All Blog
กินกระหน่ำในทริปเกาหลี 2....
ห่างหายไปหลายวันเลยคะ มัวแต่ป่วย คราวนี้ก็มาต่อกันจากบล๊อกที่แล้วเลยนะคะ


วันที่ 3 แล้วพวกเราก็ต้องแต่งตัวกันเป็นทางการนิดนึง เพราะว่าวันนี้ต้องไปดูงานที่ศาลาว่าการเมืองโซลคะ


ถ่ายรูปด้านหน้าศาลาว่าการเมืองโซลกันหน่อย เค้ากำลังจัดนิทรรศการอยู่คะ สวยดี










วันที่ก้อยไปบังเอิญว่าเค้ามีการประท้วงอยู่ที่ด้านหน้า คนที่นี่เค้าประท้วงกันอย่างมีระเบียบมาก เค้ามีกฎอยู่ว่าประชาชนสามารถประท้วงรัฐบาลได้ แต่จะต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่าจะประท้วงเมื่อวันไหน เวลาเท่าไหร่ ประท้วงเรื่องอะไร พอถึงเวลาประชาชนมา ทางการเค้าก็จัดตำรวจมาดูแลในเวลาเดียวกันด้วย ดีแหะ



เมื่อจบการดูงานที่ศาลาว่าการเมืองแล้ว ทางทัวร์เค้าก็พาพวกเราไปที่ตึกที่สูงที่สุดในโซล ชื่อตึกอะไรจำไม่ได้แล้วคะ แต่ไปหม่ำกันที่ร้าน Walking on the Cloud









































ที่อร่อยสุดๆ ก็เป็นถ้วยนี้เลยคะ ลูกพลับสุกบดๆ ราดนม อร่อยมากกกก ปกติก้อยไม่ชอบกินเลยลูกพลับแบบสุกมากๆ ชอบแบบแข็งๆ แต่ได้ชิมถ้วยนี้แล้วติดใจ ต้องกลับมาทำกินเองที่บ้านอีก





ช่วงบ่ายไปเที่ยวกันที่ศูนย์เครื่องประดับที่เค้าขายอเมทิสต์ แล้วก็ไปที่ศูนย์โสม และดิวตี้ฟรี และมาต่อกันที่มื้อเย็น ไปกินไก่ต้มโสมกันค่า อร่อยโฮกกกก

























เสร็จแล้วก็ไปช้อปปิ้งที่ตลาดเมียงดง มีพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานฝากซื้อเครื่องสำอางค์กันเยอะมากกกก หิ้วกันตัวเอียงเรย ของตัวเองไม่ได้ซื้ออะไรเท่าไหร่เลย เพราะมัวแต่ตามหาซื้อของที่เค้าฝากกันมา แต่ก็ดีเหมือนกันคะ ไม่เปลืองตังค์ อิอิอิ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องเช๊คเอ้าท์จากโรงแรมเพื่อเดินทางไปพักที่ต่างจังหวัดกัน อาหารเช้ามื่อนี้กินที่โรงแรมคะ อิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า












ระหว่างทางก็ไปแวะเที่ยวที่เกาะนามิกันก่อน











ป้ายห้องน้ำน่ารักๆ ที่เกาะนามิคะ





และเวลาอาหารกลางวันก็มาถึงอีกเร้ววว ข้าวคลุกๆ อะไรก็ไม่รู้ มีหมูด้วย ผักก็เยอะดี อร่อยมากกกก




















ช่วงบ่ายไปเที่ยวทะเลสาป ไปดูหินกัน ต้องใช้จินตนาการเยอะนิดนึงโปแกรมนี้ เพราะต้องดูหินให้เป็นเต่าบ้างไรบ้าง อิอิอิ






ก่อนเข้าโรงแรมที่พักในคืนนี้ เราก็ถูกขุนกันด้วยมื้อเย็นหนักๆ อีกรอบคะ อร่อยอีกแล้ววววว จะไม่อ้วนได้ไงเนี่ย














ไปถึงโรงแรมที่พักเราก็ไปอาบน้ำแบบท่าทายสายตาผู้คนในชุดวันเกิดกันที่ ออนเซ็นแบบเกาหลีคะ ก้อยรีบไปก่อนคนแรกเลย เพราะชอบออนเซ็นมาตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นแล้ว อิอิ















โรงแรมนี้เรานอนพื้นกันแบบเกาหลีคะ เค้าจัดที่นอน หมอน ผ้าห่มให้ เราก็จัดการปูกันเอง แล้วก็หลับปุ๋ย.....



ตื่นเช้ามาฝนตกหนักมาก เราต้องเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้วในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของการเดินทาง






อาหารเช้ากินกันที่โรงแรม ส่วนอาหารกลางวันของวันนี้เป็นอาหารไทยคะ เราไปกินกันที่ร้านอาหารไทย ในเส้นทางที่จะไปสนามบิน











ก่อนจะไปถึงสนามบินไกด์ก็พาไปแวะร้านละลายเงินวอนกันก่อน ตามธรรมเนียม เอิ๊กๆ

ถึงเวลาเช๊คอิน รอขึ้นเครื่องไกด์ก็เอาสตรอเบอรี่ที่สั่งไว้มาให้คะ










แล้วก็กินอาหารเย็นกันบนเครื่อง อาหย่อยๆ มีกิมจิให้ด้วย








บินกลับด้วยสายการบินไทย และแวะไปจอดรับผู้โดยสารที่ไต้หวันก่อนจะบินถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ.....





Create Date : 30 มิถุนายน 2554
Last Update : 30 มิถุนายน 2554 22:39:30 น.
Counter : 2042 Pageviews.

