แผลที่มองไม่เห็น#1
มีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้คนสองคนมาพบกัน.....
เริ่มต้นเหมือนจะโรแมนติก..แต่เปล่าค่ะ จะพูดต่อว่าเวลาคนหลายคนมาเจอกันก็ด้วย ..ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม ฉันเชื่อว่ามันมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขามีโอกาสได้มารู้จักกัน มาสนิทสนมกัน หรือในบางกรณีก็มาตายพร้อมๆ กัน...(ชักจะออกแนว Final Destination ละ) มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันต้องเป็นอย่างนั้นนะ บางคนอาจเรียกว่าโชคชะตา บางคนอาจเรียกมันว่าเวรกรรม หรือบางคนอาจเหมารวมว่าเป็นบุญทำกรรมแต่ง ..อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉันไปถึงพังงาคนเดียว ทั้งทำงาน ทั้งมาเที่ยวไกลถึงที่นี่ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี? แต่ฉันว่ามันเป็นส่วนผสมระหว่างชะตากรรมกับทางเลือก
หลายคนเจอหน้ามักถามฉันว่าเดินทางไปไหนต่อไหน ไปค้างอ้างแรมไกลๆ คนเดียวนี่ ไม่กลัวเหรอ?!!!
เอ่อ.. ไม่น่าถาม ก็กลัวสิคะ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ..ก็มันต้องไป มันจำเป็น!! อันนี้ฉันเรียกมันว่า ชะตากรรม ครั้งแรกย่อมมีกลัวเป็นธรรมดา แต่ครั้งต่อๆ มาชักเริ่มเฉยๆ ตั้งแต่ได้ไปฉายเดี่ยวที่แม่ฮ่องสอน กับได้ไปวัดดวงที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มา ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกแล้วล่ะ ...วะ ฮะ ฮ่าาาา....
ไหนๆ ก็ได้มาทำงานที่พังงาทั้งที จะให้รีบกลับไปก็กระไรอยู่..ฉันเลยปรึกษากับตัวเองแล้วเราเห็นพ้องต้องกันว่า ไปทะเลกันดีกว่า.. อันนี้ล่ะที่เรียกว่า ทางเลือก จากตัวเมืองพังงาที่ต้องไปทำงาน ฉันเลยเลือกที่จะไปจ่อมต่อแถวๆ อ.ท้ายเหมือง แทนที่จะเป็นเขาหลักสุดฮิต ..อันนี้ฉันก็เลือกเอง ที่พักอื่นๆ มีให้เลือกมากมาย... ฉันก็เลือกที่นี่เลย Waterjade Health Land Resort and Spa บอกแล้ว...ชีวิต คือ ทางเลือก แต่หลังจากนั้นส่ิงที่ได้เจอ คือ ชะตากรรมล้วนๆ
หลังจากถามทางคนโน้นคนนี้มาพักใหญ่ คำตอบที่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ ให้ฉันนั่งรถสายที่ไปภูเก็ตจาก อ.เมืองพังงา แล้วไปต่อรถสายตะกั่วป่าที่ บ.ข.ส.โคกกลอย ก็ตามนั้นเลย..เป๊ะ!! ได้เวลาออกเดินทางฉันก็ปุเรงปุเรงแบกกระเป๋าใบเขื่อง 2 ใบขึ้นรถ ซัก 50 นาทีได้ก็มาลงที่โคกกลอยโดยสะดวกดาย มีเพื่อนร่วมทางมากมายลงที่หมายเดียวกัน ฉันลงจากรถงุดๆ ตามหลังเขาลงมายืนข้างรถ...แต่เอ๊ะ ป๊าดดด.. นี่มันริมทางหลวงเลยนิ ไอ้สถานีรถโดยสารโคกกลอยนี่ดันอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งต้องข้ามถนนไปอีกกี่เลนหว่าาา...1..2...3.....4.... เฮ้ย..นับยังไม่ทันครบดี ผู้โดยสารกลุ่มตะกี้ทั้งหมดก็พร้อมใจกันข้ามถนน ฉันรีบใส่ตีนหมาโกยตามติดไปด้วยแทบไม่ทัน ปุเรงปุเรงเสร็จก็กระย่องกระแย่งข้ามถนนมาจนถึงสถานีจนได้ แต่ทว่า..ไม่มีวี่แววรถโดยสารเลยซักคัน มีแต่เพียงจิ้งหรีดคอยส่งเสียงสร้างความวังเวงกับจ้ิงโกร่งอีกหนึ่งตัวที่กำลังลากกระเป๋า หยุดยืนสลับกับทำหน้าเหวออยู่
ฝูงชนเมื่อสักครู่ที่ข้ามถนนมาพร้อมกับฉันต่างพร้อมใจกันสลายหายตัวเข้ากลีบเมฆไป...
