Group Blog
 
All blogs
 

สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 3 พ.ย 2553


การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


เล่นหุ้นแบบไหนดีที่สุด โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


ในเรื่องของการลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น มีเทคนิคหรือวิธีการหลายอย่างที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ลงทุนแบบ Value หรือเน้นคุณค่า เล่นหุ้นแบบดูกราฟแนวรับแนวต้าน หรือเล่นหุ้นโดยวิธีการ “ปั่นหุ้น” เป็นต้น คำถามก็คือ เล่นหุ้นด้วยวิธีไหนดีที่สุด?

ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น ผมคงต้องเติมข้อความในวงเล็บว่า ดีที่สุด (โดยเฉลี่ย) เพราะในแต่ละเทคนิคหรือวิธีการนั้น คนที่ทำได้ดีอาจจะเก่งมากจนทำได้ดีกว่าคนที่เก่งที่สุดในอีกวิธีหนึ่ง แต่โดยเฉลี่ย ซึ่งรวมถึงคนที่ไม่เก่งทั้งหมดด้วยแล้ว วิธีนั้นอาจจะแพ้การลงทุนอีกวิธีหนึ่งที่คนเก่งมากกับคนที่เก่งน้อยได้ผลตอบ แทนไม่ต่างกันมากก็ได้

ประเด็นต่อมาก็คือ ในการที่จะบอกว่าวิธีไหนดีกว่าวิธีอื่นนั้น เราจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อที่จะพิสูจน์ ดังนั้น วิธีการลงทุนหรือเล่นหุ้นบางอย่างที่หาข้อมูลไม่ได้ เช่น การ “ปั่นหุ้น” นั้น เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นวิธีที่ดีแค่ไหนในการทำกำไรแม้ว่าเราจะเชื่อว่า เป็นวิธีที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงสุด อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายและผมไม่แนะนำให้ทำ มันก็เหมือนกับถามว่า วิธีทำงานหาเงินที่ได้เงินมากและเร็วที่สุดคืออะไร? ซึ่งคำตอบของเราอาจจะบอกว่า การ “คอร์รัปชั่น” แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนสามารถทำได้ เช่นเดียวกับการ “ปั่นหุ้น” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้

ในการศึกษาเรื่องของเทคนิคหรือวิธีการในการลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น ในเชิงวิชาการเราสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มหลัก ๆ 4 วิธีด้วยกันคือ วิธีแรก เป็นกลุ่มของนักเล่นหุ้นที่ใช้ข้อมูลเพียง 2 อย่าง นั่นก็คือ ข้อมูลราคาหุ้นกับปริมาณการซื้อขายของหุ้น กลุ่มนี้จะนำข้อมูลทั้งสองอย่างมาเขียนเป็นกราฟหรือทำเป็นจุดอะไรต่าง ๆ จากนั้นก็อาจจะคำนวณหาราคาเฉลี่ยในแต่ละช่วงเวลาหรือลูกเล่นต่าง ๆ แล้วก็กำหนดจุดซื้อขายหุ้น ด้วยวิธีนี้ พวกเขาคิดว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าปกติ เราเรียกพวกเขาว่า “นักเล่นหุ้นแบบเท็คนิค” การศึกษาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐพบว่า การเล่นหุ้นแบบเท็คนิคไม่สามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้ ปัญหาใหญ่ก็คือ พวกเขาต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงเนื่องจากวิธีนี้มักทำให้ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น “ตามสัญญาณ” ค่อนข้างมาก ในตลาดหุ้นไทยผมไม่แน่ใจว่ามีคนทำการศึกษาหรือไม่ นอกจากนั้น คนที่เป็นนักเท็คนิคเองผมก็คิดว่ายังมีไม่มากนัก

วิธีที่สองก็คือการลงทุนแบบอาศัย “ข้อมูลพื้นฐาน” ทั้งหลายที่เปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว ข้อมูลเหล่านี้รวมถึงข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และข้อมูลผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นด้วย กลุ่มคนที่ใช้วิธีนี้ในการลงทุนนั้นกว้างขวางมาก ซึ่งรวมไปถึงคนที่บริหารกองทุนรวมจำนวนมหาศาล จากการศึกษาในตลาดหุ้นสหรัฐเช่นเดียวกันก็พบว่า นักลงทุนที่ใช้วิธีการนี้ก็แพ้ดัชนีตลาดแบบ “ราบคาบ” ประเด็นสำคัญก็คือ การทำแบบนี้ต้องค้นคว้าและศึกษาข้อมูลมากมาย ต้องใช้คนที่จบการศึกษาทางด้านการเงินระดับ “MIT” มาทำงานทำให้มีต้นทุนในการบริหารพอร์ตสูงไม่คุ้มค่า