20 comment
กินกระหน่ำในทริปเกาหลี
หลังจากก้อยกลับมาจากอเมริกาแล้วก็ป่วยเป็นอีสุกอีใส ช่วงนั้นมีเวลาพักอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะเดินทางในทริปต่อไปเพื่อไปเกาหลีคะ โชคดีที่ก้อยไปหาหมอแต่เนิ่นๆ ก็เลยหายเร็ว และแทบไม่มีแผลเป็นเลย ช่วง 2 สัปดาห์ที่ได้พักเลยทำให้ก้อยมีอาการดีขึ้นและหายเป็นปกติ ถ้าดูในรูปบล๊อกนี้จะไม่เห็นเลยว่าก้อยมีร่องรอยในการเป็นอีกสุกอีใสมาเมื่อไม่กี่วันก่อน



ทริปเกาหลีนี้เป็นทริปดูงาน+เที่ยว ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับจากการได้รับคัดเลือกให้เป็นข้าราชการดีเด่นของกรุงเทพมหานครคะ ทริปนี้ก้อยจะเน้นนำเสนอเรื่องการกินเป็นหลักนะคะ เพราะว่าที่ท่องเที่ยวเกาหลีมีหลายๆ คนรีวิวกันเยอะแล้ว



ตอนที่เค้าคัดเลือกมีจัดกลุ่มตามระดับขั้น ตอนนั้นก้อยทำงานมาได้ 9 ปี แล้ว อยู่ที่ซี 6 คะ และในกลุ่มที่ก้อยถูกส่งไปเที่ยวก็อยู้ระหว่าง ซี 6 - 8 ซึ่งก็เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ๆ แล้ว มีพี่ๆ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการเขตใน กทม. อยู่ก็หลายท่านด้วยกันคะ ก้อยก็เกือบๆ จะเป็นน้องเล็กสุดในทริป



ช่วงระหว่างที่คัดเลือก ก้อยเป็นตัวแทนของสำนักสิ่งแวดล้อม และต้องเข้าสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกข้าราชการดีเด่นลำดับที่ 1 ของแต่ละกลุ่ม ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็มีอยู่ประมาณ 70 คน ทุกคนเข้าสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกมา 4 คน เพื่อไปสัมภาษณ์ต่อกับคณะกรรมการของ กทม. หลังจากสัมภาษณ์แล้วผลปรากฎว่าในกลุ่มข้าราชการซี 6 - 8 ก้อย ติดเข้ารอบสุดท้ายเป็น 1 ใน 4 คน นั้นด้วย และเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม พี่ๆ คนอื่นๆ เค้าก็เป็นพี่ใหญ่กันแล้ว มีคุณหมอ มีผู้อำนวยการเขต และพี่อีกคนเป็นนักกฎหมาย (ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งก้อยเป็นนักวิชาการตัวน้อยๆ ก็เป็นปลื้มคะที่ติดโผกับเค้าไปด้วย ตอนสัมภาษณ์รอบสุดท้าย ตื่นเต้นมาก มีผู้ใหญ่ในกทม. ซึ่งเป็นกรรมการหลายท่านมาก ประมาณ 30 ท่าน นั่งฟังเราพูดในห้องประชุมใหญ่ พูดถึงหลักการ ความมุ่งหวังในการทำงาน ประมาณนี้ และกรรมการก็ถามคำถาม เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากคะ และท้ายที่สุดคนที่ได้รับตำแหน่งลำดับที่ 1 ไป เป็นคุณหมอคะ ส่วนก้อยติด 1 ใน 4 คน สุดท้ายนี่ก็เป็นความภูมิใจที่สุดแล้ว



มาต่อกันที่ทริปเกาหลีคะ เราเดินทางกันตอนกลางคืนของวันที่ 24 มีนาคม 2008 ถึงเกาหลีตอนเช้า ทัวร์ทางเกาหลีมารับแล้วเราก็ไปกินอาหารเช้า+เที่ยง เป็นบรันช์ กันก่อนเลย จัดหนักกันแต่เช้าเลยคะ



























ตกบ่ายก็ไปเที่ยววัดกัน แล้วก็เดินช้อปปิ้ง ก้อยแวะไปเดินในตลาดก็มีร้านขายอาหารในตลาดมาฝากกันด้วย






ตกเย็นก็ไปกินกันต่อคะ เป็นข้าวยำเกาหลี และประมาณชาบู ชาบู



ร้านนี้เค้าดังนะคะ มีรูปกับฟิล์มและก็นักร้องสาวของไทยอีกคน ชื่ออะไรไม่แน่ใจ เคยมากินด้วย เค้าถ่ายรูปติดข้างฝาไว้






























สตรอเบอรรี่ลูกโตหวานอร่อยชื่นใจมากมายคะ มีเรื่องน่าสนใจกับการปลูกสตอรเบอรี่กับโสมเกาหลีมาเล่าให้ฟังคะ เค้าเล่าให้ฟังว่าการปลูกโสมนั้นดินที่ใช้ปลูกต้องเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์มีแร่ธาตุมากมายเพื่อให้ได้โสมที่มีคุณภาพ และเมื่อดินนั้นใช้ปลูกโสมแล้ว เจ้าโสมเค้าจะดูดเอาสารอาหารต่างๆ ในดินมาเก็บไว้ที่ตัวเค้าหมด เลยทำให้โสมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมายในการช่วยบำรุงร่างกาย และเมื่อเค้าถอนโสมออกไปแล้วดินนั้นแทบจะไม่เหลือสารอาหารต่างๆ เพื่อจะปลูกพืชอย่างอื่นต่อไปได้อีก เค้าต้องมีการบำรุงดินอยู่เป็นเวลานาน และเพื่อเป็นการทดสอบว่าดินนั้นมีคุณสมบัติดีพอที่จะปลูกโสมในรอบต่อไปรึยัง เค้าก็จะทดสอบโดยการปลูกสตรอเบอรรี่ลงไปก่อนคะ ถ้าสตรอเบอรี่ในแปลงในมีรสหวานดีแล้ว แสดงว่าดินในแปลงนั้นมีสารอาหารพร้อมแล้วที่จะปลูกโสมต่อไป




