just can't {imagine} our ends
Group Blog
 
All blogs
 

Turn Passion into Reality ที่ TCDC กับเจ้าของร้านหนังสือมาเอง

เธอทำให้ร้านหนังสือที่ NOTTING HILL เป็นที่รู้จัก
จากเริ่มแรก มันเป็นทำเลร้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่


เจ้าของร้านหนังสือ travel bookshop



ร้านหนังสือท่องเที่ยวในฝันของคนรักการเดินทาง



(จากหนังเรื่อง Notting Hill ปี 1999 รู้สึกว่าได้ดูหนังเรื่องนี้เมื่อไม่นานเองนะ แต่พอเห็นปีแล้ว เอ๊ะ 7 ปีเข้าไปแล้วเหรอเนี่ย)
มาคุยให้ฟังที่ TCDC ชั้น 6 เอมโพเรียม เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

ได้ไปฟังซาร่าห์ แอนเดอร์สัน เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอในช่วงก่อนทำร้านหนังสือมาค่ะ

ไม่อยากจะบอกเลยว่า ไปเหยียบเอมโพเรี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิต ทุกทีไม่ค่อยมีเหตุให้ไปแถวนั้นซักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เอาเข้าจริงๆ ก็รู้สึกเฉยๆ เป็นงงตัวเองเหมือนกัน ส่วนหนึ่งคงเพราะไปกับเพื่อนล่ะมั้ง เลยไม่ออกอาการเท่าไหร่


เห็นบรรยากาศ TCDC แล้วอยากเข้าไปใช้งานบ่อยๆเหลือเกิน เสียดายที่ไม่มีรูปส่วนห้องสมุดมาฝาก



รูปแบบของงาน เหมือนให้เธอเป็นคนเล่าให้ฟังเลย (ยังกะ lecture แน่ะ ดีที่มันไม่ได้วิชาการและเธอเล่าสนุกดี ไม่งั้นคงมีคนหลับ) นานๆได้เปลี่ยน mode ภาษาซักทีก็ดีเหมือนกัน เพราะเขาพูดอังกฤษสำเนียงอังกฤษ แล้วก็ไม่มีล่ามแต่อย่างใด มีเฉพาะตอนกล่าวแนะนำ และช่วงถามคำถามในตอนท้าย แหะๆ แต่ต้องตั้งใจฟังนะ ถึงจะรู้เรื่อง




โฉมหน้าของคุณ Sarah Anderson ค่ะ


ก่อนที่จะทำร้านหนังสือ เธอน่ะเป็นนักท่องเที่ยวตัวยงทีเดียว เที่ยวครั้งแรกก็คือ ไปอเมริกาตอนจบ high school ค่ะ


ฟังแล้วก็ดีค่ะ ได้แรงฮึดมาเพียบเลย ที่แอบแฟบไปบ้างก็มีแต่ก็เป็นส่วนน้อย
เฮ้อ ทำไมเราไม่มีตังเที่ยวแบบเธอบ้างนะ
ที่เธอเน้นนักหนา ก็คือ JUST DO IT เนี่ยล่ะค่ะ
คิดจะทำอะไร อย่าปล่อยให้มันผ่านไป ต้องลงมือทำทันที ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น
ถ้ารอไว้มีตังพอจะทำ อย่างอื่นมันก็ไม่พร้อมอยู่ดี ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ แต่ขอให้ทำ

โชคดี เป็นคำที่เธอพูดถึงบ่อยเหมือนกัน เธอโชคดีที่มีคนเก่งแนะนำในด้านที่เธอยังพร่องอยู่ อาทิ มีญาติและเพื่อนเป็นนักสะสมหนังสือดี แนะนำแหล่งหนังสือมือสองให้
ความสำเร็จของเธอ จึงต้องขอบคุณพวกเขาเหล่านั้น

