สำเนียงส่อภาษา กับข้าวกับปลาส่อสกุล
ตื่นขึ้นมาได้ยังไม่เต็มตาดีนัก เอ้า...ต้องหากินหาอยู่อีกแล้ว ก็เขาว่ากันว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญนี่นะ กินอะไรดีล่ะทีนี้... เปิดตู้เย็นดู เห็นแล้วท้อ จะให้ดั้นด้นออกไปหากินข้างนอกเห็นแดดแล้วก็เพลียเช่นกัน
ถ้าคนเราไม่ต้องกินนี่ ชีวิตน่าจะดีกว่านี้นะ...จะได้ทำงานกันได้อย่างเต็มทีหน่อย (แหะ แหะ...อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงคิด แหม...แม่คนขยัน!!!) แต่วัฒนธรรมเรื่องอาหารการกินทั้งหลายคงหายไปเลย ดีไม่ดีอาจถึงกับไม่ต้องทำงานกันเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะคนเราต้องหากินนี่นะ ถึงทำให้เราต้องมานั่งทำงานกันอยู่เนี่ย
พูดถึงเรื่องวัฒนธรรมอาหาร หลายๆ ประเทศมีความชัดเจนจนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ประจำจานของตนเองมาก คิดง่ายๆ เมนูเอกลักษณ์อย่างพี่ไทยเราคงหนีไม่พ้นผัดไทหรือต้มยำกุ้ง เมนูแขกอินเดียทั้งหลายก็คงไม่พ้นโรตีและแกงเครื่องเทศต่างๆ ส่วนเมนูสไตล์พี่ยุ่นก็คงเป็นพวกซูชิ ปลาดิบ ทั้งหลาย ส่วนเมนูสไตล์ฝรั่งมังคานี่เคยนั่งคิดกับเพื่อน รู้สึกว่ามันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ คงเป็นเพราะมันคล้ายๆ กันไปหมดไม่ว่าจะประเทศไหน ...สเต๊กเหรอ? ไส้กรอก? ซุป? ขนมปัง? สปาเกตตี้? เบอร์เกอร์?
จะว่าไปแม้ไม่ชัด ก็พอจะมีเอกลักษณ์ให้ชาติอื่นนึกถึงอยู่บ้าง อย่างชาก็ต้องอังกฤษ เบียร์-ไส้กรอก มันก็ต้องเยอรมัน ช็อคโกแลตเบลเยี่ยม อเมริกันเบอร์เกอร์ พิซซ่า-สปาเกตตี้อิตาเลียน...ก็พอได้อยู่นะ แม้ว่าบางจานบางประเทศจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์เป็นวัฒนธรรมประจำชาติได้ไม่เต็มปากก็เหอะ คงเป็นเพราะประวัติศาสตร์และความยาวนานของความเป็นชาติมันไม่เท่ากัน แต่นอกจากภาษา สำเนียง เมนูการกินการอยู่แล้ว กิริยาอาการและระเบียบประเพณีบางอย่างมันก็ส่อสกุลและชนชาติได้เหมือนกัน เช่น อาหารยุโรป แม้ชาติไหนเป็นชาติไหนอาหารอะไรจะไม่ค่อยชัด แต่มารยาทบนโต๊ะอาหารนี่ถือว่าโดดเด่นมาก ถึงขั้นบางโรงเรียนต้องมานั่งสอนนั่งหัดมารยาทบนโต๊ะอาหารกันเลยทีเดียว
