Maybe I'm just a fool
I should keep to the ground,
I should stay where I'm at
Maybe everyone has hunger like this and the hunger will pass
But I can't think like that
: Flight - Craig Carnelia
Group Blog
 
All blogs
 

The Light in the Piazza

อัลบั้มแนะนำค่ะ ละครเพลงเรื่องนี้ เป็นละครที่ได้รางวัล Tony Award ไปหลายสาขาเมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งสาขา score (ก็คือดนตรีนั่นเอง) เพลงเพราะมากๆๆ โรแมนติกและน่ารักเหลือเกิน คาสต์ก็สุดยอดดดด ร้องเพลงดีกันจริงๆ (ออกแนวกระเดียดไปทางโอเปร่านิดๆ นะคะ แต่ไม่ถึงกับต้องไต่กระไดฟัง)



ปกซีดี


Kelli O'Hara ในบท Clara กับ Matthew Morrison ในบท Fabrizio ค่ะ


ยกเพลงสั้นๆ จากอัลบั้มมาให้ฟังค่ะ Love to Me โดย Matthew Morrison เพลงอื่นๆ ที่ฟังแล้วชอบมากๆ ก็อาทิ Passeggiata (นักแสดงร้องต่อบทกันได้น่ารักมาก!) Say It Somehow, The Light in the Piazza เพลงภาษาอิตาเลียนล้วนๆ อย่าง Il Mondo Era Vuoto ก็เพราะดีค่ะ

Love to Me






The day we meet,
The way you lean against the wind,
And do not know that you are beautiful,
Or that anyone is watching you,
This is what I see.

And I notice how you hunger for surprise,
And do not think that you are tall enough,
Like you're standing on a mountainside alone,
This is what I see.

Ohhh...
You're not alone.

Now I see as I have never seen before.
Since that moment in the square,
When your hat is carried in the air,
Just so you can chase it,
Just so I can be there,
This is how I know,
This is what I see,
This is love to me.

*********
ตบท้ายอีกทีว่าช่วงนี้เจ้าของบล็อกหยุดเขียนนิยายชั่วคราวนะคะ เคลียร์งานเสร็จเมื่อไรจะพยายามปั่นมาต่อให้ค่ะ ช่วงนี้ไม่ว่างจริงๆ ^^"




 

Create Date : 16 เมษายน 2549    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 18:44:23 น.
Counter : 3420 Pageviews.  

Without You - Rent

กลับมาแปะเพลงจาก Rent อีกรอบ หลังจากหาหนังมาดูจนได้ (ถึงแม้มันไม่เข้าไทยเราก็ยังมีหนทาง ฮึ่ม ขอบคุณบิททอร์เรนท์อีกที)

หนังดีค่ะ เป็นหนังสร้างจากละครเพลงที่ถือว่าสร้างได้ดีเชียวละ (ไม่เหมือนแฟนท่อม - -') ดูแล้วหวิดจะร้องไห้ไปสองรอบ แม้จะมีบางส่วนที่เหมือนว่าขาดๆ เกินๆ ไปบ้างก็ตาม แต่ถือว่าเก็บอารมณ์และธีมของเรื่องไว้ได้ดีมาก นักแสดงก็มีพลัง

Without You







MIMI
Without you, the ground thaws,
the rain falls, the grass grows.
Without you, the seeds root,
the flowers bloom, the children play.

The stars gleam, the poets dream,
the eagles fly, without you.
The earth turns, the sun burns,
but I die, without you.

Without you, the breeze warms,
the girl smiles, the cloud moves.
Without you, the tides change,
the boys run, the oceans crash.

The crowds roar, the days soar,
the babies cry, without you.
The moon glows, the river flows,
but I die, without you.

ROGER
The world revives,

MIMI
Colors renew,

BOTH
But I know blue, only blue,
lonely blue, within me blue

MIMI
Without you.

Without you the hand gropes,
the ear hears, the pulse beats.

ROGER
Without you, the eyes gaze,
the legs walks, the lungs breath.

The mind churns!

MIMI
The mind churns!

ROGER
The heart yearns!

MIMI
The heart yearns!

BOTH
The tears dry, without you.

Life goes on, but I'm gone.
'Cause I die, without you.

