จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนักลงทุนนต่างชาติ take profit
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฝรั่ง take profit และคำถามที่ทุกคน อยากรู้ แต่ไม่มีใครรู้ก็คือเมื่อไรและฝรั่งในที่นี้ ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะพวกตาน้ำข้าวผมทองแต่จะเป็นชาติไหนก็ได้ที่ขนเงินเข้ามา
แล้วก็ผลักให้หุ้น ไทยอยู่ที่ระดับนี้ และเงินบาทที่มีค่าแข็งในระดับนี้ ความสัมพันธ์กันของปัจจัยต่างๆ และความสลับซับซ้อนของปัญหาจะนำมาเสนอให้ท่านเข้าใจอย่างง่ายๆ ในคราวนี้ครับ
ผมเขียนบทความนี้ในวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม (เดือนที่หลายท่านบอกว่าเป็นตุลาอาถรรพ์) ทางฝ่ายบ้านเมือง ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน เพิ่งจะผลัดเปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบไปได้เพียงหนึ่งวัน ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนเก่าเพิ่งหมดหน้าที่ไปหมาดๆ และผมก็เชื่อว่าท่านคงจะ "โล่งอก" จริงๆ จากการพ้นหน้าที่ดังกล่าว เพราะว่ามรสุมลูกสุดท้ายที่โจมตีท่านเรื่องค่าเงินบาทมันหนักหน่วงมากใน เดือนสุดท้ายของการทำงานของท่าน เมื่อศุกร์ที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้น SET อยู่ที่ประมาณ 975 จุด และค่าของเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 30.25 บาท/ดอลลาร์ จำตัวเลข 2 ตัวนี้ไว้ให้ดี เพราะผมเชื่อว่าไม่นานเกินรอ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ค่าเงินบาทที่ 30.25 บาท นี้อยู่ในระดับแข็งค่าที่สุดอย่างน้อยที่สุดภายใน 10 ปีที่ผ่านมา (สถิติแน่นอนยังไม่ได้เช็คสอบ ต้องขอประทานโทษด้วย) แข็งยิ่งกว่าตอนแบงก์ชาติประกาศใช้มาตรการ 30% เพื่อ "discourage" เงินทุนไหลเข้าตอนปี 2549 เสียอีก หากเราจะตัดทอนเองที่ตอนต้นปี 2553 นี้ ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาประมาณเกือบ 10% ผมคงไม่ต้องนำมากล่าวอีกว่าเราแข็งกว่าหรือแข็งพอกันกับประเทศเพื่อนบ้านของ เรา หรือผลกระทบทางด้านการแข่งขันการส่งออกของเรา เพราะมีคนพูดไปมากแล้วนะครับ
ทางด้านตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของเราที่ระดับนี้ เราไม่ได้เห็นมานานแล้วหลายปี หากเราจะตัดทอนจุดต่ำสุดในช่วงเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม ปี 2551 ที่ดัชนีอยู่ประมาณ 400 จุด หรือต่ำกว่านิดหน่อย ตลาดหุ้นไทยก็สูงขึ้นมามากกว่า 100% ติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย/แปซิฟิก หรือหากจะตัดตอนเอาตอนต้นปี 2553 นี้ หุ้นไทยก็ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 30%
ทางด้านตลาดตราสารหนี้ หากเราจะนับเอาอัตราผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปีเป็นเกณฑ์ ก็มีการปรับตัวมาค่อนข้างมาก คือ มีอัตราลดลงจากต้นปีที่ ประมาณ 3.7% มาเหลือ 2.6% ในปัจจุบัน ท่ามกลางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของทางการ ที่อาจนำไปสู่อัตราดอกเบี้ยทางการที่สูงขึ้น
เราเองคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาวการณ์ดังกล่าวได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก จากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียรวมถึงเมืองไทยของเรานี้ด้วย กลไกของบรรดาฝรั่งนักเก็งกำไร ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ ก็นำเงินตราต่างประเทศมาแลกเป็นบาท แล้วก็มาซื้อสินทรัพย์ในกรณีนี้ ก็คือ หุ้นและตราสารหนี้ หากเราเอาเกณฑ์นี้เป็นตัวตั้ง และมา สมมติว่าฝรั่งเริ่มทำอย่างนี้ เมื่อมกราคม 2553
