินต่อไปก็จะพบกับบาตรที่วางเรียงเป็นทิวยาวสำหรับใส่เหรียญและทำบุญกระเบื้องหลังคาโบสถ์ ขณะที่ฉันกำลังเขียนชื่อตัวเองและครอบครัวที่แผ่นกระเบื้อง กอปเลือกกระเบื้องแล้วพลิกด้านหลังของแผ่นดู มีลายมือเขียนขอพรเป็นภาษาอังกฤษทั่วทั้งแผ่น แสดงให้เห็นว่าเค้าไม่ได้เอามันไปติดบนหลังคาจริง ๆ ฉันหยุดเขียนแล้วมองหน้าเพื่อน
“เค้าคงเอาอันใหม่ไปติดแทนอันตรงนี้มั้ง” กอปสันนิษฐานแบบมองโลกในแง่ดี
ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราคิดดี..ว่าแล้วเราก็เดินตามผู้คนมากมายไปที่ทางออก ระหว่างที่กำลังเดินไป พระรูปหนึ่งได้ถามกลุ่มเด็กทางด้านหน้าซึ่งคงมาทัศนศึกษากัน
“มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นอะไรไม๊?” จบคำถาม ฉันแอบมองออกไปนอกหน้าต่างกับเค้าด้วย
“ต้นโพธิ์..” เด็ก ๆ ตอบลากเสียงยาวเหมือนตอนอยู่ในห้องเรียน...ถูกต้อง...พระรูปเดิมเล่าให้ฟังว่าต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นที่นั่งสนทนาธรรมในสมัย ร.1 หรือ 3 นี่แหละ (แฮะ ๆ มันไม่ได้จดอะก็เลยลืม) เลยได้ชื่อว่าวัดโพธิ์มาจนถึงทุกวันนี้..
จากพระวิหารออกมายังต้นโพธิ์ด้านนอกเริ่มรู้สึกหิว แต่โปรแกรมช่วงเช้ายังไปไม่ถึงไหนห่างไกลมื้อเที่ยงยิ่งนัก เลยว่าจะพักกินอะไรรองท้องกันสักหน่อยที่ร้านกาแฟน่ารักฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์ ที่ร้านกาแฟมองผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปก็จะได้เห็นพระปรางค์วัดอรุณตั้งตระหง่านอยู่เหมือนจะควักมือเรียกให้รีบไปเร็ว ๆ ..สงสัยจะหิวมากแฮะเรา..นั่งพัก กินน้ำกินท่า มีแซนวิชทูน่ารองท้อง ถ่ายรูปเล่นซักพัก พอหายเหนื่อยก็ออกเดินทางต่อ เรานั่งตุ๊ก ๆ ไปท่าเรือข้ามฟากที่ท่าเตียนเพื่อไปวัดอรุณต่อ ลมโชยผ่านน้ำเข้ามาประทะตามเนื้อตัวตอนนั่งเรือ ได้บรรยากาศคลาสสิคมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ดีจังที่วันนี้คนยังไม่มาก ยังไม่ถึงกับเบียดเสียดแย่งกันไหว้พระ
ที่วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร (วัดที่ 3) “ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน” สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเข้าไปในวัดเล่นเอาฉัน (และกอป) ตื่นเต้นก็คือ แผ่นไม้อัดทาสีเป็นรูปนางรำเจาะหน้าออก สำหรับให้เอาหน้าเราใส่เข้าไปแทนเพื่อถ่ายรูป ฉันกับเพื่อนมองหน้าชี้ชวนกัน มัวแต่ลังเลรีรอก็เลยถูกฝรั่งตัดหน้าไป พอฝรั่งถ่ายรูปเสร็จก็มีคนไทยเดินเข้าไปทวงค่าถ่ายรูปกับแผ่นไม้ ภาษาฝรั่ง ของแม่ค้าตะกุกตะกักบวกกับภาษาใบ้ชี้ให้ดูตัวเลข 40 ที่แปะไว้มุมขวาล่างของแผ่นไม้ ฉันพอแปลได้ว่า “ยูสองคนจ่ายมาคนละ 40 บาทค่าถ่ายรูป จ่ายมา ๆ ..นี่ไงเราเขียนไว้ว่าคนละ 40” ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโลก คนไทยได้ทำวิกฤติให้เป็นโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ทันที..คงมีแต่ชาวพุทธอย่างคนไทยเราเท่านั้นที่ถนัด ฉันยืนซึมอยู่ ส่วนฝรั่งเซ็ง บอกว่าไม่ได้ถ่าย ๆ พร้อมกับเอากล้องให้คนไทยดู เราสองคนเดินจากมาพร้อมกับคำถามคาใจ ตัวเลขที่แปะไว้มันตั้งใจทำให้เห็นหรือไม่กันแน่?!!