MIMI
Without you.

ROGER
Without you.

BOTH
Without you


แม้ไม่มีเธอ พื้นดินก็ยังหยุดเยือกแข็ง
สายฝนยังโปรยปราย ต้นหญ้ายังงอกงาม
แม้ไม่มีเธอ เมล็ดพืชยังคงหยั่งราก
ดอกไม้ยังเบ่งบาน เด็กยังเล่นกัน

ดวงดาวยังเปล่งประกาย กวียังคงฝัน
นกอินทรียังโบกบิน เมื่อไม่มีเธอ
โลกยังคงหมุน ดวงตะวันยังแผดเผา
แต่ฉันตาย เมื่อไม่มีเธอ

แม้ไม่มีเธอ สายลมยังอบอุ่น
เด็กหญิงยังยิ้มแย้ม เมฆยังเคลื่อนไหว
แม้ไม่มีเธอ กระแสน้ำยังผันแปร
เด็กชายยังวิ่ง มหาสมุทรยังซัดสาด

ผู้คนยังส่งเสียง ทิวายังฉานฉาย
ทารกยังร้องงอแง เมื่อไม่มีเธอ
ดวงจันทร์ยังส่องประกาย แม่น้ำยังไหล
แต่ฉันตาย เมื่อไม่มีเธอ

โลกฟื้นคืน สีสันเกิดขึ้นใหม่
แต่ฉันรู้จักแต่ความเศร้า เพียงความเศร้า
ความเศร้าเดียวดาย ความเศร้าภายใน
เมื่อไม่มีเธอ

แม้ไม่มีเธอ มือยังคว้าจับ
หูยังได้ยินเสียง ชีพจรยังเต้น
แม้ไม่มีเธอ สายตายังจับจ้อง
ขายังก้าวเดิน ปอดยังหายใจ

ความคิดปั่นป่วน หัวใจโหยหา
น้ำตาแห้งหาย เมื่อไม่มีเธอ
ชีวิตดำเนินต่อไป แต่ฉันจากไปแล้ว
เพราะฉันตาย เมื่อไม่มีเธอ


เพลงนี้เป็นเพลงที่วัสส์ชอบเนื้อร้องค่ะ กวีดี อยู่ในช่วงท้ายเรื่อง Rosario Dawson (Mimi) ร้องกับ Adam Pascal (Roger) เป็นเพลงแบ็กกราวน์ในฉากที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ในช่วงแยกจาก ลุ่มๆ ดอนๆ และตัวเอกคนหนึ่งของเรื่องกำลังจะจากไปด้วยโรคเอดส์ (เวลาวัสส์พูดถึงเพลงแบ็กกราวน์ ก็คือตัวละครไม่ได้มาเปิดปากร้องให้คนดูเห็นๆ แบบละครเพลง แต่ทำอย่างอื่นอยู่เหมือนเวลามีเพลงในหนังทั่วไปน่ะค่ะ)

การใช้ภาพของเรื่องมีพลังมากๆ ในฉากนี้ ทั้งในส่วนของมิมีกับโรเจอร์ ตอนที่เขาผ่านมาเห็นเธอกำลังจะใช้ยา แล้วลังเล เบือนหน้าหนีเดินจากไป และมิมีก็นิ่ง วางเข็มลง ภาพที่เธอหนาวสั่นลงแดงตามลำพัง ภาพที่คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในกลุ่มไลฟ์ ซัพพอร์ต จางหาย(แทนความตาย)ไปทีละคนๆ ภาพที่โรเจอร์อุ้มมิมีซึ่งกำลังลงแดงจนถึงที่สุดมานั่งบนโซฟา สบตากัน และกอดไว้แน่น ขณะเดียวกันเราเห็นแองเจิลอาการค่อยๆ ทรุดลงตลอดเวลา จนจบเพลงด้วยภาพคอลลินส์ร้องไห้กอดแองเจิลซึ่งสิ้นใจบนเตียงใน รพ.

