...หลากเรื่อง รายวัน ในวันหนึ่งของหวาน...

แผลที่มองไม่เห็น#1

มีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้คนสองคนมาพบกัน.....


เริ่มต้นเหมือนจะโรแมนติก..แต่เปล่าค่ะ จะพูดต่อว่าเวลาคนหลายคนมาเจอกันก็ด้วย ..ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม ฉันเชื่อว่ามันมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขามีโอกาสได้มารู้จักกัน มาสนิทสนมกัน หรือในบางกรณีก็มาตายพร้อมๆ กัน...(ชักจะออกแนว Final Destination ละ) มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันต้องเป็นอย่างนั้นนะ บางคนอาจเรียกว่าโชคชะตา บางคนอาจเรียกมันว่าเวรกรรม หรือบางคนอาจเหมารวมว่าเป็นบุญทำกรรมแต่ง ..อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉันไปถึงพังงาคนเดียว ทั้งทำงาน ทั้งมาเที่ยวไกลถึงที่นี่ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี? แต่ฉันว่ามันเป็นส่วนผสมระหว่างชะตากรรมกับทางเลือก


หลายคนเจอหน้ามักถามฉันว่าเดินทางไปไหนต่อไหน ไปค้างอ้างแรมไกลๆ คนเดียวนี่ ไม่กลัวเหรอ?!!!


เอ่อ.. ไม่น่าถาม ก็กลัวสิคะ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ..ก็มันต้องไป มันจำเป็น!! อันนี้ฉันเรียกมันว่า “ชะตากรรม” ครั้งแรกย่อมมีกลัวเป็นธรรมดา แต่ครั้งต่อๆ มาชักเริ่มเฉยๆ ตั้งแต่ได้ไปฉายเดี่ยวที่แม่ฮ่องสอน กับได้ไปวัดดวงที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มา ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกแล้วล่ะ ...วะ ฮะ ฮ่าาาา....


ไหนๆ ก็ได้มาทำงานที่พังงาทั้งที จะให้รีบกลับไปก็กระไรอยู่..ฉันเลยปรึกษากับตัวเองแล้วเราเห็นพ้องต้องกันว่า ไปทะเลกันดีกว่า.. อันนี้ล่ะที่เรียกว่า “ทางเลือก” จากตัวเมืองพังงาที่ต้องไปทำงาน ฉันเลยเลือกที่จะไปจ่อมต่อแถวๆ อ.ท้ายเหมือง แทนที่จะเป็นเขาหลักสุดฮิต ..อันนี้ฉันก็เลือกเอง ที่พักอื่นๆ มีให้เลือกมากมาย... ฉันก็เลือกที่นี่เลย “Waterjade Health Land Resort and Spa” บอกแล้ว...ชีวิต คือ ทางเลือก แต่หลังจากนั้นส่ิงที่ได้เจอ คือ ชะตากรรมล้วนๆ


หลังจากถามทางคนโน้นคนนี้มาพักใหญ่ คำตอบที่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ ให้ฉันนั่งรถสายที่ไปภูเก็ตจาก อ.เมืองพังงา แล้วไปต่อรถสายตะกั่วป่าที่ บ.ข.ส.โคกกลอย ก็ตามนั้นเลย..เป๊ะ!! ได้เวลาออกเดินทางฉันก็ปุเรงปุเรงแบกกระเป๋าใบเขื่อง 2 ใบขึ้นรถ ซัก 50 นาทีได้ก็มาลงที่โคกกลอยโดยสะดวกดาย มีเพื่อนร่วมทางมากมายลงที่หมายเดียวกัน ฉันลงจากรถงุดๆ ตามหลังเขาลงมายืนข้างรถ...แต่เอ๊ะ ป๊าดดด.. นี่มันริมทางหลวงเลยนิ ไอ้สถานีรถโดยสารโคกกลอยนี่ดันอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งต้องข้ามถนนไปอีกกี่เลนหว่าาา...1..2...3.....4.... เฮ้ย..นับยังไม่ทันครบดี ผู้โดยสารกลุ่มตะกี้ทั้งหมดก็พร้อมใจกันข้ามถนน ฉันรีบใส่ตีนหมาโกยตามติดไปด้วยแทบไม่ทัน ปุเรงปุเรงเสร็จก็กระย่องกระแย่งข้ามถนนมาจนถึงสถานีจนได้ แต่ทว่า..ไม่มีวี่แววรถโดยสารเลยซักคัน มีแต่เพียงจิ้งหรีดคอยส่งเสียงสร้างความวังเวงกับจ้ิงโกร่งอีกหนึ่งตัวที่กำลังลากกระเป๋า หยุดยืนสลับกับทำหน้าเหวออยู่


ฝูงชนเมื่อสักครู่ที่ข้ามถนนมาพร้อมกับฉันต่างพร้อมใจกันสลายหายตัวเข้ากลีบเมฆไป...


“หนูจะไปไหน?” สวรรค์ทรงโปรด ป้าแก่ๆ ท่านหนึ่งหันมาถามฉัน คงดูรูปการณ์แล้วออกแนวอาการน่าเป็นห่วง ฉันเลยรีบตอบไปทันทีว่าจะไปท้ายเหมือง รู้แต่ว่าต้องไปลงหน้าโรงเรียนบ้านบ่อดาน แต่ไม่รู้ว่าจะไปขึ้นรถตรงไหน? อะไร?ยังไง? ป้าแกพยักหน้าพร้อมกับบอกให้ฉันตามแกไป ..เราไปทางเดียวกัน


นั่งที่ศาลารอรถเมล์ริมทางได้สักพัก ฉันเห็นรถเมล์สีเขียวๆวิ่งมาแต่ไกลคันหนึ่ง ป้าส่งสัญญาณมือบอกฉันว่าคันนี้แหละ ขึ้นรถมานั่งได้ปุ๊บ ป้าแกรีบบอกกระเป๋ารถเมล์พร้อมชี้มาที่ฉันทันทีว่า “จอดให้น้องคนนี้เขาลงหน้าโรงเรียนบ้านบ่อดานด้วย” ป้าย้ำไปถึง 2 ครั้งในสำเนียงใต้ แถมก่อนจะลงป้ายป้ายังบอกให้ฉันเตรียมตัวเตรียมของให้ดีด้วยนะ..จะถึงแล้ว เพียงครึ่งชั่วโมงฉันก็มายืนอยู่หน้าโรงเรียนบ้านบ่อดาน โดยมีแรงบันดาลใจบางอย่างดลให้ป้าเขาเมตตาคนแปลกหน้าอย่างฉันให้มาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ


จากหน้าโรงเรียนถึงที่พัก พนักงานของโรงแรมขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมารับ พอเอาสัมภาระวางปั๊บ ฉันก็ลงนั่งที่ไอ้พ่วงข้างนั่นแหละ ระหว่างนั่งรถเข้าไปฉันก็ถามถึงเรื่องที่พัก ได้ใจความว่าที่พักสงบเงียบมากๆ คนที่มาพักส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งมากกว่าคนไทย มีจักรยานให้ปั่นไปทะเลได้ หรือจะพายเรืออยู่ที่ Lake หน้าที่พักก็ตามแต่จะชอบ และเป็นที่แน่นอนว่าน้องเขาก็อดสงสัยเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ว่าทำไมฉันถึงมาคนเดียว?