เส้นทางที่เธอเลือกเดินไปคนเดียวนั้นไม่เคยหงอยเหงา เพราะเธอมีเพื่อนร่วมทางที่แสนดี

แต่ฟังที่เธอเล่าว่า คุณจะไม่มีโอกาสหรือเวลาอ่านหนังสือมากมายอย่างที่คิดหรอกนะ เพราะเธอเล่นทำทุกอย่างในร้านเองหมดค่ะ ... ก็พอจะเข้าใจค่ะ


แต่ในที่สุด เธอขายร้านไปแล้วเมื่อปี 2004 ค่ะ น่าเสียดายจัง เธอพูดไว้ว่า
“ I love my bookshop but I want more freedom.”

เธอมีโอกาสไปเที่ยวมาแทบจะค่อนโลกเข้าไปแล้ว (แสนจะอิจฉาจริงๆ) และได้มีโอกาสเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับการเดินทางของเธอใน times (รึเปล่าถ้าฟังไม่ผิด) จึงไม่สามารถทำร้านเองต่อได้ (เธอไม่ได้จบมหาวิทยาลัยนะคะ ---มันก็จริงที่ว่า ความสำเร็จของคนไม่ได้วัดกันที่ปริญญา)

ตอนช่วงคำถาม สังเกตได้ว่า ไม่ค่อยมีคนไทยถามเลย ยกเว้น คุณผู้หญิงคนหนึ่ง(ไม่แปลกใจเพราะเธอทำงาน Mtv) ถามซาราห์ว่า ที่ไหนที่เธอรู้สึกประทับใจมากที่สุดที่เคยไปเที่ยวมา

ซาราห์ตอบดีมากค่ะว่า เธอเคยเขียนถึงเรื่องนี้ในคอลัมน์ของเธอ ว่าเธอไม่จำเป็นและไม่ต้องการจะบอกให้คนอื่นรู้ บางทีคนเราก็ต้องมีความลับกันบ้าง และเราเองก็คิดว่าเป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าที่ไหนเป็นที่สุดประทับใจ เพราะมันไม่ใช่แค่สถานที่งดงามเพียงอย่างเดียว มันคงเป็นเหตุการณ์ที่ได้ประสบมา และอื่นๆอีกมากมาย




การมีกิจการส่วนตัวในสิ่งที่เรารัก อย่าไปแสวงผลกำไรจากมัน ไม่งั้นคุณก็จะไม่มีความสุข เพราะกำไรที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินค่ะ


ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีกำลังพอจะทำแบบนั้นได้มั่ง
อ้าว ไหนเค้าว่าอย่ามัวรอไง
แต่มันไม่มีตังเลยนี่หว่า
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี่เศร้าหนอ


ป.ล. เธอบอกว่า Julia ซื้อหนังสือที่ร้านเธอด้วย แต่ Huge Grant ไม่ค่ะ และเวลามีคนมาขอลายเซ็นเธอ เธอก็เซ็นให้เป็นชื่อของ grant ค่ะ (เป็นมุขของเธอ เพราะว่าเขาเล่นเป็นเจ้าของร้านหนังสือน่ะเอง)





เข้าไปดูรายละเอียดของ TCDC จากบล็อคคุณ grappa ที่นี่ค่ะ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=a-wild-sheep-chase&group=1&month=12-2005&date=05&blog=1


ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เจอกัน
ต้องขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ grappa ด้วยค่ะ







ปิดท้ายด้วยห้องจัดงานในครั้งนี้จ้า ตอนพักครึ่ง สีสันน่ากินจริงๆ




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2549 1:36:22 น.
Counter : 995 Pageviews.  