กินเสร็จก็เข้าพักที่โรงแรมกันคะ เช้าวันต่อมาเราก้ออกไปกินอาหารเช้ากันข้างนอก เป็นแพในแม่น้ำคะ







บรรยากาศดี อร่อย แถมมีหนุ่มเกาหลีน่ารักๆ มาทำอาหารให้กินกันด้วยนะคะ























กินเสร็จแล้วก็ไปเป็นแดจังกึมกันซะนิดนึง อิอิอิ












ไม่ทันไร ก็มาถึงเวลามื้อกลางวันกันอีกแล้ว




















กระเทียมเกาหลีรสชาดเผ็ดบรรเจิดมากคะ อร่อยมากๆ กินไปน้ำตาร่วงไปเรยยย







ต่อจากนั้นเราก็ไปเที่ยวแถวๆ บ้านประธานาธิบดีกันคะ ชื่อว่า Blue House ห้ามถ่ายรูปเข้าไปทางหน้าบ้านประธานิธิบดีนะคะ แต่แอบถ่ายตำรวจแถวๆ นั้นมาคะ เก๋ดี ท่าทางวิ่งจับผู้ร้ายคงไม่พลาดสักราย อิอิอิ










มื้อเย็นเราไปกินกันแบบชาววังคะ เป็นอาหารแบบโบราณของเกาหลี กระจุ๋มกระจิ๋ม น่ารักดี อร่อยด้วย

















มีการแสดงให้ชมด้วยคะ





วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนนะคะ มีต่อตอนสองค่า



มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะทุกคน




Create Date : 14 มิถุนายน 2554
Last Update : 14 มิถุนายน 2554 22:50:28 น.
Counter : 1374 Pageviews.

25 comment
พาชมเมือง ขากลับเครื่องบินมีปัญหา หนาว ฝนตก ป่วย......จะรอดไม๊หนอเรา
มาต่อกันสำหรับทริปสำคัญในการเดินทางไปประชุมที่วอชิงตัน ดี.ซี. นะคะ

วันต่อมาหลังจากประชุมครึ่งเช้าแล้ว ทีมท่านผู้ว่าต้องเดินทางไปอีกรัฐนึงเพื่อเข้าร่วมประชุมเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา ทางนี้ก็เหลือก้อย พี่น้อง และท่านผอ.สำนักคะ เหลือกัน 3 คน ก็เข้าประชุมตอนบ่ายต่อ พอจบประชุมเราก็ชมเมืองกัน



กระรอกน้อยผู้มีชื่อเสียงในไวท์เฮ้าส์




















































































ชอเมืองกันแล้วมื้อเย็นก็ไปกินอาหารการที่ร้านอาหารไทย มื้อนี้เจ้านายเลี้ยง อิอิอิ

เสร็จแล้วเราก็กลับมาพักผ่อนและแพ็คกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับ ขากลับนี้เราต้องไปต่อเครื่องที่สานมบินนาริตะ ที่ญี่ปุ่น บินด้วยสายการบิน ANA





แล้วเราก็ไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องกันที่ Washington Dulles International Airport ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ มันมาไม่ปกติก็ตอนนี้เครื่องกำลังวิ่งบนรันเวย์ กำลังจะเทคออฟแล้ว จู่ๆ กัปตันก็ชะลอเครื่องลง และหยุดเครื่อง


พวกเราก็งงกันว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วกัปตันก็ประกาศว่าเครื่องขัดข้อง ขอเวลาตรวจสอบนิดนึง แต่นิดนึงของเค้าก็ปาเข้าไป 3 ชม. คะ ช่วงนั้นก็เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว พวกเราก็หิวกันมากกกกก แอร์ฯ เค้าก็เลยเอาของว่างมาแจก ระหว่างรอ แต่ก็ชักจะยังไงอยู่แล้ว ท่าทางเครื่องบินจะเสียหายหนัก



รอกันไปหลับกันไปถ้วนหน้าเลยคะ





อีกสักพักเค้าก็เอาคูปองอาหารมาแจก เพื่อให้เราลงจากเครื่องแล้วก็ไปกินอาหารได้ในร้านอาหารสนามบิน เรา 3 คน ก็พากันไปกินแซนวิช นม ผลไม้รองท้องคะ คูปองที่เค้าให้มาก็เป็นเงินไม่เยอะมากแต่ก็ได้อิ่มอยู่


กินอิ่มแล้ว เราก็ไปรอกันที่ทางออกขึ้นเครื่องอีกเพื่อรอเรียกขึ้นเครื่อง
5 โมง 40 แล้ว รอ รอ รอ.....





รอจนมืดแล้วคะ เรารอกันจนประมาณ 2 หรือ 3 ทุ่มนี่แหละ แล้วทางสายการบินก็ประกาศว่าไฟล์ทนี้ไม่สามารถออกเดินทางได้ในวันนี้ เพราะเครื่องบินเสียหายในส่วนของมอเตอร์ ต้องทำการเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่และคาดว่าจะออกเดินทางได้พรุ่งนี้เช้า.........อึ๊ยยยย......


ทำไงละทีนี้....


ทางสายการบินเค้าก็ให้เรา ต่อคิวกันเพื่อที่จะออกเอกสารให้แต่ละคน สำหรับใช้ในการเช็คอินใหม่พรุ่งนี้เช้า ช่วงเวลานั้นวุ่นวายมากกกกก เหนื่อยก็เหนื่อย อยากกลับบ้านเป็นที่สุด อากาศข้างนอกก็หนาว ฝนก็ตก แถม ณ เคาเตอร์ตรงนี้ก็วุ่นวายสุดๆ พนักงานของสายการบินก็ทำงานได้อืดมากกก ท่าทนผอ.สำนักก็เลยเข้าไปคุยกับพนักงานว่าพวกเรา 3 คน เดินทางด้วยพาสปอร์ตราชการ ช่วยจัดการให้เป็นพิเศษได้ไม๊ พอเห็นอย่างนั้นทางสายการบินก็ออกเอกสารให้พวกเราเรียบร้อย เสร็จแล้วเค้าก็บอกให้เราออกไปขึ้นรถด้านหน้าสนามบิน เพื่อไปพักที่โรงแรมที่ทางสายการบินรับผิดชอบ เค้าจัดผู้โดยสารทุกคนพักในคืนนี้ พวกเรา 3 คน ก็หอบหิ้วกันไป ดีที่ว่าเวลาก้อยเดินทางจะมีกระเป๋าใบน้อยที่เอาไว้หิ้วขึ้นเครื่องซึ่งก้อยจะใส่เสื้อผ้าของใช้จำเป็นไว้ สำหรับ วันหรือสองวันด้วย งานนี้เลยได้เอามาใช้เป็นแน่



ระหว่างรอขึ้นรถไปโรงแรม อากาศหนาวมาก ฝนก็ตกค่อนข้างหนัก





พอไปถึงโรงแรมก็เจอคิวยาวเหยียดอีกเพื่อเช็คอินเข้าห้องพัก จะไม่ให้ยาวเหยีดได้ไงเนอะก็ผู้โดยสารในเครื่องทั้งลำก็ประมาณ 300 คนได้มั้ง เราก็ต้องอดทนรอไปตามคิวคะ ก้อยได้พักห้องกับพี่น้อง ส่วนท่านผอ.สำนักพักคนเดียว และไม่ใช่แค่รอคิวยาวเพื่อเช็คอินแค่นั้น เราต้องต่อคิวยาวเพื่อเข้าห้องอาหารไปกินอาหารเย็นกัน อันนี้ทางสายการบินก็จัดให้อีกละคะ แต่ด้วยความที่ห้องอาหารก็จุได้ประมาณ 50 คน เท่าที่ใช้สายตาคำนวณ เราก็เลยต้องรอกันนานพอสมควร หิวคะแต่ต้องอดทน เจอสถานการณ์แบบนี้ไม่สนุกเลย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมคะ


กินกันเสร็จแล้วเราก็รีบไปอาบน้ำนอนกันเพราะพรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปเช๊คอินกันอีก เท่าที่จำได้ตื่นกันตอนตี 5 เลยคะ ไปถึงสนามบินก็ 6 โมงเช้า นี่ขนาดว่าเราตื่นเช้ากันแล้วนะคะ แต่มีคนตื่นเช้ากว่าเรามารอคิวกันเพียบแล้ว



ระหว่างรอเฃ็คอินตอนเช้า





กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็ปาเข้าไปสายๆ ของวัน ขึ้นไปบนเครื่องแล้วก็นั่งรอเครื่องขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักมาก





เราก็รอกันไป รอกันไป เอทำไมเครื่องไม่ขึ้นสักทีหนอ นี่ก็เวลาหิวกลางวันอีกแล้ว สักพักกัปตันก็ประกาศว่า มีปัญหาเรื่องอาหารที่ส่งขึ้นเครื่องพบว่าขาดไปจำนวนนึง เค้าต้องจัดการเอาอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป และเอาล๊อตใหม่เข้ามาแทนให้ครบตามจำนวนของผู้โดยสาร.......เอิ๊ก.....อีกแล้ว ต้องรอกันไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย ฉานอยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว ช่วงนั้นก้อยรู้สึกเหนื่อย เพลียมาก เหมือนจะไม่สบาย


แต่สักพัก ก็พักยาวพอสมควรประมาณ 1 ชม. กัปตันก็พาเราเหินสู่ฝากฟ้า บ๊ายบาย กันซะทีสนามบิน ว่าๆ ไปก็ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง The Terminal ที่ทอม แฮงค์แสดง เค้าไม่สามารถออกจากสนามบินได้เพราะประเทศปิดประมาณนั้น ก็เลยต้องอาศัยอยู่ในสนามบิน



พยายามหลับแต่ก็นอนไม่หลับ เลยเปิดหน้าต่างออกไปดูเทือกเขาหิมะด้านล่าง สวยดีคะ





ดูซิคะว่าอากาศด้านนอกมันหนาวแค่ไหน น้ำแข็งเกาะหน้าต่างเครื่องบินเลย






และแล้วก็ถึงสนามบินนาริตะคะ ณ ตอนนั้นก้อยอาการก้อยไม่ดีเอาซะเลย นอนยาวบนเก้าอี้ระหว่างรอขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยเลยคะ เอาหนะอดทนอีก 6 ชม..........ก็ถึง






พอถึงบ้านรุ่งขึ้นก้อยก็มีตุ่มใสๆ ที่คอคะ ก็สงสัยว่าเราเป็นอะไรหนอ มีไข้สูงด้วย แต่ก็ต้องอดทนไปที่ทำงานคะ เพราะต้องทำพรีเซนเตชั่นของการประชุมที่วอชิงตันเอาไปนำเสนอในการประชุมผู้บริหาร ต้องอึดไปให้ได้ แต่อีกวันนึงไม่ไหวแล้วคะ ต้องไปหาหมอ ผลปรากฎว่าก้อยเป็นอีสุกอีใสค่าาาาา.......ดีนะที่รู้แต่ต้นๆ ยาที่หมอให้มาเลยคุมอาการอยู่ มีตุ่มขึ้นบนหน้าเยอะเหมือนกันคะ แต่ก็น้อยถ้าเทียบกับที่เคยเห็นจากคนอื่นๆ ช่วงนั้นต้องพักยาวเลยยยยย แต่ก็ดีคะ ค่อยหายเหนื่อยหน่อย.......เฮ้อ



หวังว่าเประสบการณ์ของก้อยจะช่วยให้เพื่อนพอนึกภาพถึงสถาการณ์ที่ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทางได้ และคงจะช่วยในการเตรียมตัวเพื่อการเดินทางนะคะ ขอบอกว่ากระเป๋าใบน้อยที่พกติดตัวไปกับเครื่องใช้จำเป็นนั้นเป็นประโยชน์มากคะ เพราะกระเป๋าใบใหญ่โหลดขึ้นเครื่องไปแล้ว



มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะทุกคน แล้วเจอกันใหม่บล๊อกหน้าคะ







Create Date : 20 เมษายน 2554
Last Update : 20 เมษายน 2554 5:00:09 น.
Counter : 1443 Pageviews.

