...หลากเรื่อง รายวัน ในวันหนึ่งของหวาน...

แผลที่มองไม่เห็น#2

ตะวันสายโด่งยังทำตัวขี้เกียจเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในหมู่เฆฆและม่านฝน ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นจนกาแฟหมดไป 2 แก้วแบบเพลินๆ อากาศเย็นๆ ชื้นๆ เข้ากันได้ดีกับกาแฟอุ่นๆ ก็จริง แต่ที่สุดแล้วฉันก็เริ่มเบื่อ ขอเข้าห้องพักไปตั้งหลักใหม่ดีกว่า จนบ่ายออกมากินข้าวเที่ยงอีกที ฝนก็ยังเจาะแจะไม่เลิก..หมดกัน! วันนี้คงอดได้ออกไปทะเลซะแล้ว


พนักงาน 2 คนเมื่อวานตอนนี้มาประจำการจนได้ (ก็บ่ายแล้วนี่นะ) เห็นฉันอ่านหนังสืออยู่คนเดียวเงียบๆ คงกลัวฉันเบื่อ เลยเข้ามาคุยพร้อมกับส่งแผนที่เส้นทางจักรยานมาให้ 1 แผ่น เผื่อไว้ว่าหากฉันมีโอกาสจะได้ออกไปตามเส้นทางตามนั้น จะได้ยลโลกภายนอกกับเขาบ้าง ฉันดูแผนที่ในมืออย่างสนใจเผื่อว่าโชคเข้าข้างฝนหยุดตก จะได้ปั่นจักรยานไปนั่งเล่นริมทะเลบ้าง ว่าไปแล้วที่นี่มีหาดให้เลือกไปหลายหาดอยู่เหมือนกัน ระยะทางพอให้ได้แฮ่กได้หอบเชียวล่ะ ที่พอปั่นไหวก็มีให้เลือก 2 ทาง จากปากซอยของที่พักถ้าไปทางซ้ายสัก 3 กิโลเมตร จะไปเจอกับหาดบ้านบ่อดาน แต่ถ้าไปทางขวา 5 กิโลเมตร จะไปเจอกับวัดริมทะเล ลองประเมินตามความสามารถของตัวเองดูแล้ว ก็เลือกได้ทันทีว่าไปทางซ้ายดีกว่า ..แต่ก็นั่นแหละถ้าฝนหยุดตกนะ


แล้วโชคก็เข้าข้าง บ่าย 3 ฝนหยุดตกจ้าาา...ดูจากความชุ่มน้ำของเมฆประกอบกับแสงแดดรำไร คงไม่ตกอีกแน่ๆ ก็เล่นตกมาทั้งวันแล้วนี่!! ฉันเลยคว้าหนังสือ แผนที่ น้ำขวด โทรศัพท์ ร่ม และเต้าส้อ (อันนี้ของดีเมืองพังงา เอาไว้กินกันหิวระหว่างทางง่ะ...รอบคอบนะจะบอกให้) ยัดลงกระเป๋า ไปที่เคาน์เตอร์แสดงความจำนงกับพนักงาน (คนเดิม) ว่าพี่พร้อมแล้วที่จะไปปั่นจักรยานเที่ยว


พนักงานเดินยิ้มนำไปที่จอดจักรยาน คงดีใจที่เห็นเราได้ทำอย่างอื่นบ้าง ว่าแล้วน้องเขาก็คว้าจักรยานทรงญึ่ปุ่นแบบมีตระกร้าหน้าให้หนึ่งคัน...แหม..สูงเชียว น้องขาาา พี่สูงกว่าหมานิดเดียว เอาคันเตี้ยหน่อยดีกว่ามั้ย?!! ฉันเลยชี้ไปที่คันเตี้ยอีกคัน บอกน้องเขาว่าขอเปลี่ยนเป็นคันนี้ดีกว่า ..ใครจะรู้ว่าการเลือกครั้งนี้ของฉัน จะสร้างบาดแผลให้จดจำไปอีกนาน


ตรวจสภาพความพร้อมของจักรยาน เติมลมยาง ทดสอบเบรคอะไรเรียบร้อย น้องพนักงานงานหันมามองหน้าแจ้งให้ทราบว่าเหมือนแฮนด์จักรยานจะไม่ค่อยดี พูดไปน้องเขาก็บิดแฮนด์จักรยานให้ดูประกอบ ปรากฎว่าแฮนด์ทั้งอันมันดันพลิกไปมาได้ แต่ก็แค่ฝืดๆ ต้องใช้แรงดันพอสมควรถึงจะหมุนได้ ดูแล้วก็น่าจะยังพอไปวัดไปวาไหว แล้วก็นั่นแหละ...ฉันก็เลยปั่นไปวัดซะเลย