คนที่ไปเที่ยวไหนต่อไหนคนเดียวคงมีน้อยมากจริงๆ อะไรคือเหตุผลของคนเหล่านั้น 1.ใจรักแต่เพื่อนไม่รัก 2.ตั้งใจจะไปหาเพื่อนเอาดาบหน้า 3.อยากอยู่คนเดียวให้ธรรมชาติเยียวยา 4.หนี..มันต้องหนีอะไรบางอย่างมาชัวร์!! 5.มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน..งานจริงๆ 6.ต้องการเห็นความสวยงามของโลกครั้งสุดท้ายก่อนอำลาโลก....ไปกันใหญ่ละ จริงๆ ฉันมาด้วยเหตุผลข้อ 5, 1,และ....3 เริ่มจากต้องมาทำงาน ตามมาด้วยหาโอกาสเที่ยวต่อซะเลย..แต่เพื่อนไม่รัก ก็เลยต้องอยู่คนเดียวให้ธรรมชาติเยียวยา..เยียวยาทั้งเรื่องที่เพื่อนไม่รักและ “เขา” ไม่รัก เวลาอยู่คนเดียวนี่..เรื่อง “เขา” และคำว่า “เรา” จะกลับมาชัดเจนในความรู้สึกทู๊กกกที โดยเฉพาะเมื่อนึกได้ว่ามันไม่มีเราอีกแล้วนี่ล่ะ........เศร้านะ.....


แต่ลืมเรื่องเศร้าไปก่อนได้เลยเมื่อถึงที่พักแล้วพบว่า ในสถานที่อันใหญ่โตเยี่ยงนี้ มันจะมีแต่เราเพียงผู้เดียว!!! ย้ำอีกที..มีฉันพักอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวเท่านั้น!! พอดีว่ามันเป็นหน้า Low season น่ะ...น้องที่ Front เขาบอก ..ไงล่ะ ที่พักมีเยอะแยะ ดันเลือกมาพักที่นี่ ที่ๆไม่มีคน ได้สงบเงียบให้ธรรมชาติเยียวยาสมใจเลยเมิง...อันนี้ก็อดกระแนะกระแหนตัวเองไม่ได้ เข้าห้องพักเก็บกระเป๋าเสร็จสรรพ ก็เดินออกสำรวจที่ทาง ถ้าไม่นับเรื่องที่มีฉันอยู่คนเดียวทั้งรีสอร์ทเนี่ย ก็ถือว่าที่นี่บรรยากาศดีใช้ได้ เป็นที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ตรงกลางมี Lake ใหญ่สุดลูกหูลูกตา สองฝั่งของ Lake มีที่พักเป็นหลังเล็กๆ ล้อมรอบ เชื่อมต่อกันด้วยบริเวณส่วนกลางที่เป็น Lobby และร้านอาหาร “ครัวศรีวารา” อาหารที่นี่เองก็อร่อยใช้ได้เลย


images by free.in.th

images by free.in.th


เวลา 18:30 น. ฉันก็ออกมานั่งรับลมกินอาหารเย็นที่ริม Lake เลือกที่นั่งที่ดีที่สุดโดยไม่มีใครแย่ง บรรยากาศดีจริงๆ ลมพัดกำลังเย็นสบาย พออาหารมาเสิร์ฟตั้งได้สักพักพอให้ได้รำ่ลาแสงสุดท้ายของวันที่จากไปเสียหน่อย แสงสว่างจากโคมไฟตามทางเดินก็ค่อยๆเปิดขึ้นส่องแสงสลัวๆ พอให้ได้รู้สึกโรแมนติกบ้าง อาหารที่สั่งมารสชาติอร่อย แต่กินไปสักพัก เอ๊ะ...อาหารตาเมื่อครู่เริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุม..ทุกครั้งที่มองออกไปกลับกลายเป็นความน่ากลัวและมืดมิด ชักจะเหมือนนั่งหลับตากินข้าวอยู่คนเดียวซะแล้ว จังหวะนี้ชักเริ่มขำตัวเอง ไอ้ที่ว่าจะนั่งกินข้าวชมวิวเสียหน่อยมันไม่ใช่ละ...แถมชักเริ่มกังวลที่จะต้องนอนคนเดียวขึ้นมาอีกตะหงิด ๆ


กินข้าวเสร็จพนักงาน 2 คนเข้ามากล่าวราตรีสวัสดิ์ ไม่วายที่ 1 ใน 2 คนนั้นจะสร้างความอุ่นใจให้กับฉัน

“พี่กลัวผีมั้ย?” กรรม!! ฉันรึอุตส่าห์ไม่นึกถึงแล้วเชียววว

“พี่ไม่ต้องกลัวนะคะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่หนูจะบอกว่าถ้าไฟดับหรือมีอะไร พี่ไม่ต้องกลัวนะ มีอะไรมาตรงนี้ได้เลย เรามีรปภ. อยู่ตรงนี้ตลอดค่ะ แม่ครัวก็พักอยู่ห้องข้างหลังนี่เอง...” พนักงานอีกคนรีบแจ้งทางหนีทีไล่ให้ทราบ ทำให้ได้รู้ว่าคืนนี้นอกจากเราแล้วจะมีรปภ.กับแม่ครัวที่อยู่เป็นเพื่อน...อุ่นใจมากกกก


images by free.in.th


เข้าห้องได้ก็เลยเอาเก้าอี้ยันประตูไว้กันคนประสงค์ร้ายเข้ามาให้ห้อง ก่อนนอนก็สวดมนต์อีกชุดใหญ่กันอดีตคนที่อาจประสงค์ดีมาอยู่เป็นเพื่อน.....สุดท้ายก็นอนหลับสนิทไปทั้งคืน สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในยามวิกาลเห็นจะมีแต่ฝนที่กระหน่ำลงมาทั้งคืนต้อนรับการมาถึงของฉันอย่างชุ่มฉ่ำยันเช้า


ท้องฟ้าไม่รู้ไปอมน้ำมากมายมาจากไหน ถึงได้กลั่นตัวลงมาเป็นสายไม่ยอมเลิก ฉันมองจากหน้าต่างห้องออกไปที่ร้านอาหาร ตัวร้านดูเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เงาของพนักงาน ได้ยินแต่เสียงคนคุยกันอยู่ไกลๆ คงเป็นแม่ครัวกับรปภ. ฉันกางร่มเดินไปตามทางจนเข้าไปนั่งภายในร้านอาหาร เสียงเสวนาเมื่อครู่ที่ได้ยินกลายเป็นเสียงฝีเท้าพร้อมกับขยับตัวกันพรึบพรับ


“พี่เขามาแล้วๆ” ...เอ่อ นี่รอฉันออกมากันรึเนี่ย?!! คงว่างๆ เบื่อๆ ไม่มีอะไรให้ทำกันสินะ


สิ้นเสียงได้สักพักพนักงานร่างใหญ่ที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ครัวเดินมารับออร์เดอร์ อาหารเช้าก็ไม่มีอะไรมาก กาแฟ ขนมปัง ไข่ดาว หมูแฮม ง่ายๆ ตามสูตร แต่กาแฟที่นี่เป็นกาแฟสดรสชาติกลมกล่อมจริงๆ ฉันพกหนังสือ 1 เล่มหนามาอ่าน เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะได้ทำ




 

Create Date : 28 กันยายน 2555   
Last Update : 28 กันยายน 2555 18:14:13 น.   
Counter : 888 Pageviews.  