20 comment
กระทบไหล่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ......ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี
มาต่อกันจากทริปอินเดียนะคะ วันนั้นกลับมาจากอินเดีย กำลังนั่งแท๊กซี่กลับบ้าน ผอ.ที่ทำงานโทรมาหาระหว่างทาง ผอ.บอกว่าให้ก้อยเตรียมตัวเดินทางต่อนะ อีก 1 สัปดาห์ต้องเดินทางไปประชุมเกี่ยวกับเรื่องพลังงานทดแทนที่วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ร่วมกับทีมท่านผู้ว่า กทม. ซึ่งสมัยนั้นเป็นคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน.......



ได้ยินปุ๊บก็จ๊ากกกก......นี่อิชั้นยังไม่ทันถึงบ้านเลย.....



และที่ต้องร้องจ๊ากก็เพราะว่าทริปนี้ไม่ได้อยู่ในแพลน เพราะจริงๆ อีก 3 สัปดาห์ก้อยก็ต้องเดินทางไปเกาหลี และหลังจากเกาหลีอีก 4 วัน ก็ต้องบินต่อไปชิลี นึกแล้วก็เหนื่อยมาก ช่วงนั้นไม่ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางกันเลย และที่ต้องร้องจ๊ากกกกอีกหนึ่งสาเหตุคือทริปนี้งานหนักแน่นอน เพราะต้องเดินทางไปกับผู้ใหญ่ ต้องเตรียมงานเพียบ แถมต้องข้อมูลแน่นปึ๊ก ท่านถามอะไรก็ต้องตอบได้.........แต่ยังไงก็ต้องไปละจ้า นายสั่งมาเนอะ


ไปถึงที่ทำงานพี่ๆ ที่กองการต่างประเทศก็รอพาสปอร์ตก้อยอยู่ เพราะต้องเอาไปขอซ่า ก่อนออกเดินทางก็ต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม โดยเฉพาะเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ต้องทำเป็นรูปเล่มแบบรายงานเอาไปให้ผู้ใหญ่ทุกท่านก่อนการเดินทาง เตรียมเสื้อผ้าที่เรียบร้อย สีไม่โดด เอิ๊กๆๆๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมากเพราะมีทีมงานร่วมเดินทางหลายคนคะ มีพี่ๆ นักข่าว และก็ทีมงานจากกองการต่างประเทศที่ช่วยดูแลเรื่องการเดินทาง ที่พัก และรายละเอียดของการเข้าร่วมประชุม แต่ตอนที่ไปนั้นท่าผู้ว่าจะเดินทางตามไปอีกวันนึง ส่วนทีมของพวกเรามีท่านรองผู้ว่านำทีมไปเข้าร่วมประชุมกันก่อน


ตอนกลางคืนวันที่ 3 มีนาคม 2008 เราก็ออกเดินทางกันเลย ด้วยสายการบินไทย จากสนามบินสุวรรณภูมิไปสนามบิน JFK บินกันยาวเลยคะ เมื่อยแล้วเมื่อยอีก ไม่ถึงซักกะที






พอไปถึงแล้วเราก็ต้องผ่านด่าน ตม. ที่ยาวววววว มาก แต่พวกเราก็ผ่านไปด้วยความสะดวก และก็ต้องไปนั่งรถไฟเพื่อไปเปลี่ยนเครื่องที่จะบินไปวอชิงตัน ดี ซี กัน






ระหว่างรอขึ้นเครื่อง เห็นตู้ขายดอกไม่ 24 ชม นี้ น่ารักดีคะ ใครไม่ได้ซื้อดอกไม่มารับบุคคลที่รักก็กดจากตู้นี้เลย






พอไปถึงสนามบินวอชิงตันก็มีรถมารับคะ เจอเลมูซีนคันนี้ก่อนเลยมารับท่านรองผู้ว่า ยาววววววซะ






ส่วนพวกเราก็นั่งรถมินิบัสกัน เอิ๊กๆๆๆ นี่ใกล้ถึงในตัวเมืองวอชิงตันแล้วคะ






เดินทางถึงที่โรงแรมที่พักก็ประมาณ บ่ายๆ แล้วคะ ตอนนั้นก็อยากจะนอนมากกกกก เพราะเดินทางมาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยสุดๆ ไปเลย แต่ก็นอนไม่ได้ เพราะเราต้องออกไปดูสถานที่ประชุมเพื่อ เตรียมตัวเข้าร่วมประชุมในเช้าวันถัดไป



เราพักกันที่โรงแรม The St. Regis Washington, D.C. (//www.stregiswashingtondc.com) ก่อนจะมาก้อยก็เช็คดูในเวปไซต์ของโรงแรมแล้ว เพื่อหาที่เดินเที่ยว อิอิอิ โรงแรมนี้อยู่ห่างจากทำเนียบขาวแค่ 2 บล๊อกเองคะ ทำเลดีมากกกกก



ไปถึงโรงแรมก็ทำเอาเซอร์ไพรส์กันไปเลย สวยมากกกก หรูหรามาก โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่เก่าแก่มากเปิดมาตั้งแต่ปี 1926 เป็นโรงแรมที่มีนักการเมืองสำคัญๆ ประธานาธิบดี และผู้มีชื่อเสียงต่างๆ นิยมเข้าพักกันที่นี่



.....(นี่ถ้าเราไม่ได้มากับท่านผู้ว่าฯ คงไม่มีบุญพักที่นี่หรอก เอิ๊กๆๆ)......