จะเห็นว่ากำไรมาพอควรแล้ว และหากจะนับถอยหลังไปช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2551 อันเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติในอเมริกา (จำ Lehman เจ๊งได้มั้ยครับ) หากบรรดานักเก็งกำไรยัง hold positions คงจะได้กำไรอยู่ในกระเป๋ามากกว่านี้เยอะ
คำถามที่ทุกคนอยากรู้คำตอบ ก็คือ ทำไมเขายังไม่ take profit ล่ะ แล้วเขาจะ take profit เมื่อไร คำตอบของคำถามแรก ก็คือ บรรดา fund manager ต่างๆ เขายังไม่รู้ว่าเมื่อ take profit แล้วจะเอาเงินได้มาไป reinvest อะไรที่ไหน เมื่ออเมริกาก็ยังไม่ดี อียู ก็ร่อแร่ ญี่ปุ่นก็ซึมมาเป็น 10 ปีแล้ว ส่วนคำตอบของคำถามที่ 2 หาตอบได้ถูกยากครับ แล้วหากบรรดาต่างชาติ take profit อะไรจะเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ครับ
1. ค่าเงินบาทจะกลับไปอ่อนลง พร้อมกับการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนในพันธบัตร สิ่งที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วง ก็คือ ความรวดเร็วและลักษณะการเปลี่ยนแปลง จะมีระเบียบ (orderly move) มากแค่ไหน เพราะภายใต้กลไกในปัจจุบันของตลาดทั้งสอง คือ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดตราสารหนี้ ยังไม่ได้รับการทดสอบที่แท้จริงที่จะสามารถ "ทนทาน" กับการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ไหลออกอย่างรวดเร็ว (ถ้าเกิดขึ้น) ได้แค่ไหน การแทรกแซงของทางการผ่านกลไกดังกล่าวจะต้องทำให้สำเร็จ เพราะหากไม่สามารถชะลอได้ จะมีผลแบบปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาทั้งราคาน้ำมัน ราคาทอง การไถ่ถอนกองทุนแบบตื่นตระหนก
2. หุ้นไทยคงจะปรับตัวลง แต่ตลาดหลักทรัพย์เคยผ่านเหตุการณ์ประมาณนี้มาหลายหน กลไกหยุดยั้ง (Circuit Breaker) เองได้รับการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ตลาดขาลง ก็คือ ขาลง และส่วนใหญ่ผู้ตกเป็นเหยื่อ ก็คือ นักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ ผมลองดู Chart ของ Set index แล้วก็รู้สึกเสียว เพราะลักษณะเหมือน Chart ของน้ำมันดิบที่ราคาสูงขึ้นอย่างบ้าเลือด เมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็เลยไม่อยากเห็นหุ้นไทยหล่นตุ๊บลงมาเหมือนน้ำมันดิบ
ข้อแนะนำของผม ก็คือ ผมแนะให้ท่าน take profit ก่อนฝรั่ง โดยเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จะทยอยทำ หรือทำทีเดียวก็สุดแล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนตราสารหนี้ ดอลลาร์ หากไม่ได้ซื้อ (ทั้งๆ ที่ต้องซื้อตามภาระ) ก็ควรจะดูได้แล้ว สิ่งที่ผมจะไม่ทำ ก็คือ ไล่ซื้อหุ้น ขายดอลลาร์แบบเกินความจำเป็น และซื้อกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น เมื่อ take profit แล้ว จะนำเงินไปทำอะไรก็ตามใจเถิดครับ เพราะปัญหาของคนมีตังค์แล้วไม่รู้จะใช้มันอย่างไร ผมไม่ถนัดครับ สุดท้ายก็อยากจะฝากให้ทางการมีการซักซ้อม หรือมีแผนฉุกเฉิน (BCP) ทางตลาดเงินไว้ด้วย ควรเรียกบรรดา Primary Dealers มาพบบ่อยๆ ก็จะดี
ผมส่วนตัวแล้ว ผมมีความเป็นห่วงเรื่องช่องทางการแทรกแซง เพื่อ Calm down ตลาด และเรื่อง timely actions เป็นอย่างมากครับ
แหล่งที่มา เสถียร ตันธนะสฤษดิ์-กรุงเทพธุรกิจ
อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ |