...หลากเรื่อง รายวัน ในวันหนึ่งของหวาน...

2.Hellooo Macau

“ไจ้เจี้ยน” = ลาก่อน


ฉันกล่าวลา “มาเก๊า” ก่อนเครื่องบินโดยสารจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


ท้องฟ้า..ฟ้าผืนเดียวกับที่ปกคลุมแผ่นดินที่จากมา...พูดแล้วอาจดูเว่อร์เหมือนจากเมืองไทยไปแสนนาน  ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ 3 วัน 2 คืน  แต่สำหรับฉันแล้ว  เหมือนเวลามันยาวนานชั่วกัปกัลป์



ฉันนั่งนึกย้อนกลับถึงความรู้สึกแรกตอนเหยียบผืนดินที่เรียกว่า “มาเก๊า” อีกครั้ง   


มาเก๊า...การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของฉัน


ไอแดดของมาเก๊าแห่แหนเข้ามาต้อนรับพวกเราผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น..อบอุ่นจนระอุ


“Hello..ooo  Macau” ฉันทักมาเก๊าอย่างเป็นมิตร  แต่ในใจผิดหวังเล็กน้อย  คงเพราะความคาดหวังของตัวเองกับทริปต่างประเทศครั้งแรก...แต่นี่มันมาเก๊านะ ไม่ใช่ยุโรป!! จะให้มันต่างกับประเทศไทยอย่างผิดหูผิดตาเลยก็คงไม่ใช่  ทั้งอากาศ อาคาร ตึกสูง หรือผู้คน..เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ไอ้ที่ต่างกันชัดที่สุดก็เห็นจะเป็นบรรดาผู้คนที่หน้าตาเหมือนบางกอกเกียนเหล่านั้น เค้าไม่พูดภาษาไทย (และไม่รู้ภาษาไทยด้วย)  อาคารบ้านช่องเค้าก็ดูสะอาดสะอ้านกว่า  ผู้คนก็ไม่พลุกพล่าน...ดูสงบเงียบกว่าบ้านเราทั้งที่เป็นวันอาทิตย์


เราถึงสนามบินมาเก๊าได้สักพัก กรุ๊ปทัวร์ร่วม 40 กว่าชีวิตก็เริ่มแบ่งเป็นกลุ่มย่อย  สำหรับกลุ่มย่อยของฉันก็มี ฉัน แม่ แล้วก็พี่แตง..(พี่ใหญ่ในส่วนงานฉัน)  ช่ายยยยย...ทริปนี้ฉันมีแม่ไปด้วย


ฉัน-แม่-มาเก๊า...ครั้งแรกของการเดินทางระหว่างเราแม่ลูก และครั้งแรกของการพบกัน ระหว่างเรากับมาเก๊า


หลังจากออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่ตี 4 โดยที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้กระทั่งกาแฟ  ฉะนั้นสิ่งแรกเมื่อเรามาถึงที่หมายก็คือ..หาอะไรใส่ท้อง..


มื้อแรกของวันและมื้อแรกของเราในมาเก๊าก็คือที่ร้าน...???…


บอกไม่ได้..ไม่ได้เป็นความลับ  แต่เป็นเพราะไม่รู้จริง ๆ เพราะพี่ไกด์ไม่ได้บอกเราไว้นั่นเอง แกคงไม่คิดว่าจะมีใครเอามาเล่า  แต่ยังดีที่ได้ข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่ร่วมเดินทางไปด้วย  เล่าให้ฟังว่าอาหารที่นี่เป็นแบบกวางตุ้ง  เน้นรสชาดออกไปทางจืด มัน เค็มนิด ๆ มีผักเป็นส่วนประกอบหลักและเมนูสุดฮิตของที่นี่..ตอนที่ฟังพี่เค้าเล่า..เราก็ไม่คิดว่าจะเจอกับมันแทบทุกมื้อ..มัน..มัน จริง ๆ


ผัดผัก..ผัดเปรี้ยวหวาน..ผัดผัก..ผัดเปรี้ยวหวาน.. ..ผัดผัก..ผัดเปรี้ยวหวาน..