            ก็ทะเลหาดบ้านบ่อดานเมื่อไปถึงมันเร้าใจเกินขนาด คลื่นถาโถมเข้ามาซัดฝั่งกันให้อึกทึกคึกโครม เกรงว่านั่งชมวิวริมหาดอยู่ดีๆ คล่ืนอาจจะซัดเราลงไปดำน้ำเล่นที่ก้นทะเลได้ แถมระยะทางที่ปั่นมาก็ยังไม่ทันได้เหงื่อ พอปั่นกลับถึงหน้าปากทางเข้าที่พักเลยตัดสินใจไปต่อ...ไปวัดเลยดีกว่า


อากาศดี๊ดี แดดงี้ไม่มีเลย..ปั่นจักรยานกินลม ชมทิวทัศน์ รถยนต์อะไรไม่มีวิ่งผ่านมาซักคัน ถนนกว้างๆ งี้เป็นของเราคนเดียว นานๆ ถึงจะผ่านช่วงที่เป็นบ้านคนเสียหน่อย ส่วนใหญ่ตามข้างทางจะเป็นสวนยางกับทุ่งหญ้า จากแผนที่ในมือผ่านทะเลสาปใหญ่นี่ไปอีกนิดก็จะถึงวัด เหง่ือเริ่มซึมตามหลังและใบหน้าให้ได้ชื่อว่าออกกำลังกาย ..มีความสุขมว้าาากค่ะ


images by free.in.th


ปั่นจักรยานไปตามทางเล็กๆ เข้าไปสู่เขตวัด ปลายทางที่เห็นน่าจะเป็นชายหาด วัดที่นี่ (จำชื่อไม่ได้ขอโทษจริงๆ แต่หาไม่ยากหรอกค่ะ มีอยู่วัดเดียวเลยแถวนี้) อยู่ติดริมชายหาดเลย ปั่นจักรยานขึ้นเนินไปเห็นภูเขาทะมึนๆในทะเลอยู่ลิบๆ...เอ๊ะ แต่ภูเขาอะไรมันจะแน่นเต็มทะเลไปหมดอย่างนี้ เอ๊ะ..(อีกที) รึว่าจะเป็นสึนามิ!!! จะบ้าเหรอ...ดูให้ชัดๆ อ๋อ...ฝนห่าใหญ่กำลังตกอยู่ในทะเลนี่นา ดำทะมึนทั่วไปหมด..เล่นเอาขนหัวลุก ฉันเลยรีบๆไหว้พระแล้วก็รีบปั่นจักรยานกลับ..อยู่ไม่ได้แล้ว ตอนไหว้พระฉันไม่ลืมอธิษฐาน “ขอให้ลูกกลับถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ และไม่เปียกฝนด้วยเทอญ....สาธุ...”


เคยได้ยินเขาว่ากันว่า...กรรมมันเหมือนกับหมาล่าเนื้อมั้ยคะ? บุญที่ทำอาจจะช่วยได้แค่ยืดเวลาออกไปหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ยังไงซะคนเราก็ต้องใช้กรรมค่ะ.... และตอนนี้กรรมของฉันกำลังไล่หลังมาติดๆ เผลอกระพริบตาแป๊บเดียว กลุ่มทัพเมฆดำชุดใหญ่ก็ตีโอบมาด้านหน้าฉันแล้ว ฉันหยิบอาวุธที่มีอยู่กับตัวเพียงชิ้นเดียวขึ้นมาปกป้องตัวเอง...ร่ม


