...หลากเรื่อง รายวัน ในวันหนึ่งของหวาน...

กลัวไปสองไพเบี้ย กล้าเสียได้ตำลึงทอง

แม่ฮ่องสอน...สอนให้รู้ว่า......

กลัวไปสองไพเบี้ย กล้าเสียได้ตำลึงทอง


ความกลัว....เป็นอะไรที่รู้สึกได้ ทั้งที่ยังมองไม่เห็น อารมณ์คล้ายๆ กับได้ยินเสียงหมาหอนแต่ยังไม่เห็นผี ขรี้ก็พาลจะสวนลำไส้ไล่ขึ้นมาถึงสมองซะอย่างนั้น เรื่องบางเรื่องแม้ยังไม่ได้เกิดขึ้น ยังไม่ได้ลงมือทำเลย แค่คิดเราก็กลัวไปล่วงหน้าซะแล้ว


เพราะไอ้ความกลัวนี่ล่ะ ที่ทำให้หลายครั้งฉันพลาดอะไรดีๆ ไปตั้งเยอะ...ครั้งนี้ก็เกือบพลาดอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยภารกิจที่จำเป็นต้องไปทำมันปฏิเสธไม่ได้ การเดินทางคนเดียวไปไกลกว่าละแวกบ้านที่ฉันกลัวนักกลัวหนา ในที่สุดก็เลยได้ทำซะที จากกลัวเลยกลายเป็นกล้า ภารกิจไปแม่ฮ่องสอนคนเดียวในคราวนี้ แม่ฮ่องสอน..จึงสอนให้รู้ว่า


การเดินทางคนเดียว ไม่ยากและน่ากลัวอย่างที่คิด


หลังจากเตรียมการโน่นนี่เรื่องการเดินทางและหาข้อมูลต่างๆ มาในระดับหนึ่ง พอวันตะลุยเดี่ยวมาถึง ก็ต่ืนเต้นใช่เล่น แอบกระซิบถามตัวเองอยู่หลายครั้ง ...เฮ้ย เอาจริงเหรอ?!!! ซึ่งอันนี้ก็ไม่รู้จะถามตัวเองทำไม (ก็มันมาคนเดียวนี่นะ) เพราะมันมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว


ฉันออกเดินทางไปดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องไปลงเชียงใหม่แต่ไก่โห่ ถึงเชียงใหม่แล้วค่อยต่อเครื่องไปแม่ฮ่องสอนอีกที เที่ยวบินที่จองไว้ฉันจองทิ้งให้เวลาห่างกันพอหลวมๆ จะได้ต่อนยอนตะต่อนย้อนหน่อย ไม่ต้องกดดันตัวเองให้มากนัก เพราะแค่นี้ก็เครียดจะแย่ ปรากฎว่าหลวมไปหน่อย ถึงเชียงใหม่ตั้งแต่ 10.30 น. ต้องรอเที่ยวบินไปแม่ฮ่องสอนบ่าย 3 ...ยังไงล่ะทีนี้?!!


ถนนนิมมานฯ เป็นคำตอบ ฉันเริ่มหารถจากสนามบินไปที่หมายแรกด้วยราคา 50 บาท แต่ถนนนิมมานฯ แล้วไง...จะไปจ่อมที่ไหนในเวลานี้ เหลือบไปเห็นร้านกาแฟวาวีที่รู้จัก ...เริ่มต้นที่นี่ก่อนเลยแล้วกัน ว่าแล้วฉันก็ลงจากรถสองแถว สั่งกาแฟเรียกสติ


พอลงนั่งเริ่มตั้งหลักได้ก็ลงมือหาเป้าหมายฆ่าเวลาก่อนมื้อเที่ยงด้วย Foursquare มีร้านน่าสนใจอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เปิด อืมมม...จำได้เลาๆ ว่าครั้งที่เคยมาเมื่อหลายปีก่อน มีร้านของแต่งบ้านน่ารัก ๆ อยู่สุดซอยบนถนนนิมมานฯ นี่ล่ะ แต่ปัญหาคือ..ร้านมันชื่ออะไร? และมันอยู่ซอยอะไรแว้? ...อืมมมม จำได้คร่าวมากจนอยากกระโดดกัดหูตัวเอง


โชคดีที่มีกูรู้(เลาๆ) กูเกิ้ล และกูมีปาก....ทุกอย่างเลยกระจ่าง ลอง search กูเก้ิลด้วยคำว่า ร้านเก๋ ๆ ที่ถนนนิมมาน....ก็ได้ชื่อและพิกัดมาในบัดดล ร้านสุริยัน สุดซอยนิมมานฯ 1 ฉันแอบหัวเราะแล้วกลั้วคอด้วยกาแฟวาวีให้พอขมปาก ก่อนออกเดินตามหานิมมานฯ ซอย 1


จริงอยู่การเดินทางคนเดียวไม่ยากอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่พูด โดยเฉพาะเมื่อสัมภาระทั้งหมดเราจะต้องลากจูงมันไปด้วยทุกแห่งหน ทางเท้าสำหรับใช้สัญจรก็ช่างเรียบเหมาะแก่การเดินเหินเสียนี่กระไร...(อันนี้ประชดนะ) ใครจะว่าบ้านนี้เมืองนี้มี 2 มาตรฐาน อันนี้ขอยืนยันว่าทั้งกรุงเทพฯและเชียงใหม่มีมาตรฐานเดียวกัน คือ ทางเท้าแม่งไม่เรียบเหมือนกัน เดินได้ทุลักทุเรศเป็นอันมาก


แล้วจากวาวีตรงนี้ ซ. 4 จะไปซ. 1 นี่...มันไปทางไหนฟระ? ซ้ายหรือขวา? งงๆ หลงทิศอยู่ซักพักก็ลองเดินไล่ซอยไป และเป็นเรื่องธรรมดาของฉัน....ผิดทางเสมอ ไม่เป็นไรค่ะ กัดฟันกลับหลังหัน เวลาเราเหลือเฟือ เจอป้ายซอยนิมมาน 1 เล่นเอาแทบกรี๊ด..ใคร..ใครว่ายาก?


เดินๆ ไปจนสุดซอยผ่านร้านเก๋ ๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นแกลเลอรี่เล็กๆ ร้านกาแฟน่ารักๆ จนถึงร้านสุริยันที่ตามหา ดูหน้าร้านเปลี่ยนไป คนคงน้อยเพราะเป็นวันธรรมดา วันนี้เป็นวันอังคาร แต่ชักรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ พอบิดลูกบิดประตูดู...อ๊ะ..ล็อค!! ซวยซับซวยซ้อนอย่างที่คิด หันไปมองหาตัวช่วยจำพวกศาลเจ้าที่เจ้าทางเผื่อพอจะมีใครให้ถามไถ่บ้าง ก็ไปป๊ะกับป้ายที่หน้าร้าน ได้อ่านดูใจความที่ป้ายเขาบอกว่า...


