Group Blog
 
All blogs
 

สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 04 ม.ค 2554




อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 28 ธ.ค 2553




อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 27 ธ.ค 2553




อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 24 ธ.ค 2553




อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


เซียนหุ้นหน้าหยก 'กิติชัย เตชะงามเลิศ' พอร์ตหุ้น 400 ลบ. ตอนที่2


หลังพ่อแม่เสียชีวิตในเปลวเพลิง ขณะกิติชัยมีอายุ 12 ปี 'สามพี่น้อง' เหลือเงินจากการขายหุ้นโรงงานทอผ้าทั้งหมดประมาณ 2 ล้านบาทเงินก้อนนี้ คือ 'จุดเริ่มต้น' ของการเดินทาง

ในตอนที่แล้วเล่าถึงประวัติชีวิตของเซียนหุ้นหน้า หยกที่ชีวิตพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืนราวกับนิยาย หลังพ่อแม่เสียชีวิตในเปลวเพลิงพร้อมโรงงานเสื้อยืด ขณะกิติชัยมีอายุ 12 ปี เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันขณะเรียนชั้น ม. 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ สามพี่น้องในวัยเยาว์ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดตามลำพังในธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้า โดยไม่มี "เสาหลัก" ของครอบครัว และนี่คือ "จุดหักเห" การเดินทางของชีวิตครั้งใหม่

กิติชัยเชื่อว่าพ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์คอยช่วยเหลือเขาจนประสบความสำเร็จ และโชคดีในหลายๆ เรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งธุรกิจการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในตลาดหุ้น จนเขามีความเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ระหว่าง "เก่ง" กับ "เฮง" เฮงดีกว่าเก่ง เขาบอกว่ามีคนเก่งมากมายที่ไม่รวยเพราะเขาเหล่านั้นไม่มีโชคและไม่มีโอกาส

ด้านหลังโต๊ะทำงานของกิติชัยจะมีหิ้งไว้รูปของบุพการีที่ล่วงลับที่เขา ต้องกราบไหว้เป็นประจำทุกวันเหมือนว่าพ่อและแม่คอยเกื้อหนุนและมองความ สำเร็จของเขาอยู่ไม่ห่าง เนื่องจากโรงงานทอผ้าที่พ่อมีหุ้นส่วนและเป็นผู้จัดการไม่ได้ตั้งอยู่ใน บริเวณเดียวกับโรงงานเสื้อยืดและที่พักจึงไม่ถูกไฟไหม้

"ตอนอายุ 12 ปี ผมจำได้แม่นเราพี่น้อง 3 คน มีเงินเหลือประมาณ 2 ล้านบาท ส่วนหนึ่งได้มาจากเงินประกันชีวิตของคุณพ่อ อีกส่วนมาจากเงินขายหุ้นโรงงานทอผ้าหลังหักหนี้สินทั้งหมดแล้วนะเหลือ 2 ล้านบาท"

กิติชัยเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งเรียน ทั้งเล่นหุ้น และช่วยพี่ชายขายส่งเสื้อผ้า เขาทำทั้ง 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆ กันโดยไม่ให้ "เสียศูนย์" อย่างใดอย่างหนึ่ง

"สมัยเรียนก็เริ่มเล่นหุ้นแล้วแต่เล่นสะเปะสะปะ อาจารย์ที่สอนเขาเล่นหุ้นด้วยก็ตามอาจารย์ไปเล่น ถามว่ามีใครเป็นต้นแบบคนแรกสุดก็คืออาจารย์แต่ไม่ได้เล่นหุ้นแนวอาจารย์หรอก สมัยก่อนผมเล่นแบบ "เก็งกำไร" แต่หุ้นที่เก็งกำไรจะต้องมีพื้นฐานนะพวกหุ้นปั่นจะไม่เล่นเลย ถึงจะเก็งกำไรแต่พื้นฐานต้องมาก่อน"

การเล่นเก็งกำไรบนหุ้นพื้นฐานและเล่นออกแนวฉลาดทำให้เด็กหนุ่มแซ่แต้ราย นี้มีกำไรสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เขาจะมีกำไรเป็นกอบเป็นกำในช่วง "วิกฤติครั้งใหญ่" ยิ่งหุ้นตกเยอะๆ ก็ยิ่งมีโอกาสทำกำไรได้มาก

"มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจำวิกฤติไม่ได้เป็นสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นหุ้นตกเยอะคนอื่นขายแต่ผมเข้าไปซื้อจำได้ว่าเป็นหุ้นแบงก์ (ไม่ได้ซื้อเยอะมาก แต่ซื้อถูกจังหวะ) จน ก.ล.ต.โทรศัพท์ไปถามโบรกเกอร์ที่ผมเล่นว่าผมเป็นใคร เพราะราคามันลงไปเกือบฟลอร์แต่ลงไม่นานก็เด้งขึ้นเลย แล้วผมซื้อได้ราคาใกล้ๆ ฟลอร์ เขาก็เลยสงสัยว่าผมทำได้ยังไงมีอินไซด์รึเปล่า เวลาผมซื้อจะสั่งราคา MP (Market Price) มาร์เก็ตติ้งก็คีย์เร็วมาก กวาดหุ้นมาได้หมด ออเดอร์นั้นเล่นวันเดียวได้กำไรเป็นล้าน"

กิติชัยสะสมกำไรจากหุ้นมาเรื่อยๆ จากการซื้อมาขายไปบวกกับกำไรอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีมาตลอดก็เอา มาลงทุนหุ้นเพิ่ม บางครั้งก็ขายหุ้นเอาไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ พอร์ตหุ้นก็ใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ ปัจจุบันเขาบอกว่ามีมูลค่าพอร์ตกว่า 400 ล้านบาท สำหรับหุ้นที่เซียนหุ้นราย นี้ภูมิใจที่สุดคือ บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ถืออยู่ 201,100 หุ้น มูลค่าปัจจุบันประมาณ 110 ล้านบาท

แต่หุ้นของกิติชัยที่มีมูลค่าเยอะที่สุดในพอร์ตคือ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) หรือหุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพ อันดับสอง บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) อันดับสาม บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) อันดับสี่ บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC)

"ปัจจุบันผมถือหุ้นหลักๆ 4 ตัวนี้ ตัวอื่นก็มีแต่ถือไม่เยอะหลักล้านบาทซื้อมาขายไปมากกว่า ถ้าเป็นหลักสิบล้านร้อยล้านก็มีแค่ 4 ตัวนี้ เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นหลายที่ที่ บล.ภัทร บล.คันทรี่ กรุ๊ป บล.บัวหลวง บล.พัฒนาสิน และบล.ฟินัสเซีย ไซรัส เวลาจะซื้อหุ้นก็กระจายไปหลายที่"

ห้องยุทธการของกิติชัยเป็นห้องนอนบนคอนโดหรูที่ถูกแบ่งออกมา 1 ห้องตกแต่งเป็นห้องเทรดหุ้นโดยเฉพาะ สมัยก่อนเขาเคยไปนั่งที่โบรกเกอร์ซึ่งมีห้องวีไอพีไว้บริการลูกค้ารายใหญ่ แต่ว่าไม่สบายเหมือนบ้าน อีกทั้งยังรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองจึงเลือกที่จะไม่สุงสิงกับใคร และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง

"เคยไปนั่งอยู่ครั้งสองครั้งแล้วมีความรู้สึกว่าพอไปเจอคนโน้นคนนี้มันทำ ให้เราสับสนเปล่าๆ อีกอย่างผมไม่ได้ซื้อขายหุ้นทุกวันก็เลยไม่ค่อยอยากไปนั่ง และส่วนใหญ่เขาจะเล่นเก็งกำไรกันคนละแนวกับผม"

การหาข้อมูลของเซียนหุ้นราย นี้จะเริ่มจากการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันที่เลือกอ่านมี 2 ฉบับ ได้แก่ กรุงเทพธุรกิจและโพสต์ทูเดย์ รวมถึงเปิดอ่าน E-mail ที่ส่งข้อมูลหุ้นมาให้จากโบรกเกอร์ 5-6 แห่งที่เป็นลูกค้าอยู่ ที่ต้องเปิดบัญชีเล่นหุ้นหลายแห่งก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ส่วนจุดซื้อขายจะใช้กราฟทางเทคนิคค้นหาจังหวะ