วิธีลงทุนโดยอาศัย “ข้อมูลพื้นฐาน” นี้ มีวิธีการ “ย่อย” แตกแขนงออกมานั่นก็คือ วิธีการที่เรียกว่า “Value Investment” หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า วิธีนี้เน้นที่การลงทุนในหุ้นที่มี “ราคาถูกเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการ” การศึกษาจากตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นไทยด้วยพบว่า การลงทุนแบบ VI นั้น ให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมกว่าดัชนีตลาดมากในระยะยาว ว่าที่จริงในตลาดหุ้นไทยนั้น การลงทุนแบบ VI ให้ผลตอบแทนโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้น ในขณะที่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ในบางช่วงบางตอน การลงทุนแบบ VI ก็แพ้ตลาดเหมือนกันแม้ว่าในระยะยาวแล้วโดยเฉลี่ยจะเหนือกว่ามาก

วิธีที่สามคือการลงทุนหรือเล่นหุ้นโดยใช้ “ข้อมูลภายใน” ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน วิธีนี้นั้น แน่นอน คนที่จะรู้ก็มักจะเป็น “คนใน” ที่เป็นผู้บริหารของบริษัท คนกลุ่มนี้มักจะมีจำนวนไม่มาก การศึกษาในสหรัฐเคยพบว่าพวกเขาสามารถทำกำไรได้ดีกว่าดัชนีหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนตาม “คนใน” ผมก็เชื่อว่าคงไม่สามารถทำกำไรได้ เนื่องจากกว่าเขาจะรู้ ราคาหุ้นก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

สุดท้ายคือวิธีการลงทุนแบบ Passive หรือการลงทุนโดยการกระจายการถือครองหุ้นตามดัชนีพูดง่าย ๆ ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนหุ้นตามดัชนี กลุ่มคนที่ใช้วิธีนี้มีความเชื่อว่าตลาดหุ้นนั้น “มีประสิทธิภาพ” ราคาหุ้นในตลาดสะท้อนคุณค่าของกิจการหมดแล้วจึงมีราคาที่เหมาะสม ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเลือกหุ้น ไม่ว่าจะใช้วิธีการหรือเท็คนิคอะไร วิธีการที่ดีกว่าก็คือ ซื้อหุ้นกระจายกันไปทุกตัวในตลาดและได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีโดยที่ต้น ทุนในการบริหารกองทุนนั้นต่ำมาก ซึ่งผลการศึกษาในตลาดหุ้นสหรัฐพบว่า วิธีนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดโดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับวิธีการลงทุนแบบอื่น ๆ ที่กล่าวมา

นั่นอาจจะเป็นผลที่เกิดขึ้นในตลาดสหรัฐที่ซึ่งตลาดหุ้นอาจจะ “มีประสิทธิภาพสูง” อันเป็นผลจากการที่มีนักลงทุนและนักวิเคราะห์ที่มีความสามารถสูงมากมาย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้รวดเร็วตามพื้นฐานของมันและทำให้หาหุ้นที่ราคาผิดไป จากพื้นฐานได้ยาก แต่ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพแค่ไหน? คนจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็น VI เชื่อว่ายังมีหุ้นถูกและดีที่เป็นหุ้น VI อีกมากและเรายังสามารถใช้หลักการของ VI ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นอยู่

ผมเองเชื่อว่า VI นั้น เป็นวิธีการลงทุนที่เหนือกว่าการลงทุนแบบอื่น ๆ มองจากประสบการณ์ส่วนตัวและที่ได้สัมผัสกับนักลงทุนจำนวนมาก เหนือสิ่งอื่นใด การศึกษาก็พบว่ามันเป็นเท็คนิคที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนที่เก่งมาก ๆ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เท็คนิคนั้นก็จะด้อยประสิทธิภาพลงไปเรื่อย ๆ เพราะหุ้นที่ Undervalue หรือหุ้นที่มีราคาถูกก็จะถูกไล่ซื้ออย่างรวดเร็วจนมีราคาแพงขึ้นและทำให้คน ที่เข้าไปลงทุนตามไม่ได้กำไร สุดท้าย ราคาหุ้นส่วนใหญ่หรือเกือบทุกตัวก็จะมีราคาที่เหมาะสมซึ่งทำให้เราไม่สามารถ หากำไรได้ง่าย ๆ