วัดอรุณฯ เดิมชื่อ “วัดมะกอก” สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จทางชลมารคจากกรุงศรีอยุธยามารุ่งเช้าที่หน้าวัดมะกอกพอดี จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดแจ้ง” และต่อมาสมัย ร.2 ได้ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม” ภายในวัดอรุณฯ มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก..ใช่..ในโลกอีกแล้ว สูงถึง 33 วาเศษ ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ตามสมัยนิยมขณะนั้น ระหว่างกำลังเดินออกจากวัดเห็นผู้คนเดินขึ้นไปบนพระปรางค์ อ่าวว..เฮ้ยยยย..มันขึ้นไปได้ ฉันกับเพื่อนเลยพร้อมใจกันเดินกลับไป หวังจะขึ้นไปด้านบนพระปรางค์ แต่แดดและบันไดร้องห้ามไว้ว่า “อย่า!” เรามันประเภทเชื่อคนง่าย เลยได้แต่ถ่ายรูปพระปรางค์จากด้านล่าง แล้วก็ออกเดินทางต่อไป...ยัง..เรายังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังมีบันไดที่สูงกว่านี้รออยู่
ออกจากวัดอรุณฯ เรามองหารถตุ๊ก ๆ หรือสองแถวเพื่อไปยัง “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” (วัดที่ 4) “เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี” เราเรียกป๊อก ๆ (ตุ๊กๆ + สองแถว เวลาวิ่งเสียงดังป๊อก ๆ ) ไปส่งเราถึงหน้าพระวิหาร ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นเพราะเราใช้เทียนสีแดงแบบจีนไหว้พระและต้องไปปักธูปตามจุดต่าง ๆ หลายจุด ในวิหารมีพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) หรือซำปอกง ตามชื่อที่ได้รับพระราชทานจาก ร.4 ประดิษฐานอยู่ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นพระอารามหลวงแต่ดูผิดกับวัดอรุณฯ อย่างเห็นได้ชัด ที่นี่ดูถูกทอดทิ้งมากคงเป็นเพราะกำลังอยู่ระหว่างปฏิสังขรณ์นั่นเอง ไหว้พระเสร็จก็งงงวยอยู่กับธูปว่าจะปักที่ไหนบ้างเพราะไม่ได้ใช้ธูปแค่ 3 ดอก และไหน ๆ มาวัดทั้งที ที่นี่เราเลยลองเสี่ยงเซียมซีดู..ดวงไม่ดีทั้งคู่..ก็เลยรับเอาน้ำมนต์ที่อยู่ในขวดทรงน้ำเต้าใสและกระดาษยันต์มาบูชา ราคาตามแต่ศรัทธา ฉันเองมารู้ทีหลังว่านอกจากจะใช้เทียนสีแดงไหว้พระต่างจากวัดอื่นแล้ว ที่นี่ยังเป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางลิไลยก์ (ไม่รู้ว่าเหมือนปางเลไลยไม๊) ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถด้วย