Group Blog
 
All blogs
 

สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 8 ก.ย 2553

การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 7 ก.ย 2553

การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


Jesse Livermore นักเก็งกำไรบันลือโลก โดย ดร.นิเวศน์

ในโลกของ Value Investor นั้น ทุกคนรู้จักและนับถือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในโลกของนักเก็งกำไรนั้น ชื่อของ Jesse Livermore ได้รับการยอมรับว่าเป็นตำนานของนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคียงบ่าเคียง ไหล่กับคนอย่าง Bernard Baruch และ Gerald Loeb ว่าที่จริง บางคนบอกว่าเขาเป็นนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ฉายาของเขาคือ “หมีใหญ่แห่งวอลสตรีท” เพราะเขาชอบเก็งกำไรโดยเฉพาะในช่วงตลาด “ขาลง” นั่นคือ เขาจะชอร์ตหุ้นและ/หรือสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้า ชีวิตและหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์นั้นน่าสนใจไม่เฉพาะแต่นักเก็งกำไร Value Investor ก็ควรจะรู้ไว้

ลิเวอร์มอร์ หรือที่คนชอบเรียกเขาว่า J.L. เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน เขาเรียนจบแค่มัธยมและต้องออกมาทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี งานแรกและน่าจะเรียกว่าเป็นงานแบบเดียวในชีวิตก็คือ เป็นเด็ก “เคาะกระดานหุ้น” หลังจากนั้นเพียงปีเดียว เขาก็เริ่ม “เล่นหุ้น” แต่เนื่องจากมีเงินน้อย เขาจึงเริ่มเล่นตาม “ห้องค้าเถื่อน” ที่รับ “แทงหุ้น” โดยอิงกับราคาหุ้นบนกระดาน เขาเล่นเก่งมากและทำกำไรจนทำให้ห้องค้าเถื่อนเกือบทุกแห่ง “แบล็กลิสต์” ไม่ให้เขาเข้าเล่นในห้องค้า ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ตลาดหุ้นและเริ่มชีวิตของนักเก็งกำไรเต็มตัว

J.L. ทำเงินจากตลาดหุ้นได้มากและ “เจ๊ง” หมดตัวถึงสองครั้งก่อนที่จะกลายเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” หลังเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นในปี 1907 เหตุการณ์หุ้นถล่มทลายในครั้งนั้น J.L. ได้ขายหุ้นชอร์ตไว้จำนวนมาก ยิ่งหุ้นตก เขาก็ยิ่งขายและทำให้หุ้นตกลงไปอีก การขายหุ้นชอร์ตของเขาทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเมื่อหุ้นตก พอร์ตเขาก็ได้กำไรซึ่งก็จะทำให้เขามีวงเงินใช้มาร์จินเพิ่มขึ้นอีก เขาขายชอร์ตมากเสียจนทำให้ J. P. Morgan ประธานบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ และเป็น “จ้าวพ่อตลาดหุ้น” ในช่วงนั้นต้องออกมาขอให้เขาหยุดขาย เพราะมิฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้อง “ล่มสลาย” เนื่องจากสถาบันการเงินต่างก็ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการที่หุ้นตกลงมา อย่างหนัก

หลังจากเหตุการณ์วิกฤติ ตลาดหุ้นปี 1907 J.L. ก็ร่ำรวยและกลายเป็น “เซเลบ” เขาใช้ชีวิตหรูหราสุด ๆ เขาซื้อเรือยอร์ชหรูหราไว้ใช้ท่องเที่ยวและจับปลาในทะเลซึ่งเป็นงานอดิเรก ที่เขารัก เขาจีบและแต่งงานกับผู้หญิงโดยใช้ชีวิตแบบ “เพลบอย” เขาคบกับคนชั้นสูงเช่น Alfred Sloan ประธานบริษัท General Motor ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น Walter Chrysler แห่งบริษัทรถยนต์ใหญ่ Chrysler และดาราตลกดังอย่าง ชาร์ลี แชบปลิน เป็นต้น