“โตเกียวไม่มีขา” ขอบคุณขาและโชคชะตาชักนำให้เราได้พบกัน

“โตเกียวไม่มีขา”
ของ "นิ้วกลม"







...รักร้าน B2S จังเลย


เหตุเกิดเมื่อวานนี้เอง

ตอนเย็นๆ พี่น้องคู่หนึ่งตัดสินใจมาดูหนัง แต่มีคนแปลกแยกคนหนึ่งขอออกมากับเขาด้วย

แต่แยกไปเดินเล่น (เพราะว่า ดันเข้าไปอ่านกระทู้ในพันทิป ที่เค้าอุตส่าห์เน้นว่ามันสปอยล์นะ แล้วเรื่องที่อ่านน่ะ SAW II เหอๆ เจอฆาตกรตั้งแต่ยังไม่ได้ดูแบบนี้ ก็สมน้ำหน้าตัวเอง ก็คงไม่ได้ดูในโรงหรอก เพราะรู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้าคล้ายๆกับที่เพื่อนใจร้ายมาสปอยล์ SIXTH SENSE กับ THE other(มี s ไหมไม่รู้ ขี้เกียจหา) แต่ครั้งนี้ เราหาเรื่องเอง


หลังจากซื้อ เอ่อ หลังจากได้สิ่งที่ต้องการ แล้วเดินไปตรงเคาท์เตอร์และเห็นแถวที่มีคนต้องการเสียเงินเหมือนๆเรา ทำไมคนมันเยอะแบบนี้ งั้นไปเดินดูหนังสือก่อนดีกว่า


หลังจากนั้น เธอก็เข้าสู่ภวังค์ส่วนบุคคล ไปกับโลกแห่งหนังสือ ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของแต่หยิบจับมาอ่านได้ทุกเล่ม เริ่มจากตรงไหนดีหว่า ละลานตาไปหมดแล้ว


สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจฝากเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งไว้ที่นี่ จากการที่เธอได้เห็นผู้คนเป็นสิบนั่งอยู่บนที่นั่งอ่านหนังสือที่จัดให้ และมีกระจัดกระจายกันลงมานั่งกับพื้น ตามซอกหลืบระหว่างชั้นหนังสือทุกๆแถว

เอาล่ะ ไม่ต้องไประเหเร่ร่อนแล้วเรา ว่าแล้วความสนุกสนานในการเลือกหนังสือมาเปิดอ่านก็เริ่มต้นขึ้น

ใช่ ฉันไม่ได้เจอกับหนังสือเล่มนั้นเป็นเล่มแรกหรอก
แต่ ฉันเจอเล่มนั้น แล้วหยุดความอยากอ่านไว้ไม่ได้
แค่อ่านคำนำ ก็ต้องซื้อแล้ว(จริงๆนะ บอกกับตัวเองไว้อย่างนั้น)
พอได้เริ่มอ่าน ก็หยุดตัวเองไม่ได้ มันต้องการเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
เหลือบดูเวลาอีกที ใกล้เวลาหนังจบแล้วแฮะ
เพิ่งอ่านถึงหน้า 192 เอง (เพิ่งผ่านครึ่งเล่มมานิดเดียว)


เสียดาย แต่ก็ระงับความอยากเป็นเจ้าของหนังสือเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่มีตังค์
แต่อยู่ในรายชื่อที่ต้องมีไว้ครอบครองแน่นอน


นอกจากจะเป็นหนังสือแนะนำการเตรียมการก่อนไปท่องเที่ยวแล้ว ยังมีความสนุกสนานปนความสดใหม่ ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ในรูปแบบการเดินทางที่น่าตื่นใจมิใช่น้อย


เท่าที่อ่านๆมา ประมาณครึ่งเล่ม ประทับใจ ตอนคุณจุงโกะมากมาย
“เค้าเป็นญาติฝ่ายไหนของเราเหรอ”


สิ่งที่มีสีสัน รอให้พบเจอตลอดทาง
ระหว่างทาง มันทำให้จุดมุ่งหมายดูสูงส่งและน่าพิชิต
อย่าลืม เหลียวมองสองข้างทางบ้าง สูดการค้นหาให้เต็มปอด