นั่งดูภาพจิตรกรรมพุทธประวัติในวิหารสักพัก ว่าจะเดินเล่นต่อที่ริมน้ำหน้าวัดเลยเดินออกไป ทันใดนั้นก็ได้พบกับ “สลัมบอมเบย์” ซึ่งประกอบด้วยขอทานตัวน้อยใหญ่ มีทั้งเด็กและหญิงชรากรูกันเข้ามาขอเศษตังตามกำลังศรัทธา ฉันที่ไม่มีเศษตังเหลือแล้ว จึงให้เพื่อนหาเงินให้เด็กไป ขอบอกว่าถ้าคิดจะให้เด็กหนึ่งคนแล้ว ก็ต้องให้เด็กทุกคนที่เหลือด้วยไม่งั้นเด็กมันจะหาว่าเราไม่ยุติธรรมทันที เด็กที่เหลือจะทำสายตาละห้อยใส่ให้เราสงสาร แล้วพร่ำพูดประชดเหมือนเราขาดสามัญสำนึกในการให้ แต่ทว่าเราไม่มีแล้วจริง ๆ ยังไงก็ไม่มีให้ เราจึงได้แต่เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
หิว ๆ..ข้าวเที่ยงยังไม่ได้กิน แต่เราจะไปไหว้พระที่วัดระฆังก่อนแล้วค่อยไปกินข้าวกันแถวท่าน้ำศิริราช เดินออกมาที่ถนนอิสรภาพ ข้ามฝั่งมาเพื่อรอรถแท็กซี่เพราะเริ่มไม่ไหวแล้ว..แล้วก็มีแท็กซี่มาดังใจนึกที่หน้าวัด คนขับโบกไม้โบกมือถามว่าจะไปไหม ให้รอก่อนจะวนมารับ เราก็เลยพยักหน้าแล้วยืนรออยู่ สายตาก็มองตามตูดแท็กซี่ไป
“เฮ้ยยยยย...” ฉันอุทาน เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น รถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้าชนแท็กซี่ที่กำลังกลับรถอยู่กลางถนน คนขับพร้อมมอเตอร์ไซค์ล้มลง ส่วนแท็คซี่ไม่หยุดวิ่ง ซ้ำยังผ่านหน้าเราสองคนที่ยืนรออยู่อย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่มองตามไปพร้อมจับมือเพื่อนแน่น ปากก็พร่ำพูดแต่ว่าเราต้องทำอะไรหรือป่าว ๆ สักพักได้สติฉันก็เรียกแท็กซี่คันใหม่เราจูงมือกันขึ้นรถไป ไม่รู้ว่าเราผิดหรือเปล่าที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่จะเดินกลับไปดูคนเจ็บ (แต่ว่าตรงที่เรายืนมันไกลจุดเกิดเหตุพอสมควรเลยหละ) กอบบอกว่าเราสองคนไม่ผิด เราแค่เป็น “คนส่งกรรม” เหตุการณ์นี้ทำเอาฉันนึกถึงคติของวัดกัลยาณมิตร-เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี- ดูเหมือนเราจะโชคดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้นั่งแท็กซี่มาตั้งแต่หน้าวัด และตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ในรถกับกัลยาณมิตร สุดท้ายก่อนกินข้าวเที่ยง ที่วัดระฆังฉันก็ขอให้บุญที่ได้ทำในวันนี้ จงถึงแก่คนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นให้เค้าปลอดภัยด้วยเทอญ...