"อยากจะบอกว่าที่ตั้งตัวมาได้จนถึงขนาดนี้ต้องขอบคุณหนังสือพิมพ์กรุงเทพ ธุรกิจ เป็นแหล่งข้อมูลดิบให้ผมไปนั่งวิเคราะห์ต่อได้ อย่างการดูกราฟเวลาที่ไหนมีสัมมนาผมก็ชอบไปฟัง แล้วค่อยๆ เก็บสะสมความรู้ จากนั้นก็ซื้อหนังสือมาอ่านเองทำให้เราเริ่มมีความรู้ ผมจะใช้เทคนิคไว้ดูช่วงจังหวะเวลาในการซื้อขาย แต่ในที่สุดแล้วอยากจะบอกว่าหุ้นจะขึ้นได้ปัจจัยพื้นฐานต้องมาก่อน การซื้อหุ้นต้องเลือกที่พื้นฐาน (ดี) ก่อน กราฟ (สวย) เป็นส่วนประกอบ"

กิติชัย ยอมรับว่าพักหลังความจำแย่ลงสมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วจำหุ้นได้หมด ตัวไหนไตรมาส 1 กำไรเท่าไร ไตรมาส 2 กำไรเท่าไรยังบอกได้หมด เดี๋ยวนี้ต้องเปิดดู จนเจ้าตัวเอ่ยปากว่าสงสัยจะเป็น "อัลไซเมอร์" บางคนจำหน้าได้จำชื่อเขาไม่ได้หรือว่าใช้สมองเยอะมาตั้งแต่เด็กรึเปล่า! เจ้าตัวตั้งข้อสังเกต

"ผมมีหุ้นที่จะเล่าให้ฟังมันเป็นความประทับใจ คือ บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต (SCNYL) มีซื้อหุ้นตัวนี้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ก่อนซื้อผมก็วิเคราะห์ว่า ตอนนั้นคนไทยประกันชีวิตแค่ 17-18% ของประชากร ขณะที่ญี่ปุ่นประกันชีวิตเกิน 100% คนญี่ปุ่น 1 คนมีมากกว่า 1 กรมธรรม์ ผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าธุรกิจนี้มันมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก นี่คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง คือ "ธุรกิจดี"

ข้อสอง "งบการเงินดี" ผมไปดูงบการเงินบริษัทนี้เก็บเบี้ยประกันชีวิตเพิ่มขึ้นตลอด กำไรก็เพิ่มขึ้นทุกปี ข้อสาม "ผู้ถือหุ้นดี" มีธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นใหญ่ 47.3% และนิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิตถือหุ้นใหญ่อันดับสอง มันเหมือน "เสือติดปีก" เพราะไทยพาณิชย์มีสาขามากที่สุด และยังได้โนว์ฮาวจากนิวยอร์คไลฟ์ซึ่งเป็นบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ตอนเกิดปัญหาซับไพร์มปี 2550 เอไอเอเกือบเจ๊งแต่นิวยอร์คไลฟ์ไม่สะเทือน เพราะนโยบายลงทุนของนิวยอร์คไลฟ์เหมือนกันทั่วโลก คือ ลงทุนเฉพาะสินทรัพย์มั่นคง ไม่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง"

"ผมไปเช็คเนื้อใน 99% บริษัทลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ที่ได้เรทติ้ง AAA คิดดูแล้วกันว่าผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำ บริษัทยังกำไรดีขนาดนี้ ตอนที่ผมซื้อราคา 70 บาท ปัจจุบันราคา 540 บาท กำไรเกือบตัว 8 เท่า ในเวลา 4 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมาราคาขึ้นไป 618 บาท ผมซื้อหุ้นตัวนี้ลงทุนไปแค่ 14 ล้านบาท ล่าสุดผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 8 จำนวน 201,100 หุ้น"

เซียนหุ้นราย นี้ทวนเหตุผลว่าทำไมถึงชอบธุรกิจ "ประกันชีวิต" ทราบหรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจประกันชีวิตคือ "ค่าคอมมิชชั่น" ที่จ่ายให้ตัวแทน บางกรมธรรม์ค่าคอมมิชชั่นปีแรกจ่ายเกือบ 50% ปีที่ 2 ลดเหลือ 25% ปีที่ 3 ลดเหลือ 12% ปีที่ 4 ลดเหลือ 6% ลดลงครึ่งๆ ทุกปี แต่คนซื้อประกันต้องจ่ายเงินเข้าบริษัทเท่าเดิมทุกปี

"รายได้ของบริษัทได้เท่าเดิมทุกปี แต่บริษัทจ่ายให้ตัวแทนลดลงทุกปี มันมีธุรกิจไหนที่ดีขนาดนี้ เสน่ห์แบบนี้มันมีแค่ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจอื่นไม่มี"