ถ่ายรูปมาแต่ส่วนของห้องพักพวกเราคะ ส่วนห้องผู้ใหญ่คงจะหรูหรากว่ากันมาก









นี่ห้องน้ำ ดูเหมือนห้องน้ำปกติตามโรงแรมนะคะ แต่......






ทะ ท้าน.....กระจกเนี่ยเคาะมันไป ปิ๊งงงง....กลายเป็นทีวีขึ้นมาเลยค่า อาบน้ำไปดูทีวีไป อิอิ






วันต่อมาเราต้องไปเข้าประชุมกันแล้ว แต่....ก้อยตื่นสายค่าาาา .......จ๊ากกกกก ทำไงดีเนี่ย รีบสุดๆ อาบน้ำ แต่งตัว ลงไป กินอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี่ก็ไม่ได้เป็นแบบบุฟเฟต์ เหมือนตามโรงแรมทั่วไป เป็นแบบอเมริกันเบรกพาสต์ที่ต้องสั่ง ทำเอางงงงงง อิอิ ง งู หลายตัว ก็มันงง จริงๆ อะ



มาถึงก็ ขนมปังเอาแบบไหน ไข่แบบไหน ไส้กรอก เบคอน อะไร โอ๊ยยยย เอาไรก็ได้พี่ ก็ไม่ได้อีก คุณบริกรเธอก็คงงงว่ายัยนี่มาพักโรงแรมซะหรู แต่สั่งอาหารเช้าไม่เป็น แต่โชคดีที่วันนั้นนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ท่านรองผู้ว่า ได้ยินท่านสั่ง ก็เลยพอจะเข้าใจว่ามันต้องสั่งยังไง เสียดายจังไม่ได้ถ่ายรูปห้องอาหารและอาหารเช้ามาเลย เพราะช่วงเวลาของอาหารเช้านี่เราก็ต้องทำงานคะ กินไป หารือกันไปว่าจะเข้าไปชุมห้องไหน เพราะต้องเลือกเข้า มีห้องประชุมในหลายหัวข้อมาก ห้องอาหารตอนเช้านี่ถือเป็นการประชุมไปในตัวเลย ส่วนวันที่ท่านผู้ว่ามาถึง ตอนทานอาหารเช้าท่านก็ต้องให้สัมภาษณ์นักข่าวสดๆ ไปที่เมืองไทยด้วย ทุกนาทีแทบจะเป็นนาทีแห่งการทำงานจริงๆ เลยคะ



ตอนเช้าด้วยความที่ก้อยกับพี่อีกคนสาย รถมินิบัสก็เลยออกไปกันแล้ว เราก็เลยได้อาศัยรถเลมูซีนของท่านรองผู้ว่าไปเข้าร่วมประชุมคะ






ตัวแทนประเทศไทย ถ่ายรูปกับธงชาติไทยหน่อยจ้าาาา






เข้าร่วมประชุม






ช่วงพักเบรกการประชุมก็ยังเครียดกันได้อยู่






ช่วงพักกลางวันสำหรับผู้ใหญ่ทางผู้จัดประชุมเค้าจัดห้องให้หม่ำกันเพราะมีบุคคลสำคัญๆ ของประเทศต่างๆ เข้าร่วมประชุมเยอะมากกกก ส่วนพวกเราเด็กก็ไปหาอาหารฟรีที่เค้าจัดไว้ในบู๊ทส่วนของการแสดงนิทรรศการกินกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอาหารง่ายๆ อย่างแซนวิช เบอร์เกอร์ ก็ช่วยให้อิ่มท้องได้ดีอยู่คะ






กลับมาตอนค่ำก็ขอถ่ายรูปกับรถเลมูซีนหน่อย ก็มันยาวดีจัง เอิ๊กๆๆ






วันถัดไปเรามีกำหนดการที่น่าตื่นเต้นเพราะตอนเช้าเราจะเข้าร่วมประชุมใหญ่กับอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช คะ.....ส่วนท่านผู้ว่าจะเดินทางมาถึงตอนบ่ายๆ



ตอนเช้าไปถึงวันนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก มีน้องสุนัขตำรวจมาดูแลความปลอดภัยด้วย






ถ่ายรูปรอระหว่างบุชกำลังจะมา อิอิ






มาแย้ววว










พวกเราถือว่าได้นั่งใกล้เวทีมากๆ ได้บรรยากาศ อิอิอิ










ตอนบ่ายๆ ท่านผู้ว่าก็เดินทางมาถึงคะ ขอบอกว่าลงเครื่องปุ๊บก็เข้าร่วมประชุมปั๊ปเลย ท่านไม่ได้ไปพักที่โรงแรมเลย สปิริตแรงกล้ามาก และก้อยก็ประทับใจนะคะ เพราะว่าท่านเป็นคนที่ทำงานอย่างตั้งใจ เฉียบขาด จริงจังมาก แถมฉลาดสุดๆ ด้วย เวลาที่ก้อยเตรียมเอกสารเพื่อให้ท่านบรรยาย ส่วนใหญ่แทบจะไม่ต้องเอามาแก้ไขเลย และทั้งที่ท่านไม่ได้เป็นนักสิ่งแวดล้อม แต่ในการบรรยายเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องโลกร้อนนั้น ท่านทำความเข้าใจได้อย่างดีมากๆ ส่งเอกสารให้ท่านไป ท่านก็ศึกษาเองและขึ้นบรรยายได้เลย ขอบอกว่าประทับใจสุดๆ จริงๆ