ในที่สุดก็มาถึงวัดระฆังบ่ายกว่า ๆ ทั้งหิวทั้งล้า แท็กซี่จอดที่ลานหน้าวัด เปิดประตูรถลงไปมีคนมากมายเดินเข้ามาพูดจาอยู่รอบ ๆ ตัว..อะไรไม่รู้ดูวุ่นวาย ฟังเท่าไหร่ฉันก็ไม่รู้เรื่องซักทีได้แต่ส่ายหน้าตอบไป คนพวกนั้นก็ยังเดินตามมาพูด ๆ ๆ ใส่หู ฉันได้แต่เอ๋อ ๆ ง๊ง ๆ ถามกอปว่าเค้าพูดอะไรกัน กอปหัวเราะบอกว่าฉันดู..เบลอ..มาก คนพวกนั้นเป็นพ่อค้าแม่ค้าปลาสำหรับปล่อยหน้าวัด ซึ่งปัจจุบันเค้าห้ามตั้งแผงขายหน้าวัดแล้ว ฉะนั้นถ้าจะปล่อยปลาเราจะต้องสั่งก่อนเค้าถึงจะไปเอาปลามาให้...จากเอ๋อกลายเป็นอ๋อ..อย่างนี้นี่เอง
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (วัดที่ 5) “ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ” พระอุโบสถของที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมในสมัย ร.1 มีหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในประดิษฐานพระประธานที่ ร.5 ทรงเรียกว่า “พระประธานยิ้มรับฟ้า” ไหว้หลวงพ่อโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์) เสร็จ จากวัดระฆังเราก็เดินไปกินหอยทอดผัดไทร้านดังตรงท่าน้ำศิริราช ระหว่างทางมีขนมต้มต่าง ๆ มากมาย แต่เราก็ไม่ได้หยุดแวะชมแวะชิมกันตามวิสัย กินหอยทอดไปไม่มีอู้กินเสร็จก็รีบเดินทางต่อไป ดูเหมือนจิตใจจะจดจ่ออยู่กับการไหว้พระมากกว่าตามรอยอร่อย
เดิมทีกินเสร็จตั้งใจว่าจะนั่งเรือข้ามฟากไปเรียกแท็กซี่ที่ท่าพระจันทร์ แต่ด้วยความเหนื่อยและเสียสติฉันเรียกแท็กซี่ตรงท่าน้ำศิริราชเลย ผลจากการขาดสติก็คือ..รถติด..ถึงแถวบางลำพูบ่ายสองเจียนบ่ายสาม แท็กซี่จอดหน้าร้านข้าวต้มวัดบวรฯ โชคดีที่ร้านข้าวต้มปิดอยู่ไม่งั้นเราจะโชคร้าย..อิ่มตายชัก เราจึงเดินข้ามถนนไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร (วัดที่ 6) “พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต” วัดบวรฯ เป็นวัดที่สำคัญเพราะเป็นวัดที่ ร.6, ร.7 และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช พระอุโบสถเป็นอาคารแบบตรีมุข หน้าบันประดับกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางมีตรามหามงกุฎ ในพระอุโบสถมีพระพุทธชินสีห์เป็นพระประธาน ที่นี่ฉันไม่แน่ใจถามเลยถามกอปว่า..เคยได้ยินไม๊ที่เค้าว่ามีพระพุทธรูป 3 พี่น้องที่ลอยทวนกระแสน้ำตามกันมา ใช่นี่ไหม..หนึ่งคือ พระพุทธชินราช (พิษณุโลก) สอง พระพุทธชินสีห์ (ที่นี่) และอีกองค์คือพระอะไรที่ไหนอะ? (พระพุทธชินศักดิ์หรือเปล่า? นรก..นั่นมันชื่ออาจารย์ที่คณะ) ฉันเดาเอาว่าถ้าเป็นพี่น้องกันคงชื่อคล้าย ๆ กันประมาณนั้น
“เอ๋..?!!” คำตอบของเพื่อนว่างเปล่าเหมือนเดิม แต่ยังพอมีเค้าลางคุ้นๆ เรื่องเล่าพระลอยน้ำมาอยู่บ้าง
มารู้ทีหลังว่าพระที่ลอยน้ำมามีอยู่ทั้งหมด 3 องค์ คือ หลวงพ่อโต (วัดบางพลีใหญ่), หลวงพ่อวัดบ้านแหลม (สมุทรสงคราม) และ หลวงพ่อโสธร (ฉะเชิงเทรา) ทั้งสามองค์ชื่อไม่ได้ใกล้กันเลย (หรือถ้ามีชื่ออื่นที่คล้ายกันอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ใครรู้บอกที)