ถึงก็ใช่...ไม่ถึงก็ใช่

แม่ฮ่องสอน...สอนให้รู้ว่า....

ถึงก็ใช่..ไม่ถึงก็ใช่


หลังจากนั่งเครื่องบินจากแม่ฮ่องสอน มาต่อตู้นอนที่เชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ ...ฉันกำลังอยู่บนรถไฟ มีพนักงานจากตู้เสบียงมาเซ้าซี้ให้สั่งอาหารอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะหน้าม้านกลับไปเพราะฉันปฏิเสธ ไม่อยากจะบอกว่าฉันมีเสบียงอยู่แล้วในกระเป๋า เซ็ทใหญ่เสียด้วย


images by free.in.th


เป็นเรื่องน่าแปลกที่ครุ่นคิดมาตลอดทาง ระหว่างใช้เวลาพลางๆ บนรถไฟ อ่านหนังสือ 1 เล่ม สลับกับการพักสายตาด้วยทิวทัศน์นอกหน้าต่าง อะไรทำให้เรารู้สึกรีบร้อน อยู่ไม่ติด อยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ ทั้งที่มีเวลาเหลือเฟือเหมือนๆ กันระหว่างในตอนนี้และในตอนนั้น ..วันสุดท้ายที่แม่ฮ่องสอน


วันนั้นก็เหมือนทุกๆวัน ทำงานเสร็จก็ได้เวลาออกเดินเล่น มีเป้าหมายเดิมคือ ตลาดโต้รุ่งหน้าไปรษณีย์แม่ฮ่องสอน แต่เส้นทางที่ใช้วันนั้นฉันขอไปสำรวจทางใหม่อีกทางแบบทวนเข็มนาฬิกา ดูจากแผนที่แล้วจะได้ผ่าน วัดม่วยต่อ, วัดก้ำก่อ, วัดพระนอน, อนุสาวรีย์พญาสิงหนาทราชา...เรียกได้ว่าคุ้ม


จริงๆ เส้นทางน่ะ รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าไกลพอสมควร แต่ก็คิดว่าแดดร่มลมตกอากาศดี ถือว่าเดินออกกำลังไปเรื่อยๆ ...ฉันเริ่มออกเดินจาก ถ.สิงหนาทบำรุง ผ่านบ้านไม้เก่าหลังแล้ว หลังเล่า..บางหลังก็เป็นร้านอาหาร บางบ้านก็เป็นร้านกาแฟ บางร้านดูดีๆ ก็เป็นร้านตัดผม น่ารักต่างไปอีกแบบ แต่ที่เหมือนกันทุกๆ หลังคือ จะมีสายไฟแรงต่ำพาดมาบังหน้าบ้าน จริงๆ ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าไม่ดี เหมือนคนที่หน้าตาดีแต่ดันมีผมม้ามาปรกรกหน้าผาก พาลดึงให้วาสนาด้อยตามไปด้วย โหง้วเฮ้งที่ดีจะต้องเปิดเหม่งโชว์กันจะจะ...ที่แย่กว่าเรื่องโหง้วเฮ้งคือ ลองนึกถึงคนที่อยู่ชั้น 2 ดู วันดีคืนดีเกิดครึ้มอกครึ้มใจอยากออกมายืนสูดอากาศหายใจนอกระเบียงดูบ้าง คงไม่กล้าสูดหายใจเข้าแรงๆ เพราะอาจจะหายใจเอาสายไฟเข้าปอดไปด้วย..แย่นะ บ้านตัวเองแท้ๆ กลับหายใจได้ไม่เต็มปอด!!


images by free.in.th

images by free.in.th


จะว่าไปก็ไม่ใช่จะเป็นแต่ที่แม่ฮ่องสอน กรุงเทพฯเองก็มีให้เห็นเยอะแยะ ยิ่งไอ้ที่พาดตามทางเท้า ตามสะพานลอยให้คนเดินข้ามสายไฟกันไปมา เห็นแล้วก็พลอยเพลียเฮดเหมือนกัน


บ่นคนเดียวไปเรื่อยๆ จนถึงแยก เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.ผดุงม่วยต่อ ก็เจอกับร้านข้าวซอยป้านูญ แต่โชคร้ายร้านปิดไปแล้ว เลยเป็นอันอดชิม จะว่าไปก็เหมือนกับอีกหลายๆ ร้านที่ฉันพลาด เพราะแต่ละร้านเขาไม่ได้ทำของมาวางขายอะไรเยอะแยะ ส่วนใหญ่วายกันตั้งแต่บ่ายแก่ๆ นี่มันก็ปาเข้าไปจะ 5 โมงแล้ว ลาภปากเป็นอันว่าไม่มี


เดินไต่ตามเนินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ถึงวัดม่วยต่อ..เดินเข้าไปก็เจอกับเจดีย์ 6 องค์ วัดม่วยต่อ แปลว่า วัดแห่งเจดีย์ เห็นป้ายบอกข้อมูลสถานที่ก็จริงดังว่า ออกจากวัดม่วยต่อก็เดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามเป็นวัดก้ำก่อ วัดที่นี่แทบทุกที่ดูเป็นวัดเล็กๆ พระลูกวัดก็มีไม่กี่รูป ดูเงียบและสงบ เหมาะแก่กิจของสงฆ์ดีนะ ตัววัดก็ดูแปลกตาด้วยเอกลักษณ์แบบไทใหญ่ ทั้งทรงหลังคาซ้อนกันหลายๆชั้น หรือการตกแต่งแบบวิจิตรด้วยลวดลายฉลุ อย่างวัดก้ำก่อนี่ ที่แปลกและไม่เคยเห็นที่ไหนก็ทางเดินเข้าที่เป็นระเบียงยาว (Cover way) เชื่อมเข้าไปจนถึงด้านใน


images by free.in.th

ขวาบนวัดม่วยต่อ ขวาล่างคือซุ้มทางเดินเข้าวัดก้ำก่อ  ด้านซ้ายคือบริเวณด้านหน้าวัดก้ำก่อ


ถัดไปอีกไม่ไกลเป็นวัดพระนอน ฉันเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางไสยาสน์ด้านใน ที่นี่เองมีพระตัวเป็นๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธรูปออกมาให้เห็นเยอะหน่อย มีรูปหนึ่งชี้ให้ฉันเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ ฉันหาทางเข้าอยู่นานกว่าจะถึงบางอ้อ เพราะประตูที่อยู่ตรงหน้าทำเอานึกว่าเป็นประตูตู้เซฟ แต่พอได้เข้าไปข้างใน เห็นของหลังประตูถึงได้เข้าใจ โบราณวัตถุล้ำค่ามากมายอายุหลายร้อยปีและมีมูลค่าโขนี่เอง ที่ทำให้ทางวัดต้องรักษาเป็นอย่างดี ทั้งพระไตรปิฎกโบราณและพระเครื่องต่างๆ หลายร้อยองค์ ทั้งหมดนี้ถูกกั้นจากพวกอีหยิบด้วยซี่ลูกกรงเหล็กและกระจก ทำเอาผู้ชมอย่างเราซวยไปด้วย เห็นแล้วบอกความรู้สึกไม่ถูกจริงๆ


images by free.in.th


วัตถุมงคลบางทีไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม้แต่ตัวมันเองยังถูกขโมยด้วยซ้ำ หากคนเราไม่เกิดความสำนึกดีด้วยศรัทธาจากข้างในนะ

