ถึงก็ใช่...ไม่ถึงก็ใช่
แม่ฮ่องสอน...สอนให้รู้ว่า.... ถึงก็ใช่..ไม่ถึงก็ใช่
หลังจากนั่งเครื่องบินจากแม่ฮ่องสอน มาต่อตู้นอนที่เชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ ...ฉันกำลังอยู่บนรถไฟ มีพนักงานจากตู้เสบียงมาเซ้าซี้ให้สั่งอาหารอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะหน้าม้านกลับไปเพราะฉันปฏิเสธ ไม่อยากจะบอกว่าฉันมีเสบียงอยู่แล้วในกระเป๋า เซ็ทใหญ่เสียด้วย
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ครุ่นคิดมาตลอดทาง ระหว่างใช้เวลาพลางๆ บนรถไฟ อ่านหนังสือ 1 เล่ม สลับกับการพักสายตาด้วยทิวทัศน์นอกหน้าต่าง อะไรทำให้เรารู้สึกรีบร้อน อยู่ไม่ติด อยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ ทั้งที่มีเวลาเหลือเฟือเหมือนๆ กันระหว่างในตอนนี้และในตอนนั้น ..วันสุดท้ายที่แม่ฮ่องสอน
วันนั้นก็เหมือนทุกๆวัน ทำงานเสร็จก็ได้เวลาออกเดินเล่น มีเป้าหมายเดิมคือ ตลาดโต้รุ่งหน้าไปรษณีย์แม่ฮ่องสอน แต่เส้นทางที่ใช้วันนั้นฉันขอไปสำรวจทางใหม่อีกทางแบบทวนเข็มนาฬิกา ดูจากแผนที่แล้วจะได้ผ่าน วัดม่วยต่อ, วัดก้ำก่อ, วัดพระนอน, อนุสาวรีย์พญาสิงหนาทราชา...เรียกได้ว่าคุ้ม
จริงๆ เส้นทางน่ะ รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าไกลพอสมควร แต่ก็คิดว่าแดดร่มลมตกอากาศดี ถือว่าเดินออกกำลังไปเรื่อยๆ ...ฉันเริ่มออกเดินจาก ถ.สิงหนาทบำรุง ผ่านบ้านไม้เก่าหลังแล้ว หลังเล่า..บางหลังก็เป็นร้านอาหาร บางบ้านก็เป็นร้านกาแฟ บางร้านดูดีๆ ก็เป็นร้านตัดผม น่ารักต่างไปอีกแบบ แต่ที่เหมือนกันทุกๆ หลังคือ จะมีสายไฟแรงต่ำพาดมาบังหน้าบ้าน จริงๆ ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าไม่ดี เหมือนคนที่หน้าตาดีแต่ดันมีผมม้ามาปรกรกหน้าผาก พาลดึงให้วาสนาด้อยตามไปด้วย โหง้วเฮ้งที่ดีจะต้องเปิดเหม่งโชว์กันจะจะ...ที่แย่กว่าเรื่องโหง้วเฮ้งคือ ลองนึกถึงคนที่อยู่ชั้น 2 ดู วันดีคืนดีเกิดครึ้มอกครึ้มใจอยากออกมายืนสูดอากาศหายใจนอกระเบียงดูบ้าง คงไม่กล้าสูดหายใจเข้าแรงๆ เพราะอาจจะหายใจเอาสายไฟเข้าปอดไปด้วย..แย่นะ บ้านตัวเองแท้ๆ กลับหายใจได้ไม่เต็มปอด!!
จะว่าไปก็ไม่ใช่จะเป็นแต่ที่แม่ฮ่องสอน กรุงเทพฯเองก็มีให้เห็นเยอะแยะ ยิ่งไอ้ที่พาดตามทางเท้า ตามสะพานลอยให้คนเดินข้ามสายไฟกันไปมา เห็นแล้วก็พลอยเพลียเฮดเหมือนกัน
บ่นคนเดียวไปเรื่อยๆ จนถึงแยก เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.ผดุงม่วยต่อ ก็เจอกับร้านข้าวซอยป้านูญ แต่โชคร้ายร้านปิดไปแล้ว เลยเป็นอันอดชิม จะว่าไปก็เหมือนกับอีกหลายๆ ร้านที่ฉันพลาด เพราะแต่ละร้านเขาไม่ได้ทำของมาวางขายอะไรเยอะแยะ ส่วนใหญ่วายกันตั้งแต่บ่ายแก่ๆ นี่มันก็ปาเข้าไปจะ 5 โมงแล้ว ลาภปากเป็นอันว่าไม่มี
เดินไต่ตามเนินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ถึงวัดม่วยต่อ..เดินเข้าไปก็เจอกับเจดีย์ 6 องค์ วัดม่วยต่อ แปลว่า วัดแห่งเจดีย์ เห็นป้ายบอกข้อมูลสถานที่ก็จริงดังว่า ออกจากวัดม่วยต่อก็เดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามเป็นวัดก้ำก่อ วัดที่นี่แทบทุกที่ดูเป็นวัดเล็กๆ พระลูกวัดก็มีไม่กี่รูป ดูเงียบและสงบ เหมาะแก่กิจของสงฆ์ดีนะ ตัววัดก็ดูแปลกตาด้วยเอกลักษณ์แบบไทใหญ่ ทั้งทรงหลังคาซ้อนกันหลายๆชั้น หรือการตกแต่งแบบวิจิตรด้วยลวดลายฉลุ อย่างวัดก้ำก่อนี่ ที่แปลกและไม่เคยเห็นที่ไหนก็ทางเดินเข้าที่เป็นระเบียงยาว (Cover way) เชื่อมเข้าไปจนถึงด้านใน
ขวาบนวัดม่วยต่อ ขวาล่างคือซุ้มทางเดินเข้าวัดก้ำก่อ ด้านซ้ายคือบริเวณด้านหน้าวัดก้ำก่อ