มาถึงแล้วคะ






มาถึงก็เข้าประชุมเลย






ประชุมกันไปจนถึงเย็นมากๆ เราก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปที่ทำเนียบเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิอิ เขียนซะทางการเลยเนอะ



แต่ก่อนจะไปถึงทำเนียบท่านฑูต พวกเราพอมีเวลา ก็เลยตระเวนชมเมืองกัน ไปถ่ายรูปกันที่ The Capitol ที่ที่ซึ่งเราได้เห็นกันบ่อยๆ ในหนังหลายๆ เรื่อง ดีจังวันนี้ก้อยได้มาเห็นชัดๆ แล้ว อิอิ



ชอบรูปนี้จัง เพราะเห็นอนุสาวรีย์วอชิงตันเป็นเงาสะท้อนในกระจกรถด้วย






รูปหมู่หน่อยจ้า






ร่วมกันโดด






ถึงทำเนียบท่านฑูตแล้ว


ผู้ใหญ่เค้าคุยกัน






ส่วนเด็กๆ ก็นั่งฟังห่างๆ รอกินข้าว หิวแล้ววววว อิอิ






ก่อนเข้าไปห้องอาหารมีแผนที่ให้เราดูกันว่าใครนั่งตรงไหน ก็ต้องนั่งให้ถูกที่นะจ๊ะ

นี่จ๊ะตรงนี้สำหรับชลิกา หนูนิล หรือก้อยเอง เอิ๊กๆ





จาน ชาม ช้อน ส้อม มีด ทั้งหลาย มีตราครุฑหมดเลย ดูขลังมากคะ






รายการอาหาร






ท่านฑูตกล่าวตอนรับ



(มองเห็นก้อยนั่งอยู่ท้ายโต๊ะด้านนู้น เพราะเค้าจัดที่นั่งกันตามอาวุโส เด็กสุดก็นั่งไกลสุดเลยยยย อิอิ)




บรรยากาศ






อาหารมาแล้วววว






ของหวานตบท้ายจ้า อร่อยมากๆ



วันนั้นก็จบลงอย่างอิ่มหน่ำสำราญ และเบิกบานใจกันไปถ้วนหน้าคะ



บล๊อกหน้ามาต่อกันอีกนะคะ ก้อยจะพาไปชมสถานที่สำคัญๆ ในกรุงวอชิงตัน ดี ซี และเที่ยวบินขากลับที่มีให้เรื่องให้ลุ้นอย่างแรงๆ คะ



มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะทุกคน จุ๊บๆ








Create Date : 05 มีนาคม 2554
Last Update : 5 มีนาคม 2554 6:15:11 น.
Counter : 1984 Pageviews.

32 comment
กิน+เที่ยววัดและพระราชวังในอินเดีย
ช่วงที่อบรมอยู่ที่อินเดียทางผู้จัดมีอาหารให้เรา 2 มื้อ คือ มื้อเช้ากับมื้อกลางวัน ส่วนมื้อเย็นก็หากินกันเอง ส่วนใหญ่ก้อยกับพี่คนไทยก็ต้มมาม่า กินกันคะ หรือไม่ก็พวกผลไม้และขนมต่างๆ ที่พกมาจากเมืองไทย ทำเอาผอมลงไปเหมือนกัน



ส่วนอาหารที่ทางผู้จัดเค้าจัดให้ก็เป็นอาหารอินเดียแบบพื้นเมืองเลยคะ เพื่อนหลายๆ คนก็กินไม่ได้ เช่น เพือนจากฟิลิปปินส์ เวียตนาม และพี่เปิ้ล พี่คนไทยที่ไปด้วยกัน ส่วนก้อยก็พอกินได้อยู่คะ เพราะสมันตอนที่เรียนอยู่ AIT ก็มีเพื่อนชาวอินเดียหลายคน และมีร้านอาหารอินเดียอยู่ด้วย ก็ได้กินอยู่บ่อยๆ



มาดูหน้าตาอาหารที่เค้าจัดให้กันเรยยยย


เป็นแบบบุฟเฟต์นะคะ













หนุ่มๆ ผู้ให้บริการคะ





ตักลงจานแล้ว พร้อมหม่ำ









มาดูของหวานกันบ้าง










ดูหน้าตาคนกินบ้างว่ามันอร่อยแค่ไหน เอิ๊กๆๆๆ







คนอื่นเค้ากินอิ่มกันหมดแล้ว เหลือก้อยเบิ้ลต่ออยู่คนเดียว อิอิอิ ก็มันอร่อยนี่นา มื้อนั้นเป็นแกงไก่ กับข้าวที่เค้าต้มแบบเละๆ เหมือนข้าวต้ม แต่เหมือนเค้าต้มกับโยเกิร์ตด้วยคะ แปลกดี กินใหญ่เลย ข้าวหน้าตาเป็นแบบนี้คะ





คราวนี้มาดูอาหารที่ออกไปกินกันข้างนอกบ้าง


อาหารเช้าคะ








ขนมปังเหมือนคล้ายๆ โดนัททอด กินกับชาอินเดีย ชาเค้าอร่อย หอมสุดๆ ไปเลยคะ






มื้อกลางวัน ไก่กับเครื่องเทศอินเดีย กับข้าวสวย สั่งแบบเบสิคสุดๆ จะได้กินได้ อิอิอิ แต่เสียดายที่ไก่เค้าเหนียวมากๆ ส่งสัยจะเป็นไก่บ้านนะคะ เคี้ยวจนปวดขมับเลยละคะ






ท้องอิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันเลยนะคะ นี่คะยานพาหนะของพวกเรา...