ก่อนจะจบผมอยากเพิ่มเติมประเด็นที่มักจะมีการถกเถียงกันว่าการใช้วิธีการ ลงทุนแบบเท็คนิค หรือการลงทุนแบบ VI ใครดีกว่ากัน? หรือ VI ควรนำวิธีการของเท็คนิคมา “เสริม” ไหม? คำตอบสั้น ๆ ของผมก็คือ ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นนั้น เป็นข้อมูลสาธารณะที่นักลงทุนในกลุ่มสองสามารถใช้ได้อยู่แล้ว ที่จริง VI ดัง ๆ หลายคนก็ใช้ข้อมูลทางเท็คนิค ประเด็นสำคัญที่จะแบ่งว่าคุณอยู่กลุ่มไหนจึงน่าจะอยู่ที่ดีกรีของข้อมูลที่ ใช้มากกว่า อย่างตัวผมเองนั้น ผมใช้ข้อมูลเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายน้อยมาก ผมพอใจที่จะอยู่กับข้อมูลพื้นฐานเป็นหลัก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด คนที่จะพูดแบบนั้นได้ควรจะมีข้อพิสูจน์
แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 2 พ.ย 2553


การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


สรุปยอดซื้อขายต่างชาติ ณ วันที่ 1 พ.ย 2553


การซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)


อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


นักลงทุนที่เยี่ยมยอดจะต้องเรียนอะไร?(วิชาลงทุน) โดย ดร.นิเวศน์

ถ้าถามว่า จะเป็นนักลงทุนที่เยี่ยมยอดจะต้องเรียนอะไร? คำตอบของคนจำนวนมากจะบอกว่า ต้องจบปริญญาบริหารธุรกิจโดยเฉพาะสาขาการเงิน เพราะหลักสูตรนี้ประกอบไปด้วยวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนที่จำ เป็นทุกด้าน ไล่ตั้งแต่การวิเคราะห์งบการเงินของกิจการ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ การบริหารพอร์ตโฟลิโอ นอกจากนั้นยังสอนพื้นฐานของการทำธุรกิจอื่นๆทุกด้าน ตั้งแต่การตลาด การผลิต การบริหารงานบุคคล และกลยุทธ์อื่นๆของธุรกิจ

ถ้าการลงทุนเป็นศาสตร์แบบเดียวกับวิศวกรรมหรือการแพทย์แล้วละก็ คำตอบก็น่าจะถูกต้อง เพราะคงเป็นเรื่องยากที่คนจบวิชาตบแต่งภายในจะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออก แบบโครงสร้างตึก หรือคนจบนิเทศศาสตร์จะกลายเป็นหมอชื่อดัง แต่การลงทุนนั้นเป็นเรื่องของศาสตร์ไม่ถึงครึ่ง และศาสตร์ที่ใช้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ว่าที่จริง ผมคิดว่าคนที่เรียน จบระดับมัธยมถ้าตั้งใจจริง ก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ส่วนที่สำคัญกว่าและยากกว่าในเรื่องของการลงทุนนั้นเป็นศิลปะ และนี่คือส่วนที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างเซียนหุ้นกับนักลงทุนธรรมดา

ปีเตอร์ ลินช์ เรียนจบปริญญาตรี ดูเหมือนจะทางด้านภาษา เช่นเดียวกับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ เขาบอกว่า วิชาที่มีประโยชน์จริงๆต่อการลงทุนเป็นวิชาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และปรัชญา ส่วนวิชาการเงินและการลงทุนที่เขาเรียนมาในระดับปริญญาโท นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว เขารู้สึกว่าทำให้เขาหลงทาง เข้าใจผิด ถึงขนาดบอกว่าคนที่เรียนวิชาเหล่านี้จะมีปัญหาที่จะต้องลบล้างสิ่งที่เรียน มา ถ้าต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน

บิล มิลเลอร์ เซียนหุ้นระดับเดียวกับ ปีเตอร์ ลินช์ แม้จะดังน้อยกว่า เรียนจบมาทางด้านปรัชญา ซึ่งดูไปแล้วห่างจากเรื่องของการเงินและการลงทุนที่จะต้องพิจารณาถึงตัวเลข การคาดการณ์อนาคต การวิเคราะห์ในเรื่องของการแข่งขัน และการบริหารจัดการของบริษัทธุรกิจต่างๆ แต่ มิลเลอร์ กลับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจากการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

ชาร์ลี มังเจอร์ รองประธานของเบิร์กไชร์ และเพื่อนคู่หูของ บัฟเฟตต์ เรียนจบทางด้านกฎหมาย และเป็นนักกฎหมายมานานก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัว แต่เบื้องหลังจริงๆของเขานั้น เขาเป็น “นักศึกษา” ตัวยง เขาเรียนรู้วิชาต่างๆมากมาย ซึ่งน่าจะรวมไปถึงฟิสิกส์และปรัชญา เช่นเดียวกับสถิติและจิตวิทยา เขาบอกว่าการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการสอดประสานของวิชา ต่างๆ เช่นนำความคิดของฟิสิกส์มาประยุกต์รวมกับปรัชญา หรือ นำวิชาสถิติมาเกี่ยวข้องกับจิตวิทยา พูดโดยสรุปก็คือ ยิ่งคุณมีความรู้กว้างในศาสตร์และศิลป์ที่แตกต่างกันคนละเรื่องเลยมากเท่าไร คุณก็จะได้เปรียบในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น

วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นเรียนจบสายตรงมาทางด้านของธุรกิจและการลงทุน แต่อาจารย์ของเขาคือ เบน เกรแฮม ซึ่งถือเป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบ Value Investment นั้น เป็นพหูสูตรในหลายๆเรื่อง เขาเป็นเซียนด้านคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษากรีก ละติน และดนตรี เรียนจบระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด เขาเขียนบทละครเป็นงานอดิเรก

สิ่งที่เซียนหุ้นดูเหมือนจะมีเหมือนๆกันหมดก็คือ คนเหล่านั้นมักเป็นนักอ่านตัวยง เป็นนักคิด หลายๆคนสนใจและเรียนเกี่ยวกับปรัชญา บางคนก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งหมดมีความรู้กว้างขวางในหลายๆสาขาวิชา ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะมาจากนิสัยรักการอ่าน และดูเหมือนว่า “ความลึก” จะเป็นเรื่องรอง เห็นได้จากการที่เซียนหุ้นส่วนใหญ่มักจะมีมุมมองที่ “กว้าง” และมักจะหลีกเลี่ยงประเด็นที่ลึกและเข้าใจยาก วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอัจฉริยะที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน และการลงทุนนั้น คุณไม่ต้องเรียนรู้ตัวอักษรกรีกในคณิตศาสตร์ประเภท เบตา ซิกมา ที่นักวิชาการใช้กัน

ในความเห็นของผม วิชาพื้นฐานการลงทุนที่จะต้องเรียนรู้คงจะต้องมีเพื่อให้สามารถ “อ่าน” ธุรกิจออก ก็คือ วิชาบัญชีพื้นฐานและการวิเคราะห์การเงินพื้นฐาน ซึ่งหาหนังสือที่จะอ่านเองได้ไม่ยาก นอกจากนั้น คุณควรรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดหรือกลยุทธ์การแข่งขันของธุรกิจ ซึ่งมีหนังสือที่เขียนให้คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก จากนั้น คุณก็สามารถอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน โดยเฉพาะหนังสือคลาสสิคหลายๆเล่มทางด้าน Value Investment เหล่านี้คือพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการลงทุน แต่จะทำได้ดีแค่ไหนผมคิดว่า ความ “กว้าง” ของความรู้ น่าจะมีส่วนมากกว่า

การเรียน MBA ทางด้านการเงินนั้น แน่นอนว่ามันเป็นการปูพื้นฐานที่ครบครันในที่เดียว หรือเรียกว่า One Stop Service แต่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุน นอกจากนั้น คุณจะต้องระวังว่า สิ่งที่สอนบางอย่างอาจจะทำให้คุณไขว้เขว และอาจทำให้คุณล้มเหลวจากการลงทุนได้ โดยเฉพาะถ้าคุณเชื่อตามที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณไม่มีโอกาสชนะในการลงทุน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องคิด
แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.