หนูจะไปไหน? สวรรค์ทรงโปรด ป้าแก่ๆ ท่านหนึ่งหันมาถามฉัน คงดูรูปการณ์แล้วออกแนวอาการน่าเป็นห่วง ฉันเลยรีบตอบไปทันทีว่าจะไปท้ายเหมือง รู้แต่ว่าต้องไปลงหน้าโรงเรียนบ้านบ่อดาน แต่ไม่รู้ว่าจะไปขึ้นรถตรงไหน? อะไร?ยังไง? ป้าแกพยักหน้าพร้อมกับบอกให้ฉันตามแกไป ..เราไปทางเดียวกัน
นั่งที่ศาลารอรถเมล์ริมทางได้สักพัก ฉันเห็นรถเมล์สีเขียวๆวิ่งมาแต่ไกลคันหนึ่ง ป้าส่งสัญญาณมือบอกฉันว่าคันนี้แหละ ขึ้นรถมานั่งได้ปุ๊บ ป้าแกรีบบอกกระเป๋ารถเมล์พร้อมชี้มาที่ฉันทันทีว่า จอดให้น้องคนนี้เขาลงหน้าโรงเรียนบ้านบ่อดานด้วย ป้าย้ำไปถึง 2 ครั้งในสำเนียงใต้ แถมก่อนจะลงป้ายป้ายังบอกให้ฉันเตรียมตัวเตรียมของให้ดีด้วยนะ..จะถึงแล้ว เพียงครึ่งชั่วโมงฉันก็มายืนอยู่หน้าโรงเรียนบ้านบ่อดาน โดยมีแรงบันดาลใจบางอย่างดลให้ป้าเขาเมตตาคนแปลกหน้าอย่างฉันให้มาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
จากหน้าโรงเรียนถึงที่พัก พนักงานของโรงแรมขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมารับ พอเอาสัมภาระวางปั๊บ ฉันก็ลงนั่งที่ไอ้พ่วงข้างนั่นแหละ ระหว่างนั่งรถเข้าไปฉันก็ถามถึงเรื่องที่พัก ได้ใจความว่าที่พักสงบเงียบมากๆ คนที่มาพักส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งมากกว่าคนไทย มีจักรยานให้ปั่นไปทะเลได้ หรือจะพายเรืออยู่ที่ Lake หน้าที่พักก็ตามแต่จะชอบ และเป็นที่แน่นอนว่าน้องเขาก็อดสงสัยเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ว่าทำไมฉันถึงมาคนเดียว?
คนที่ไปเที่ยวไหนต่อไหนคนเดียวคงมีน้อยมากจริงๆ อะไรคือเหตุผลของคนเหล่านั้น 1.ใจรักแต่เพื่อนไม่รัก 2.ตั้งใจจะไปหาเพื่อนเอาดาบหน้า 3.อยากอยู่คนเดียวให้ธรรมชาติเยียวยา 4.หนี..มันต้องหนีอะไรบางอย่างมาชัวร์!! 5.มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน..งานจริงๆ 6.ต้องการเห็นความสวยงามของโลกครั้งสุดท้ายก่อนอำลาโลก....ไปกันใหญ่ละ จริงๆ ฉันมาด้วยเหตุผลข้อ 5, 1,และ....3 เริ่มจากต้องมาทำงาน ตามมาด้วยหาโอกาสเที่ยวต่อซะเลย..แต่เพื่อนไม่รัก ก็เลยต้องอยู่คนเดียวให้ธรรมชาติเยียวยา..เยียวยาทั้งเรื่องที่เพื่อนไม่รักและ เขา ไม่รัก เวลาอยู่คนเดียวนี่..เรื่อง เขา และคำว่า เรา จะกลับมาชัดเจนในความรู้สึกทู๊กกกที โดยเฉพาะเมื่อนึกได้ว่ามันไม่มีเราอีกแล้วนี่ล่ะ........เศร้านะ.....