เหมือนจะได้ผลตอนเจอกับทัพหน้า แค่เม็ดเล็กๆ ลูกกระจ๊อกไก่กาแค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก..แต่พอเจอกับทัพหลวงเท่านั้นล่ะ เป็นอันซีด ต่อให้กางร่มปั่นจักรยานท่าไหนฉันก็เปียกไปแล้วทั้งตัว น้ำฝนงี้เปียกหน้าและสาดเข้าตาจนแทบลืมไม่ขึ้น จะให้หยุดก็ไม่มีร่มไม้หรือชายคาบ้านคนให้หลบซักหลัง เปียกขนาดนี้รีบๆ ปั่นกลับไปให้ถึงที่พักน่าจะดีที่สุด เหลือบไปเห็นข้าวของในตระกร้าด้านหน้าเริ่มเปียก ฉันที่ปั่นจักรยานมือเดียวเพราะถือร่มอยู่ เลยเอาศอกเท้าลงไปที่แฮนด์จักรยาน เอาร่มป้องของในตระกร้าไว้ ครู่เดียวไม่ทันตั้งตัว ล้อปัด รถส่าย ล้มโครมอย่างจังลงบนพื้นถนน ข้าวของกระจาย ร่มกระเจิง ไม่มีชิ้นดี...หันมาสำรวจตัวเองอีกทีว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายรึเปล่า? ก็มีเพียงแค่แผลถลอกนิดหน่อยที่เท้ากับฝ่ามือ เก็บของได้ก็เริ่มคิดแล้วว่าจะยังไงต่อดี?


จะให้ทำยังไงได้ล่ะ!! ก็ต้องปั่นต่อไปน่ะสิ!


ปั่นต่อไปอีกซักพัก ยังคิดถึงช็อตล้มเมื่อตะกี้อยู่...กรูล้มได้ยังไงว่ะ? เท้าแฮนด์จักรยานพลางคิดไปด้วย เบรคที่ตอนนี้พลิกขึ้นมาอยู่ใต้ข้อศอกก็ทำงานทันทีตามหน้าที่...เหมือนเมื่อกี้อีกที ล้อปัด... คิดออกแล้ว!! ไม่ทันได้ดีใจ คราวนี้ทั้งคนและจักรยานไพล่ลงข้างทางไปเรียบร้อย ถึงจะมีพงหญ้าสูงอันอ่อนนุ่มรองรับไว้ แต่สภาพทั่วไปก็ดูไม่จืด จังหวะนั้นมีมอเตอร์ไซค์ขับผ่านมาคันหนึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดโดยตลอด เหมือนจะจอดดูฉันอยู่ซักครู่ ฉันก็นึกว่าเขาจะเข้ามาช่วย แต่เปล่าเลย...ฉันเห็นเขาค่อยๆ ขี่มอเตอร์ไซค์จนลับโค้งพ้นสายตาไป พอรู้ตัวว่าพึ่งใครไม่ได้เสียแล้ว ฉันก็ได้แต่เก็บข้าวของที่หล่นเกลื่อน ...กล่องเต้าส้อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่มหัก ขวดน้ำกลิ้งหลุนๆ อยู่กลางถนน ส่วนตัวคนนอกจากเปียกแล้วก็เต็มไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้า ที่ขาขวาด้านหลังก็มีรอยเปื้อนโคลนแถบใหญ่เป็นรอยยาว เลือดซึมนิดๆ พอให้หัวใจได้สูบฉีดแรงหน่อย ทรงตัวยืนได้ปุ๊บฉันก็คว้าจักรยานขึ้นมาปั่นต่อ พริบตาเดียวถึงหน้าปากทางเข้ารีสอร์ท แต่เหมือนสภาพจักรยานกับทางลูกรังแบบนี้ไม่น่าจะไปรอด บทเรียนที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ถึง 2 หนสอนให้รู้ว่า ไม่ควรมีการล้มอีกเป็นครั้งที่ 3...ฉันเลยโทร.ไปบอกให้ที่รีสอร์ทออกมารับ


ถึงที่พักได้ดีใจเหมือนได้กลับบ้าน เข้าห้องได้ก็อาบน้ำทำแผล ดูขาของตัวเองตอนนี้ไม่แน่ใจว่านี่ขาหรือลายแทง มีตั้งแต่รอยข่วน แผลสด รอยช้ำ บวม เริ่มปวดมากขึ้นทีละนิดๆ ซ้ำร้ายชักเร่ิมตะหงิดๆ จะเป็นไข้อีก กินม้ือเย็นเสร็จเลยรีบกินยาลดไข้แก้ปวดตาม แล้วเข้านอน

เหลือเชื่อ..ตั้งแต่จักรยานล้มจนเข้ามานอนอยู่ตรงนี้ ฝนก็ยังตกไม่เลิก ..ตกอย่างกับฟ้ารั่ว ฉันนอนฟังเสียงฟ้าฝนกระทบหลังคาไปเรื่อย นอนก็นอนไม่หลับ ได้แต่คิดวนเวียนว่า..อะไรทำให้ฉันมาล้มถึงที่นี่ได้..


