Maybe I'm just a fool
I should keep to the ground,
I should stay where I'm at
Maybe everyone has hunger like this and the hunger will pass
But I can't think like that
: Flight - Craig Carnelia
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 

ภาษาก็คือเครื่องมือสื่อสาร (น่ะแหละ)

ก่อนอื่นคงต้องบอกว่า ที่เราเขียนบล็อกนี้มาเพราะอยากมาแชร์ประสบการณ์และข้อสังเกตส่วนตัวในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบสบายๆ เพราะเห็นคนรอบตัวหลายคนที่อยากภาษาดีขึ้น แต่ไม่รู้จะทำยังไง แล้วก็ล้มเหลวกับการเรียนตามระบบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอออกตัวว่า จขบ. ไม่ได้มีภูมิรู้ที่จะไปสอนภาษาใครได้ เพราะที่ผ่านมาเป็นแบบ รู้เองใช้เอง - อธิบายกฎเกณฑ์ไม่ได้ (หรือได้ก็ไม่มากนัก) เรียนจบมาก็สายวิทย์ จุดประสงค์ของบล็อกนี้จึงไม่ใช่การสอนภาษาอังกฤษใคร แต่เป็นการเล่าสู่กันฟัง ว่าเราทำยังไงให้ภาษาใช้การได้ (โดยไม่ได้มีความคิดที่จะฝึกภาษาแบบจริงจังด้วยซ้ำ) และพูดถึงข้อสังเกตที่เห็นจากคนรอบตัว ส่วนใครจะลองปรับใช้บ้างก็ไม่ว่ากัน

และสิ่งที่พูดมาเป็นความคิดเห็นของ จขบ. ล้วนๆ อาจจะถูกหรือผิดก็ว่ากันไป ส่วนตรงไหนยกของคนอื่นว่าไว้มาจะบอกค่ะ

บล็อกแรกขอพูดถึงภาษาอังกฤษกับคนไทยโดยทั่วไปก่อน

จขบ. เห็นว่าการเรียนภาษาอังกฤษของไทย คล้ายๆ จะขาดสมดุลแบบแปลกๆ คือจริงๆ คนไทยไวยากรณ์ดีมาก รู้ศัพท์อันสูงส่งและวิลิศมาหราเป็นอันมาก แต่เอาไปผูกประโยคไม่ยักได้ หรือผูกแล้วก็ดูแหม่งๆ ซึ่งก็แปลก แต่จริง - -"

ฉะนั้นคนไทยคงจะขาดอะไรไปบางอย่าง ซึ่งทำให้ใช้ภาษาไม่ได้ ไม่กล้าใช้ หรือใช้แล้วผิดพลาดตลอด จขบ. จะลองไล่ไปทีละประเด็นตามความคิด

1. ทัศนคติ

เรื่องนี้พูดไปก็คล้ายแผ่นเสียงตกร่อง ซ้ำๆ กับที่ชาวบ้านเขาพูดมาก่อน คือประเด็นที่ว่าทำไมคนไทยพูดไม่ได้เท่าชาติอื่นเขา ทั้งที่ดูเหมือนพื้นความรู้ทางภาษาจะดีกว่า (และเราก็คิดว่าดีกว่าจริงๆ เมื่อดูจากผลสอบวัดระดับ และประสบการณ์การเรียนกับเพื่อนนานาชาติในต่างประเทศ)

เราคิดว่าเพราะคนไทยขาดความคิดที่ว่า ภาษาใดๆ ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือสื่อสาร ไม่ว่าจะอังกฤษหรือไทยก็ไม่ต่างกัน แต่ดันไปมองภาษาอังกฤษเป็นไอเท็มศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าวิชาซะนี่ และระบบการเรียนของไทยก็เป็นแบบบังคับกรอกปาก (ท่องซะๆๆ ตามตำรานี้ ศัพท์ ไวยากรณ์ ศัพท์ ไวยากรณ์ แล้วก็ออกข้อสอบแบบให้กาว่า ไวยากรณ์ข้อไหนผิด)

ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นยาขมที่คนไทยถูกบังคับให้กลืนจนเข็ดในรสชาติและลืมไปว่าภาษามันก็เป็นแค่เครื่องมือสื่อสาร สิ่งที่สำคัญในการสื่อสารมันคือสารต่างหาก ไม่ใช่วิธีสื่อ จะสื่อแบบไหน ถ้าสื่อกันได้รู้เรื่องก็ถือว่าบรรลุผล และจริงๆ รสของสารจะหวานหรือจะขม ก็อยู่ที่สารเอง