เป็นหนังที่ดราม่า แต่ไม่ด๋อย (ขอยืมคำของปัน) เศร้า แต่ดูจบแล้วไม่หดหู่ Rent นำเสนอเรื่องราวของการดิ้นรน การรักร่วมเพศ เอดส์ ยาเสพติด และความตาย แต่เพื่อสื่อถึงความรัก การโอบอุ้มซึ่งกันและกัน และการมีชีิวิต

"There's only us, there's only this
Forget regret, or life is yours to miss
No other road, no other way
No day but today"




 

Create Date : 01 มีนาคม 2549    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 18:44:39 น.
Counter : 2948 Pageviews.  

"Into the Woods" ข้อคิดจากละคร (1) ความฝัน...ความจริง...จุดบรรจบ



เมื่อไม่นานมานี้เราได้ดูวีดีโอละครบรอดเวย์เรื่อง Into the woods (ต้องขอบคุณบิททอร์เรนท์ ที่ทำให้เราได้ดูอะไรที่ไม่มีขายในไทย และคงไม่มีหวังว่าจะมีใครเอาเข้ามาขาย)

เป็นละครเก่าค่ะ เรื่องนี้ โดยฝีมือการประพันธ์เพลงของ Stephen Sondheim ตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว (ปี 1987) เคยมีการนำมาเล่นใหม่ แล้วก็เลิกไปอีก น่าเสียดายค่ะ ละครดี ดีมากๆ คลาสสิค และเนื้อหาของเรื่องไม่ได้จืดจางไปตามกาลเวลาเลย

เนื้อหาของเรื่องเป็นการเอานิทานมาดัดแปลงและผูกกันเข้า รวมถึงใส่เนื้อหาเพิ่มเข้าไป ซินเดอเรลลา ราพันเซล แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ หนูน้อยหมวกแดง ถูกจับมาตีความใหม่ สานเรื่องเข้าหากันและเสริมต่อ เรื่องราวซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแฮปปี้เอนดิ้งไม่ได้จบลงแค่นั้น

ตัวเอกของเรื่องคือคนทำขนมปังที่ตระกูลถูกแม่มดสาปไม่ให้มีลูก เขาต้องออกค้นหาของสี่อย่างเพื่อแก้ไขคำสาปนั้น วัวสีขาวเหมือนน้ำนม เสื้อคลุมสีแดงเหมือนเลือด ผมสีเหลืองเหมือนข้าวโพด และรองเท้าบริสุทธิ์เหมือนทองคำ ระหว่างการเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ เหตุการณ์อะไรหลายอย่างได้เกิดขึ้นและเปลี่ยนชีวิตของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องไปตลอดกาล เหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าจะมองย้อนไป มีผลมาจากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคน

ต่างจากเรื่องล้อเลียนหลายๆ เรื่องที่เน้นที่ตลกขบขัน หรือเสียดสี Into the woods เป็นละครที่ร่ำรวยอารมณ์ขันและแง่คิด ดูแล้วเหมือนอ่านหนังสือดีๆ จบสักเล่ม ได้รอยยิ้ม ทำให้ความคิดงอกงาม และทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต เป็นเรื่องที่เรียลลิสติก แต่ไม่ฆ่าความฝัน

คอนเซปต์หลักของเรื่องก็คือ "เข้าไปในป่า" ตรงตามชื่อเรื่อง

ป่า...สำหรับคุณคืออะไร?

นอกจากป่าในเรื่องจะเป็นรูปธรรมในส่วนที่ทำให้เรื่องดำเนินไปตามนิทาน ป่ายังมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ ข้อแรก ในนิทานต่างๆ ตัวละครจะออกไปไล่ตามความฝัน ออกไปทำเควสต์ เข้าป่าเพื่อออกเดินทางไปผจญภัย

ป่าคือที่ลึกลับที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ อาจมีอันตราย...

...หรืออาจเป็นที่ที่ความฝันกับความจริงเหลื่อมเข้าซ้อนทับกัน...