...ความรู้สึกเดียวที่ใคร่ครวญได้ตอนนี้ คือ ...สลด


ที่น่าสนใจในวัดพระนอนอย่างหนึ่ง ที่เห็นแล้วอดนึกถึง วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) ไม่ได้ คือ พระบัวเข็ม พระพุทธรูปองค์เล็กๆ กลุ่มเดียวที่ไม่ได้ถูกจองจำ (ไม่กล้าเทียบรูป วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ ให้ดู กลัวคนอ่านจะสลดเหมือนกัน..แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ลองไปหาดูรูปกันเอาเองนะ) พระรูปที่พาเดินชม เล่าให้ฟังว่าพระบัวเข็มนี้เป็นศิลปะแบบไทใหญ่ที่ทำจากรัฐฉานประเทศพม่ารุ่น พ.ศ. 2500 ที่เห็นมีอยู่ 4 องค์ (จริงๆ ต้องมี 5 องค์รึเปล่า...แบบว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ไง?!!) องค์ตรงกลางที่เป็นรูปไข่ คือพระศรีอริยเมตไตรย นั่นเอง


ออกเดินต่อไปอีกพัก ชักอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ คงเพราะเหนื่อยด้วย หิวด้วย ทำเอาเท้าก้าวตามไม่ทันใจ เดินลงเนินสุดชันลูกใหญ่มาจนถึงอนุสาวรีย์พญาสีหนาทฯ แล้วก็เลี้ยวซ้ายกลับไปที่ถนนคนเดินหน้าไปรษณีย์ ได้หอยทอดจานใหญ่ๆ ลงท้องไปหน่อยอาการหงุดหงิดโกรธเท้าตัวเองก็ค่อยคลายลง... ว่าแต่...(กระซิบ) อย่าไปบอกใครนะว่าฉันมาถึงแม่ฮ่องสอน นอกจากครั้งก่อนจะกินน้ำพริกปลาทูแล้ว คราวนี้ยังกินหอยทอดด้วย...


images by free.in.th


ภารกิจเดินชมเมืองแม่ฮ่องสอนวันสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้น....ตอนนี้ใจกลับไม่รีบร้อนอยากกลับไปพักเหนื่อยแล้วแฮะ ไม่เหมือนตอนก่อนหน้าที่อยากให้ถึงๆที่ซะเหลือเกิน


images by free.in.th


เสียงหวูดของรถไฟดังขึ้นอีกครั้ง...หลังจากหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ที่สถานีลำปาง ฉันลองนั่งนึกทบทวนเรื่องราวของแม่ฮ่องสอนในวันสุดท้าย.. ล้อของรถจักรค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากชานชลา เสียงของเครื่องจักรทำงานแผดเสียงแสดงสถานะว่าการเดินทางกำลังจะดำเนินต่อ


ถึงก็ใช่ ไม่ถึงก็ใช่..ถึงก็ใช่ ไม่ถึงก็ใช่......


จริงสินะ.. ไม่ว่าเท้าหรือพาหนะชนิดไหนจะพาเราไป ที่ใช่แน่ๆ คือ มันจะต้องมีปลายทางเสมอ ใจเราเองต่างหากที่บางทีก็ร้อนรน เร่งเร้า ..เมื่อไหร่ที่ใจอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วกว่าเท้า เมื่อนั้นความทุกข์จะเข้ามาแทนที่


ฉันหลับยาวก่อนจะมาสะดุ้งต่ืนอีกทีตอนรถไฟกำลังเข้าสถานีอยุธยา ...ฉันฝันร้ายล่ะ ฝันว่าลงสถานีผิดแล้วกลับเข้ากรุงเทพฯไม่ได้ ทั้งที่ยังมีตั๋วรถไฟอยู่ในมือ....


สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ถ้าเป้าหมายเราชัด ช้าเร็วยังไงก็ต้องไปถึง....แต่เมื่อไหร่ที่เป้าหมายผิดต่างหาก เมื่อนั้นล่ะ..ฝันร้ายชัดๆ




 

Create Date : 24 กันยายน 2555   
Last Update : 26 กันยายน 2555 18:57:59 น.   
Counter : 950 Pageviews.  

บ้านวงศ์บุรี...บ้านนี้สีชมพู อ.เมือง จ.แพร่

“...รังรักในจินตนาการ  วิมานรักอันบรรเจิดจ้า  ริมหน้าต่างปลูกซุ้มลัดดา  ห้องนอนสีฟ้า ติดม่านชมพู...”  เสียงเพลงของ ทูล ทองใจ แว่วขึ้นมาเมื่อได้เห็นเรือนไม้สักทองทรงยุโรปประยุกต์หรือทรงขนมปังขิง นั่นก็เพราะตัวบ้านทั้งหลังเป็นสีชมพูกุหลาบแสนหวาน  หวานไม่ผิดกับเนื้อเพลงที่เคยได้ฟัง    

“บ้านวงศ์บุรี” ตั้งอยู่บนถนนคำลือในตัวเมืองจังหวัดแพร่ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงจึงหาได้ไม่ยาก เมื่อเราเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนก็ได้พบกับเจ้าของบ้าน “คุณวรรณี วงศ์บุรี” ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลวงศ์บุรี ท่านกรุณาเล่าเรื่องราวของบ้านผ่านข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้ฟัง คุณยายเร่ิมอธิบายจากภาพถ่ายติดผนังซึ่งเป็นภาพของบุคคลต่างๆ ในตระกูล เริ่มตั้งแต่แม่เจ้าบัวถา ผู้สืบเชื้อสายมาจากอดีตเจ้าเมืองแพร่ ผู้สร้างบ้านและต้นตระกูลวงศ์บุรี จนมาถึงรุ่นคุณวรรณี คุณสหยศ และคุณศรีพนา บุตรชายและสะใภ้ ทายาทรุ่นที่ 5 ในปัจจุบัน

images by free.in.th

คุณยายพาเดินชมไปโดยรอบก็มาหยุดที่ตู้กระจกบริเวณโถงกลาง ภายในบรรจุหนังสือสัญญาซื้อขายทาส-ที่ดินและเอกสารแสดงรูปพรรณช้าง-ม้าที่หาดูได้ยาก โดยเฉพาะช้างเพราะแต่เดิมที่บ้านทำกิจการสัมปทานป่าไม้ สมัยคุณยายยังเด็กที่นี่จึงมีช้างและซุงเต็มไปหมด คุณยายเล่าไปยิ้มไปเมื่อได้ถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตให้ฟัง

images by free.in.th

images by free.in.th


ปัจจุบันบ้านวงศ์บุรีมีอายุถึง 114 ปีแล้ว แต่สภาพของบ้านยังดูทันสมัยและมีชีวิตชีวา เจ้าของบ้านก็ยังอยู่และใช้ชีวิตตามปกติ เครื่องใช้ทุกชิ้นในบ้านก็เป็นเครื่องมือเครื่องใช้จริงในอดีตที่ยังคงเก็บรักษาไว้ในสภาพดี รวมถึงการจัดวางที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย จะเห็นได้ว่าความเก่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ตัวบ้านเก่าไปด้วยเลย นั่นเพราะการดูแลจากผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน

สิ่งที่น่าประทับใจในบ้านหลังนี้จึงไม่ใช่เฉพาะความงามที่เห็นได้ด้วยตา แต่ยังมีความรักที่เจ้าของบ้านถ่ายทอดออกมาผ่านการอนุรักษ์เรือนนี้ให้มีสภาพเหมือนเมื่อแรกสร้าง เพื่อเป็นการเล่าขานเรื่องเมืองแพร่ในอดีต เรียกได้ว่ามีสีชมพูทั้งภายนอกและภายในอย่างแท้จริง





 

Create Date : 10 กันยายน 2555   
Last Update : 10 กันยายน 2555 21:57:08 น.   
Counter : 1764 Pageviews.  

ไม่ต้องมีสิ่งดีๆ ก็ได้ ขออย่าให้มีเรื่องร้ายๆ ก็พอ

แม่ฮ่องสอน...สอนให้รู้ว่า....ไม่ต้องมีสิ่งดีๆ ก็ได้ ขออย่าให้มีเรื่องร้ายๆ ก็พอ


อิม ดอง-ฮยอน เป็นนักกีฬายิงธนูชาวเกาหลีใต้ที่....ตาบอด เขามองเห็นชัดเจนน้อยกว่าคนทั่วไปถึง 10 เท่า ภาพที่เขาเห็นจึงออกแนวเบลอๆ ถึงเบลอมากๆ ปัจจุบันเขาครองตำแหน่งมือสองของกีฬายิงธนูระดับโลก แต่ที่น่าสนใจก็คือ โอลิมปิค 2012 นี้ เขาหวังจะมาทวงตำแหน่งอันดับหนึ่งกลับคืนสู่อ้อมกอดของตนเอง


หลายคนคงสงสัยว่า..เฮ้ย อันดับ 2 ของโลกเลยเหรอ?

ในขณะที่อีกหลายๆ คนคงสงสัยว่า..เฮ้ย...เคยเป็นอันดับ 1 เลยง๊าาา...

อืมมม ก็น่าแปลกใจอยู่ ...ก็เขาตาบอดนี่ แต่เดี๋ยวก่อน...เดี๋ยวเล่าเสร็จ ขอให้ทุกคนร้องเฮ้ยพร้อมๆ กันยาวๆ อีกที เพราะรัฐบาลเกาหลีใต้เสนอค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดตาของเขาให้กลับมาเห็นเป็นปกติ ทว่าข้อเสนอนี้กลับถูกเขาปฏิเสธ...

อ่ะ... คราวนี้ร้องเฮ้ยยยยย พร้อมๆ กัน!!


ที่เขาปฏิเสธเพราะเขากลัวว่าหากเขากลับมาเห็นอะไรได้ชัดๆ ความสามารถด้านอื่นๆ ที่เขาได้ชดเชยมามันจะหายไป แล้วความหวังที่เขาจะได้กลับมาเป็นอันดับ 1 ของโลกก็จะหายตามไปด้วย


ถ้าการมองเห็นเป็นสิ่งดีๆ ...อิม ดอง-ฮยอน คนนี้ เป็นคนหนึ่งล่ะที่ขอปฏิเสธ ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าการพลาดจากการเป็นที่ 1 ของโลกในกีฬายิงธนูของเขาอีกแล้ว


เป็นเรื่องเข้าใจยากนะ ถ้าอยู่ในสถานะที่เรามองเขา ในทางกลับกันถ้ามองในสถานะที่เราเป็นเขาดู คงไม่ยากเกินเข้าใจ


“ไม่ต้องมีสิ่งดีๆ ก็ได้ ขออย่าให้มีเรื่องร้ายๆ ก็พอ”

มีน้องคนหนึ่งจั่วหัว status ใน facebook ...มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ? มักน้อยจัง ฉันก็เป็นคนหนึ่งล่ะ ที่ขอเจอสิ่งดีๆ บ้าง ไม่ต้องมาบ่อยก็ได้ ถึงนานๆ มาทีก็ขอให้มีมาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์นะที่มักจะต้องแสวงหาความสุขกันเป็นหลัก


“สุขแสวง” ..อันนี้ไม่ใช่ชื่อคนนะ แต่เป็นค่านิยมของคนที่นิยมวัตถุ นิยมแสวงหาสิ่งของหรือประสบการณ์ที่จะนำมาซึ่งความสุขให้กับตนเอง การมาแม่ฮ่องสอนในคราวนี้ของฉัน นอกจากมาเพื่อทำงานแล้วส่วนหนึ่งก็มาเพื่อภารกิจนี้เหมือนกัน..แสวงหาความสุข


แล้วแม่ฮ่องสอนก็สอนให้ฉันรู้ว่า ความสุขของคนเรามันมีเท่าเดิมนั่นล่ะ ไม่เคยมีมากขึ้นจริงๆ หรอก...ฉันถูกจิตใจของตัวเองหลอก มาหลอกกันเองได้ไง..สุดจะช้ำ!!


เพราะก่อนมาที่นี่ ฉันก็มีความสุขอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ตอนอยู่ที่นี่ฉันกลับนึกว่ามีความสุขมากกว่าปกติ แต่จริงๆ แล้วทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขอยู่เท่าเดิมนี่!!!


เป็นเรื่องเข้าใจยากนะ ถ้าอยู่ในสถานะที่เรามองเขา ในทางกลับกันถ้ามองในสถานะที่เราเป็นเขาดู คงไม่ยากเกินเข้าใจ...


ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเอง ก็เหมือนกับ อิม ดอง-ฮยอน


ถ้าให้เลือกเอาความเจริญเข้ามาเพื่อให้ชีวิตคนในแม่ฮ่องสอนดีขึ้น คนที่นี่ขอปฏิเสธ แม่ฮ่องสอนต้องการความเจริญแบบพอดีๆ เพราะหลายคนในชุมชนที่นี่รู้ดีว่าจุดแข็งของเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่คือ วัฒนธรรม (วัฒนธรรมไทใหญ่) หากรับเอาความเจริญและวัฒนธรรมจากที่อื่นเข้ามามากเกินไป จะทำให้เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเสี่ยงต่อการถูกคุกคาม ฉะนั้นสิ่งที่เห็นได้จากที่นี่จึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลาบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย ส่ิงที่เห็นส่วนใหญ่มันคือของจริง!! ชีวิตความเป็นอยู่จริงๆ ที่ยังคงมีรากเหง้า ไม่ใช่เอะอะ ก็ตลาดน้ำๆ ไม่เชื่อลองกลับไปอ่าน “กินอยู่อย่างไทใหญ่ที่ตลาดสายหยุด อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน” ดู


ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดขึ้นมาเองนะ แต่ผู้ดูแล “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่ตั้งอยู่ที่อาคารเก่า รสพ. ที่แม่ฮ่องสอนนี่ล่ะ เขาเล่าให้ฟัง ที่นี่เป็นอาคารโบราณที่ปัจจุบันได้ทำเป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว เป็นที่ซ่องสุมของกลุ่มคนที่เป็นแนวร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมของแม่ฮ่องสอนเอาไว้ เมืองแม่ฮ่องสอนทั้งเมืองจึงเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตจนถึงปัจจุบันไว้ด้วยตัวของมันเอง ผ่านผู้คนและชีวิตความเป็นอยู่ การอนุรักษ์ของที่นี่จึงยั่งยืนและกินได้....อันนี้หมายถึงคนในชุมชนเขาก็มีรายได้จากตรงนี้ด้วยนะ


images by free.in.th

พิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่อาคารรสพ.แม่ฮ่องสอน


และที่นี่นี่เองที่ฉันได้พบกับแผนที่กิน แผนที่เที่ยววัด และแผนที่บ้านโบราณ แล้วมันก็บันดาลใจให้ออกเดินไป พร้อมกับมีเสียงพี่เค้าส่งมาตามหลัง...


images by free.in.th


“ทุกอย่างเป็นไปได้ในการเดินทาง...เป้าหมายในการเดินทาง อาจไม่สร้างความประทับใจเท่ากับประสบการณ์ระหว่างทางที่พบเจอ....”


ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือที่มาของกางเกงที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฉันเลือกเดินทั้งที่นักท่องเที่ยว (ที่ฉลาด) ส่วนใหญ่จะเช่าจักรยานขี่ไปเรื่อยๆ รอบเมือง เพียงเพราะอยากเจอกับรายละเอียดระหว่างทางที่พี่เขาว่า


การเดินทำให้เห็นอะไรมากกว่าและสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ที่มีชีวาได้เป็นอย่างดี


“พี่จะไปไหน?” ระหว่างเดินถ่ายรูปบ้านโบราณไปเรื่อยเปื่อย เด็กน้อยคนหนึ่งปั่นจักรยานคันเล็กเล่นอยู่หน้าบ้าน เห็นฉันแล้วคงอดสงสัยไม่ได้ ...ก็เห็นเดินอยู่แถวนี้มา 2 วันแล้วนี่ เมืองก็เล็กไม่ยากที่จะดูรู้ว่าใครเป็นคนแปลกถิ่นแปลกหน้า 

“จะปั่นไปส่งรึเปล่าล่ะ?” ฉันถามเผื่อฟลุ๊ค ทั้งที่รู้ว่าถ้าซ้อนท้ายไปคงกลายเป็นจักรยานวิบาก

“ไปไหนล่ะ?” อืมมม ...อันนี้จริงๆ ฉันเองก็ยังไม่รู้ กะว่าจะเดินไปเรื่อยๆ

“หาข้าวกิน...ไปกินข้าวที่บ้านด้วยคนได้มั้ย?”

ฉันถามเผื่อฟลุ๊คอีกที แต่ไม่ได้กินหรอกค่ะ ...ฉันไม่โชคดีขนาดนั้น เด็กน้อยส่ายหัว พ่อแม่เขาคงสอนมาดี เล่นเอาเราฝันสลาย ลาภปากได้แต่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ

“บ้านอยู่ที่ไหน? บ้านจริงๆนะ”

เด็กน้อยอยากรู้จักบ้านฉันบ้าง ไม่อยากจะบอก...ถ้าไปบ้านฉัน ฉันจะให้กินข้าวด้วยนะเอ่อ

“กรุงเทพฯ รู้จักมั้ย?” ฉันตอบ

เด็กน้อยได้แต่ส่ายหัวอีกที เป็นการจบบทสนทนา เฉพาะละแวกบ้านกับจักรยานคันเล็กๆ นี่ก็คงกว้างเกินกว่าที่จะต้องรู้จักกรุงเทพฯในตอนนี้


images by free.in.th


ได้เวลาเคารพธงชาติพร้อมเชิญธงลงจากยอดเสา ฉันเดินมาถึงวัดจองคำ-จองกลางพอดี วัดที่นี่ดูเงียบสงบ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเฉพาะตัว พระสงฆ์องค์เจ้าก็ดูน้อยรูป ฉันเลยหยุดพักการเดินเท้าชั่วครู่ เข้ากราบหลวงพ่อโตทางด้านใน ตามด้วยการลอยเทียนสะเดาะเคราะห์บูชาพระอุปคุตที่ไม่เคยเห็นในภาคกลาง แล้วจบด้วยการลาแสงสุดท้ายของวันด้วยการเวียนเทียนรอบพระธาตุ


images by free.in.th

images by free.in.th


ในเวลานี้ฉันกลับรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด นึกถึงคำพระทั้งหลายที่เคยได้ยิน


...ความทุกข์นั้นไม่เที่ยง มีทุกข์ได้เดี๋ยวก็ไม่มี ความสุขก็เช่นกัน


เดินออกมาที่หน้าวัด ตลอดแนวถนนเรื่อยไปจนถึงหน้าที่ทำการไปรษณีย์แม่ฮ่องสอนตอนนี้กลายเป็นถนนคนเดินไปตลอดสาย ฉันมาหยุดแวะกินมื้อเย็นที่หน้าที่ทำการฯที่ตอนนี้กลายเป็นตลาดโต้รุ่ง แต่ไอ้จะให้เรียกตลาดโต้รุ่งเลยก็คงเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะแม่ค้าบอกว่า 3 ทุ่มก็ปิดแล้ว งั้นก็คงต้องเรียก “ตลาดดึก-วาย” จะได้คล้องกับ “ตลาดสายหยุด” ที่เป็นตลาดเช้า ซึ่งอันนี้ก็ไม่รู้ว่าฉันจะตั้งชื่อไปทำไม? เพราะเมื่อหันไปดูป้ายชื่อซอย “ซอยไปรษณีย์” ...อืม ก็ง่ายๆ ดูตรงตัว


images by free.in.th


กลับถึงที่พักอีกทีสองทุ่ม ฉันค่อยๆ ไขกุญแจเข้าที่พักเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้เริ่มคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้แล้ว เข้าห้องได้ก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นเตียงไปอย่างช้าๆ กลัวร่างแหลกสลาย...เมื่อยมาก และอิ่มที่สุด โจ๊กญวน 1 ชาม ตามด้วยโรตีแม่ฮ่องสอน และสับปะรดปั่นอีกหนึ่งแก้วเย็นช่ืนใจ..หายใจเข้าแต่ละทีแน่นมาถึงอก กว่าจะเอาชนะความง่อยเปลี้ยย้ายมวลสารทั้งหมดไปชำระไคลเหงื่อได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่ม...อาบน้ำเสร็จสุดแสนจะสดช่ืน พอหัวถึงหมอนปั๊บก็ถึงกับต้องรำพึงใส่ตัวเอง


ชีวิตจะต้องการอะไรนักหนา...ไม่ต้องมีสิ่งดีๆ ก็ได้ ขออย่าให้มีเรื่องร้ายๆ ก็พอ




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 26 สิงหาคม 2555 17:16:04 น.   
Counter : 1071 Pageviews.  