เขาเปิดทุกวันล่ะ ยกเว้นวันอังคาร!!!


ถึงจุดนี้แล้วต่อนย้อยหน้าแหยมาก ได้เวลา 11:30 น. จึงขอยุติภารกิจสุริยันแต่เพียงเท่านี้ หันมาเสกอะไรใส่ท้องดีกว่า คลับคล้ายคลับคลาว่ากลางซอยที่เดินผ่านมามีร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตำลึง คุ้นๆ อยู่ว่าอร่อย ร้านนี้ล่ะวะ

เดินกลับมาล้มตัวลงนั่งได้ ฉันสั่งเส้นเล็กต้มยำมาแก้ท้อ...อร่อยม๊ากกกก รสจัดจ้าน เวลาเราพลาดจากสิ่งหนึ่งมาแล้วมาได้สิ่งอื่นทดแทนแบบดี ๆ นี่ ...มันแฮปปี้นะ ฉันเลยทดแทนอย่างสาสมด้วยเล็กยำน้ำอีกชาม ตามด้วยน้ำใบเฉาก๊วยอีก 1 ขวด ไม่ต้องแปลกใจ..ไม่ได้เขียนผิด น้ำใบเฉาก๊วยจริงๆ สีน้ำตาลจางๆ ไม่มีเนื้อเฉาก๊วย รสชาติไปทางพวกจับเลี้ยงหรือหล่อฮังก้วยมากกว่า แต่ถ้าลิ้นเทพจริง ๆ จะได้กลิ่นเฉาก๊วยเบาๆ แทรกอยู่ในลำคอตอนดื่ม พอให้ได้ชุ่มคอช่ืนใจหายระแวงสงสัยว่า เอ๊ะ! นี่เรากินน้ำอะไรอยู่?


ปล้ืมใจอยู่ได้ไม่นานกับอาหารมื้อกลางวันรวมเบ็ดเสร็จ 85 บาท เดินกลับมานั่งฆ่าเวลาต่อที่ร้านแนะนำใน Foursquare ชื่อร้าน Mont Blanc กับคำโฆษณาหน้าร้าน ...เค้กฝรั่งเศสสไตล์ญี่ปุ่น แน้...เข้าไปลองเค้กที่ว่าดูดีกว่า


เค้กในร้านมีมากมายจริงๆ คนในร้านเองก็เยอะ เมนูเค้กทั้งหลายดูน่ากินดี แต่ตอนนี้แน่นมวากกและกระแสเลือดของฉันตอนนี้เต็มไปด้วยคาเฟอีนแล้ว เลยขอไลท์ๆ ด้วยกีวีโซดากับมาการองจุ๋มจิ๋มสัก 2 ช้ิน สนนราคาเท่าค่าก๋วยเตี๋ยวเมื่อตะกี้ เค้กรสฝรั่งเศสสมชื่อราคาก็สไตล์ญี่ปุ่นจริงๆด้วย



images by free.in.th

ร้าน mont Blanc


images by free.in.th


ขากลับไปที่สนามบินเชียงใหม่ ฉันเลยปักหลักเรียกรถสองแถวตรงหน้าร้านเค้กนั่นล่ะ ในราคาเท่ากับขามาคือ 50 บาท พี่ขับสองแถวทุกคนดูอยากไปส่งนะ แต่ไม่มีใครยอมไปในราคานี้เลย บางคนยืนยันว่าคันไหนก็ต้องเรียก 80 บาททั้งนั้นล่ะ เชื่อลุงเหอะ ...ไม่มีซะหรอก ใครจะเชื่อ?!!


ฉันถามด้วยเหตุผลกับลุงคนนั้นว่า มันไปคนละทางกับที่หนูมาเหรอ ทำไมถึงแพงกว่า? อันนี้ไม่ได้กวนประสาทนะ แต่อารมณ์แบบหนูไม่รู้ หนูไม่เข้าใจจริงๆ ซึ่งลุงคนนั้นก็กรุณาตอบว่าทางเดียวกันนั่นล่ะ


เอ้า...ทีนี้ใครกวนใครล่ะเนี่ย!!


แล้วในที่สุด ฉันก็ได้ไปสนามบินเชียงใหม่ในราคาเดิม ภาคภูมิใจโค่ดดดด ทว่าก็ไปถูกเอาคืนที่แม่ฮ่องสอนอยู่ดี เพราะเมื่อไปถึงสนามบินแม่ฮ่องสอน ฉันเรียกตุ๊กๆไปที่โรงแรม Coffee Morning Guesthouse ในราคาถึง 60 บาท เรียกได้ว่าตดทิ้งไว้ที่สนามบินแม่ฮ่องสอนยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงที่พักซะแล้ว เซ็งงี้ด..


เมื่อไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่แน่นอนอันนี้ก็มีเจ็บใจกันบ้าง เอาเถอะไหนๆ ก็มาถึงแม่ฮ่องสอนโดยสวัสดิภาพแล้ว ทำใจให้โปร่งดีกว่าเรา พอเก็บของเข้าที่พักได้ก็รู้สึกโล่งอก ในที่สุดเราก็มาถึงซะที ตั้งสติได้ก็เดินสำรวจที่พักบรรยากาศก็น่ารักถูกใจ บ้านไม้ 2 ชั้นเล็กๆ แบบบ้านโบราณ ด้านหน้าของชั้นล่างเป็นร้านกาแฟ ด้านหลังเป็นห้องพักของฉันให้ความรู้สึกประหนึ่งเป็นเจ้าของร้าน ฉันแอบเดินขึ้นไปดูชั้นบนเห็นเป็นห้องเล็กๆ อีก 2-3 ห้อง


images by free.in.th


ในห้องของฉันมีโต๊ะสำหรับนั่งเขียนอะไรได้ 1 ตัว ชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งเล่น 1 ชุด มีฟูกที่นอน 2 ผืนถูกปูไว้บนตั่งพื้นยกระดับ คั่นระหว่างกันด้วยโต๊ะเล็กๆ ตรงกลาง ตู้เสื้อผ้าที่นี่ไม่มีให้เหมือนโรงแรมทั่วไป มีแต่ที่สำหรับแขวนอาภรณ์ทั้งหลายไว้ที่ผนัง ฉันนั่งก๊อกๆแก๊กๆ หยิบโน่นวางนี่อยู่ได้ไม่นาน กลิ่นกาแฟหอมฉุยจากภายนอกก็เสนอตัวเข้ามาเชื้อเชิญให้ออกไปนั่งคุยกันนอกห้อง ฉันสูดหายใจเรียกความกล้าเข้ามาอัดให้แน่นเต็มปอด ถึงเวลาที่ต้องไปเผชิญโลกใบใหม่โดยลำพังแล้วสินะ!!




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 15 กรกฎาคม 2555 21:24:45 น.   
Counter : 1108 Pageviews.  