บางครั้งคนเราก็ก้าวมาพบกับรอยต่อของความจริงและความฝันในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ที่กลาง "ป่า" ความจริงและความฝันซึ่งปกติไม่เคยมาบรรจบกัน และเพลงหนึ่งในเรื่องนี้ให้ข้อคิดได้อย่างดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยละค่ะ

ขอถอดส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง "Moments in the woods" นี้เป็นภาษาไทยนะคะ

"...เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง
ชั่วขณะอัศจรรย์อึดใจหนึ่งซึ่งกำลังผ่านไป
ทั้งหมดต้องเป็นมาก หรือน้อย เพียงอย่างเดียวด้วยหรือ?
เฉพาะเรียบง่ายหรืออลังการยิ่งใหญ่?
ต้องเป็น "หรือ" เสมอเลยหรือ?
จะไม่มีทางเป็น "และ" บ้างหรือไร?
นั่นแหละ เหตุผลที่ป่านั้นดำรงไว้
เพื่อให้มีชั่วขณะในป่านั้น

โอ ถ้าเพียงชีวิตประกอบขึ้นด้วยชั่วขณะต่างๆ
แม้จะมีชั่วขณะร้ายๆ เป็นครั้งคราว!
แต่ถ้าชีวิตนั้นเป็นเพียงชั่วขณะอันประกอบกันขึ้น
เธอจะไม่มีทางรู้เลยว่าเธอเคยมีมัน...

...ปล่อยชั่วขณะนั้นไป
แต่อย่าลืมมันแม้เพียงชั่วขณะเดียว
เพียงจำไว้ว่าเธอเคยมี "และ" มาแล้ว
เมื่อเธอกลับไปพบกับ "หรือ" อีกครั้ง
ทำ "หรือ" ให้มีความหมายมากขึ้นไปอีก
กว่าที่มันเคยเป็นมา..."

ทำให้เราคิดนะคะ ว่าจริงทีเดียว บางครั้ง...เรามีช่วงขณะพิเศษในชีวิต ที่ "ฝันกลายเป็นจริง" แต่...บางครั้งความฝันก็ไม่อาจอยู่ได้นานเกินกว่านั้น เราจำต้องเลือกเอาความจริง หรือทำให้ฝันกลายเป็นความจริงอย่างใหม่ และสละ "ความจริง" เดิมทิ้งไป

ไม่ว่าทางไหน ก็ต้องเสียอะไรบางอย่างทั้งนั้น

ไม่ว่าเป็นทางไหน คนเรามักโหยหาสิ่งที่เสียไป และตัดพ้อไม่พอใจกับสิ่งที่เหลืออยู่ มองไม่เห็นคุณค่าของมัน

ทำไมเราไม่คิดว่า อย่างน้อยเรายังมีชั่วขณะหนึ่งนั้นในชีวิตที่เราได้มีทั้งสองอย่าง และสิ่งที่เรามีหลังจากนั้น คือส่ิงที่เราได้เลือกแล้ว มันคือสิ่งที่มีความหมายสำหรับเรา และเราต้องทำมันให้มีความหมายสมกับที่เราได้เลือก

"ไม่มีใครใช้ชีวิตอยู่ได้ในป่า" ท่อนหนึ่งของเพลงบอกอย่างนี้ มนตร์วิเศษในนิทานมักสลายไปเมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่ง การประวิงอยู่กับมันเป็นเรื่องอันตราย

แต่จดจำมนตร์วิเศษนั้นเอาไว้ รับรู้ถึงความโชคดีที่เราได้พบกับมัน และตระหนักในค่าของความจริงที่เราได้เลือกแล้ว

นั่นแหละค่ะ...คือมนตร์วิเศษที่แท้จริง

แต่เรายังไปไม่ถึงแก่นหลักของเรื่องเลยละค่ะ นี่ไม่ใช่เพลงที่วัสส์ประทับใจที่สุดในเรื่องด้วยซ้ำ ไว้คราวหน้าจะมาเขียนต่อเกี่ยวกับละครเรื่องนี้ ตอนนี้เจ้าของบล็อกต้องกลับไปทำงานแล้ว ^^" แล้วจะมาพาเดินทางกลางป่ากันต่อไปในบล็อกหน้านะคะ ถ้ายังมีคนอ่าน (ฮา)

ไว้คุยกันคราวหน้าค่ะ

*********

ปล. ท้ายบล็อก ข้อความถึงคุณสาวไกด์ฯ ค่ะ ขอบคุณที่อ่านหนังสือแล้วเข้ามาคุยกัน เข้าไปอ่านรีวิวมาแล้วค่ะ และถ้าจะทำลิงค์บล็อก ตามสบายเลยค่ะ ขอบคุณมากๆ ^^