แต่ลืมเรื่องเศร้าไปก่อนได้เลยเมื่อถึงที่พักแล้วพบว่า ในสถานที่อันใหญ่โตเยี่ยงนี้ มันจะมีแต่เราเพียงผู้เดียว!!! ย้ำอีกที..มีฉันพักอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวเท่านั้น!! พอดีว่ามันเป็นหน้า Low season น่ะ...น้องที่ Front เขาบอก ..ไงล่ะ ที่พักมีเยอะแยะ ดันเลือกมาพักที่นี่ ที่ๆไม่มีคน ได้สงบเงียบให้ธรรมชาติเยียวยาสมใจเลยเมิง...อันนี้ก็อดกระแนะกระแหนตัวเองไม่ได้ เข้าห้องพักเก็บกระเป๋าเสร็จสรรพ ก็เดินออกสำรวจที่ทาง ถ้าไม่นับเรื่องที่มีฉันอยู่คนเดียวทั้งรีสอร์ทเนี่ย ก็ถือว่าที่นี่บรรยากาศดีใช้ได้ เป็นที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ตรงกลางมี Lake ใหญ่สุดลูกหูลูกตา สองฝั่งของ Lake มีที่พักเป็นหลังเล็กๆ ล้อมรอบ เชื่อมต่อกันด้วยบริเวณส่วนกลางที่เป็น Lobby และร้านอาหาร ครัวศรีวารา อาหารที่นี่เองก็อร่อยใช้ได้เลย
เวลา 18:30 น. ฉันก็ออกมานั่งรับลมกินอาหารเย็นที่ริม Lake เลือกที่นั่งที่ดีที่สุดโดยไม่มีใครแย่ง บรรยากาศดีจริงๆ ลมพัดกำลังเย็นสบาย พออาหารมาเสิร์ฟตั้งได้สักพักพอให้ได้รำ่ลาแสงสุดท้ายของวันที่จากไปเสียหน่อย แสงสว่างจากโคมไฟตามทางเดินก็ค่อยๆเปิดขึ้นส่องแสงสลัวๆ พอให้ได้รู้สึกโรแมนติกบ้าง อาหารที่สั่งมารสชาติอร่อย แต่กินไปสักพัก เอ๊ะ...อาหารตาเมื่อครู่เริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุม..ทุกครั้งที่มองออกไปกลับกลายเป็นความน่ากลัวและมืดมิด ชักจะเหมือนนั่งหลับตากินข้าวอยู่คนเดียวซะแล้ว จังหวะนี้ชักเริ่มขำตัวเอง ไอ้ที่ว่าจะนั่งกินข้าวชมวิวเสียหน่อยมันไม่ใช่ละ...แถมชักเริ่มกังวลที่จะต้องนอนคนเดียวขึ้นมาอีกตะหงิด ๆ
กินข้าวเสร็จพนักงาน 2 คนเข้ามากล่าวราตรีสวัสดิ์ ไม่วายที่ 1 ใน 2 คนนั้นจะสร้างความอุ่นใจให้กับฉัน พี่กลัวผีมั้ย? กรรม!! ฉันรึอุตส่าห์ไม่นึกถึงแล้วเชียววว พี่ไม่ต้องกลัวนะคะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่หนูจะบอกว่าถ้าไฟดับหรือมีอะไร พี่ไม่ต้องกลัวนะ มีอะไรมาตรงนี้ได้เลย เรามีรปภ. อยู่ตรงนี้ตลอดค่ะ แม่ครัวก็พักอยู่ห้องข้างหลังนี่เอง... พนักงานอีกคนรีบแจ้งทางหนีทีไล่ให้ทราบ ทำให้ได้รู้ว่าคืนนี้นอกจากเราแล้วจะมีรปภ.กับแม่ครัวที่อยู่เป็นเพื่อน...อุ่นใจมากกกก
เข้าห้องได้ก็เลยเอาเก้าอี้ยันประตูไว้กันคนประสงค์ร้ายเข้ามาให้ห้อง ก่อนนอนก็สวดมนต์อีกชุดใหญ่กันอดีตคนที่อาจประสงค์ดีมาอยู่เป็นเพื่อน.....สุดท้ายก็นอนหลับสนิทไปทั้งคืน สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในยามวิกาลเห็นจะมีแต่ฝนที่กระหน่ำลงมาทั้งคืนต้อนรับการมาถึงของฉันอย่างชุ่มฉ่ำยันเช้า
ท้องฟ้าไม่รู้ไปอมน้ำมากมายมาจากไหน ถึงได้กลั่นตัวลงมาเป็นสายไม่ยอมเลิก ฉันมองจากหน้าต่างห้องออกไปที่ร้านอาหาร ตัวร้านดูเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เงาของพนักงาน ได้ยินแต่เสียงคนคุยกันอยู่ไกลๆ คงเป็นแม่ครัวกับรปภ. ฉันกางร่มเดินไปตามทางจนเข้าไปนั่งภายในร้านอาหาร เสียงเสวนาเมื่อครู่ที่ได้ยินกลายเป็นเสียงฝีเท้าพร้อมกับขยับตัวกันพรึบพรับ
พี่เขามาแล้วๆ ...เอ่อ นี่รอฉันออกมากันรึเนี่ย?!! คงว่างๆ เบื่อๆ ไม่มีอะไรให้ทำกันสินะ
สิ้นเสียงได้สักพักพนักงานร่างใหญ่ที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ครัวเดินมารับออร์เดอร์ อาหารเช้าก็ไม่มีอะไรมาก กาแฟ ขนมปัง ไข่ดาว หมูแฮม ง่ายๆ ตามสูตร แต่กาแฟที่นี่เป็นกาแฟสดรสชาติกลมกล่อมจริงๆ ฉันพกหนังสือ 1 เล่มหนามาอ่าน เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะได้ทำ
Create Date : 28 กันยายน 2555 |
Last Update : 28 กันยายน 2555 18:14:13 น. |
|
0 comments
|
Counter : 889 Pageviews. |
|
|
|