หยุดแล้วไปไหน?
หยุดแล้วไปไหน? เป็นคำถามที่คนถูกถามได้ยินต้องเงี่ยหูฟังให้ดีๆ อีกครั้ง เพราะละม้ายคล้ายคำถาม ตายแล้วไปไหน? ซึ่งก็ตอบได้ยากคือ ๆ กัน โดยเฉพาะหากถามคนกรุงเทพฯ ถ้าไม่อยากไปเดินตามห้าง กินข้าวตามร้านรวงสุดหรู ดูหนังในโรง
มันจะมีที่ไหนให้ไปได้ในช่วงหยุดสุดสัปดาห์บ้างล่ะ?!!
สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ ชื่นชมงานศิลปะ ตลอดจนนิยมในวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย อยากเปลี่ยนสถานที่กินข้าว เดินเล่น นั่งอ่านหนังสือ สนทนากาแฟเคล้าลมเย็นริมคลอง คลองบางหลวง ชุมชนริมคลองชายขอบกรุงเทพฯนี้เองใกล้ ๆ เพียงเข้าไปในซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 จนสุดซอย ดูเหมือนจะเป็นซอยตันไม่มีอะไร หากสังเกตดีๆ ที่ด้านซ้าย จะมีสะพานคอนกรีตข้ามคลองเล็ก ๆ ความกว้างเพียง 2 คนสวน (คนพอเดินสวนกัน 2 คนได้) เป็นสะพานที่จะพาเรา ๆ ท่าน ๆ ข้ามน้ำและเวลาย้อนกลับไปดูชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ไม่อิงความเจริญล้ำตามกระแสโลกเท่าไหร่ เหมือนกับหลุดมิติมายังโลกอีกใบเลยทีเดียว
สองเท้าก้าวข้ามมา
ได้เวลาเจียนบ่ายหลังจากเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีวงเวียนใหญ่ ฉันกับเพื่อนเลือกต่อรถแท็กซี่มาลงที่สุดซอย จรัญฯ 3 ที่กลางสะพานระหว่างที่เราหยุดชื่นชมภาพบรรยากาศที่ผิดกับในซอยก่อนหน้านี้ ภาพที่เห็นเป็นบ้านไม้กลางเก่ากลาง ใหม่เกาะไปตลอดแนวริมคลองเป็นทิวแถว การสัญจรในตอนนี้ที่มีให้เห็นเหลือเพียงแค่สองเท้า สองล้อปั่น และสองล้อเครื่อง ที่เพิ่มมาเห็นจะเป็นเรือหางยาวที่ลอดล่องผ่านใต้สะพานมานาน ๆ ที
ตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าได้ชั่วอึดใจ เราทั้งคู่ก็นึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนี่! ความหิวเลยออกตัวนำเท้าพา พวกเราไปหาอะไรใส่ท้องกัน
สะพานข้ามคลองที่นี่ชันดีแท้ อย่ามัวแต่เดินเพลินหรือหยุดถ่ายรูปเพลินกันเชียว เพราะชาวบ้านที่สัญจรผ่านไปมาตรงนี้จะขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามสะพานกันแต่ละที ต้องตั้งหลักพุ่งทะยานให้ผ่านทางลาดสุดชันอันนี้ไปให้ได้ ออกแนวขับมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง หากมัวแต่ยืนเก้กังอาจถูกสอยไปเป็นสก๊อยได้
ก้าวข้ามสะพานลงมาได้สักพัก เดินผ่านหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวมองเข้าไปดูข้างในร้านคนอย่างแน่น ก็เลยขอลงนั่งสาวเส้น กับเขาด้วยอีกคน ดูจากการแต่งกายและบทสนทนาแล้วคิดว่าลูกค้าที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนในพื้นที่ มีตั้งแต่เด็กหัวเกรียน เด็กหอ และพี่วินมอเตอร์ไซค์ ที่สำคัญแต่ละคนดูท่าจะเป็นขาประจำกันมากกว่าขาจรอย่างฉันและเพื่อน