และด้วยความมันของอาหาร น้ำชาจึงถูกเอามาเสิร์ฟเพื่อล้างความมันแทนน้ำเปล่า  เหตุนี้เองเราจึงต้องดื่มน้ำชากันแทบทุกมื้อ


 



สำหรับสัตว์กินเนื้ออย่างฉัน  แน่นอนดูจากเมนูก็รู้ว่าไม่อยู่ท้องเป็นแน่ แต่ทุกครั้งที่หันไปมองรอบตัวในรัศมี 10 มตร...ก็ไม่มีวี่แววของร้านขายขนมหรือของว่างตามแผงลอยทางเท้าเหมือนบ้านเราเลย..เริ่มคิดถึงหมูย่าง ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด ขึ้นมาตะหงิด ๆ  อยากได้ออราด้วยตะแหง่ว ๆ


หลังจากจัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางเข้าสู่ที่พักสุดอลังการกัน



ที่พักที่อยู่ในคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย “The Venetian”



Free TextEditor


Create Date : 19 เมษายน 2553
Last Update : 19 เมษายน 2553 0:07:16 น. 3 comments
Counter : 489 Pageviews.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:10:39:24 น.  

 


โดย: zyberbeing วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:21:22:04 น.  

 
โปรดติดตามตอนต่อไป..
ว่าแต่เม้นในนี้พูดได้กันมั้ยคะ


โดย: pimonhwan วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:17:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pimonhwan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กับตรงนี้ “About Me” เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉัน พอมานึก ๆ ไป หากเอาชุดหนังหน้าคนของตนเองออก ฉันก็คงจะเป็นแค่เครื่องจักรที่ทำอะไรซ้ำ ๆ เสมอ ...ฉันเป็นเครื่องจักรของการตีความ ฉันเป็นเครื่องจักรของการ Clear ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ทั้งหมดนี้รวมกันคือฉันเลย

เครื่องจักรของการตีความ..มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันเป็นต้องตีความเสมอ..คนนี้มาพูดอย่างนี้ แปลว่าอะไร คนนั้นมาพูดอย่างนั้น มันแปลว่าอย่างนี้หรือเปล่า..ตีความเสร็จก็ขอ Clear หน่อย เพราะเป็นคนชอบความชัดเจน แต่ผลที่ได้ ยิ่ง Clear ก็ยิ่งไม่ชัดเจนเสมอ เป็นอันให้ต้อง Clear กันได้เรื่อย ๆ สุดท้าย...ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ฉันพึงหาหนทางสร้างความสุขให้กับตนเองเสมอ อะไรที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขได้ จะหามาสนองตัวตลอด อาทิ คิดว่าถ้ามีคอนโดฯ ได้ฉันก็จะมีความสุขกว่านี้ ฉันก็ได้คอนโดฯ มาสมใจ แต่จนป่านนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังไม่มีความสุขซะที ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่คิดว่าจะทำให้มีความสุขได้..เพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน แนวทางต่าง ๆ ที่เค้าว่าทำแล้วจะมีความสุขแก่ชีวิต ก็หามาอ่าน หามาทำไปเรื่อย สุดท้ายก็พบว่ามันไม่เคยพอ แล้วความสุขที่ได้เหล่านั้นมันก็อยู่ไม่นานเลย มันต้องหาต่อไปเรื่อย ๆ หลงลืมไปว่าความสุขแท้จริงง่าย ๆ มันอยู่ที่เราเอง –การแสวงหาความสุขจากสิ่งอื่นหรือคนอื่นมันไม่ยั่งยืนเสมอไป-

เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ลองมองตัวเองให้ชัด ๆ ขึ้น ก็เลยได้ความกระจ่าง พอใจอยู่อย่างที่อย่างน้อยฉันก็ยังโอเคกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้น แม้บางทีมันก็เลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน..มันก็จะเป็นแค่อีกเรื่องที่ผ่านไป..ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่คนเหลาะแหละ..ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ไขว่คว้าอะไรมาอย่างมักง่าย สุดท้ายฉันก็ยังได้รู้ว่าฉันยังคงมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างเช่นที่เคยมีมาอยู่เสมอ

...เคยเฝ้ารอด้วยความหวังว่าจะมีใครพาเราพ้นไปจากตรงนี้..แต่ความหวังไม่เคยเป็นจริง..
...เคยใช้เวลาไปเรื่อย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เฝ้ารอสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าจะมีเข้ามาในวันข้างหน้า..
...บางครั้งก็รอวันข้างหน้าจนหลงลืมไปว่า เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องรอ.






hits Stock Photos from 123RF
[Add pimonhwan's blog to your web]