เคยมีโอกาสได้ไปเยือนยุโรปกับเค้าอยู่ครั้ง เรียกได้ว่ามีโอกาสได้กินอาหารยุโรปแบบจัดเต็ม ...เต็มทั้งรูปแบบและเมนู อาหารแต่ละจานถูกนำมาเสิร์ฟทีละอย่าง ๆ ตามลำดับ ไม่ได้นำมาเสิร์ฟพร้อมกันตรงกลางโต๊ะ แล้วใช้ช้อนกลางตักกินเหมือนบ้านเรา การรับประทานก็จะรับประทานทีละอย่าง ๆ ตามลำดับจนจบ จะลัดจะเร่งก่อนหลังผิดลำดับไม่ได้เลย จำได้ว่ามื้อเย็นมื้อหนึ่งเดินทางทั้งวัน ทั้งหิวทั้งเหนื่อย เพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันเร่งให้บ๋อยหรือบริกรเอา Main course มาลงก่อน ปรากฎว่าถูกบ๋อยว่าเอา เค้าบอกเราอย่างสุภาพว่าอย่าเร่ง ปล่อยให้เค้าบริการและเสิร์ฟพวกเราอย่างเป็นลำดับไป ก็วัฒนธรรมของเค้ากินไปคุยไปกันแบบละเมียดน่ะนะ การจัดโต๊ะ การเตรียมอุปกรณ์รับประทานอาหาร เช่น ส้อมและมีด ก็จะวางเรียงๆ ไปตามลำดับ เวลาใช้ก็จะเปลี่ยนไปตามอาหาร นั้นๆ เริ่มจากอุปกรณ์ที่อยู่ด้านนอกสุดไล่เข้ามา จนถึงช้อนส้อมสำหรับของหวานจะวางไว้ด้านบนสุดของจาน อาหารก็จะเสิร์ฟไล่ไปจากออเดิร์ฟ ขนมปัง-เนย, ซุป, สลัด, Main course ได้แก่ อาหารหลักจำพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ตบท้ายด้วยผลไม้หรือขนมหวานตามด้วยชา กาแฟ ทุกจานก็แบ่งของใครของมันไปเลย ไม่มีมาแจมแบ่งกันตามวิสัยปกติของสมาชิกร่วมโต๊ะอย่างเราๆ และตั้งแต่จานแรกถึงจานสุดท้ายบริกรไม่ลืมรินไวน์แกล้มให้ด้วย ...ส่วนตัวฉันจุกล้นคอตั้งแต่ยังไม่ถึง Main course ยิ่งถ้าดูเวลาเทียบกับเมืองไทยด้วยแล้วนี่ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่า เล่นเอาอยากจะกลับไปนอนเต็มแก่
แต่สิ่งที่ประทับใจในมื้อยูโรเปี้ยนนี่ นอกอาหารรสชาติอร่อยล้ำแล้ว ก็คือ บริกรประจำโต๊ะของเรานี่ล่ะ ต้องขอบอกว่าเค้าตั้งใจบริการมาก ทุกคนอยากให้ทิปกันแบบไม่เสียดายตังค์ พอเร่ิมคุ้นกันสักพักก็เริ่มชวนเค้าคุยด้วยการให้เค้าทายว่าพวกเรามาจากประเทศไหน? Thailand!!! แล้วเค้าก็ทายไม่ผิดด้วย ทั้งที่ทุกคนบนโต๊ะเหมือนเดินทางมาจากเส้นทางสายไหมหรือไม่ก็มาจากซัวเถานี่ล่ะ ก็เลยต้องสอบสวนกันเล็กน้อยว่าเค้ารู้ได้ยังไง?!!