มีที่พักมากมายให้เลือก...ฉันก็เลือกมาที่นี่

แทนที่จะไปหาดบ้านบ่อดานเสร็จแล้วกลับเข้าที่พัก...ฉันก็เลือกไปที่วัดต่อ

แทนที่จะล้มครั้งแรกแล้วหยุด...ฉันก็กลับเลือกไปต่ออีกครั้ง....

แต่ฉันก็ไม่ได้เสียใจหรือจะโทษใครหรอกนะ ก็ทุกอย่างฉันเป็นคนเลือกเองนี่!!


ความรักของตัวเองก็เหมือนกัน ไม่ว่าฉันจะคิดไปจากเขาสักกี่ครั้ง ทุกครั้งที่เขาขอกลับมาคืนดี...ฉันก็เป็นคนเลือกที่จะให้เขากลับมาเอง ครั้งสุดท้ายที่เลิกกัน เขาบอกฉันว่า ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหนเขาก็ยังรู้สึกว่าเราเข้ากันไม่ได้อยู่ดี ..เขาอึดอัดและไม่มีความสุขเลยที่อยู่กับฉัน


ความรักกับการปั่นจักรยานจะว่าไปก็เหมือนกันนะ ล้อหน้ากับล้อหลังมันพาตัวจักรยานขับเคลื่อนไปข้างหน้า เมื่อไหร่ที่ล้อข้างหนึ่งไม่ทำงาน ล้ออีกข้างก็ไปต่อไม่ได้ สุดท้ายจักรยานก็ล้มอยู่ดี...ถ้าฉันเป็นคนที่ทำให้เขาไม่มีความสุข ฉันก็ไม่อยากฝืนไปต่อหรอก ไม่ว่าต่างคนจะต่างอยากเห็นอีกคนมีความสุขแค่ไหน แต่ในเมื่อเราไม่ได้เป็นความสุขของกันและกัน มันก็ไม่มีประโยชน์...


ฟ้าข้างนอกร้องครืนเสียงดังเหมือนกับจะเห็นด้วยกับความคิดของฉัน มันเศร้าเสมอนะที่นึกถึงเรื่องนี้ แต่ก็สุขพอๆกันกับสิ่งดีๆที่เคยได้รับ ตอนนี้ความรู้สึกต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่กลับมารวมกัน กลายเป็นแผลที่ไม่เคยมองเห็นขึ้นมา...เจ็บเสียยิ่งกว่าแผลที่ขาเสียอีก ยิ่งคิดถึงมันเท่าไหร่กลับยิ่งรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง


              ..เมื่อมีบางคนจากไป สิ่งที่ต้องทำสำหรับคนที่เหลือก็คือ มีชีวิตต่อ...


บางทีเหตุผลที่ฉันต้องมาประสบอุบัติเหตุถึงที่นี่ อาจเป็นเพราะมีสิ่งที่มองไม่เห็นต้องการจะบอกกับฉันว่าให้เดินออกจากความสิ้นหวังได้แล้ว เหมือนตอนที่ฉันเห็นแน่แล้วว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นไม่กลับมาช่วยนั่นแหละ ก็เหลือเพียงแต่ตัวเองที่ต้องยกจักรยานกลับขึ้นมาปั่นต่อไปข้างหน้า


ฝนซาฟ้าเปียก...พระอาทิตย์คงลากิจหลายวัน แต่ไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ ยังไงๆ ฉันก็ต้องกลับกรุงเทพฯ พอลุกขึ้นจากเตียงได้ฉันก็อาบน้ำกะโผลกกะเผลกไปกินข้าวเช้า พอนั่งลงที่โต๊ะในร้านอาหารปุ๊บ..พนักงานตั้งแต่ที่ Front ยันในครัว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของรีสอร์ท ต่างพากันเข้ามารุมล้อมฉันปลอบขวัญปลอบใจกันเต็มที่ ฉันเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าขอเรียกขวัญของตัวเองกลับคืนมาด้วยการเรียกรถลิมูซีนมารับไปสนามบินภูเก็ต พอขึ้นเครื่องได้ล้อพ้นรันเวย์สนามบินยังไม่ทันดี ฉันงี้แทบกรี๊ด...ใจแอบคิดว่าในที่สุดก็ไปพ้นๆ ได้เสียที