พร้อมจะออกเดินทางกันหรือยัง





ก็ได้มีโอกาสเปิดดู “กัมพูชาพริบตาเดียว” ของคนเขียนคนเดียวกัน
มันขัดมืออยู่อย่างนึง ความหนาของหนังสือกับความกว้างของแต่ละแผ่น เวลาจะเปิดพลิกแต่ละหน้า มันยากเหลือเกินที่จะไม่ทำให้หนังสือม้วนงอ ทั้งๆที่มองภายนอกแล้วเป็นขนาดรูปเล่มที่เหมาะมือกะทัดรัดดี

ได้พลิกๆดู “กล่องไปรษณีย์สีแดง” ด้วย เป็นฉบับปรับปรุงใหม่ เราว่า ก็น่าจะมีทั้งสองแบบให้คนได้เลือกซื้อนะ แบบใหม่ใช่ว่าไม่น่ารัก แต่เราก็ชอบฉบับดั้งเดิม (ที่เคยจิ๊กเพื่อนอ่านน่ะ)

แล้วอันนี้ ก็เปิดดูเพราะอยากกินขนม “10 best ...” ก็มีตั้งแต่ Brownie ,Chocolate cake เห็นเขาทำแล้วก็ดูไม่ยากเอาซะเลย เป็นตำราทำขนมเล่มเล็กสีสวยน่ารักที่ยั่วน้ำลายมากกกกกกกก


//www.praphansarn.com/new/c_talk/detail.asp?id=170
บทสัมภาษณ์ “นิ้วกลม” ผู้เขียน “โตเกียวไม่มีขา”



//www.daypoets.com/abook/index.html
หนังสือเล่มอื่นๆ ของ a book

อยากอ่านงานของ “วชิรา” มาก แต่ก็ไปๆ มาๆ ได้แต่ไต่ตอม แล้วก็บินโฉบผ่านไป


ถ้ามีตังค์นะ ตังค์ก็คงไม่เหลือแน่เลย

เพราะฉะนั้น ในสภาวะไม่มีตังค์ ร้านหนังสือที่ใจดีให้ยืนอ่าน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากห้องสมุดที่เราจะได้อ่านงานใหม่ๆ ดีๆ น่าสนใจไม่ล่าเกินไปนัก

ตอนนี้ หนังคงใกล้จบ เธอคงต้องกลับเสียที

ตอนที่ถือของไปเตรียมจ่ายเงิน คิวที่รอก็ยังยาวเหมือนเดิม แต่พอเข้าไปอยู่ในแถว ไม่ถึงสองนาที เราก็ได้เสียตังค์
(เธอตั้งใจจะไปดูหนังสืออยู่แล้วใช่ไหมเนี่ย ทำมาเป็นอ้างว่าคนรอจ่ายเงินกันเยอะ)





 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2548 10:48:35 น.
Counter : 1209 Pageviews.  

โลกของหนูแหวน * หนูแหวนกับโลก

เมื่อวานได้มีโอกาสรื้อค้นหนังสือเก่าๆ ที่บ้านขึ้นมาอ่าน เห็นน่าสนใจก็เลยติดมือมาเอกเขนกอ่าน เล่มแรก “นิทราชาคริต” เอ่อ ไม่อยากบอกเลยว่า อ่านยามบ่ายเมื่อวานไปได้หน่อย ก็รู้สึกลมพัดเข้าตา เกิดระคายเคืองนัยน์ตา จนต้องพักสายตาไปวูบนึง (แถวบ้านเรียกเผลอหลับไปนะ) พอรู้สึกตัวอีกที ก็บอกกับเจ้าเล่มนี้ว่าไว้อ่านทีหลังแล้วกันนะเจ้านะ ว่าแล้วก็เปลี่ยนเล่มโดยพลัน และหนังสือเล่มที่สองนี้เอง ทำให้หลับไม่ลง วางไม่ลง จนกว่าจะถึงหน้าสุดท้ายทีเดียว ซึ่งชื่อเรื่องก็คือชื่อบล็อกของวันนี้นี่เองค่ะ