กินอยู่อย่างไทใหญ่ที่ตลาดสายหยุด อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน

        “ข้าวส้ม” “เนื้อลุง” “ข่างปอง” “หมาก-ลางต๋ำ” “ไก่อุ๊บ” ฯลฯ อาหารชื่อแปร่งหูพอๆกับหน้าตาที่ไม่คุ้นชินนัก ถูกสาธยายให้ฟังถึงส่วนผสมและความหมายของชื่อทีละเมนู ๆ


images by free.in.th


เช้านี้ฉันอยู่ที่ตลาดสายหยุดใจกลางเมืองแม่ฮ่องสอน ที่ต้องไปแต่เช้าก็เพราะสายเมื่อไหร่ตลาดก็จะค่อยๆ วายไปตามชื่อ แม้หน้าตาจะละม้ายตลาดสดทั่วไป แต่เนื้อในนั้นแน่นไปด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและประเพณีการกินการอยู่แบบไทใหญ่ เชื้อชาติของคนส่วนใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมนูต่างๆที่เอ่ยช่ือไว้ข้างต้น จึงมีช่ือแปลกหูอยู่สักหน่อย แต่รสชาดอร่อยมีเอกลักษณ์ไม่แพ้ชนชาติไหนเลยทีเดียว เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนี่เอง ก่อนจะเดินเท้าชมทั้งตลาดให้ทั่ว ฉันเลยขอตรงดิ่งเข้าไปที่ด้านในสุดของตลาดซึ่งเป็นศูนย์รวมอาหารแบบไทใหญ่ กับข้าวกับปลาเยอะลานตาจนหาที่ลงไม่ถูก


images by free.in.th


ร้านป้าพิณทองเป็นร้านแรกที่ต้องขอแวะ อาหารแบบพื้นเมืองดั้งเดิมหลายๆ อย่างถูกจัดเรียงไว้มากมาย ที่เตะตาสุดเห็นจะเป็น “ข้าวส้ม” ข้าวปั้นก้อนกลมๆ สีอมส้มสะดุดตา นั่นก็เป็นเพราะเอาข้าวสวยมาคลุกเคล้ากับน้ำมะเขือเทศที่เคี่ยวปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก แต่งกลิ่นด้วยผงขมิ้นและกระเทียมเจียวก่อนจะปั้นเป็นทรงกลม เวลากินให้แนมคู่กับพริกทอดหรือยำถั่วแขก อีกอย่างที่น่าชิมไม่แพ้กันเห็นจะเป็น “เนื้อลุง” หรือ “จ้ินลุง” รสชาดคล้ายไส้อั่วแต่ไม่ได้ยัดอยู่ในไส้ อารมณ์ประมาณไส้ในอยากออกว่างั้น

คำว่า “ลุง” ในภาษาไทใหญ่แปลว่าปั้นนั่นเอง เนื้อลุงจึงมีหน้าตาออกมาเป็นเหมือนลูกชิ้นอย่างที่เห็น ส่วนในสองสามหม้อถัดๆ ไปมีหน้าตาคล้ายๆ กันคือ เมนู “อุ๊บ” ไม่ว่าจะเป็น ไก่อุ๊บ, ไข่อุ๊บ หรืออุ๊บเครื่องใน เห็นแล้วได้แต่นีกในใจ...อุ๊บสสส์ น่ากิน!!

การทำอาหารของชาวไตที่เรียกว่าอุ๊บนี้จะเป็นอาหารที่มีลักษณะเป็นน้ำขลุกขลิกใส่มะเขือเทศเยอะๆ การอุ๊บก็คือการนำส่วนผสมทั้งหมดมาตั้งไฟอบไว้จนเข้าเนื้อนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีอาหารที่หากินยากอย่าง “หมาก-ลางต๋ำ” หรือตำขนุน และ “หนังตุ๋ง” หรือแกงกระด้าง ที่มีลักษณะเป็นวุ้นๆ ผสมเครื่องแกง แม้จะดูแปลกตาแต่ก็น่าลิ้มชิมรสอยู่ไม่น้อย หลังจากชิมโน่นนิดนี่หน่อยสุดท้ายก็ขอลงนั่งจัดเต็มชุดใหญ่ที่ร้านข้าวเส้นน้ำมะเขือส้มป้าอู๊ด ที่ตอนนี้มีคนนั่งอร่อยกับมื้อเช้าอยู่แน่นร้าน ฉันขอลงนั่งเนียนๆ สาวเส้นสวบๆ ไปกับชาวบ้านเขาอีกคน


images by free.in.th


“ข้าวเส้นน้ำมะเขือส้ม” ก็คือขนมจีนน้ำเงี้ยวนี่เอง แต่สูตรของที่นี่จะไม่ใส่เลือดเหมือนทางเชียงใหม่ รสชาดจึงออกเปรี้ยวใสไปอีกแบบ เวลากินต้องแนมไปกับ “ข่างปอง” หรือ “ผักหมี่” ซึ่งข่างปองก็คือ มะละกอคลุกแป้งและเครื่องแกงทอด ขณะที่ผักหมี่จะใช้หอมหัวใหญ่แทน หากท้องยังมีที่ว่างพอแผงถัดไปยังมี “ถั่วพูอุ่น” ลักษณะคล้ายก๋วยจั๊บญวนเส้นเหนียวหนึบในน้ำสีเหลืองข้นโรยหน้าด้วยถั่วพูทอดกรอบๆ รสชาดออกหวานเค็มปะแล่ม กินคู่กับถั่วพูเหลืองหรือเต้าหู้ขาวทอด อีกซักชามรับรองเอาอยู่


images by free.in.th


พอหนังท้องตึงได้ที่เห็นทีเท้าต้องออกเดินยืดเส้นยืดสายกันเสียหน่อย ร้านตลาดที่นี่สะอาดสะอ้านน่าเดินไม่แพ้ตลาดติดแอร์อย่างในกรุงเทพฯ นอกจากจะมีผักสดและผลไม้ตามฤดูกาลแล้ว สิ่งที่เห็นได้เป็นส่วนมากตามแผงทั้งหลายคือ อาหารประเภทถั่วงาต่างๆ ทั้งถั่วเน่า เต้าหู้ ถั่วพูหรือถั่วพูเหลือง หรือแม้แต่เครื่องเทศที่ใช้สำหรับประกอบอาหารอย่างแกงฮังเลหรืออุ๊บอย่างผงมะสล่าหรือหมากสล่า ซึ่งล้วนเป็นจุดเด่นของวัฒนธรรมอาหารแบบไทใหญ่ทั้งสิ้น