ถัดไปอีกไม่ไกลเป็นวัดพระนอน ฉันเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางไสยาสน์ด้านใน ที่นี่เองมีพระตัวเป็นๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธรูปออกมาให้เห็นเยอะหน่อย มีรูปหนึ่งชี้ให้ฉันเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ ฉันหาทางเข้าอยู่นานกว่าจะถึงบางอ้อ เพราะประตูที่อยู่ตรงหน้าทำเอานึกว่าเป็นประตูตู้เซฟ แต่พอได้เข้าไปข้างใน เห็นของหลังประตูถึงได้เข้าใจ โบราณวัตถุล้ำค่ามากมายอายุหลายร้อยปีและมีมูลค่าโขนี่เอง ที่ทำให้ทางวัดต้องรักษาเป็นอย่างดี ทั้งพระไตรปิฎกโบราณและพระเครื่องต่างๆ หลายร้อยองค์ ทั้งหมดนี้ถูกกั้นจากพวกอีหยิบด้วยซี่ลูกกรงเหล็กและกระจก ทำเอาผู้ชมอย่างเราซวยไปด้วย เห็นแล้วบอกความรู้สึกไม่ถูกจริงๆ
วัตถุมงคลบางทีไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม้แต่ตัวมันเองยังถูกขโมยด้วยซ้ำ หากคนเราไม่เกิดความสำนึกดีด้วยศรัทธาจากข้างในนะ ...ความรู้สึกเดียวที่ใคร่ครวญได้ตอนนี้ คือ ...สลด
ที่น่าสนใจในวัดพระนอนอย่างหนึ่ง ที่เห็นแล้วอดนึกถึง วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) ไม่ได้ คือ พระบัวเข็ม พระพุทธรูปองค์เล็กๆ กลุ่มเดียวที่ไม่ได้ถูกจองจำ (ไม่กล้าเทียบรูป วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ ให้ดู กลัวคนอ่านจะสลดเหมือนกัน..แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ลองไปหาดูรูปกันเอาเองนะ) พระรูปที่พาเดินชม เล่าให้ฟังว่าพระบัวเข็มนี้เป็นศิลปะแบบไทใหญ่ที่ทำจากรัฐฉานประเทศพม่ารุ่น พ.ศ. 2500 ที่เห็นมีอยู่ 4 องค์ (จริงๆ ต้องมี 5 องค์รึเปล่า...แบบว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ไง?!!) องค์ตรงกลางที่เป็นรูปไข่ คือพระศรีอริยเมตไตรย นั่นเอง
ออกเดินต่อไปอีกพัก ชักอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ คงเพราะเหนื่อยด้วย หิวด้วย ทำเอาเท้าก้าวตามไม่ทันใจ เดินลงเนินสุดชันลูกใหญ่มาจนถึงอนุสาวรีย์พญาสีหนาทฯ แล้วก็เลี้ยวซ้ายกลับไปที่ถนนคนเดินหน้าไปรษณีย์ ได้หอยทอดจานใหญ่ๆ ลงท้องไปหน่อยอาการหงุดหงิดโกรธเท้าตัวเองก็ค่อยคลายลง... ว่าแต่...(กระซิบ) อย่าไปบอกใครนะว่าฉันมาถึงแม่ฮ่องสอน นอกจากครั้งก่อนจะกินน้ำพริกปลาทูแล้ว คราวนี้ยังกินหอยทอดด้วย...
ภารกิจเดินชมเมืองแม่ฮ่องสอนวันสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้น....ตอนนี้ใจกลับไม่รีบร้อนอยากกลับไปพักเหนื่อยแล้วแฮะ ไม่เหมือนตอนก่อนหน้าที่อยากให้ถึงๆที่ซะเหลือเกิน
เสียงหวูดของรถไฟดังขึ้นอีกครั้ง...หลังจากหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ที่สถานีลำปาง ฉันลองนั่งนึกทบทวนเรื่องราวของแม่ฮ่องสอนในวันสุดท้าย.. ล้อของรถจักรค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากชานชลา เสียงของเครื่องจักรทำงานแผดเสียงแสดงสถานะว่าการเดินทางกำลังจะดำเนินต่อ
ถึงก็ใช่ ไม่ถึงก็ใช่..ถึงก็ใช่ ไม่ถึงก็ใช่......
จริงสินะ.. ไม่ว่าเท้าหรือพาหนะชนิดไหนจะพาเราไป ที่ใช่แน่ๆ คือ มันจะต้องมีปลายทางเสมอ ใจเราเองต่างหากที่บางทีก็ร้อนรน เร่งเร้า ..เมื่อไหร่ที่ใจอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วกว่าเท้า เมื่อนั้นความทุกข์จะเข้ามาแทนที่
ฉันหลับยาวก่อนจะมาสะดุ้งต่ืนอีกทีตอนรถไฟกำลังเข้าสถานีอยุธยา ...ฉันฝันร้ายล่ะ ฝันว่าลงสถานีผิดแล้วกลับเข้ากรุงเทพฯไม่ได้ ทั้งที่ยังมีตั๋วรถไฟอยู่ในมือ....
สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ถ้าเป้าหมายเราชัด ช้าเร็วยังไงก็ต้องไปถึง....แต่เมื่อไหร่ที่เป้าหมายผิดต่างหาก เมื่อนั้นล่ะ..ฝันร้ายชัดๆ
Create Date : 24 กันยายน 2555 |
Last Update : 26 กันยายน 2555 18:57:59 น. |
|
1 comments
|
Counter : 954 Pageviews. |
|
|
|