เดินออกจากวัดบวรฯ หาทางเดินไปวัดชนะสงครามต่อ รู้อยู่ว่าระยะพอเดินได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน เห็นตำรวจจราจรยืนโบกมือไหว ๆ อยู่เลยเข้าไปถาม ตำรวจจราจรตอบเสียงดังฟังชัดมากกก..ให้ความร่วมมือชี้ทางบอกทางเป็นอย่างดี ตอนนี้ออกแนวทำภารกิจในขำกลิ้งลิงกับหมามาก แน่นอนฉันคงเป็นปังคุง (ลิง) ส่วนกอปเป็นเจมส์ (หมา) เดินทะลุซอยที่เคยเป็นห้างบางลำพูมาก่อน ตลอดแนวทางเท้ามีแผงลอยร้านค้าตลอดทางส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อผ้า ทางเท้าที่มีอยู่เลยถูกบดบังไปครึ่งหนึ่ง ทางเท้าส่วนที่เหลือครึ่งหนึ่งเอาไว้เดินดูของ อีกครึ่งไว้เดินแบบไม่ดูของ แต่พวกเราเดินไปวัดถ้าจะให้เดินสะดวกต้องลงไปเดินที่ถนนแทน
ถึงวัดชนะสงคราม (วัดที่ 7) “มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง” ที่นี่มีแม่ชีมากมายนั่งอยู่ตรงตู้บริจาคธูปเทียนดอกไม้ แม่ชีบางคนนั่งหวีขนให้สุนัขพันธ์ชิสุอยู่ ได้อารมณ์แปลกอีกแบบ เราจุดธูปเทียนไหว้พระที่ด้านนอกแล้วจึงเข้าไปในพระอุโบสถ ที่วัดนี้รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายราชสามัญ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อข้าศึกพม่าถึง 3 ครั้ง (สงครามเก้าทัพ) จึงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดชนะสงคราม” ภายในพระอุโบสถรอบ ๆ พระประธานจะมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยอีกหลายองค์ล้อมอยู่โดยรอบ ฉันและเพื่อนยืนเดินดู..มีพระเยอะมากจริง ๆ ล้อมรอบพระประธานไว้ หันหน้าออกไปด้านนอกเสมือนหนึ่งเป็นค่ายกลอรหันต์ (นรกอีกแล้ว) ที่ฝาผนังมีภาพจิตรกรรมแต่ดูจากลักษณะฝีมือแล้วน่าจะเป็นช่างชาวบ้านไม่ใช่ช่างหลวง (หรือเปล่า??) เรื่องราวเป็นพุทธประวัติ ฉันลองเล่าเรื่องราวตามภาพดู ...ภาพนี้ตอนประสูติใต้ต้นสาละ..ภาพนี้ตอนเสด็จออกไปนอกวังแล้วพบกับภาพคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย... ภาพนี้เสด็จหนีออกจากวังไปผนวช..เอ๊ะ..ทำไมม้ามีสองสี ตัวสีขาวหัวสีดำ...บำเพ็ญทุกขรกิริยา (ไม่รู้สะกดยังไง)..ทรงตรัสรู้ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ไม่รู้สะกดถูกไม๊)...ตรัสรู้เสร็จก็ไปปฐมเทศนาให้เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ฟัง..มีมารมาผจญ..มีพระแม่ธรณีมาบีบมวยผมไล่พวกมาร..มีนางประชาบดีโคตมี (หรือเปล่า) มาถวายข้าวมธุปายาส..ข้าวมธุปายาสเป็นข้าวที่หุงจากนม ฯลฯ ฉันเล่าไปเรื่อยจนเพื่อนทึ่ง แต่เพื่อนไม่รู้ถูกผิดหรอก...เดินกลับออกมาทางเดิมสะดุดตรงภาพปัญจวัคคีย์อีกที...เอ..ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 นี่ชื่ออะไรนะ
“พระสารีบุตรหรือเปล่า..” กอปตอบแต่ไม่มั่นใจ
“นั่นมันพุทธสาวกซ้ายหรือขวานี่หละ..ไม่ใช่โว้ย” แต่ฉันเองก็จำไม่ได้ ทั้งที่เมื่อก่อนคิดว่าไม่มีทางลืมได้แน่นอน มาได้คำตอบจากเพื่อนที่เป็นคริสเตียนภายหลัง ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ, วัปปะ, ภัทธิยะ, มหานามะ และอัสสชิ ..อายเค้าไม๊ละนั่น แต่คิดไปคิดมาก็เป็นเรื่องไม่น่าอายเท่าไหร่ เพราะไอ้ที่น่าจะจำคือคำสอนของพระพุทธองค์ต่างหาก..โล่งอก..