นั่งรออยู่พักใหญ่ ถือคติอยากกินของอร่อยต้องใจร่มๆ พี่คนทำก๋วยเตี๋ยวและพนักงานเสิร์ฟที่เป็นคนๆเดียวกัน ก็ส่งชาม ก๋วยเตี๋ยวให้เราตามใบสั่ง ก๋วยเตี๋ยวหมูสับหน้าตาธรรมดาทว่ามีกลิ่นหอมฉุย รสชาดดีแบบไม่ต้องปรุง ถูกเสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุป กระดูกหมูชิ้นเขื่องอีก 1 ชาม เล่นเอาปากไม่ว่างบ่นว่ารอนานกันเลยแม้แต่น้อย
ก๋วยเตี๋ยวหยุดบ่อย
หลังเสิร์ฟลูกค้าขาจรอย่างเราเสร็จพี่คนขายก็เริ่มเก็บร้าน นาฬิกาบอกเวลาเพียงแค่บ่ายโมงครี่ง มีลูกค้าหลายคนเดิน มาแล้วก็ต้องเดินกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง
หมดแล้วจ้า... พี่คนขายตอบ
ลูกค้าบางคนแอบมองจิกตาใส่โต๊ะเรา เสมือนหนึ่งเป็นความผิดที่เราได้กินชามสุดท้าย เล่นเอาฉันอยากจะลุกขึ้นเอาเท้า ข้างหนึ่งเหยียบขอบโต๊ะ แล้วตะโกนดัง ๆ ให้คนที่พลาดได้เจ็บใจเล่นว่า
ชามสุดท้าย กูได้กินโว้ย...วะฮ่าฮ่า
แต่ก็อย่างที่บอกว่าคนส่วนใหญ่นั้นเป็นลูกค้าประจำ ไอ้จะให้ไปทำอย่างนั้นให้พวกพี่เขาระคายเคืองใจคงไม่เหมาะ เลยได้แต่ดูดน้ำเปล่าในแก้วแล้วเช็ดปากอย่างสุภาพ สุดท้ายก็หันไปถามพี่เจ้าของร้านเพราะยังข้องใจในชื่อร้านตั้งแต่แรกเห็น
พี่ ๆ ร้านพี่ชื่อนี้จริง ๆ เหรอ...ก๋วยเตี๋ยวหยุดบ่อย? ฉันถาม
พี่คนขายยิ้มตอบ ครับ
คนแถวนี้เขาเรียกอย่างนั้นกัน เมื่อก่อนผมขายวันเว้นวัน บางทีก็ขาย 1 วัน หยุด 3 วันแลยก็มี คนแถวนี้เขาเลยเรียกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวหยุดบ่อยกัน
ฉันฟังคำตอบแล้วนึกในใจ ...คนอะไรวะ..โคตรอาร์ท!!
แต่สาเหตุจริง ๆ ที่พี่เขาหยุดไม่ใช่เพราะติสท์แตกหรืออะไร หากแต่เพราะเขาทำคนเดียว เตรียมของขายอยู่คนเดียว เลยทำไม่ไหว
แรกเริ่มเดิมทีร้านนี้เป็นกิจการของครอบครัว พอพ่อแม่เริ่มทำไม่ไหวก็ตกมาเป็นของลูก ๆ อย่างเขาและพี่น้องช่วยกันทำ พอแต่ละคนมีครอบครัวของตัวเอง ก็ต่างแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น จึงเหลือเพียงพี่เขาคนเดียวที่ยังทำร้านก๋วยเตี๋ยวนี้อยู่
ถ้ารู้จักพอก็ไม่ต้องเหนื่อย
เดี๋ยวนี้คนมาเที่ยวคลองบางหลวงเยอะขึ้น พอคนรู้จักเยอะขึ้นก็มาเที่ยวมากินกันเยอะ ผมเองก็ทำไม่ไหวหรอกครับ ทำได้เท่าไหนก็เท่านั้น ของหมดก็เลิก ไม่งั้นก็ต้องขยายร้าน ต้องจ้างคนเพิ่ม ..ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากขยับขยายตามหรอกครับ
เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเล่าให้ฟังถึงแนวคิดที่ออกแนวพอเพียง เขาไม่อยากขยับขยายร้านตามกระแสของการท่องเที่ยว คลองบางหลวงที่กำลังมา ไม่อยากกอบโกยทั้งที่มีโอกาส พี่เขาบอกว่าแค่นี้ก็พอกินพอใช้ก็มีความสุขดีแล้ว ไม่รู้จะเหนื่อยไปอีก ทำไม
ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเหนื่อยเพิ่ม แค่รู้จักพอ...ความสุขก็อยู่ใกล้กว่าที่คิด
นั่งสนทนาอยู่สักพัก ฉันกับเพื่อนก็เตรียมออกเดินต่อ
ก่อนจากพี่เจ้าของร้านแนะนำให้ไปถ่ายรูปเล่นที่ร้านน้ำปั่นบริเวณตีนสะพานและไปชมหุ่นละครเล็กที่ บ้านศิลปิน ฉันและเพื่อนเลือกไปที่ร้านน้ำปั่นก่อน อยากได้น้ำปั่นดับร้อนเอาฤกษ์เอาชัยเสียหน่อย
สถานสังเคราะห์การท่องเที่ยว
เดินออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวย้อนกลับไปที่สะพาน เลี้ยวซ้ายที่ตีนสะพานก็เจอกับร้านน้ำปั่นที่ว่าชื่อร้าน ดีเลิศ อยู่ติดกับ ร้านขายโปสการ์ดภาพโบราณและโปสการ์ด Handmade สยามนามมงคล
เราทั้งคู่สั่งน้ำปั่นมาดับร้อน นั่งอ้อยอิ่งถ่ายรูปเล่นกันที่หน้าร้านทั้งสองซึ่งถูกจัดแต่งไว้เป็นมุมเก๋ ๆ แบบ Oldies Style พร้อมกับชื่นชมบรรยากาศริมคลอง ฉันกับเพื่อนนั่งมองไปตามแนวระเบียงไม้ริมน้ำที่ใช้เป็นทางสัญจรหลักเชื่อมต่อบ้านแต่ละหลังไปตลอดแนวชายคลอง สุดลูกตาที่เห็นเป็นวัดคูหาสวรรค์
จากหน้าร้านน้ำปั่นฉันออกเดินเล่นไปเพลิน ๆ ผ่านร้านขายเสื้อสกรีนคำว่า คลองบางหลวง เลยไพล่นึกไปถึงเสื้อสกรีน แบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น อโยธยา อัมพวา หัวหิน หรือ เพลินวาน ของที่ระลึกอย่างเป็นทางการที่บอกเป็นนัยแก่ผู้พบ เห็นว่า คนใส่ได้ไปเยือนมาแล้วนะเว้ย.. ซึ่งไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนเสื้อสกรีนลายดังกล่าวก็จะมีให้เห็นอยู่ทั่วไปดาดดื่น เรียกได้ว่า ไปที่ไหนก็เจอเสื้อของที่นั่น แทนที่จะเป็นของเฉพาะถิ่นที่มีชื่ออย่างที่เคยเป็น คงอย่างว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนค่านิยมของคนก็เปลี่ยนตามสมัยไปด้วย
เพราะความที่ชุมชนคลองบางหลวงเป็นที่พักอาศัยติดริมคลอง มีทางเดินหน้าบ้านเดินถึงกันเป็นแนวยาวได้ตลอด เลยอดนึกถึงตลาดน้ำอัมพวาไม่ได้ แม้ภาพที่เห็นจะคล้าย ๆ กันแต่อัมพวาดูสังเคราะห์กว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทำเงินทั้งหลายที่ตะพิดตะพือใส่เข้าไป ทั้งสปานวดเท้า ร้านขายของเล่นโบราณ ร้านขนมโบราณ กาแฟโบราณ ภาพถ่ายโบราณ ไอติมโบราณ ฯลฯ แต่ละร้านต่อท้ายชื่อด้วยคำว่าโบราณ ทุกร้านพยายามปรุงแต่งความโบราณเพื่อเรียกลูกค้า ไม่รู้จริง ๆ จะมีสักกี่ร้านที่ทำกิจการนั้น ๆ มาตั้งแต่แรกเริ่ม ดูเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นที่นิยมกันในพศ.นี้ จะเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันไปเสียหมด
โชคดีที่ที่นี่ยังไม่สังเคราะห์มาก ชื่อเสียงก็ยังไม่รู้จักกันเป็นที่แพร่หลายนัก วันนี้คนที่เดินสวนกันไปมาจึงยังไม่หนาตาเท่าที่อื่นทั้งที่เป็นวันเสาร์ พวกเราก็เลยไม่ต้องแย่งใครกินแย่งใครเที่ยวขนาดนั้น
บ้านศิลปินถิ่นติสท์แตก
เราเดินลัดเลาะถ่ายรูปตามทางเดินหน้าห้องแถวริมคลองกันมาเรื่อย เดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้กันเป็นว่าเล่น หลาย ๆ ห้องถูกจัดเป็น Gallery แสดงผลงานภาพถ่าย ภาพวาดของศิลปิน หรือแม้กระทั่งของสะสมต่าง ๆ อาทิ ของเล่นโบราณ ตลอดจนภาพถ่ายโบราณของกรุงเทพฯในอดีต แล้วแต่จะนำมาจัดมาแสดงกัน บางห้องเจ้าของบ้านมานอนโชว์ให้ดูเลยก็มี เพราะที่นี่ยังคงความเป็นที่อยู่อาศัยตามวิถีชีวิตของคนที่อยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่