ว่ากันว่าการเดินทางทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น ..ตอนนี้แผลที่ขาของฉันเขียวชัดกว่าเดิม แถมยังมีรอยช้ำที่ข้อเท้าเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ซ้นตามแขนและนิ้วเท้าไปหมด ..ส่วนแผลที่มองไม่เห็น ไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง? ใหญ่หรือไม่? ตกสะเก็ดหรือเปล่า? หรือเป็นแค่รอยช้ำๆ  ที่แน่ๆ ฉันรู้สึกถึงมันได้ แม้จะปฏิเสธการมีอยู่ของมันมาโดยตลอด...เป็นแผลที่มองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่จริง.





Create Date : 03 ตุลาคม 2555
Last Update : 3 ตุลาคม 2555 22:22:42 น. 1 comments
Counter : 815 Pageviews.  

 
สุขสันต์วันเกิดครับ






โดย: ต้นกล้า อาราดิน วันที่: 1 มิถุนายน 2556 เวลา:9:36:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pimonhwan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กับตรงนี้ “About Me” เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉัน พอมานึก ๆ ไป หากเอาชุดหนังหน้าคนของตนเองออก ฉันก็คงจะเป็นแค่เครื่องจักรที่ทำอะไรซ้ำ ๆ เสมอ ...ฉันเป็นเครื่องจักรของการตีความ ฉันเป็นเครื่องจักรของการ Clear ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ทั้งหมดนี้รวมกันคือฉันเลย

เครื่องจักรของการตีความ..มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันเป็นต้องตีความเสมอ..คนนี้มาพูดอย่างนี้ แปลว่าอะไร คนนั้นมาพูดอย่างนั้น มันแปลว่าอย่างนี้หรือเปล่า..ตีความเสร็จก็ขอ Clear หน่อย เพราะเป็นคนชอบความชัดเจน แต่ผลที่ได้ ยิ่ง Clear ก็ยิ่งไม่ชัดเจนเสมอ เป็นอันให้ต้อง Clear กันได้เรื่อย ๆ สุดท้าย...ฉันเป็นเครื่องจักรของการแสวงหาความสุข..ฉันพึงหาหนทางสร้างความสุขให้กับตนเองเสมอ อะไรที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขได้ จะหามาสนองตัวตลอด อาทิ คิดว่าถ้ามีคอนโดฯ ได้ฉันก็จะมีความสุขกว่านี้ ฉันก็ได้คอนโดฯ มาสมใจ แต่จนป่านนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังไม่มีความสุขซะที ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่คิดว่าจะทำให้มีความสุขได้..เพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน แนวทางต่าง ๆ ที่เค้าว่าทำแล้วจะมีความสุขแก่ชีวิต ก็หามาอ่าน หามาทำไปเรื่อย สุดท้ายก็พบว่ามันไม่เคยพอ แล้วความสุขที่ได้เหล่านั้นมันก็อยู่ไม่นานเลย มันต้องหาต่อไปเรื่อย ๆ หลงลืมไปว่าความสุขแท้จริงง่าย ๆ มันอยู่ที่เราเอง –การแสวงหาความสุขจากสิ่งอื่นหรือคนอื่นมันไม่ยั่งยืนเสมอไป-

เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ลองมองตัวเองให้ชัด ๆ ขึ้น ก็เลยได้ความกระจ่าง พอใจอยู่อย่างที่อย่างน้อยฉันก็ยังโอเคกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้น แม้บางทีมันก็เลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน..มันก็จะเป็นแค่อีกเรื่องที่ผ่านไป..ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่คนเหลาะแหละ..ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ไขว่คว้าอะไรมาอย่างมักง่าย สุดท้ายฉันก็ยังได้รู้ว่าฉันยังคงมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างเช่นที่เคยมีมาอยู่เสมอ

...เคยเฝ้ารอด้วยความหวังว่าจะมีใครพาเราพ้นไปจากตรงนี้..แต่ความหวังไม่เคยเป็นจริง..
...เคยใช้เวลาไปเรื่อย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เฝ้ารอสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าจะมีเข้ามาในวันข้างหน้า..
...บางครั้งก็รอวันข้างหน้าจนหลงลืมไปว่า เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องรอ.






hits Stock Photos from 123RF
[Add pimonhwan's blog to your web]