ออกจากวัดชนะฯเดินทะลุถนนข้าวสารไปเรียกแท็กซี่ ผ่านร้านค้ามากมายแทบอดใจซื้อเสื้อไม่ไหว ฝรั่งมากมายนั่งแฮงค์เอาท์ดูมีความสุข คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันคริสต์มาสทำให้บรรยากาศวันนี้ที่ข้าวสารดูชื่นมื่นและเริ่มจะคึกคัก สุดถนนข้าวสารเราเรียกแท็กซี่ไปร้านมนต์นมสด เพื่อตามรอยอร่อย 9 วัด กอปตั้งใจกินขนมปังหน้าซุปข้าวโพดมาตั้งแต่เช้า ส่วนฉันสั่งขนมปังเนยนม และช็อคโกแลต พวกเราแบ่งกันกินหนำใจ เพื่อนเราได้แก่ โน้ตและหมวยตามมาสมทบที่นี่ ซึ่งเป้าหมายของเพื่อนไม่ได้มาเพื่อจะไปไหว้พระด้วย แต่รอไปกินข้าวเย็นกันต่อ ฉันและกอปจึงต้องไปจัดการกับภารกิจที่เหลือต่อให้เสร็จ ก่อนไปวัดที่ 8 เราเดินไปศาลเจ้าพ่อเสือก่อน
15.30 น. เราอยู่ที่หน้าศาลเจ้าพ่อเสือ และด้วยความที่ไม่เคยไหว้มาก่อนทั้งคู่เราจึงไปซื้อของไหว้พร้อมกับถามวิธีการไหว้กับคนขาย เค้าอธิบายให้เสร็จสรรพพร้อมจัดแจงของให้ ฉันเกิดปีมะโรงปีนี้ชงต้องสะเดาะเคราะห์ด้วย..250 บาท ส่วนกอปเกิดปีมะเส็งไหว้ขอพรปีใหม่เฉย ๆ..190 บาท มีคนนำไปไหว้ให้ด้วย..ไม่คิดตัง...ฉันกับกอปเดินตามคนนำต้อย ๆ ทำตามที่เค้าบอกทุกประการ ตรงไหนให้ปักธูป..ปัก ตรงไหนให้วางของ..วาง ตรงไหนให้เผากระทง..เผา เรียบร้อยก็เดินออกมาจากศาลงง ๆ ..แต่ถ้าไม่มีคนนำให้ ฉันกับเพื่อนก็คงทำอะไรไปตามมีตามเกิด คิดแล้วก็ดีเหมือนกัน ว่าแล้วเราก็เดินย้อนกลับไปวัดสุทัศน์ ระหว่างทางดูนาฬิกายังเหลืออีก 2 ที่ยังไม่ได้ไป แถมยังมีเพื่อนรออยู่ที่มนต์นมอีก..เกรงใจเพื่อนจัง หรือว่าจะตัดบางโปรแกรมออก ไหนๆ ก็ไปได้ตั้งหลายวัดแล้ว
“เหลืออีกไม่กี่วัดเอง ก็ไปให้มันครบเซ่..ไม่เป็นไรหรอก” กอปเตือนสติ
วัดสุทัศน์เทพวรารามวรมหาวิหาร (วัดที่ 8) “วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป” เราไหว้พระที่ด้านนอกพระวิหาร และลองเสี่ยงเซียมซีดูอีกที..คราวนี้ดีแฮะ ดีทั้งสองคนเลย ดีจนน่าใจหาย..นึกสงสัยกันว่าทุกใบเซียมซีมันดีทุกใบหรือเปล่า? ด้านในพระวิหารมี “พระศรีศากยมุนี” เป็นพระประธาน พระศรีศากยมุนีเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยสำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงาม ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับวัดสุทัศน์เพราะโรงเรียนสมัยชั้นมัธยมศึกษาอยู่ใกล้วัดสุทัศน์ ตอนโรงอาหารที่โรงเรียนปิดซ่อมก็มาอาศัยพระระเบียงรอบ ๆ พระวิหารเป็นโรงอาหาร ที่ชอบที่สุดคือ ได้เรียนวิชาพระพุทธศาสนาในวัดสุทัศน์นี่หละ เรียนกับหลวงน้า (พระพิพิธธรรมสุนทร) นั่งเรียนในพระวิหารทั้งสงบ..ทั้งเย็น ออกจากวัดสุทัศน์เราก็เรียกตุ๊ก ๆ ไปวัดสระเกศ ภูเขาทอง รถเข้าไปส่งเราถึงทางขึ้นภูเขาทอง ฉันเองโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยขึ้นไปเลย ครั้งนี้ขอขึ้นไปชมวิวกรุงเทพฯ จากยอดภูเขาทองซะหน่อย
ภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดที่ 9) “เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล” มีสิ่งสำคัญที่หลายคนคงรู้จักดี ได้แก่ พระบรมบรรพตหรือภูเขาทอง เป็นพระปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เกิดทรุดพังลง รัชกาลที่ 4 โปรดให้ซ่อมแซม โดยแปลงเป็นภูเขาและก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 ขาขึ้นภูเขาทองเล่นเอาหอบ..วันนี้รู้สึกเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน สงสัยเพราะกินน้อยแรงไม่ค่อยมี เดินขึ้นไปอยู่ดี ๆ มีคนวิ่งแซงขึ้นไป เค้ามาออกกำลังกายด้วยการวิ่งขึ้นภูเขาทอง..บ้าพลัง อย่างกับฝึกวิชาเส้าหลิน ขึ้นไปถึงยอดก็ได้ไหว้พระสมใจ เดินดูไปสักพักมีป้ายชี้ไปด้านในให้ไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ เราก็เดินไปตามลูกศร สักพักฉันเห็นป้ายพร้อมลูกศรเขียนว่า “ทางไปสวรรค์” มองตามลูกศรไปเป็นบันไดสุดลูกหูลูกตา..ไม่เอาอะ ยังไม่อยากไป พอดีมีเพื่อนรอกินข้าวเย็นอยู่ เราจึงค่อย ๆ ไต่บันไดลงมา ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นลูกศรอันใหญ่ที่พื้นสวนทางกับทิศที่เรากำลังเดินอยู่ อ่าว..เราเดินย้อนศรนี่หว่า ฉันและเพื่อนหันมามองหน้ากันชั่งใจว่าจะเดินย้อนศรลงไป หรือเดินกลับไปใหม่ อนิจจา..ลูกศรที่พื้นมันช่างใหญ่เหลือเกิน สามัญสำนึกเลยทำให้เราเดินจูงมือกันกลับขึ้นไป หนึ่งช่วงบันไดก็แล้ว สองก็แล้ว..นี่เราลงมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอนี่ สักพักก็ได้เดินลงมาตามลูกศรถูกซะที ขาลงรู้สึกเหนื่อย...มากกกกก ลงถึงพื้นดินได้ถึงกับมองหาร้านขายน้ำ ได้น้ำเย็นมาประทังความกระหายแล้วค่อยยังชั่ว ครบเป้าหมายทั้งหมดที่ได้วางไว้ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปสมทบกับเพื่อนที่รออยู่ ณ จุดนัดหมายได้ในเวลา 5 โมงเย็นเศษ ๆ ภารกิจไหว้พระ 9 วัดสำเร็จลุล่วง
จบภารกิจฉันได้เห็นความแตกต่างระหว่าง “ตั้งใจจะทำ” กับ “ทำแล้ว” คือ “ผลลัพธ์” ตั้งใจจะทำ ผลที่ได้..ไม่มี เพราะยังไม่ได้ทำ ส่วนทำแล้วผลลัพธ์ก็แล้วแต่ ว่าเราได้ทำอะไร ที่แน่ ๆ คือ สิ่งที่ตั้งใจทำหนะสำเร็จ อย่างน้อยก็มีความสุขใจที่ได้ทำ..ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ และปีนี้ฉันตั้งใจไปไหว้พระทำบุญ 9 วัด ไม่รู้ว่าจะได้บุญมากหรือน้อยแค่ไหน แต่ฉันดีใจที่ได้ทำและทำสำเร็จ







 

Create Date : 04 มกราคม 2552   
Last Update : 4 มกราคม 2552 22:13:51 น.   