ตักน้ำใส่กะโหลก อย่าชะโงกดูแต่เงาตัวเอง

แม่ฮ่องสอน...สอนให้รู้ว่า....

ตักน้ำใส่กะโหลก อย่าชะโงกดูแต่เงาตัวเอง


ฉันเดินปอดตุงออกมาจากที่พักทางด้านหลัง ในปอดมีความมั่นใจอยู่อย่างแน่น ออกมาที่หน้าร้านกาแฟเดินทักทายแขกเหรื่อในร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร โบกมือน้อยๆ...พองาม ...รักเด็กค่ะ


จะบ้าเหรอ ..เดินออกมาเฉยๆ นี่ล่ะ เป็นแขกที่มาพัก ไม่ใช่เจ้าของร้าน..ไม่ใช่นางงาม แต่หน้าร้านที่เห็นตอนนี้เด็กเยอะจริงๆ ทั้งผมบ๊อบ ทั้งหัวเกรียน คงเพราะเป็นช่วงปิดเทอมพอดี ยุคนี้สมัยนี้เด็กๆ เขานัดเจอกันตามร้านกาแฟแล้ว หรือเนี่ย? พาลให้นึกถึงสมัยเด็กของตัวเองที่นัดเจอเพื่อนแต่ละทีต้องเจอกันที่ร้านนมขนมปัง ใครเลยจะคิดว่าเด็กเดี๋ยวนี้จะกินกาแฟ เวลาเปลี่ยนไปไลฟ์สไตล์ก็เปลี่ยนตาม จากสังคมนิยมนมกลายเป็นสมาคมในร้านกาแฟกันทุกวัยเสียแล้ว


images by free.in.th

บรรยากาศภายในร้าน ขวาบนคือห้องหมายเลข 1 ห้องที่ฉันพัก


ดูเหมือนทั้งร้านจะมีแต่เราที่เป็นขาจรนะ เลยถามน้องนวลและน้องดาว สองสาวพนักงานประจำหน้าร้านว่ามีแขกท่านอื่นๆ นอกจากเราอีกหรือเปล่า? น้องเขาบอกว่ามีอีกคู่หนึ่งพักอยู่ที่ชั้นบน ได้ทีเลยถามต่อเรื่องกุญแจห้องที่มีถึง 3 ดอกในพวงเดียว สองสาวอธิบายว่า ดอกหนึ่งสำหรับประตูที่รั้วบ้าน ดอกที่สองก็ของประตูบ้าน ส่วนดอกสุดท้ายก็ประตูห้องพี่ไง

“พอ 6 โมงร้านกาแฟปิด พวกหนูกลับบ้าน บ้านทั้งหลังนี่ก็เป็นของพี่แล้วค่ะ”

สิ้นเสียงอธิบาย ภาระอันยิ่งใหญ่ก็ถูกส่งมอบให้พร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง


images by free.in.th


“พี่จะรับอะไรมั้ยคะ?” น้องดาวถามเรียกสติกลับคืนมา นี่มันเป็น Guesthouse เล็กๆนะ ไม่ใช่โรงแรมห้าดาว ความรับผิดชอบเดียวที่มีคือต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ..ก็แค่นั้น

“มีอะไรที่ไม่ใช่กาแฟมั้ย?” ฉันถาม น้องนวลคนพี่ที่ตัวใหญ่กว่าส่งเมนูมาให้ ที่นี่มีแต่เครื่องดื่มพวกกาแฟ น้ำผลไม้ และเบเกอรี่ ไม่มีอาหารหนักๆ มื้อเย็นคงต้องออกไปหาเอาดาบหน้า


แดดร่ม ลมเริ่มอื้ออึง ท้องฟ้าส่งซิกเนลโครมครามเบาๆ เป็นระยะๆ ฉันสั่งเมนูน้ำ Detox มาดับกระหาย ส่วนผสมของแครอทกับแอปเปิ้ล สีสันสดใส รสชาติที่ได้ออกมาเรียกความสดช่ืนดีจริงๆ


images by free.in.th


ได้เวลา 5 โมงครึ่ง สองสาวเริ่มเก็บโต๊ะไปพร้อมกับเสียงครืนใหญ่ที่ท้องฟ้ายังไม่เลิกขู่ ตอนนี้ดูเหมือนพร้อมจะส่งกองกำลังติดอาวุธมาปะทะได้ทุกเมื่อ ทำเอาฉันนั่งไม่ติดเก้าอี้ รีบออกไปหาอะไรกินดีกว่า เริ่มจากร้านที่เพื่อนแนะนำ “ร้านใบเฟิร์น” ที่เพื่อนบอกว่าใครๆ ก็ต้องไปกินร้านนี้ เสียงฟ้าร้องดังสำทับมาอีกที ไม่ต้องคิดมากละ ถามทางเสร็จก็ออกเดินเลยดีกว่า กะว่าให้ถึงร้านก่อนที่ฝนจะจัดโปรโมชั่นพิเศษให้


เดิน เดิน เดิน...ผ่านไป 10 หมายิ้ม จนตอนนี้เริ่มเดินยิ้มกับหมาทุกตัวที่เห็นแล้ว ผ่านทั้งตลาดสายหยุด, วัด, 7-11, บ้านโบราณหลังแล้วหลังเล่า, ตลาดโต้รุ่ง, ร้านกาแฟ, ร้านอาหารน่ารักๆ และร้านไมโลดิบ ไอ้ร้านไมโลดิบนี่เยอะจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นร้านเฟรนไชน์กาแฟ+ไมโล เทือกๆ นี้


images by free.in.th

images by free.in.th

บนร้านอาหารน่ารักๆ ชื่อ "เฮินยายแก้ว" ล่างร้านขายเสื้อผ้า "ปาด็อง"


ถึงหน้าร้านใบเฟิร์นเสียที เหลือบไปเห็นกระดานดำที่หน้าร้านเขียน “วันนี้มีไข่มดแดง” เอาอันนี้แหละกับน้ำพริกอีกอย่างก็พอ

ไข่เจียวไข่มดแดงกับน้ำพริกกะปิปลาทูถูกยกมาเสิร์ฟ เจ้าของร้านแนะนำว่าสองเมนูนี้เข้ากั๊นเข้ากัน...จุ๊ จุ๊ (กระซิบ)...อย่าบอกใครนะว่าฉันมากินปลาทูกับน้ำพริกกะปิที่แม่ฮ่องสอน


images by free.in.th


ฝนตกหนักแบบไม่ต้องสงสัย ฉันนั่งกินข้าวเย็นในบรรยากาศเย็นๆ ช้ืนๆ ..ไฟดับๆ ติดๆ เพราะแม่ฮ่องสอนใช้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจาก Solar Cell เป็นที่แรกๆ ของประเทศ เลยยังติด ๆ ดับๆ อยู่นิดหน่อย บรรยากาศดีและอาหารอร่อยจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องไฟดับ แต่การมาคนเดียวไม่มีทีมเสริมอย่างนี้ กินเท่าไหร่ก็ไม่พร่อง เลยต้องขอห่อกลับที่พักมาด้วยความเสียดาย จะทิ้งไว้ก็เกรงใจมดแดงทั้งหลายที่อุตส่าห์ยอมพลีไข่มาให้มากขนาดนี้