เล่มที่ถืออยู่ตอนนี้หน้าตาคล้ายๆแบบนี้ค่ะ แต่มีรอยกัดแทะและเหลืองไปหน่อย




จะบอกว่าหนังสือที่หยิบมาอ่านเล่มนี้ “โลกของหนูแหวน” เกิดตั้งแต่ปี 2515 นู่นแน่ะ (แก่กว่าเราโขเลย) โดยฝีมือการเขียนของ ศราวก เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 2 เพราะจริงๆหนังสือเล่มนี้เกิดปี 2511 น่ะค่ะ แต่ทว่า มันก็ยังคงร่วมสมัย จนมีการตีพิมพ์รอบใหม่ ในชื่อที่เรียงสลับว่า “หนูแหวนกับโลก”รู้สึกเขาจะพิมพ์ออกมาเมื่อ 2544 (เป็นโครงการหนังสือ 25 ปี 6 ตุลา)

พออ่านจบก็ไม่รอช้า ที่จะค้นคว้าข้อมูลต่อ ก็เลยพบว่า หนังสือเล่มนี้ แฝงแนวคิดสังคมนิยมแบบมาร์กซิสม์(Marxism) ... เอ่อ ฟังดูเหมือนจะน่ากลัวเลยนะ แต่ลองอ่านที่เรา quote มาจากที่เค้าพูดถึงหนังสือเล่มนี้กันดูก่อนนะ


“...เสน่ห์ของ โลกของหนูแหวน อยู่ตรงที่ผู้แต่งสามารถลดทอนความแรงของแนวคิดมาร์กซิสม์ ให้อ่อนโยนขึ้นมากด้วยการกรองโลกผ่านตะแกรงของความไร้เดียงสา ตรงไปตรงมา และอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก ในฉากชีวิตชนบทแบบ “ดั้งเดิม” ที่ยังเปี่ยมไปด้วยความรู้จักพอ ถักทอด้วยภาษาธรรมดาๆ แต่งดงาม ผลคือหนังสือเด็กที่ช่วยให้ผู้ใหญ่มองโลกด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้น และเห็นความสำคัญของการหวนคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ อย่างน้อยก็ในจิตใจเราเอง

นอกจากนี้ โลกของหนูแหวน ยังให้แง่คิดมากมายเกี่ยวกับสมดุลในการดำรงชีวิต เช่น ความสมดุลระหว่างการช่วยเหลือสังคม และความต้องการส่วนตัว ระหว่างความ “อยากเป็น” และความ “เป็นอยู่” ฯลฯ...”


Quote จาก //www.fringer.org/?p=50
และสามารถเข้าไป download หนังสือเล่มนี้(และจะเห็นเล่มอื่นๆ อีกค่ะ)ได้ที่เวบนี้เช่นกันค่ะ แต่หากใครอยากหาเก็บไว้เป็นเล่ม ก็ลองมองหาในชื่อ “หนูแหวนกับโลก”นะคะ เห็นมีในหลายๆเวบเลยค่ะ




เล่ม"หนูแหวนกับโลก"2544 ค่ะ



จากหนังสือเล่มเดียว เราแตกแขนงย่อยของความคิด จาก”มาร์กซิสม์” ก็ไปเจอเข้ากับ เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19(วิปโยค) รู้สึกว่า เราน่าจะทำความเข้าใจกับรากของเราให้ดีกว่านี้ เพราะถามตัวเองว่ารู้เรื่องราวบ้านเมืองขนาดไหนกันเชียว แทบไม่รู้เลยค่ะ จากนี้ รู้สึกว่าจะต้องหาอะไรใส่หัวกลวงๆนี้อีกมากมายเหลือเกิน

คอมฯและความไวของอินเตอร์เนทตามความกระหายใคร่รู้ของเราได้ทันใจดีจริงๆค่ะ แต่ยังไง เราก็ยังรักที่จะซื้อหาหนังสือมาอ่านและเก็บไว้อยู่นั่นเอง




"โลกของหนูแหวน" เล่มนี้ ของ ทวพ ค่ะ



ขอให้มีความสุขในวันนี้ด้วยกันทุกคนค่ะ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2548 18:21:52 น.
Counter : 1902 Pageviews.  