ด้วยรถที่เราใช้เดินทางมันดูเหมือนเป็นพวกนักท่องเที่ยวนะคะ ทำให้เหล่าขอทานมาทุบรถเราเวลาจอดติดไฟแดง เพื่อขอเงินคะ ไม่ใช่มากันแค่คนสองคนนะคะ มากันเป็นสิบแถมพ่วงลูกน้อยๆ มาด้วย ทุบกันทำเอาพวกเราตกใจกันใหญ่เลยคะ นึกว่าเกิดอะไรขึ้น สงสารก็สงสารแต่ไม่ควรให้ เพราะจะตามกันมาอีกเยอะคะ



ถึงแล้วคะวัดแรก วัดนี้เป็นวัดของพระวิษณุคะ





เข้าไปด้านในเนี่ย ห้ามใส่รองเท้านะคะ ต้องจอดเอาไว้ด้านนอก และไม่ใช่จอดได้ธรรมดา เพราะเค้ามีธุระกิจรับฝากรองเท้าคะ ถ้าจำไม่ผิดที่นี่คู่ละ 10 รูปีกันเลย ถือว่าแพงเอาการอยู่นะเนี่ย





ด้่านในคนก็ต่อแถวกันเข้าไปไหว้พระวิษณุกันคะ แถวยาวมากกกกก











ต่อมาก็ไปชมพระราชวังไมซอร์กันคะ ขอบอกว่าพระราชวังนี้ยิ่งใหญ่อลังการกว้างขวางและสวยงามมาก เข้าไปข้างในมาแต่เค้าห้ามถ่ายรูปคะ

















ด้านในมีรูปภาพของกษัตริย์และพระราชวงค์ของอินเดียในสมัยอดีต ซึ่งมีการผสมผสานกันระหว่างคนอินเดียพื้นเมืองและชาวอังกฤษที่เป็นเจ้าอาณานิคมในสมัยนั้นด้วย ทำให้ก้อยคลายสงสัยไปได้ว่าทำไมดาราอินเดียถึงได้สวยนัก ก็เค้ามีเชื้อสายผสมผสานกันระหว่างอินเดียกับอังกฤษมาแต่โบราณนี่เอง คนสมัยใหม่ถึงหน้าตาสวยอินเทรนด์มาก



ที่นี่เค้าก็ห้ามใส่รองเท้าเข้าไปเหมือนกัน แต่ขั้นตอนการฝากรองเท้านี่ต้องใช้เวลานิดนึง เพราะคนเยอะมากกกก ที่นี่ราคาแค่คู่ละ 0.5 รูปี เท่าน้านนน









ต่อมาเราก็ไปเที่ยววัดพระศิวะกัน









มีคุณยายขายของไหว้อยู่หน้าวัดด้วย






มีโบสถ์คริสต์ด้วยนะคะ






เย็นๆ ของวันนึงก้อยกับพี่คนไทยก็เดินไปเที่ยววัดอีกวัดนึงอยู่ใกล้ๆ กับที่พักคะ เป็นวัดของพระแม่อุมาเทวี

















ผู้หญิงคนนี้เค้ามาแก้บนคะ





ดูมะพร้าวซิคะลูกเล็กนิดเดียวเอง น่ารักมาก





พระแม่อุมาเทวี






พระพิฆเนศวร






สองสัปดาห์ในอินเดียผ่านไปอย่างเชื่องช้า เอิ๊กๆๆ วันงานเลี้ยงอำลา ก้อยใส่ชุดส่าหรีกับเค้าด้วยน้า





ขากลับเนี่ยแทบจะขึ้นเครื่องไม่ทันกันเลยทีเดียว เพราะว่าสนามบินขนาดเล็กมาก คนต่อคิวกันยาวเฟื้อยนอกอาคารสนามบิน เพื่อจะเข้าไปในอาคารและเช็คอิน ก้อยเห็นมีเจ้าหน้าที่ของสนามบินเดินสำรวจอยู่ตลอดเวลา และมีบางคนที่ต่อคิวอยู่ด้านหลังมีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ เสร็จแล้วเค้าก็จะพาเดินออกมาลัดคิวคนอื่นๆ ที่ต่อแถวกันก่อนเฉยเลยคะ มีคนหลายๆ คนเป็นชาวต่างชาติไม่พอใจกันมาก รวมทั้งพวกเราด้วย ขั้นตอนด้านเอกสารด้านในก็ค่อนข้างทุลักทุเลคะ การตรวจสอบด้วยเครื่องสแกนก็แบ่งแถวชายหญิงด้วย เวลาเครื่องกำลังจะออกแล้วแต่คนยังต่อแถวกันยาวเหยียด......แต่ท้ายที่สุดก็กลับถึงเมืองไทยด้วยความปลอดภัยคะ......


ทริปนี้เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่อาจลืมจริงๆ


มีความสุขถ้วนหน้านะคะทุกคน



Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2554 0:25:45 น.
Counter : 3853 Pageviews.

25 comment
1  2  3  

Adorable Corazon
Location :
Santiago  Chile

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



สวัสดีคะ ชื่อก้อยนะคะ เกิดปี พ.ศ.2520 คะ จะเรียกพี่เรียกน้องหรือป้าก็ได้นะคะ เพื่อความสนิทสนม อิอิ

ตอนนี้อยู่ที่ชิลีคะ เป็นประเทศที่ไกลจากเมืองไทยที่สุดก็ว่าได้ แต่ด้วยความรักที่คุณสามีมีให้เลยทำให้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ซะไกลขนาดนี้

ยินดีที่รู้จักทุกคนในบล๊อกแกงค์นะคะ เวปนี้มีประโยชน์มากจริงๆ ก้อยได้เรียนรู้หลายอย่างจากเพื่อนๆ ในนี้ ทั้งการทำอาหาร การเย็บผ้า รวมถึงเรื่องน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย รักบล๊อกแกงค์และทุกคนในนี้มากคะ

ขอบคุณจริงๆสำหรับมิตรภาพที่ทำให้อุ่นใจแม้จะอยู่ห่างกันไกลแสนไกล ^_^