เดินรอบตลาดจนมาถึงร้านป้ามณี มีขนมหวานไตแบบดั้งเดิม ดูเผินๆ คล้ายขนมหม้อแกงวางเรียงกันอยู่ 2-3 ถาดแม้หน้าตาจะดูคล้ายกันมาก แต่ขนมแต่ละอย่างล้วนมีความเข้มข้นหวานมันหอมกันคนละแบบ นั่นเพราะเคี่ยวและปรุงมาจากแป้งและน้ำตาลคนละชนิด อย่าง “อาละหว่า” เนื้อขนมจะเนียนล่ืนเพราะทำจากแป้งข้าวจ้าวกวนกับกะทิ น้ำตาล เกลือ แล้วราดด้วยหัวทะทิข้นๆ รสชาดจะใกล้เคียงกับขนมถ้วย ส่วน “อาละหว่าจุ่ง” จะต่างกันตรงที่ใช้แป้งสาลีกวนกับเนย นอกจากนี้ยังมีขนม “เป็งม้ง” และ “ส่วยทะมิน” ให้ได้ชิมล้างปากกันด้วย


images by free.in.th


ที่สาธยายมาทั้งหมดนี่ไม่ได้กินคนเดียววันเดียวนะคะ...ฉันเดินตลาดสายหยุดอยู่ด้วยกัน 3 เช้า ชมไปชิมไป บ้างก็เก็บเอาไว้ชิมระหว่างนั่งรถไฟขากลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ โดยเฉพาะข้าวส้มที่ตั้งใจเก็บไว้กินบนชูลาชูล่านี่เลย ได้อารมณ์ชิมข้าวปั้นพร้อมชมธรรมชาติของทุ่งนาป่าเขานอกหน้าต่างโบกี้ เอาเป็นว่าตู้เสบียงไม่ได้แอ้มฉันหรอก

หลังจากฝากท้องยามเช้ากับตลาดสายหยุดมา 3 มื้อ ฉันรู้สึกได้เลยว่าอาหารไทใหญ่ที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์และมีรสชาดเฉพาะถิ่นแตกต่างจากอาหารในภาคอื่นจริงๆ หรือแม้แต่วัฒนธรรมการแต่งกายแบบไทใหญ่ที่ยังคงพอเห็นได้อยู่ทั่วไปในตลาด รวมทั้งภาษาและประเพณีอีกหลาย ๆ อย่างที่ยังคงมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งที่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วก็ตาม ถึงจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เท่ายุคก่อนแต่คนที่นี่ก็ยังคงรักษาภาพเก่าในอดีตไว้ให้เห็นได้ในปัจจุบันเป็นอย่างดี ทำให้แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และคงไว้ซึ่งตัวตนของตนเอง หมึกหวานยังมีเรื่องราวเดินเล่นรอบตัวเมืองแม่ฮ่องสอนมาเล่าสู่กันฟังอีกใน “แม่ฮ่องสอน...สอนให้รู้ว่า....” อย่าลืมติดตามกันต่อนะคะ





 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 16:28:50 น.   
Counter : 2151 Pageviews.  

วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

“...แม้นใครได้ดำน้ำสามผุด คงไม่หลุดไปจากอุทัยฯ”  เป็นประโยคที่เขียนอยู่ด้านหลังของเสื้อยืดที่ได้มาเป็นของที่ระลึกจากจังหวัดอุทัยธานี   ความหมายบอกเป็นนัยว่าหากใครได้มาจ.อุทัยธานีแล้ว  คงไม่แคล้วต้องหลงมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้  

ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่กันอย่างสงบเงียบเรียบง่าย  มีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำสะแกกรัง ไหลผ่านตัวจังหวัด  นี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อสถานที่สำคัญอย่าง “วัดท่าซุง” หรือ “วัดจันทาราม”  เนื่องจากสมัยก่อนมีการล่องแพซุงมาตามแม่น้ำและมาแวะพักที่ท่าน้ำหน้าวัดอยู่เป็นประจำ ก่อนแพซุงจะล่องออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาต่อไป

หากมาถึงจังหวัดอุทัยธานีทั้งที  แล้วไม่ได้ไปไหว้พระที่วัดท่าซุงให้เป็นสิริมงคล  ก็เห็นทีจะเรียกว่าไปไม่ถึง  เพราะวัดท่าซุงเป็นวัดเก่าแก่มีมาแต่สมัยอยุธยา ที่สำคัญยังมีเกจิอาจารย์ดังสายกรรมฐานอย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาจำพรรษาอยู่ด้วย  ถึงแม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่สังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านก็ยังบรรจุอยู่ในโลงแก้วและตั้งไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชากัน

images by free.in.th

วัดท่าซุงจัดได้ว่าเป็นวัดที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เพราะมีการขยับขยายเพื่อให้รองรับกับจำนวนผู้ที่มาทำบุญถือศีลภาวนากัน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้วัดท่าซุงกลายเป็นวัดที่มี 2 โบสถ์   กล่าวคือ ด้านที่ติดแม่น้ำคือฝั่งโบสถ์เก่า ส่วนด้านที่ขยายออกไปอีกฝั่งของถนนก็คือฝั่งโบสถ์ใหม่ ซึ่งทั้งสองฝั่งมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ด้วยฝั่งโบสถ์เดิมจะเป็นโบสถ์ขนาดเล็กภายในมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นบ้าน  ตรงข้ามกับฝั่งโบสถ์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่และประดับประดาตกแต่งด้วยลวดลายงดงามวิจิตร 

images by free.in.th

ความงดงามวิจิตรที่ว่าจะเห็นได้จาก “พระมหาวิหารแก้ว 100 เมตร” ทั้งส่วนของผนัง ฝ้าเพดาน และเสาทุกต้นในวิหารประดับประดาด้วยกระจกใสระยิบระยับ ประกอบกับโคมไฟระย้าห้อย  ทำให้เกิดแสงสะท้อนดูเป็นประกายวิบวับจับตา เสมือนได้กราบพระอยู่ท่ามกลางสรวงสวรรค์ ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองและสังขารของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อยบนบุษบกสีทองอร่าม ส่วนอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่่มีความอลังการไม่แพ้กันก็คือ “ปราสาททองคำ” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่มีความใหญ่โตและวิจิตรบรรจงงดงามเป็นอย่างมาก

images by free.in.th

ในขณะที่ข้ามมายังฝั่งโบสถ์เก่าสิ่งแรกที่จะได้พบคือ “หอไตรกลางน้ำ”  ขนาดย่อมในสระน้ำเล็ก ๆ แบบโบราณ  ถัดไปด้านในเป็นโบสถ์เก่าและวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่คู่วัดมานาน  ผนังภายในมีภาพพุทธประวัติฝีมือช่างพื้นบ้าน ตลอดจนมีพระเจดีย์โบราณและรอยพระพุทธบาทอยู่ทางด้านหน้าของพระอุโบสถด้วย