หลังฝนชุดใหญ่ล้างถนนเสียเอี่ยม ได้เวลาเกือบ 2 ทุ่ม ฉันเดินกลับมาตามเส้นทางเดิม ไม่ใช่อะไร..กลัวหลง บรรยากาศขากลับดูดึกเกินจริง ที่กรุงเทพหากเป็นเวลานี้คนส่วนใหญ่คงเพิ่งถึงบ้าน แต่ที่แม่ฮ่องสอนนี่เมืองแทบร้าง นานๆ รถจะวิ่งผ่านมาซักคัน ชาวบ้านร้านตลาดไม่รู้จะรีบปิดบ้านกันไปไหน ยิ่งเดินก็ยิ่งเงียบ ถึงที่พักก็ค่อยๆไขประตูเข้าบ้าน อาการดูยังไม่คล่อง คลับคล้ายเด็กขโมยกุญแจบ้านหนีแม่ไปเที่ยวแล้วเพิ่งกลับ ค่อยๆไขกุญแจเข้าบ้านแบบกลัวคนในบ้านต่ืน


เข้าห้องได้รู้สึกโล่งใจ แต่ความเงียบชวนวังเวงสงสัยเป็นอย่างมาก มันมีคนอยู่อีกจริงหรือเปล่าเนี่ย? เมืองก็ดูไม่มีที่บันเทิงใดๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ตะลึงตึงตึง ห้องข้างบนอยู่กันเงี้ยบเงียบ ฉันเลยขอเปิดทีวีทำลายความเงียบเสียหน่อย ปกติไม่ค่อยได้ดูทีวีแต่ถ้าได้ดูก็มักจะเปิดช่อง 3 ซึ่งเวลานี้ก็มีแต่ละครน่าเบื่อ เลยลองเปิดไล่ช่องอื่นดูบ้าง ปรากฏว่าช่องไทยพีบีเอสมีรายการดีๆน่าสนใจให้ดูเพียบ...


แค่ลองเปลี่ยนช่องดูก็ได้รู้เรื่องอื่นที่ไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเองคุ้นเคย เราเองต่างหากที่ไม่เคยสนใจ จริงๆ การเดินทางมาทำงานครั้งนี้ก็เป็นการเปลี่ยนโลกของตัวเองเหมือนกัน ดึงตัวเองให้ออกไปเจอโลกใบอื่นของคนอื่นๆดูบ้าง และพรุ่งนี้ฉันก็ต้องออกไปทำงานแต่เช้า อาบน้ำนอนดีกว่า


ห้องน้ำของที่นี่เป็นห้องน้ำรวม โชคดีหน่อยที่ห้องของฉันอยู่ติดกับห้องน้ำเลย แต่ยังไงซะเพื่อความอุ่นใจขอเปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อนยามอาบน้ำหน่อยดีกว่า ระหว่างอาบได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้านและขึ้นลงบันได ดีใจชะมัดที่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย มาเริ่มกังวลอีกทีตอนที่เขาบิดลูกบิดประตูแสดงเจตนารมณ์ว่าอยากใช้ห้องน้ำบ้าง ก็เลยรีบอาบรีบกลับเข้ามาในห้อง

ก่อนนอนฉันนั่งอยู่หน้ากระจกสำรวจความเรียบร้อยของข้าวของเครื่องใช้อีกที เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง เหลือบไปเห็นตัวเองในกระจกและเงาสะท้อนของห้องทั้งห้อง จริงๆ ถ้าดูให้ดีๆ กระจกมันสะท้อนอะไรให้เราเห็นตั้งเยอะ ทั้งตัวเราเองและสิ่งรอบข้าง แต่เรามักจะมองกันแต่หน้าของตัวในกระจก


ชีวิตก็เหมือนกันนะ บางทีมันก็สะท้อนอะไรรอบๆ ตัวให้เราดู แต่เราก็มักจะเลือกดูและใส่ใจแต่กับชีวิตของตัวเอง ลองมองกลับไปกลับมาดูบ้าง...ชีวิตมีอะไรอีกตั้งเยอะ




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 18 กรกฎาคม 2555 18:01:12 น.   
Counter : 1109 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

pimonhwan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กับตรงนี้ “About Me” เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉัน พอมานึก ๆ ไป หากเอาชุดหนังหน้าคนของตนเองออก ฉันก็คงจะเป็นแค่เครื่องจักรที่ทำอะไรซ้ำ ๆ เสมอ ...ฉันเป็นเครื่องจักรของการตีความ ฉันเป็นเครื่องจักรของการ Clear ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ทั้งหมดนี้รวมกันคือฉันเลย

เครื่องจักรของการตีความ..มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันเป็นต้องตีความเสมอ..คนนี้มาพูดอย่างนี้ แปลว่าอะไร คนนั้นมาพูดอย่างนั้น มันแปลว่าอย่างนี้หรือเปล่า..ตีความเสร็จก็ขอ Clear หน่อย เพราะเป็นคนชอบความชัดเจน แต่ผลที่ได้ ยิ่ง Clear ก็ยิ่งไม่ชัดเจนเสมอ เป็นอันให้ต้อง Clear กันได้เรื่อย ๆ สุดท้าย...ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ฉันพึงหาหนทางสร้างความสุขให้กับตนเองเสมอ อะไรที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขได้ จะหามาสนองตัวตลอด อาทิ คิดว่าถ้ามีคอนโดฯ ได้ฉันก็จะมีความสุขกว่านี้ ฉันก็ได้คอนโดฯ มาสมใจ แต่จนป่านนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังไม่มีความสุขซะที ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่คิดว่าจะทำให้มีความสุขได้..เพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน แนวทางต่าง ๆ ที่เค้าว่าทำแล้วจะมีความสุขแก่ชีวิต ก็หามาอ่าน หามาทำไปเรื่อย สุดท้ายก็พบว่ามันไม่เคยพอ แล้วความสุขที่ได้เหล่านั้นมันก็อยู่ไม่นานเลย มันต้องหาต่อไปเรื่อย ๆ หลงลืมไปว่าความสุขแท้จริงง่าย ๆ มันอยู่ที่เราเอง –การแสวงหาความสุขจากสิ่งอื่นหรือคนอื่นมันไม่ยั่งยืนเสมอไป-

เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ลองมองตัวเองให้ชัด ๆ ขึ้น ก็เลยได้ความกระจ่าง พอใจอยู่อย่างที่อย่างน้อยฉันก็ยังโอเคกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้น แม้บางทีมันก็เลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน..มันก็จะเป็นแค่อีกเรื่องที่ผ่านไป..ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่คนเหลาะแหละ..ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ไขว่คว้าอะไรมาอย่างมักง่าย สุดท้ายฉันก็ยังได้รู้ว่าฉันยังคงมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างเช่นที่เคยมีมาอยู่เสมอ

...เคยเฝ้ารอด้วยความหวังว่าจะมีใครพาเราพ้นไปจากตรงนี้..แต่ความหวังไม่เคยเป็นจริง..
...เคยใช้เวลาไปเรื่อย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เฝ้ารอสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าจะมีเข้ามาในวันข้างหน้า..
...บางครั้งก็รอวันข้างหน้าจนหลงลืมไปว่า เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องรอ.






hits Stock Photos from 123RF
[Add pimonhwan's blog to your web]