เดินมาจนสุดทางอีกด้านเป็นที่ตั้งของ บ้านศิลปิน ได้เวลาบ่ายสองโมงครึ่งพอดีกำลังมีการแสดงหุ่นละครเล็ก พวกเราจึงนั่งลงร่วมชมการแสดง
ตัวสถานที่แสดงมีลักษณะเรียบง่าย ที่นั่งชมอยู่บริเวณใต้ถุนบ้าน เวทีที่ใช้เชิดหุ่นกับลานบ้านก็คือพื้นที่เดียวกัน มีเจดีย์และหมู่เมฆไม้ทางด้านหลังเป็นฉากธรรมชาติ ต่างกับเวลาดูภาพยนตร์ในโรงอย่างสิ้นเชิง
โชคร้ายที่เราไปถึงช้า การแสดงที่มีมาได้สักระยะหนึ่งแล้วก็จบลงโดยที่เรายังไม่ทันรู้ตัว
บ้านศิลปิน เห็นจะจริงดั่งชื่อ เพราะนอกจากจะมีตัวหุ่นละครเล็กที่วางอยู่ให้เห็นแล้ว ยังมีพื้นที่ที่เหมือนกับส่วนนั่งทำงานของเจ้าของบ้านอันเป็นงานศิลปะ ได้แก่ ภาพพิมพ์, งานหล่อปั้น และภาพระบายสี กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่สำคัญมีผู้คนที่มีบุคลิกเยี่ยงอาร์ทตัวพ่อ-ตัวแม่ เดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่
ส่วนชั้นบนของบ้านเป็นพื้นที่แสดงผลงานของศิลปิน วันที่เราไปมีทั้งงาน Painting และภาพถ่ายจัดแสดงอยู่
ด้วยความที่ฉันเองก็เป็นอดีตนักเรียนศิลปะคนหนึ่งเหมือนกัน เห็นแล้วก็ของขึ้น อยากลงนั่งวาดนั่งเขียนระบายสีอะไรกับเขามั่ง ซึ่งที่นี่ก็เปิดให้ผู้ที่เข้าชมสามารถทำกิจกรรมใดๆ ได้ตามใจชอบ ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ เชิญได้ตามสบาย มีมุมเล็กมุมน้อยให้นั่งทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ บ้างก็มานั่งเล่น พูดคุย กินกาแฟกัน บ้างก็มานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ บ้างก็มาเป็นกลุ่มประชุมวิชาการกันก็มี ถ้าปะเหมาะโชคดีมีเรือขายอาหารแจวผ่านมา ก็คงได้เสริฟได้ชิมกันที่ท่าน้ำหน้าบ้านกันเลย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
สี่โมงเย็นแดดเริ่มร่ม ฉันกับเพื่อนสั่งกาแฟมาเสริมความเย็นบรรเทาความร้อนจากไอแดด วันนี้ของพวกเราเหมือนเวลา มันเดินช้าลงมาก หลังจากเดินเล่นให้ผิวได้สัมผัสอากาศริมคลอง เปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองใหญ่มาเป็นชายขอบชานเมือง ได้ชมหุ่นเชิดในโรงละครธรรมชาติ ความน่าเบื่อทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ยิ่งเย็นคนก็เริ่มหนาตาขึ้น ฉันเองยังอยากนั่งตากลมริมคลองทอดสายตานับริ้วคลื่นไม่อยากกลับ ในใจพลางนึกไปว่าถ้าอีกหน่อยคลองบางหลวงแห่งนี้มันดังขึ้นมา มันจะกลายเป็นอย่างตลาดอโยธยา-อัมพวา หรือเปล่าหนอ?...บรื๋อออ!!! คิดแล้วขนลุก...
ขากลับบ้านผ่านคลองบางกอกใหญ่ ต้นน้ำสายหลักก่อนที่จะแตกแขนงออกเป็นคลองบางหลวง ประตูน้ำขนาดใหญ่เห็นได้ไม่ไกลนักจากถนน
ความจริงการพัฒนาหรือความเจริญตามยุคสมัยก็เหมือนกระแสน้ำ เราคงห้ามมันไหลเข้าหากันไม่ได้ แต่การมีประตูน้ำไว้จะช่วยป้องกันและบรรเทาไม่ให้กระแสแห่งความเจริญไหลทะลักเข้าหากันจนเกินพอดี
แว่บนั้นฉันก็นึกถึงรอยยิ้มของพี่เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาในบัดดล บางทีพี่แกและอีกหลาย ๆ คนในชุมชน อาจจะมีประตูน้ำอยู่ในใจแล้วก็เป็นได้.