สำหรับแซซที่เล่ม 1 โตกว่าเล่ม 2 นั้นคงใช่ วัสส์มองว่าเขาผ่านอะไรหลายอย่างมาในช่วงเวลาระหว่างรอยต่อของหนังสือ เติบโตและก้าวมาอยู่ในสถานะที่ต่างจากเดิม สิ่งที่ต้องรับผิดชอบมีมากขึ้น แต่หลายอย่างก็คงยังเป็นแบบแซซๆ น่ะค่ะ เพียงแต่เป็นแซซที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่ผ่านไป

ส่วนความรักในเรื่อง อืม...คงเพราะวัสส์อยากให้เรื่องนี้เป็น "ฝัน" ละมังคะ เพราะเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนนิยายอื่นซึ่งเนื้อหาแสนจะหนักและขมปี๋สามเรื่องติดกัน เลยอยากเขียนอะไรที่ใสและสวยงามแบบเด็กๆ บ้างน่ะค่ะ

ปล. 2 คุณ SnowPatrol ถ้าแวะเข้ามา ขอโทษด้วยค่ะที่ไม่ได้เข้าไปตอบเรื่องรูป มัวยุ่งๆ เพิ่งเข้ามาเห็นก็มีคนไปตอบเรียบร้อยแล้ว ^^" ขอโทษจริงๆ นะคะ

ปล. 3 ต้องไปปั่นงานจริงๆ แล้วค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ทัน - -' ไปละค่ะ แว้บ




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2548    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 18:45:15 น.
Counter : 4479 Pageviews.  

Love Changes Everything

ไม่ได้มาแปะเพลงซะนาน วันนี้แปะเพลงของ Andrew Lloyd Webber อีกแล้วค่ะ

Love Changes Everything เป็นเพลงจากละครเรื่อง Aspects of Love จริงๆ ในละครเป็นเพลงผู้ชายร้อง แต่ที่แปะอันนี้เป็นอันที่ Sarah Brightman เอามาร้องในอัลบั้มล่าสุดของเธอค่ะ (อัลบั้มชื่อเดียวกับเพลง อัลบั้มนี้เพราะนะคะ แนะนำๆ)

Love Changes Everything







Love, love changes everything: hands and faces, earth and sky.
Love, love changes everything: how you live and how you die.
Love can make the summer fly, or a night seem like a lifetime.
Yes, love, love changes everything, now I tremble at your name.
Nothing in the world will ever be the same.

Love, love changes everything: days are longer, words mean more.
Love, love changes everything: pain is deeper than before.
Love will turn your world around, and that world will last forever.
Yes, love, love changes everything, brings you glory, brings you shame.
Nothing in the world will ever be the same.

Off into the world we go, planning futures, shaping years.
Love bursts in and suddenly all our wisdom disappears.
Love makes fools of everyone: all the rules we make are broken.
Yes, love, love changes everyone: live or perish, in its flame.
Love will never ever let you be the same.
Love will never ever let you be the same.




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 18:45:32 น.
Counter : 2892 Pageviews.  

Seasons of Love - Rent

แปะเพลงจากละครเรื่อง Rent ค่ะ เป็นละครเพลงที่ดังมากๆ บนบรอดเวย์ในยุคสัก...สิบปีที่แล้วมั้ง

ตอนนี้ละครเรื่องนี้ถูกเอามาทำเป็นหนังแล้วค่ะ ใช้คาสต์เดิมที่เล่นละครเวทีฉบับ Original เกือบทั้งชุด (แปลกใจจริงๆ ว่าสิบปีผ่านมาจะลดวัยกันยังไง หรือจะใช้แปลงบทเอา) แต่ก็มีที่เป็นคาสต์ใหม่บ้างอย่างโรซาริโอ ดอว์สันค่ะ


โปสเตอร์หนัง



โรซาริโอ ดอว์สันกับอดัม ปาสคาลในบทมิมีกับโรเจอร์


หนังเรื่องนี้จะเข้าอเมริกาปลายปีนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เข้าไทยหรือเปล่านะ

อุ๊บ มัวพล่ามเรื่องหนัง เพลงนี้มาจากอัลบั้ม Original Broadway Cast ค่ะ เพลง Seasons of Love