วิกฤติตลาดหุ้นปี 1929 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ J.L. ทำกำไรได้มากมายจากการชอร์ตหุ้นในตลาด เขาผ่านวิกฤติมาพร้อมกับเงินนับ 100 ล้านเหรียญ และนี่เป็นความรุ่งโรจน์ครั้งสุดท้ายของชีวิตเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อย ๆ ทั้งชีวิตการเก็งกำไรและชีวิตส่วนตัว ในชีวิตของการเก็งกำไรนั้น เขาเคยล้มละลายมา 2 ครั้งและสามารถฟื้นขึ้นมาได้ แต่ในครั้งนี้ เขา “หมดตัว” มีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ในชีวิตส่วนตัวนั้น เขาเคยมีภรรยาหลายคน แต่ละคนใช้เงินที่เขาได้กำไรมาอย่างฟุ่มเฟือยเช่นเดียวกับตัวเขา ภรรยาคนหนึ่งมีเรื่องขนาดยิงลูกตัวเองเกือบเสียชีวิต ตัว J.L. เองนั้น เขามีปัญหาและน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า เขายิงตัวตายในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1940 สิริอายุ 63 ปี

กฎและกลยุทธการเก็งกำไร ของ J.L. นั้นสามารถสรุปอย่างย่อ ๆ ได้ดังต่อไปนี้

1) อย่าขาดทุน นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก ดังนั้นถ้าคุณไม่มีเงิน คุณก็จะไม่มีธุรกิจ เก็งกำไรไม่ได้ J.L. บอกว่าการซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการซื้อ 1000 หุ้น คุณควรจะเริ่มที่ 200 หุ้น ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่มอีก 200 หุ้น แล้วก็รอดูว่าขึ้นไหม ถ้าใช่ก็ซื้ออีก 200 หุ้น และถ้าขึ้นอีก คราวนี้ให้ซื้อไปอีก 400 หุ้นจนเต็ม 1000 หุ้น สรุปก็คือ ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง

2) กำหนดจุดตัดขาดทุน ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10% เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว เช่น ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100% อีกอย่างก็คือ ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด อย่าไปฝืนกระแส ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส

3) จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด และเมื่อมีโอกาสดี เราก็จะต้อง “อัด” หรือลงเงินให้เต็มที่ J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น

4) อย่ารีบทำกำไร หรือ Let Profit Run นั่นคือ ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่ารีบขายเสียก่อน ตรงกันข้าม ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน หุ้นตกลงไปเร็ว อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก ต้องรีบขายทันที เขาบอกว่า “กำไรดูแลตัวมันเองได้ แต่ขาดทุนไม่เคย” อย่างไรก็ตาม การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย

5) เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด เช่น ถ้าได้กำไรมาร้อยเหรียญ ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบ็งค์ 50 เหรียญ อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่ ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน และนี่ก็เป็นกฏที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร ทำให้เงินที่ได้มามาก ๆ ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด

และทั้งหมดนั้นก็คือชีวิต และหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์ แบบย่อที่สุด ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น ชื่อของเขาดูเหมือนจะร้อนแรงและเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอแม้ว่าโดยธรรมชาติ ของเขาแล้ว เขาเป็นคนที่เก็บตัวและทำตัวลึกลับ

การใช้ชีวิตและแนวความคิด ในการลงทุนของ J.L. นั้น Value Investor หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยและไม่เชื่อว่ามันเป็นหลักการที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การศึกษาทำความเข้าใจนั้น ผมคิดว่ามีประโยชน์ไม่น้อย เหนือสิ่งอื่นใด VI กับนักเก็งกำไรนั้น ต่างก็เล่นอยู่ในตลาดเดียวกัน บางครั้งก็เล่นหุ้นตัวเดียวกัน เส้นแบ่งระหว่างนักเก็งกำไรกับ VI นั้น บางทีก็บางมากจนในบางครั้งเราก็อาจจะไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น เราเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่

แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 3 ก.ย 2553

การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


ดาวโจนส์ ปิดพุ่ง 254.75 จุดหรือ 2.54%-น้ำมันพุ่งรับข้อมูลศก.ดีเกินคาด

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิด พุ่งขึ้นเมื่อวานนี้ (1 ก.ย.ฦ) หลังนักลงทุนเชื่อมั่นเศรษกิจประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่ดีเกิน คาดของสหรัฐฯและจีน หนุนหุ้นดาวโจนส์ ปิดพุ่ง 254.75 จุดหรือ 2.54% ปิด 10,269.47, ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 30.96 จุดหรือ 2.95% ปิด 1,080.29 และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 62.81 จุด หรือ 2.97% ปิด 2,176.84 ปริมาณการซื้อขายราว 8.12 พันล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ก

ด้านราคาน้ำมันดิบไนเม็กซื ส่งมอบเดือนต.ค. พุ่ง 1.99 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ 73.91 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค. บวก 1.71 ดอลลาร์ ปิดที่ 76.35 ดอลลาร์/บาร์เรล

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.