แม้ทั้งสองฝั่งของวัดจะมีความต่างกันมาก แต่การได้เห็นความใหญ่ย่อมหรือมากน้อยที่ต่างกันนี้ ก็จะช่วยให้เรารู้จักความพอดีได้  เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมการรู้จักกิเลสก่อน ย่อมจะทำให้ละกิเลสได้ฉันนั้น

images by free.in.th

หลังจากไหว้พระและชื่นชมความงดงามของสถานที่แล้ว หากมีโอกาสอย่าลืมไปให้อาหารปลาที่แพปลาริมแม่น้ำของวัด  ซึ่งมีปลาอยู่เป็นจำนวนมาก  แม้จะดูไม่ต่างจากวัดอื่น ๆ  แต่ที่นี่นอกจากเขาจะให้อาหารปลาเป็นขนมปังและอาหารเม็ดแล้ว  ยังมีการให้กล้วยเป็นอาหารปลาด้วย..ฉะนั้นถ้าเห็นมีกล้วยวางขายก็ไม่ต้องงง  เพราะนอกจากลิงและค้างค้าวที่กินกล้วยเป็นแล้ว  ปลาแรดวัดท่าซุงก็กินกล้วยกับเขาด้วยเหมือนกัน  ยิ่งไปกว่านั้นการให้กล้วยกับปลาแรดของที่นี่  เขาจะเอากล้วยน้ำว้าหั่นเป็นชิ้นแล้วเสียบไม้หย่อนลงไปป้อนปลาแรดกันถึงปากเลยทีเดียว

การเดินทางไปวัดท่าซุง 

จากตัวจังหวัดไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3265 มุ่งตรงไปทางแพข้ามฟาก อ.มโนรมย์ ประมาณ 4 กม. หรือนั่งรถโดยสารสองแถวสายสีฟ้า อุทัยธานี-ท่าซุง มาลงที่หน้าวัด

จาก อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ข้ามแพขนานยนต์แล้วไปตามทางหลวงหมายเลข 3260 ระยะทางประมาณ 4 กม.




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 5 พฤษภาคม 2555 20:34:48 น.   
Counter : 1380 Pageviews.  

โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้...โบสถ์ฝรั่ง สัญชาติไทย

โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้...โบสถ์ฝรั่ง สัญชาติไทย

อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  ผู้ทรงสอดส่องดูแลเรา  ด้วยความรักและเมตตาอย่างยิ่ง....”   บทสวดมนต์ที่เคยท่องในสมัยวัยเด็กที่ได้เรียนในรร.คริสต์หลังเคารพธงชาติ  จำได้ว่าทุกวันคริสต์มาสฉันจะได้ไปโบสถ์คริสต์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูใหญ่โตสวยงามคล้ายกับปราสาท ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกตาทันทีเมื่อได้มาเห็นโบสถ์คริสต์ที่บ้านซ่งแย้ 

เพราะตัวโบสถ์ที่ดูคล้ายสิมอีสาน (รูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในภาคอีสาน) มากกว่าที่จะเป็นรูปทรงแบบโบสถ์คริสต์ทั่วไป ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ มีเสาเป็นไม้เต็ง พื้นกระดานเป็นไม้แดงและไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ม้านั่งภายในจุคนได้มากกว่า 500 คน  ที่สำคัญหอระฆังสูงที่อยู่ด้านข้างโบสถ์สร้างแยกออกมาแบบเดียวกับหอระฆังที่เห็นได้ตามวัดไทย หากไม่เห็นไม้กางเขน กระจกสี และเครื่องเรือนศักดิ์สิทธิ์สำหรับประกอบพิธีกรรมภายในโบสถ์ล่ะก็ คงไม่รู้ว่านี่คือโบสถ์คริสต์ ที่สำคัญโบสถ์กับโรงเรียนอยู่ใกล้กันนิดเดียว  นั่นคงเป็นอิทธิพลที่มาจากวิถีชีวิตแบบไทยที่วัดกับโรงเรียนมักจะอยู่ด้วยกันเสมอ

images by free.in.th

ชาวบ้านที่บ้านซ่งแย้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านทำให้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นมา มีตำนานเล่าว่าเดิมทีชาวบ้านอพยพเข้ามาอาศัยในพื้นที่นี้เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ต่อมาชาวบ้านกลุ่มนั้นได้เดินทางไปหาบาทหลวงเดชาแนลและบาทหลวงออมโบรซีโอเพื่อให้ไปช่วยขับไล่ผี  เมื่อบาทหลวงทั้ง 2 ได้ไปทำพิธีให้ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าดีขึ้น  จึงหันมานับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อาคารโบสถ์มีการสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งก่อนที่จะมีการร่วมใจกันสร้างโบสถ์ไม้หลังปัจจุบันนี้  ในปีพ.ศ.2490 ซึ่งถือเป็นโบสถ์หลังที่ 4 โดยไม้จำนวนมากที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นได้มาจากการบริจาคของชาวบ้าน ไม้ที่เหลือจึงได้นำมาสร้างโรงเรียนซ่งแย้พิทยาได้อีกหนึ่งหลังเลยทีเดียว

images by free.in.th

images by free.in.th

การเดินทาง จากยโสธรใช้ทางหลวงหมายเลข 2169 เลยอำเภอกุดชุมไปประมาณ 7-8 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกราว 600 เมตร ก็จะถึงบริเวณโรงเรียนซ่งแย้พิทยาและโบสถ์ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน โบสถ์เปิดทุกวันตั้งแต่ 7.00-17.30 น. ค่ะ




 

Create Date : 29 เมษายน 2555   
Last Update : 29 เมษายน 2555 18:04:21 น.   
Counter : 1272 Pageviews.  

เบื่อร้างที่บางหลวง

หยุดแล้วไปไหน?

หยุดแล้วไปไหน? เป็นคำถามที่คนถูกถามได้ยินต้องเงี่ยหูฟังให้ดีๆ อีกครั้ง  เพราะละม้ายคล้ายคำถาม “ตายแล้วไปไหน?”  ซึ่งก็ตอบได้ยากคือ ๆ กัน  โดยเฉพาะหากถามคนกรุงเทพฯ   ถ้าไม่อยากไปเดินตามห้าง กินข้าวตามร้านรวงสุดหรู ดูหนังในโรง 

มันจะมีที่ไหนให้ไปได้ในช่วงหยุดสุดสัปดาห์บ้างล่ะ?!!

สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ ชื่นชมงานศิลปะ ตลอดจนนิยมในวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย  อยากเปลี่ยนสถานที่กินข้าว เดินเล่น นั่งอ่านหนังสือ สนทนากาแฟเคล้าลมเย็นริมคลอง    “คลองบางหลวง”  ชุมชนริมคลองชายขอบกรุงเทพฯนี้เองใกล้ ๆ   เพียงเข้าไปในซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 จนสุดซอย ดูเหมือนจะเป็นซอยตันไม่มีอะไร หากสังเกตดีๆ ที่ด้านซ้าย จะมีสะพานคอนกรีตข้ามคลองเล็ก ๆ ความกว้างเพียง 2 คนสวน (คนพอเดินสวนกัน 2 คนได้)  เป็นสะพานที่จะพาเรา ๆ ท่าน ๆ ข้ามน้ำและเวลาย้อนกลับไปดูชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ไม่อิงความเจริญล้ำตามกระแสโลกเท่าไหร่ เหมือนกับหลุดมิติมายังโลกอีกใบเลยทีเดียว

images by free.in.th


สองเท้าก้าวข้ามมา

ได้เวลาเจียนบ่ายหลังจากเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีวงเวียนใหญ่ ฉันกับเพื่อนเลือกต่อรถแท็กซี่มาลงที่สุดซอย จรัญฯ 3  ที่กลางสะพานระหว่างที่เราหยุดชื่นชมภาพบรรยากาศที่ผิดกับในซอยก่อนหน้านี้  ภาพที่เห็นเป็นบ้านไม้กลางเก่ากลาง ใหม่เกาะไปตลอดแนวริมคลองเป็นทิวแถว  การสัญจรในตอนนี้ที่มีให้เห็นเหลือเพียงแค่สองเท้า สองล้อปั่น และสองล้อเครื่อง   ที่เพิ่มมาเห็นจะเป็นเรือหางยาวที่ลอดล่องผ่านใต้สะพานมานาน ๆ ที  

ตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าได้ชั่วอึดใจ  เราทั้งคู่ก็นึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนี่! ความหิวเลยออกตัวนำเท้าพา พวกเราไปหาอะไรใส่ท้องกัน  

สะพานข้ามคลองที่นี่ชันดีแท้ อย่ามัวแต่เดินเพลินหรือหยุดถ่ายรูปเพลินกันเชียว เพราะชาวบ้านที่สัญจรผ่านไปมาตรงนี้จะขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามสะพานกันแต่ละที ต้องตั้งหลักพุ่งทะยานให้ผ่านทางลาดสุดชันอันนี้ไปให้ได้   ออกแนวขับมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง หากมัวแต่ยืนเก้กังอาจถูกสอยไปเป็นสก๊อยได้  

ก้าวข้ามสะพานลงมาได้สักพัก  เดินผ่านหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวมองเข้าไปดูข้างในร้านคนอย่างแน่น  ก็เลยขอลงนั่งสาวเส้น กับเขาด้วยอีกคน ดูจากการแต่งกายและบทสนทนาแล้วคิดว่าลูกค้าที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนในพื้นที่ มีตั้งแต่เด็กหัวเกรียน เด็กหอ และพี่วินมอเตอร์ไซค์    ที่สำคัญแต่ละคนดูท่าจะเป็นขาประจำกันมากกว่าขาจรอย่างฉันและเพื่อน

นั่งรออยู่พักใหญ่ ถือคติอยากกินของอร่อยต้องใจร่มๆ พี่คนทำก๋วยเตี๋ยวและพนักงานเสิร์ฟที่เป็นคนๆเดียวกัน  ก็ส่งชาม ก๋วยเตี๋ยวให้เราตามใบสั่ง  ก๋วยเตี๋ยวหมูสับหน้าตาธรรมดาทว่ามีกลิ่นหอมฉุย รสชาดดีแบบไม่ต้องปรุง  ถูกเสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุป กระดูกหมูชิ้นเขื่องอีก 1 ชาม เล่นเอาปากไม่ว่างบ่นว่ารอนานกันเลยแม้แต่น้อย

images by free.in.th


ก๋วยเตี๋ยวหยุดบ่อย

หลังเสิร์ฟลูกค้าขาจรอย่างเราเสร็จพี่คนขายก็เริ่มเก็บร้าน  นาฬิกาบอกเวลาเพียงแค่บ่ายโมงครี่ง  มีลูกค้าหลายคนเดิน มาแล้วก็ต้องเดินกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง

“หมดแล้วจ้า...” พี่คนขายตอบ

ลูกค้าบางคนแอบมองจิกตาใส่โต๊ะเรา เสมือนหนึ่งเป็นความผิดที่เราได้กินชามสุดท้าย  เล่นเอาฉันอยากจะลุกขึ้นเอาเท้า ข้างหนึ่งเหยียบขอบโต๊ะ แล้วตะโกนดัง ๆ ให้คนที่พลาดได้เจ็บใจเล่นว่า 

“ชามสุดท้าย กูได้กินโว้ย...วะฮ่าฮ่า”

  แต่ก็อย่างที่บอกว่าคนส่วนใหญ่นั้นเป็นลูกค้าประจำ  ไอ้จะให้ไปทำอย่างนั้นให้พวกพี่เขาระคายเคืองใจคงไม่เหมาะ  เลยได้แต่ดูดน้ำเปล่าในแก้วแล้วเช็ดปากอย่างสุภาพ    สุดท้ายก็หันไปถามพี่เจ้าของร้านเพราะยังข้องใจในชื่อร้านตั้งแต่แรกเห็น

“พี่ ๆ ร้านพี่ชื่อนี้จริง ๆ เหรอ...ก๋วยเตี๋ยวหยุดบ่อย?” ฉันถาม

พี่คนขายยิ้มตอบ “ครับ…คนแถวนี้เขาเรียกอย่างนั้นกัน  เมื่อก่อนผมขายวันเว้นวัน บางทีก็ขาย 1 วัน หยุด 3 วันแลยก็มี  คนแถวนี้เขาเลยเรียกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวหยุดบ่อยกัน”

ฉันฟังคำตอบแล้วนึกในใจ  ...คนอะไรวะ..โคตรอาร์ท!!  

แต่สาเหตุจริง ๆ ที่พี่เขาหยุดไม่ใช่เพราะติสท์แตกหรืออะไร  หากแต่เพราะเขาทำคนเดียว เตรียมของขายอยู่คนเดียว เลยทำไม่ไหว  

แรกเริ่มเดิมทีร้านนี้เป็นกิจการของครอบครัว พอพ่อแม่เริ่มทำไม่ไหวก็ตกมาเป็นของลูก ๆ อย่างเขาและพี่น้องช่วยกันทำ   พอแต่ละคนมีครอบครัวของตัวเอง ก็ต่างแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น   จึงเหลือเพียงพี่เขาคนเดียวที่ยังทำร้านก๋วยเตี๋ยวนี้อยู่

ถ้ารู้จักพอก็ไม่ต้องเหนื่อย

“เดี๋ยวนี้คนมาเที่ยวคลองบางหลวงเยอะขึ้น  พอคนรู้จักเยอะขึ้นก็มาเที่ยวมากินกันเยอะ  ผมเองก็ทำไม่ไหวหรอกครับ  ทำได้เท่าไหนก็เท่านั้น  ของหมดก็เลิก   ไม่งั้นก็ต้องขยายร้าน ต้องจ้างคนเพิ่ม  ..ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากขยับขยายตามหรอกครับ” 

เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเล่าให้ฟังถึงแนวคิดที่ออกแนวพอเพียง เขาไม่อยากขยับขยายร้านตามกระแสของการท่องเที่ยว คลองบางหลวงที่กำลังมา  ไม่อยากกอบโกยทั้งที่มีโอกาส  พี่เขาบอกว่าแค่นี้ก็พอกินพอใช้ก็มีความสุขดีแล้ว  ไม่รู้จะเหนื่อยไปอีก ทำไม

ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเหนื่อยเพิ่ม  แค่รู้จักพอ...ความสุขก็อยู่ใกล้กว่าที่คิด

นั่งสนทนาอยู่สักพัก  ฉันกับเพื่อนก็เตรียมออกเดินต่อ    

ก่อนจากพี่เจ้าของร้านแนะนำให้ไปถ่ายรูปเล่นที่ร้านน้ำปั่นบริเวณตีนสะพานและไปชมหุ่นละครเล็กที่ “บ้านศิลปิน” ฉันและเพื่อนเลือกไปที่ร้านน้ำปั่นก่อน  อยากได้น้ำปั่นดับร้อนเอาฤกษ์เอาชัยเสียหน่อย

 

สถานสังเคราะห์การท่องเที่ยว

เดินออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวย้อนกลับไปที่สะพาน เลี้ยวซ้ายที่ตีนสะพานก็เจอกับร้านน้ำปั่นที่ว่าชื่อร้าน “ดีเลิศ” อยู่ติดกับ ร้านขายโปสการ์ดภาพโบราณและโปสการ์ด Handmade  “สยามนามมงคล”

images by free.in.th

 

เราทั้งคู่สั่งน้ำปั่นมาดับร้อน นั่งอ้อยอิ่งถ่ายรูปเล่นกันที่หน้าร้านทั้งสองซึ่งถูกจัดแต่งไว้เป็นมุมเก๋ ๆ แบบ  Oldies Style   พร้อมกับชื่นชมบรรยากาศริมคลอง ฉันกับเพื่อนนั่งมองไปตามแนวระเบียงไม้ริมน้ำที่ใช้เป็นทางสัญจรหลักเชื่อมต่อบ้านแต่ละหลังไปตลอดแนวชายคลอง สุดลูกตาที่เห็นเป็นวัดคูหาสวรรค์   

จากหน้าร้านน้ำปั่นฉันออกเดินเล่นไปเพลิน ๆ ผ่านร้านขายเสื้อสกรีนคำว่า “คลองบางหลวง”  เลยไพล่นึกไปถึงเสื้อสกรีน แบบเดียวกัน  ไม่ว่าจะเป็น  “อโยธยา”  “อัมพวา”  “หัวหิน”  หรือ “เพลินวาน”  ของที่ระลึกอย่างเป็นทางการที่บอกเป็นนัยแก่ผู้พบ เห็นว่า คนใส่ได้ไปเยือนมาแล้วนะเว้ย..  ซึ่งไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนเสื้อสกรีนลายดังกล่าวก็จะมีให้เห็นอยู่ทั่วไปดาดดื่น  เรียกได้ว่า ไปที่ไหนก็เจอเสื้อของที่นั่น  แทนที่จะเป็นของเฉพาะถิ่นที่มีชื่ออย่างที่เคยเป็น  คงอย่างว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนค่านิยมของคนก็เปลี่ยนตามสมัยไปด้วย

เพราะความที่ชุมชนคลองบางหลวงเป็นที่พักอาศัยติดริมคลอง มีทางเดินหน้าบ้านเดินถึงกันเป็นแนวยาวได้ตลอด  เลยอดนึกถึงตลาดน้ำอัมพวาไม่ได้   แม้ภาพที่เห็นจะคล้าย ๆ กันแต่อัมพวาดูสังเคราะห์กว่ามาก  ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทำเงินทั้งหลายที่ตะพิดตะพือใส่เข้าไป ทั้งสปานวดเท้า ร้านขายของเล่นโบราณ ร้านขนมโบราณ กาแฟโบราณ ภาพถ่ายโบราณ ไอติมโบราณ ฯลฯ  แต่ละร้านต่อท้ายชื่อด้วยคำว่าโบราณ ทุกร้านพยายามปรุงแต่งความโบราณเพื่อเรียกลูกค้า  ไม่รู้จริง ๆ  จะมีสักกี่ร้านที่ทำกิจการนั้น ๆ มาตั้งแต่แรกเริ่ม  ดูเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นที่นิยมกันในพศ.นี้ จะเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันไปเสียหมด 

โชคดีที่ที่นี่ยังไม่สังเคราะห์มาก ชื่อเสียงก็ยังไม่รู้จักกันเป็นที่แพร่หลายนัก   วันนี้คนที่เดินสวนกันไปมาจึงยังไม่หนาตาเท่าที่อื่นทั้งที่เป็นวันเสาร์  พวกเราก็เลยไม่ต้องแย่งใครกินแย่งใครเที่ยวขนาดนั้น  

บ้านศิลปินถิ่นติสท์แตก

เราเดินลัดเลาะถ่ายรูปตามทางเดินหน้าห้องแถวริมคลองกันมาเรื่อย เดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้กันเป็นว่าเล่น  หลาย ๆ ห้องถูกจัดเป็น Gallery แสดงผลงานภาพถ่าย ภาพวาดของศิลปิน หรือแม้กระทั่งของสะสมต่าง ๆ  อาทิ  ของเล่นโบราณ ตลอดจนภาพถ่ายโบราณของกรุงเทพฯในอดีต  แล้วแต่จะนำมาจัดมาแสดงกัน  บางห้องเจ้าของบ้านมานอนโชว์ให้ดูเลยก็มี  เพราะที่นี่ยังคงความเป็นที่อยู่อาศัยตามวิถีชีวิตของคนที่อยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่

images by free.in.th

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เดินมาจนสุดทางอีกด้านเป็นที่ตั้งของ “บ้านศิลปิน” ได้เวลาบ่ายสองโมงครึ่งพอดีกำลังมีการแสดงหุ่นละครเล็ก  พวกเราจึงนั่งลงร่วมชมการแสดง  

ตัวสถานที่แสดงมีลักษณะเรียบง่าย ที่นั่งชมอยู่บริเวณใต้ถุนบ้าน  เวทีที่ใช้เชิดหุ่นกับลานบ้านก็คือพื้นที่เดียวกัน  มีเจดีย์และหมู่เมฆไม้ทางด้านหลังเป็นฉากธรรมชาติ  ต่างกับเวลาดูภาพยนตร์ในโรงอย่างสิ้นเชิง  

images by free.in.th

 

โชคร้ายที่เราไปถึงช้า การแสดงที่มีมาได้สักระยะหนึ่งแล้วก็จบลงโดยที่เรายังไม่ทันรู้ตัว