Seasons of Love

COMPANY
Five hundred twenty-five thousand
Six hundred minutes
Five hundred twenty-five thousand
Moments so dear
Five hundred twenty-five thousand
Six hundred minutes
How do you measure - measure a year?
In daylights - In sunsets
In midnights - In cups of coffee
In inches - In miles
In laughter - In strife

In - five hundred twenty-five thousand
Six hundred minutes
How do you measure
A year in the life

How about love?
How about love?
How about love?
Measure in love

Seasons of love
Seasons of love

SOLOIST #1
Five hundred twenty-five thousand
Six hundred minutes
Five hundred twenty-five thousand
Journeys to plan

Five hundred twenty-five thousand
Six hundred minutes
How do you measure the life
Of a woman or a man?

SOLOIST #2
In truths that she learned
Or in times that he cried
In bridges he burned
Or the way that she died

ALL
It's time now - to sing out
Tho' the story never ends
Let's celebrate
Remember a year in the life of friends

Remember the love
Remember the love
Remember the love
Measure in love

SOLOIST #1
Measure, measure your life in love

ALL
Seasons of love...
Seasons of love

ท้ายบล็อกนี้ขอบ่นหน่อย คงต้องออกตัวว่าจริงๆ แล้วเจ้าของบล็อกนี้ไม่ค่อยชอบ Rent เท่าไร ^^" แต่ความที่เป็นแฟนนักร้องที่เล่นละครเรื่องนี้ก็เลยไปขวนขวายหามาฟัง และคงไม่สนใจหนังเลยอีกนั่นแหละถ้าไม่ใช่ใช้ cast เดิมเล่น

เพิ่งได้อัลบั้มซาวน์แทรคหนังมาและฟังไปแล้ว ดนตรี+การเรียบเรียงเต็มหูขึ้นมาก และเพราะขึ้น โดยภาพรวมทำให้เราชอบมากกว่าฉบับละครเวที (ซึ่งบางเพลงทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวละครมาบ่นๆ) แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสียงของ Adam Pascal - -" เขาพยายามทำเสียงให้มันเหมือนผู้ป่วยโรคเอดส์รึเปล่าน่ะ หรือเพราะมันเป็นหนังเลยตะโกนไม่ได้แบบบนเวที/อัลบั้มธรรมดา หรืออะไรกันแน่ เสียงพี่แกฟังไม่แน่น ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ประทับใจเหมือนที่เคยเป็นเลย บางเพลงฟังเหนื่อยๆ แห้งๆ เหมือนคนหลงทางในทะเลทรายมาเจ็ดวันชอบกล จะว่าเสียงตกก็ไม่น่าใช่ เพราะอัลบั้มเดี่ยวที่ออกมาเมื่อตอนกลางปีก็เพราะอะ ทำให้เราเซ็งๆ คือมันไม่ได้เลวร้ายอะนะ แต่ไม่อยู่ในมาตรฐานที่เคยเป็นเท่านั้น (หรือบางทีอาจเป็นการตีความบทและบางเพลงที่ว่ามันสมควรจะแหบแห้งตามบทจริงๆ เราก็ไม่รู้ถ้าไม่ได้ดูหนัง)

ในทางตรงข้าม Anthony Rapp ฟังดูดีกว่าที่เคยฟังแฮะ แต่ละเพลงที่พี่แกร้องในอัลบั้มนี้ดีกว่าเดิมทั้งนั้น เราฟัง Tango: Maureen แล้วชอบการเล่นน้ำเสียงในนั้นมาก มันโคตรฮา ถึงแม้เราจะไม่เคยติดใจเนื้อเสียงเขาเลยเหมือนกัน

(ยังไงก็ตาม เราชอบ What You Own ที่สองคนนี้ duet ด้วยกันในฉบับนี้นะ มันเจ๋งกว่าของเดิมเยอะเลย โดยเฉพาะดนตรี)

จบการบ่น ^^"




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 18:45:48 น.
Counter : 3272 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

วัสส์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






ฝากนิยายแปลเล่มล่าสุดด้วยนะคะ Dexter Is Delicious ออกกับแพรวสำนักพิมพ์ค่ะ


Friends' blogs
[Add วัสส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.