Counter : 674 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

pimonhwan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กับตรงนี้ “About Me” เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉัน พอมานึก ๆ ไป หากเอาชุดหนังหน้าคนของตนเองออก ฉันก็คงจะเป็นแค่เครื่องจักรที่ทำอะไรซ้ำ ๆ เสมอ ...ฉันเป็นเครื่องจักรของการตีความ ฉันเป็นเครื่องจักรของการ Clear ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ทั้งหมดนี้รวมกันคือฉันเลย

เครื่องจักรของการตีความ..มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันเป็นต้องตีความเสมอ..คนนี้มาพูดอย่างนี้ แปลว่าอะไร คนนั้นมาพูดอย่างนั้น มันแปลว่าอย่างนี้หรือเปล่า..ตีความเสร็จก็ขอ Clear หน่อย เพราะเป็นคนชอบความชัดเจน แต่ผลที่ได้ ยิ่ง Clear ก็ยิ่งไม่ชัดเจนเสมอ เป็นอันให้ต้อง Clear กันได้เรื่อย ๆ สุดท้าย...ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ฉันพึงหาหนทางสร้างความสุขให้กับตนเองเสมอ อะไรที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขได้ จะหามาสนองตัวตลอด อาทิ คิดว่าถ้ามีคอนโดฯ ได้ฉันก็จะมีความสุขกว่านี้ ฉันก็ได้คอนโดฯ มาสมใจ แต่จนป่านนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังไม่มีความสุขซะที ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่คิดว่าจะทำให้มีความสุขได้..เพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน แนวทางต่าง ๆ ที่เค้าว่าทำแล้วจะมีความสุขแก่ชีวิต ก็หามาอ่าน หามาทำไปเรื่อย สุดท้ายก็พบว่ามันไม่เคยพอ แล้วความสุขที่ได้เหล่านั้นมันก็อยู่ไม่นานเลย มันต้องหาต่อไปเรื่อย ๆ หลงลืมไปว่าความสุขแท้จริงง่าย ๆ มันอยู่ที่เราเอง –การแสวงหาความสุขจากสิ่งอื่นหรือคนอื่นมันไม่ยั่งยืนเสมอไป-

เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ลองมองตัวเองให้ชัด ๆ ขึ้น ก็เลยได้ความกระจ่าง พอใจอยู่อย่างที่อย่างน้อยฉันก็ยังโอเคกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้น แม้บางทีมันก็เลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน..มันก็จะเป็นแค่อีกเรื่องที่ผ่านไป..ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่คนเหลาะแหละ..ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ไขว่คว้าอะไรมาอย่างมักง่าย สุดท้ายฉันก็ยังได้รู้ว่าฉันยังคงมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างเช่นที่เคยมีมาอยู่เสมอ

...เคยเฝ้ารอด้วยความหวังว่าจะมีใครพาเราพ้นไปจากตรงนี้..แต่ความหวังไม่เคยเป็นจริง..
...เคยใช้เวลาไปเรื่อย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เฝ้ารอสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าจะมีเข้ามาในวันข้างหน้า..
...บางครั้งก็รอวันข้างหน้าจนหลงลืมไปว่า เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องรอ.






hits Stock Photos from 123RF
[Add pimonhwan's blog to your web]