อยากไปงานหนังสือจัง(โว้ย)--ขอบ่นหน่อย

ใครไปมาแล้วบ้าง
มาอวดหนังสือกันหน่อยสิคะ
ทั้งที่ได้มาแล้วหรือที่อยากได้มากๆก็ได้จ้า

สำหรับคนที่อยู่ไกล
อ่านอะไรกันอยู่เอ่ย


ส่วนเราจะลงแดงแล้ว
เพราะอยากไปงานสัปดาห์หนังสือใจจะขาด
แต่ไม่ว่างเลย
พอว่างหน่อยก็ง่วง ไปไม่ไหว
และที่สำคัญกว่านั้น

มันต้องขับเคลื่อนด้วยเงิน

โอ้ ทำไมถึงใจร้ายอย่างนี้นะ


(เลยเอาหนังสือเล่มเดิมๆกลับมาอ่านซ้ำ แหะๆๆๆๆ)



หนังสือดี -- มีค่าควรเมือง

เป็นลายมือของเราเองที่เขียนไว้ที่หนังสือเล่มหนึ่ง

และเป็นสัปดาห์แล้ว
ที่เรายังคงอ่านมัน(ไม่จบ)
แต่ครั้งนี้ไม่ได้ตะลุยอ่านรวดเดียวจบเหมือนคราวแรก

มันเหมือนตำราเรียนของเรา
เป็นตำราวิชาที่เราอยากเรียนเหลือเกิน
ประวัติศาสตร์ปรัชญา


เอาล่ะ
เราพูดถึง
"โลกของโซฟี" ค่ะ

Sofies verden (Sophie's World)




โยสไตน์ กอร์เดอร์ (Jostein Gaarder)
เขียนได้น่าติดตามมากกกกกกกก
และเราเองก็ลืมไปแล้วด้วยว่าครั้งแรกที่อ่านมันจบยังไง
อ่านมานานจนลืมเลยนะ

แต่ก็สามารถอ่านได้อีกรอบโดยที่ไม่เบื่อเลย

ตอนนี้กำลังอ่านไป lecture ไปด้วยในตัว




รู้สึกว่าเป็นตำราเรียนที่ยอดเยี่ยม
และไม่ยัดเยียด
คล้ายๆกับที่รู้สึกกับแบบเรียนภาษาไทยสมัยประถม
มานะ มานี ปิติ ชูใจ วีระ สมคิด ดวงแก้ว เจ้าจ๋อ

5555



นี่ปกหนังสือตปท.อ่ะ

>










แล้วดูปกของไทยสิ
นี่พูดตรงๆนะว่า ถ้าไม่ได้ยืมห้องสมุดอ่านมาก่อนก็คงไม่กล้าซื้อ เพราะปกจริงๆนะนี่

Credit : สำนักพิมพ์คบไฟค่ะ ขอชื่นชมที่จัดพิมพ์ แต่ขอให้พัฒนาปกนิดนึงได้ไหมคะ (ติดตามสำนักพิมพ์คุณภาพนี้มาพอสมควรค่ะ ขอโฆษณาให้ตรงนี้ละกัน)


ก็เค้าต้องการให้ดูเนื้อหาข้างในมิใช่สิ่งที่ปกคลุมห่อหุ้มอยู่ไงเล่า
พี่ไทย(อย่างเรา)ขอแถอย่างมีหลักการ อิๆ

พอหอมปากหอมคอค่า
ไม่แน่วันนี้อาจบ้าไปงานหนังสือก็ได้ ใครจะรู้พักนี้ยิ่งไม่ค่อยมีสติอยู่




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2548    
Last Update : 10 ตุลาคม 2548 10:11:12 น.
Counter : 723 Pageviews.  