แต่สำหรับหลายคน ตัวสื่อมันขมไปเรียบร้อยแล้ว - -" รสขมเลยไปติดที่สารด้วย

อาการของคนไทยต่อยาขมที่ว่า เท่าที่สังเกตมามักมีดังนี้

- เห็นฝรั่งแล้วหวาดกลัว
- เห็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษติดเป็นพรืดแล้วมึนตึ้บ / กลัว / อยากขว้างทิ้ง / ไม่อยากสนใจแล้ว ขอภาษาไทยแทนที ใครแปลให้หน่อยเร็ว

อาการเห็นฝรั่งแล้วหวาดกลัว คงเพราะการมองภาษาเป็นไอเท็มศักดิ์สิทธิ์ที่ใครมีไว้ก็โฮลี่นั่นเอง ดังนั้น ไอเท็มนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องควักออกมาแสดงภูมิอวดกัน ถ้าใช้ผิดก็กลัวว่าชาวบ้านจะหัวเราะใส่ ฉะนั้นพอเห็นฝรั่งเดินสวนมาแต่ไกล ทำท่าจะถามทางก็ข้ามถนนหนีโลดเพื่อรักษาหน้า

ความจริงคือ ฝรั่งนั่นพลัดบ้านพลัดเมืองมา แผนที่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง (ผังเมือง กทม. เราคนไทยดูเองยังมึน) หาคนบอกทางให้ได้ก็ดีใจตายแล้ว ส่วนจะพูดภาษาอังกฤษผิดถูกไปบ้าง ฝรั่งไม่สนใจหรอก ขอให้พาตูไปถึงจุดหมายได้ถูกเตอะ หรือถึงแม้บอกทางกันไม่ถูกจริงๆ ก็ยังใจชื้นว่ามีคนอยากช่วย

มิหนำซ้ำ บางทีฝรั่งเองนั่นแหละภาษาอังกฤษแย่กว่าเราอีก เพราะเห็นหน้าขาวๆ มาแต่ไม่ใช่เนทีฟสปีคเกอร์ ภาษาพ่อแม่เป็นเยอรมันบ้าง สเปนบ้าง ฯลฯ บางคนไวยากรณ์ง่อยสนิท ฉะนั้น อย่ากลัว ขอให้เห็นหัวอกฝรั่ง ลองนึกถึงตัวเองไปหลงทางในต่างประเทศบ้าง คงไม่มานั่งจับผิดไวยากรณ์ใครอยู่แน่ๆ ใช่ไหมคะ

ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าไวยากรณ์ไม่สำคัญ (สำคัญแน่นอนถ้าจะเรียนไปเขียนเปเปอร์วิชาการ) แต่ว่าขอให้ดูกาละและเทศะเป็นหลักแล้วคิดว่าเรารู้ภาษาไว้เพื่อสื่อสารกับคนอื่นในโลกใบนี้ค่ะ อื่นๆ เป็นเรื่องรอง แล้วจะได้ไม่ต้องแบกความกลัวไว้ตลอดเวลา

ส่วนเรื่องเห็นตัวหนังสือติดกันเป็นพรืดแล้วกลัว อันนี้เป็นเรื่องทางจิตวิทยา อันเนื่องมาจากการถูกจับกรอกปากด้วยยาขมข้างต้น เหมือนคนเคยจมน้ำแล้วกลัวน้ำ อะไรแบบนั้น ถ้าเห็นแล้วจะถอยหนีโดยอัตโนมัติ...

อันนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากค่อยๆ ปรับตัว จริงๆ แล้ว จขบ. มีเพื่อนที่ไปอยู่นอกแล้วอาการนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะหนีน้ำไม่ได้แล้ว พออยู่ๆ ไปก็ไม่เห็นจมอย่างที่คิด เลยพบว่าตัวน้ำเองมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร

ส่วนคนอยู่ไทย คิดว่าน่าจะแก้ได้ด้วยการหาอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษแต่สนุกสนานมาทำเพื่อบาลานซ์กับรสขม เป็นต้นว่าอ่านนิยายที่ชอบ หรือฟังเพลงที่ชอบ หรือดูหนังที่ชอบ อะไรก็ได้ อย่าพยายามไปอ่านอะไรที่ไม่ชอบเพื่อฝึกภาษา (จขบ. ลองมาแล้วค่ะ สติวเดนท์วีคลี่สมัยเรียนมัธยม วินาศสันตะโรเลยเชียว - -')

******

อ๊าก พล่ามมายาวมากแล้ว ไปไม่พ้นเรื่องทัศนคติ ขอตัดจบก่อนค่ะ แล้วค่อยมาต่อตอนสองเรื่องการใช้ภาษากับบริบทวันหลังนะคะ




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2551
0 comments
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 1:48:55 น.
Counter : 1351 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วัสส์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






ฝากนิยายแปลเล่มล่าสุดด้วยนะคะ Dexter Is Delicious ออกกับแพรวสำนักพิมพ์ค่ะ


Friends' blogs
[Add วัสส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.