ทำไมถึงสนใจหุ้น โรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) เพราะเป็นเชนโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขากว้านซื้อหุ้นหลายๆ โรงพยาบาลเข้ามาอยู่ในเครือ เพราะฉะนั้นการสั่งซื้อยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ย่อมต้องเกิด Economy of Scale ถ้าค่ารักษาพยาบาลคิดเท่าโรงพยาบาลอื่น เขาก็ต้องมีมาร์จินที่ดีกว่า เพราะ "ต้นทุนถูกกว่า" นี่คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง

ข้อสองเขามีโรงงานผลิตยาของตัวเอง และมีห้องแล็บวินิจฉัยโรคของเขาเอง จากข่าวผู้บริหารเขามีนโยบายให้แล็บรับงานนอกได้ และตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี รายได้ส่วนนี้จะโตขึ้นจาก 2% เป็น 12% ข้อสามประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว เริ่มเข้าเมื่อปี 2548 คนอายุเกิน 60 ปี มีเกิน 10% ของประชากรทั้งประเทศ ถ้าเกิน 20% จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์แบบซึ่งไม่แน่ใจว่าปี 2563 หรือปี 2568 ยิ่งคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจประกันชีวิต แนวโน้มระยะยาวต้องดีแน่นอน และในอนาคตรัฐบาลยิ่งต้องส่งเสริมให้มีการทำประกันชีวิต เพราะถ้าไม่ส่งเสริมสุดท้ายก็จะกลับมาเป็นภาระของรัฐบาลเอง

"ผมไปดูค่า P/E เรโช อย่างตัว SCNYL และ BLA ถ้าเอากำไรสุทธิทั้งปีมาคำนวณ จะอยู่ที่ 16-17 เท่า P/E ตลาด 14-15 เท่า ในมุมมองของผม SCNYL และ BLA จะต้องมี P/E สูงกว่าตลาดเยอะต้อง 24-25 เท่า เพราะความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าตลาดเยอะ มันไม่มีเหตุผลที่ค่า P/E จะใกล้เคียงกัน หรืออย่างตัว BGH ถ้าไปดู P/E ช่วง 5 ปีย้อนหลัง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 24-25 เท่า แต่ตอนนี้เหลือ 18-19 เท่า P/E ปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งที่การเติบโตของกำไรอนาคตมีแต่จะมากขึ้น"

สำหรับหุ้น บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) กิติชัยถือหุ้นอยู่ 3,619,800 หุ้น สัดส่วน 2.13% เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 4 ของบริษัท เขาบอกความตั้งใจว่าจะถือหุ้น NBC อันดับ 2 ให้ได้ ตอนนี้อันดับ 2 (สรสรรค คูห์รัตนพิศาล) เขาถือ 6,300,000 หุ้น รอให้ราคานิ่งๆ และปรับตัวลดลงมาหน่อยค่อยเข้าไปเก็บสะสมเพิ่ม

ถามว่าเสน่ห์ของหุ้น NBC อยู่ตรงไหน เขาวิเคราะห์ให้ฟังว่า ข้อแรก ธุรกิจทีวีดาวเทียมผมถือว่าเป็นธุรกิจที่ยังใหม่สำหรับประเทศไทยมีโอกาสเติบ โตสูง และความใหม่จึงเนื้อหอมมีคนอยากเข้ามาลงทุน ข้อสอง ตอนนี้คนไทยตามบ้านต่างๆ เริ่มมีจานดาวเทียมมากขึ้นดูจากยอดขายจานดำ จานเหลือง จานแดง เยอะขึ้นมาก คนไทยไม่ได้รู้จักแค่ช่องฟรีทีวี 3 5 7 9 11 อีกต่อไป ทีวีดาวเทียมเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทยมากขึ้น ข้อสาม เริ่มมีการจัดเรทติ้งความนิยมของรายการมาใช้อ้างอิงขายโฆษณาตัวนี้จะทำให้ ขายโฆษณาได้ง่ายขึ้น ข้อสี่ รายได้ค่าโฆษณาของธุรกิจดาวเทียมมีโอกาสจะปรับราคาขึ้นได้อีกมาก ปัจจุบันค่าโฆษณาในฟรีทีวีกับทีวีดาวเทียมต่างกันมากกว่า 10 เท่าตัว โอกาสจะโตของรายได้จึงมีสูงมาก