ชอบหนังสือเล่มนี้มากๆค่ะ "เด็กสาวจากดาวใส"

"เด็กสาวจากดาวใส" หรือ STARGIRL




ผู้เขียน JERRY SPINELLI
จิระนันท์ พิตรปรีชา แปล

ได้อ่านเล่มนี้โดยบังเอิญค่ะ
คุณแม่ยืมมาจากห้องสมุดร.ร.
(ตอนกลับบ้าน)อยู่บ้านว่างๆ ก็หยิบมาชิมซักหน่อย

ผลปรากฎว่า วางไม่ลง ซะงั้น
เขียนได้ดี และถอดออกมาเป็นภาษาไทยได้เยี่ยมมากค่ะ
(ปกติ งานแปลของคุณจิระนันท์ เรามักไม่ค่อยพลาดค่ะ --นับตั้งแต่ ปาฏิหาริย์บันทึกรัก(The Notebook) กับ Fish --จำได้แค่นี้ค่ะ )

เป็นเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
และเธอเรียน Home School มาโดยตลอด ชื่อของเธอ ก็คือ STARGIRL นั่นอย่างไร
แต่แล้ววันหนึ่ง พวกเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ก็ต้องพิศวงงวยงง เมื่อได้เจอเธอ(และสิ่งที่เธอทำ)เข้า เธอกลับมาเรียนระบบปกติค่ะ

เรื่องราวจะเป็นไงต่อไปล่ะ แต่เอาเป็นว่า
สิ่งที่เป็นไปได้ยากที่สุดของชีวิตเธอ
คือ การเป็นคนธรรมดาน่ะค่ะ




ในเรื่องพูดถึง "อัตลักษณ์" หรือความเป็นตัวของตัวเอง (Identity) ได้อย่างชัดเจน

และมีปมความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง--แน่นอน
แหม ก็ช่วงวัยรุ่น เป็นธรรมดาค่ะ


นิสัยประหลาดๆแต่น่ารักของเธอ
เราคิดว่า ไม่มีใครเลียนแบบเธอได้อย่างแน่นอนเลยค่ะ


อ่านสนุกแบบนี้
จากสนพ.แจ่มใส ค่ะ (โฆษณาให้ค่ะ เพราะความประทับใจส่วนบุคคล)




 

Create Date : 27 กันยายน 2548    
Last Update : 27 กันยายน 2548 21:07:18 น.
Counter : 578 Pageviews.  

1  2  3  

quin toki
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




everything has a begining , has an end.

link to my thought
~~*http://pompom67.bloggang.com*~~




บล็อกน้อยอิเหละเขะขะ
เก็บ+กระจุกของไว้สารพัด
สารบัญก็ไม่มีให้กดง่ายๆ ขออภัยด้วยเน้อ




เคยมีคนบอกกับเราว่า
ถ้าเราไม่ได้ดูหนัง
คงหายใจไม่ออกสินะ

...
ขาดหนัง
ก็ขาดใจ
(ไอ้บ้าเอ๊ย!)

เข้าใจพูดนะเนี่ย
>_<








นิตยสารดีโอ DE.O. Magazine E-Book

issue 6

L.O.V.E.







คุณป้าสุวคนธ์ ไม้แดง

และหมาแมวจรนับร้อย

ที่กำแพงเพชร



เล่นกับแกรี่ได้นะจ๊ะ (แต่แกรี่ตัวนี้ไม่มีเขี้ยวเท่านั้นแหละ)
Friends' blogs
[Add quin toki's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.