บ้านศิลปิน เห็นจะจริงดั่งชื่อ เพราะนอกจากจะมีตัวหุ่นละครเล็กที่วางอยู่ให้เห็นแล้ว ยังมีพื้นที่ที่เหมือนกับส่วนนั่งทำงานของเจ้าของบ้านอันเป็นงานศิลปะ ได้แก่ ภาพพิมพ์, งานหล่อปั้น  และภาพระบายสี  กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ   ที่สำคัญมีผู้คนที่มีบุคลิกเยี่ยงอาร์ทตัวพ่อ-ตัวแม่ เดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่

ส่วนชั้นบนของบ้านเป็นพื้นที่แสดงผลงานของศิลปิน   วันที่เราไปมีทั้งงาน Painting และภาพถ่ายจัดแสดงอยู่

images by free.in.th

 

 

ด้วยความที่ฉันเองก็เป็นอดีตนักเรียนศิลปะคนหนึ่งเหมือนกัน เห็นแล้วก็ของขึ้น อยากลงนั่งวาดนั่งเขียนระบายสีอะไรกับเขามั่ง  ซึ่งที่นี่ก็เปิดให้ผู้ที่เข้าชมสามารถทำกิจกรรมใดๆ ได้ตามใจชอบ ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ เชิญได้ตามสบาย มีมุมเล็กมุมน้อยให้นั่งทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ  บ้างก็มานั่งเล่น พูดคุย กินกาแฟกัน  บ้างก็มานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ บ้างก็มาเป็นกลุ่มประชุมวิชาการกันก็มี  ถ้าปะเหมาะโชคดีมีเรือขายอาหารแจวผ่านมา  ก็คงได้เสริฟได้ชิมกันที่ท่าน้ำหน้าบ้านกันเลย  ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

สี่โมงเย็นแดดเริ่มร่ม ฉันกับเพื่อนสั่งกาแฟมาเสริมความเย็นบรรเทาความร้อนจากไอแดด  วันนี้ของพวกเราเหมือนเวลา มันเดินช้าลงมาก หลังจากเดินเล่นให้ผิวได้สัมผัสอากาศริมคลอง เปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองใหญ่มาเป็นชายขอบชานเมือง ได้ชมหุ่นเชิดในโรงละครธรรมชาติ  ความน่าเบื่อทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง  

images by free.in.th

 

 

ยิ่งเย็นคนก็เริ่มหนาตาขึ้น  ฉันเองยังอยากนั่งตากลมริมคลองทอดสายตานับริ้วคลื่นไม่อยากกลับ   ในใจพลางนึกไปว่าถ้าอีกหน่อยคลองบางหลวงแห่งนี้มันดังขึ้นมา มันจะกลายเป็นอย่างตลาดอโยธยา-อัมพวา หรือเปล่าหนอ?...บรื๋อออ!!!   คิดแล้วขนลุก...

ขากลับบ้านผ่านคลองบางกอกใหญ่ ต้นน้ำสายหลักก่อนที่จะแตกแขนงออกเป็นคลองบางหลวง  ประตูน้ำขนาดใหญ่เห็นได้ไม่ไกลนักจากถนน  

ความจริงการพัฒนาหรือความเจริญตามยุคสมัยก็เหมือนกระแสน้ำ  เราคงห้ามมันไหลเข้าหากันไม่ได้   แต่การมีประตูน้ำไว้จะช่วยป้องกันและบรรเทาไม่ให้กระแสแห่งความเจริญไหลทะลักเข้าหากันจนเกินพอดี

แว่บนั้นฉันก็นึกถึงรอยยิ้มของพี่เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาในบัดดล  บางทีพี่แกและอีกหลาย ๆ คนในชุมชน อาจจะมีประตูน้ำอยู่ในใจแล้วก็เป็นได้.





 

Create Date : 17 เมษายน 2555   
Last Update : 17 เมษายน 2555 16:28:11 น.   
Counter : 1010 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

pimonhwan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กับตรงนี้ “About Me” เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉัน พอมานึก ๆ ไป หากเอาชุดหนังหน้าคนของตนเองออก ฉันก็คงจะเป็นแค่เครื่องจักรที่ทำอะไรซ้ำ ๆ เสมอ ...ฉันเป็นเครื่องจักรของการตีความ ฉันเป็นเครื่องจักรของการ Clear ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ทั้งหมดนี้รวมกันคือฉันเลย

เครื่องจักรของการตีความ..มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันเป็นต้องตีความเสมอ..คนนี้มาพูดอย่างนี้ แปลว่าอะไร คนนั้นมาพูดอย่างนั้น มันแปลว่าอย่างนี้หรือเปล่า..ตีความเสร็จก็ขอ Clear หน่อย เพราะเป็นคนชอบความชัดเจน แต่ผลที่ได้ ยิ่ง Clear ก็ยิ่งไม่ชัดเจนเสมอ เป็นอันให้ต้อง Clear กันได้เรื่อย ๆ สุดท้าย...ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ฉันพึงหาหนทางสร้างความสุขให้กับตนเองเสมอ อะไรที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขได้ จะหามาสนองตัวตลอด อาทิ คิดว่าถ้ามีคอนโดฯ ได้ฉันก็จะมีความสุขกว่านี้ ฉันก็ได้คอนโดฯ มาสมใจ แต่จนป่านนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังไม่มีความสุขซะที ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่คิดว่าจะทำให้มีความสุขได้..เพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน แนวทางต่าง ๆ ที่เค้าว่าทำแล้วจะมีความสุขแก่ชีวิต ก็หามาอ่าน หามาทำไปเรื่อย สุดท้ายก็พบว่ามันไม่เคยพอ แล้วความสุขที่ได้เหล่านั้นมันก็อยู่ไม่นานเลย มันต้องหาต่อไปเรื่อย ๆ หลงลืมไปว่าความสุขแท้จริงง่าย ๆ มันอยู่ที่เราเอง –การแสวงหาความสุขจากสิ่งอื่นหรือคนอื่นมันไม่ยั่งยืนเสมอไป-

เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ลองมองตัวเองให้ชัด ๆ ขึ้น ก็เลยได้ความกระจ่าง พอใจอยู่อย่างที่อย่างน้อยฉันก็ยังโอเคกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้น แม้บางทีมันก็เลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน..มันก็จะเป็นแค่อีกเรื่องที่ผ่านไป..ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่คนเหลาะแหละ..ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ไขว่คว้าอะไรมาอย่างมักง่าย สุดท้ายฉันก็ยังได้รู้ว่าฉันยังคงมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างเช่นที่เคยมีมาอยู่เสมอ

...เคยเฝ้ารอด้วยความหวังว่าจะมีใครพาเราพ้นไปจากตรงนี้..แต่ความหวังไม่เคยเป็นจริง..
...เคยใช้เวลาไปเรื่อย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เฝ้ารอสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าจะมีเข้ามาในวันข้างหน้า..
...บางครั้งก็รอวันข้างหน้าจนหลงลืมไปว่า เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องรอ.






hits Stock Photos from 123RF
[Add pimonhwan's blog to your web]