"อย่าลืมว่าถ้าเพิ่มค่าโฆษณาได้ ถามว่า เนชั่น แชนแนล กับ แมงโก้ทีวี มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมั้ย! ถ้าเพิ่มก็เพิ่มไม่มาก เพราะฉะนั้นค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นมันจะแปลงมาเป็นกำไรที่จะโตได้อีกมหาศาล ตรงนี้ที่เป็นเสน่ห์ที่ผมชอบ ดูจากงบการเงินก็เห็นรายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไร ผมชอบธุรกิจอะไรที่เป็นแบบนี้ คือรายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายแทบไม่เพิ่ม อย่างธุรกิจประกันชีวิตที่รายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายลดลงเป็นต้น"

สัปดาห์หน้าติดตาม "ภาคกลยุทธ์" เจาะเทคนิคการลงทุน วิเคราะห์ข่าว-วิเคราะห์วอลุ่ม พร้อมมองเทรนด์ตลาดหุ้นปี 2554


-----------------------------
เป้าหมายพอร์ตหุ้น 1,000 ล้านบาท ปี 2556
-----------------------------

"ยิ่งสูงยิ่งหนาว" กิติชัย ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากนี้ แม้ว่าเขายังเดินไปไม่ถึงเป้าหมายปลายทางแต่ทว่าระหว่างทางนับจากนี้เขาต้อง ก้าวไปด้วยความระมัดระวัง ภายใต้ยุทธศาสตร์ "ยืนบน 2 ขา รักษาสมดุล"

"ผมมีความรู้สึกว่าถ้าอยากจะมั่นคงในระยะยาวควรจะยืนอยู่บน 2 ขา ทั้ง "หุ้น" และ "อสังหาริมทรัพย์" จากประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วงหุ้นตกหนัก บางปีผมขาดทุนมหาศาลก็มีเหมือนกัน ลงทุนในหุ้นมันมีได้มีเสีย ส่วนอสังหาริมทรัพย์มันไม่มีเสีย (ไม่ขาดทุน) เพียงแต่ว่ามันไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็ดีแต่สภาพคล่องมันไม่มี บางทีอยากจะขายไม่เจอคนซื้อก็ขายไม่ได้ แต่หุ้นขายง่ายยกเว้นหุ้น SCNYL ที่สภาพคล่องต่ำมากอาจจะขายครั้งเดียวไม่หมด เพราะฉะนั้นผมต้องยืนอยู่บน 2 ขานี้ตลอด"

เขาเล่าว่า สมัยก่อนเล่นเก็งกำไรเยอะแต่พักหลังเล่นเก็งกำไรน้อยลงมากพอพอร์ตใหญ่ขึ้น และเริ่มอยู่ตัว มันจะมีความรู้สึกว่าทำไมเราต้องไปเสี่ยงมากขนาดนั้น สมัยก่อนจะรู้สึกว่าอยากจะทำกำไรเยอะๆ อยากรวยเร็ว เสี่ยงแค่ไหนก็ไม่กลัว แต่พอถึงจุดนี้มีความสุขได้แล้วก็ไม่อยากจะลงทุนอะไรที่หวือหวา สไตล์มันเปลี่ยนไปเอง ถ้ามองย้อนกลับไปเวลาได้กำไรก็ได้เยอะ เวลาขาดทุนก็เจ็บหนัก

"วันนี้ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นแล้ว...!"

อย่างไรก็ตามกิติชัยก็เหนียมๆ เมื่อพูดถึงเป้าหมายพอร์ตหุ้น 1,000 ล้านบาท ต้องยิงคำถามนำเขาถึงเผยความในว่า "นั่นเป้าหมายผมเลยแหละ" เขาบอกว่าจะพยายามทำให้สำเร็จ ถ้าเป็นไปได้อีก 3 ปี (2556) น่าจะถึง ตอนนี้หลายๆ คน เริ่มมองว่าปี 2556 SET Index น่าจะทำ "จุดสูงสุดใหม่" ซึ่งเมื่อต้นปี 2537 เคยทำไว้ที่ 1,789 จุด

"อีก 3 ปีข้างหน้าหลายคนทำนายว่า SET จะขึ้นไปสูงกว่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงความฝันของผมพอร์ต 1,000 ล้านบาทก็เป็นไปได้ ปี 2556 เขาบอกว่าหุ้นจะไปเกิน 1,800 จุด" กิติชัยก็มีความเชื่อเช่นนั้น

แหล่งที่ กรุงเทพธุรกิจ

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.