บริกรคนนี้บอกว่าดูไม่ยาก ถึงพวกเราจะหน้าเหมือนคนจีน แต่ดูจากสำเนียงภาษาอังกฤษและกิริยาท่าทางของพวกเราแล้ว ไม่ใช่แน่ๆ ....พวกเราดูท่าทางสุภาพ ไม่ล้งเล้งโวยวายเรื่องมาก แล้วพวกเราก็ไม่ก้มหัว ไห่ ไห่ ดังนั้นก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน ...เออ จริงของมัน
ยกตัวอย่างซะไกลไปถึงยุโรป...จริงๆ แล้วแค่เมืองไทยเราเอง ทั้งสำเนียงพูด ภาษา การแต่งกาย อาหารการกิน แต่ละที่ก็ต่างกันแล้ว เพราะประเทศเราก็มีความหลากหลายของชนชาติและทรัพยากร จริงๆ ไม่ใช่แค่ผัดไทหรือต้มยำกุ้งหรอก อันนี้มันอาหารภาคกลาง ถ้าใครเคยได้ลงไปทางใต้หรือขึ้นเหนือไปก็จะพบว่ามีอาหารที่แปลกตา รสชาติแปร่งล้ินต่างกันไป แต่ที่ฉันรู้สึกว่าแปลกและหลายคนคงไม่เคยไป คือ จังหวัดนราธิวาส เพราะความที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก และเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่พิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ พอมีโอกาสได้ไปเลยรู้สึกเหมือนหลงเข้าไปยังอีกที่หนึ่งที่มีความแตกต่างกับวัฒนธรรมเดิมๆ ที่ตัวเองคุ้นเคย
เพราะคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม การแต่งกายของผู้หญิงก็ไม่เหมือนทั่วไป ผู้หญิงแทบทุกคนจะใช้ผ้าฮิญาบคลุมผม คลุมหน้า เพราะฉะนั้นฉันจึงดูเป็นคนแปลกถิ่นทันทีโดยไม่ต้องสังเกตให้เมื่อย อาหารเป็นที่แน่นอนว่าไม่มีเมนูหมู ส่วนใหญ่ที่มีขายจะได้รับอิทธิพลมาจากชาวมุสลิมหรือมลายู ทำจากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น อย่างข้าวยำ ข้าวอัดก้อน-ไก่สะเต๊ะ โรตี ขนมจีนแกงใต้ แนมผักนานาชนิด มีน้ำพริกกะปิ ตั้งอยู่ตามโต๊ะเป็นของคุ้นตา ของฝากกลับบ้านที่จะหาซื้อได้ทั่วไป คือ ข้าวเกรียบกือโป๊ะ ที่เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาทะเล มีรสชาติเฉพาะตัว ขายพร้อมน้ำจิ้มคล้ายน้ำจ้ิมไก่ ที่บอกเฉพาะตัวคือ เนื้อข้าวเกรียบจะแน่นๆ ไม่ใช่เนื้อแป้งทอดกรอบๆ ฟูๆ แบบที่เราๆ ท่านๆ เคยกินกัน
ซ้ายบนข้าวเกรียบกือโป๊ะ ขวาสะเต๊ะไก่กินกับข้าวอัด
แต่ที่ฉันชอบที่สุด ต้องไปกินทุกวันคือ ขนมเจ๊ะเมะ ขนมที่เป็นแป้งผสมเนื้อมัน ทอดเป็นก้อนรูปทรงรีๆ รสชาติคล้ายขนมไข่นกกระทาทอดที่เห็นขายคู่กันตามร้านกล้วยทอดนั่นล่ะ แต่ข้างในจะมีไส้น้ำตาลคาราเมลหอมหวานอยู่ด้วย... อร่อยมว้ากกก
ขวาขนมเจ๊ะเมะ ซ้ายบนข้าวปลาแดง (คล้ายๆ ข้าวหมูแดงแต่เปลี่ยนเป็นปลา) ซ้ายล่างขนมจีนซาวน้ำแต่เส้นเป็นข้าวอัด
แหล่งที่มีอาหารขายเยอะที่สุดและเป็นศูนย์รวมของผู้คนในตอนเย็นของอ.เมืองนราธิวาส คือ หน้ามัสยิดกลาง มีร้านอาหารต่างๆ มากมาย ทั้งข้าวแกง ยำต่างๆ โรตี กาแฟ และ...แฮมเบอร์เกอร์อันหลังนี่เป็นที่สงสัยมากว่ามาได้ยังไง? พอได้ลองกินก็ลืมสงสัย เพราะรสชาติมันเฉพาะตัวมาก คนขายใส่ซอสมากมาย มีกลิ่นของเครื่องเทศหลายอย่างรวมถึงผงกะหรี่ด้วย รสชาติที่ออกมาเลยมีสไตล์เฉพาะตัวถูกปากคนไทยแน่นอน ดูได้จากคิวที่รอซื้อก็เห็นอยู่ รอนานใช่เล่นซะที่ไหน
ที่ว่าแปลกอีกอย่างหนึ่งจนเหมือนฉันได้มายืนอยู่อีกโลกคือ ภาษา คนที่นี่ไม่ได้พูดภาษาใต้ธรรมดา แต่เค้าพูดภาษาท้องถิ่นหรือภาษายาวีกัน กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องบางทีแทบแย่ อย่างร้านโรตี-น้ำชา หน้ามัสยิดนี่ กว่าฉันจะได้กินก็มีงง ด้วยความที่อยากกินโรตีกล้วยมาก แต่คนขายไปละหมาด คนที่เฝ้าร้านบอกฉันว่าไม่มีกล้วย แต่ก็เห็นอยู่่ว่ามีกล้วยหอมตั้งอยู่ที่หน้าร้านตั้งหวี มาเข้าใจทีหลังว่าคนเฝ้าร้านเค้าตั้งใจจะพูดว่า คนทำไม่อยู่ ไม่มีโรตีกล้วย กว่าจะรู้ก็คลาดไม่ได้กินโรตีกล้วยถึง 2 ครั้ง วันต่อมาเลยฉลาดไปเวลาอื่น ไม่ให้ตรงกับเวลาเค้าไปละหมาดกัน
สำหรับคนที่ชอบกินโรตี-มะตะบะ ไม่ควรพลาดร้านโรตี-ชาชัก อะแบลีห์ หน้าบริษัท ไทยประกันชีวิต มีโรตีและมะตะบะไส้ต่างๆ หลากหลาย โดยเฉพาะมะตะบะเน้ืออร่อยโฮก
ร้านกาแฟเองก็เช่นกัน ที่นี่มีมากมายไม่แพ้ในกรุงเทพฯ แต่เป็นกาแฟแบบโบราณ ร้านกาแฟทุกร้านมีคนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันแบบสภากาแฟทั่วไป มีผู้หวังดีเห็นว่าฉันมาจากกรุงเทพฯเลยแนะนำให้ไปร้านกาแฟและเค้กอย่างในกรุงเทพฯ ชื่อร้าน Sweete Memories เป็นร้านหรูอย่างในกรุงเทพฯ จริง แต่ร้างคนมาก คงเป็นเพราะไม่ถูกปากคนแถวนั้นจริงๆ ฉันถามหาเจ้าของร้านดู พนักงานบอกว่าเจ้าของร้านเข้ากรุงเทพฯ คิดดูขนาดเจ้าของร้านยังไม่อยากจะอยู่ร้านเลย ..กรรม!!
นอกจากผู้คน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่มีความเฉพาะตัวที่แตกต่างแล้ว สภาพบ้านเรือนก็ไม่เหมือนใคร มีบ้านเก่า บ้านร้าง และตึกแถวหลายแห่งที่ถูกปล่อยร้างให้เป็นที่อยู่ที่ทำรังของนกนางแอ่น หลายแห่งถูกปล่อยร้างเพราะถูกระเบิด ยังไม่ได้ซ่อมแซม...ซึ่งอันนี้นับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่มีที่ไหนซ้ำแน่นอน ต่างกับที่ยะลานิดหน่อยเพราะที่ยะลา ฉันได้กินอาหารที่ร้านธาราซีฟูดซึ่งโดนระเบิดจากสถานการณ์ความไม่สงบมาแล้ว 3 ครั้ง ที่นี่ผู้คนกินอาหารในร้านกันแบบปิดประตู... พระอาทิตย์ตกดินเมื่อไหร่เมืองทั้งเมืองจะเงียบเชียบ หน้าบ้านร้านตลาดตามถนนเส้นที่เกิดเหตุระเบิดบ่อย ๆ จะมี bumper หลากสีตลอดทั้งแนวถนน ฉันเองว่าเก๋ แต่คนแถวนี้ไม่มีใครชอบเอกลักษณ์แบบนี้หรอก ทุกคนอยากเห็นปัญหาถูกแก้ไข ทุกคนอยากเปิดประตูบ้านกินข้าว และภายใต้วัฒนธรรมที่หลากหลายทุกคนล้วนอยากอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 13 ธันวาคม 2555 0:09:38 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1670 Pageviews. |
|
|
|