AFA's 20 Best Players of the Century

20 สุดยอดนักฟุตบอลแห่งศตวรรษของอาร์เจนตินา จัดอันดับโดย Argentina Football Association จะทะยอยเสนอประวัติบางคน (ย้อนหลังไกลสุดของเราที่พอจะคุ้นเคยก็คงเป็นเคมเปส ปาซซาเรลล่า อาร์ดิเยส) สำหรับหมายเลข 1 ถ้าอยากรู้เรื่องของเขาก็เชิญบล๊อกข้างบนค่ะ ตอนนี้เพิ่ม Fact File เข้าไปด้วย คนอื่นจะค่อยๆหาข้อมูลมาเขียน แล้วแต่ระดับความขยันและเวลาจะอำนวย คอยแวะมาดูแล้วกัน

Top 20 Argentina players of the century:

1. Diego Maradona (70s, 80s, 90s)

2. Alfredo Di Stéfano (40s, 50s, 60s)

3. Jose Manuel Moreno (40s, 50s)

4. Adolfo Pedernera (40s)

5. Omar Sivori (50s, 60s)

6. Mario Kempes (70s, 80s)

7. Angel Labruna (40s, 50s)

8. Gabriel Batistuta (90s)

9. Daniel Passarella (70s, 80s)

10. Raimundo Orsi(20s, 30s)

11. Bernabe Ferreyra (20s, 30s)

12. Ricardo Bochini (70s, 80s)

13. Rene Pontoni (40s, 50s)

14. Osvaldo Ardiles (70s, 80s)

15. Luis Monti (30s)

16. Oscar Ruggeri (80s, 90s)

15. Amaedo Carrizo (40s)

16. Norberto Alonso (70s, 80s)

17. Francisco Varallo (20s, 30s)

18. Rattin (60s)

19. Claudio Caniggia (80s, 90s)

20. Ubaldo Fillol (70s, 80s)

สำหรับคนแรก ขอเริ่มด้วยคุณปู่อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่
หนึ่งในปูชนียบุคคลแห่งวงการฟุตบอล คนที่มาราโดนาเรียกว่า “ทูตของฟุตบอลอาร์เจนตินา”

Alfredo Di Stéfano


Date of Birth: 4th July 1926
Place of Birth: Barrancas, Argentina
Height: 172 cm.
Nickname: La saeta rubia (The Blond Arrow)

Retired in 1966

Di Stéfano's football career is unsurpassed:

Clubs:
Years : Clubs (Country) Apps [goals]
1942 : Imam Buenos Aires (Argentina)
1943-45: River Plate (Argentina) 11 [0]
1945-46: Huracan (Argentina) 25 [10]
1947-49: River Plate (Argentina) 65 [49]
1949-53: Millonarios (Colombia) 294 [267]
1953-64: Real Madrid (Spain) 282 [219]
1964-67: Espanyol (Spain) 21 [9]

Team Honours:
1 Copa America 1947
2 Argentina Championship 1945, 1947
4 Colombian Championship 1949, 1951, 1952, 1953
8 Spanish Championship 1954, 1955, 1957, 1958, 1961, 1962, 1963, 1964
2 Latin Cup 1955, 1957
5 European Cup 1956, 1957, 1958, 1959, 1960
1 World Club Cup 1960
1 Spanish Cup 1962

Individual Honours:
Highest goalscorer in the Argentine League 1947
Highest goalscorer in the Spanish League 1954, 1956, 1957, 1958, 1959
European Footballer of the Year (Ballon d'Or) 1957, 1959, runner-up in 1956
Golden Superball 1989
Greatest European Footballer of All Time (Special Ballon d’Or) 1991
Third-place in European Player of the Century
Third-place South American Player of the Century
Fourth-place World Player of the Century
Runner-up Argentine Player of the Century

International career:
1947: Argentina 6 [6]
1949: Colombia 4 [0]
1957-1961: Spain 31 [23]

Career total : played 1126 matches, scored 893 goals

Coaching career Honours :
2 Argentina Championship 1970 (Boca Juniors), 1979 (River Plate)
1 Spanish Championship 1971 (Valencia)
1 Cupwinners' Cup 1980 (Valencia)
1 European Supercup 1980 (Valencia)
1 Spanish Cup 1982 (Real Madrid)




อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่เกิดใน Barrancas ย่านคนยากจนชานกรุงบัวโนส ไอเรส หัดเล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็กกลางถนนในเมืองใหญ่และในฟาร์มของครอบครัว แม้จะสูงเพียง 172 เซนติเมตร หนักแค่ 70 กิโลกรัม ดิ สเตฟาโนโดดเด่นมากบนสนาม นักฟุตบอลที่เคยเล่นให้สามทีมชาติ อาร์เจนตินา โคลอมเบีย และสเปน...ประเทศซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขา เขาคือศูนย์หน้าผู้ทรงพลัง หลายคนยกย่องให้เขาเป็นศูนย์หน้าที่สุดยอดตลอดกาล ปัจจุบันเขาเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรเรอัล มาดริด

ดิ สเตฟาโน่เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 1944 กับสโมสรริเวอร์ เพลทในอาร์เจนตินา ลงเล่นนัดแรกให้ทีมยักษ์ใหญ่แห่งกรุงบัวโนส ไอเรสเมื่ออายุ 18 ปีในตำแหน่งปีกซ้าย แต่เขาชอบเล่นเป็น center-forward และกลับมาเล่นในตำแหน่งนี้ให้ริเวอร์ เพลทหลังจากสโมสร Huracan ยืมตัวไป และดิ สเตฟาโน่ได้ใช้ทักษะเกมรุกอันดุดันอันตรายของเขากับทีมชาติที่ชนะโคปา อเมริกาในปี 1947

ดิ สเตฟาโน่ชนะแชมป์ลีก 5 ครั้งใน 12 ปีแรกของอาชีพพ่อค้าแข้งในอาร์เจนตินาและโคลอมเบีย ก่อนจะย้ายมาร่วมสโมสรเรอัล มาดริดในสเปนที่ฉกเขามาจากใต้จมูกบาร์เซโลนาคู่ปรับตลอดกาล เรอัล มาดริดเห็นฝีเท้าของดิ สเตฟาโน่ระหว่างการเดินสายในทัวร์นาเมนต์พิเศษฉลองครบรอบ 50 ปีของสโมสร Millonarios ของโคลอมเบีย มาดริดตกลงค่าย้ายทีมของดิ สเตฟาโน่กับ Millonarios แต่บาร์เซโลนาทีมคู่แค้นของราชันชุดขาว ก็ได้ตกลงที่จะเซ็นสัญญาและจ่ายค่าย้ายทีมกับริเวอร์ เพลทสโมสรต้นสังกัดเป็นทางการในขณะนั้นของดิ สเตฟาโน่เช่นกัน เกิดเรื่องราวฟ้องร้อง และสหพันธ์ฟุตบอลสเปนตัดสินให้สองสโมสรแบ่งใช้บริการของดิ สเตฟาโน่หลังสิ้นสุดศึกชิงตัว บาร์ซ่าปฏิเสธ และดิ สเตฟาโน่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล

ซีซั่นแรกของเขากับเรอัล มาดริดเริ่มต้นอย่างเงียบๆ แต่ในเวลาไม่กี่วันหลังจากบาร์เซโลนาตัดสินใจไม่ใช้บริการร่วมของดิ สเตฟาโน่กับทีมคู่แค้น เขาก็ทำแฮททริกให้ต้นสังกัดใหม่ เรอัล มาดริดถล่มบาร์เซโลนาไปด้วยสกอร์ 5-0 และตำนานศึกเอล ดาร์บี้แห่งประเทศสเปนก็เริ่มต้น ณ บัดนั้น เรอัล มาดริดเป็นแชมป์สเปนในสองซีซั่นแรกของเขา และแชมป์ยุโรปในอีก 5 ซีซั่นติดต่อกัน ดิ สเตฟาโน่คือกลไกเบื้องหลังการคว้าแชมป์ยุโรป 5 สมัยของเรอัล มาดริด เขายิงนัดละหนึ่งประตูในนัดชิงชนะเลิศสี่ครั้งแรก และทำแฮททริกในนัดที่ห้าที่สกอร์ออกมา 7-3 กำชัยชนะแบบถล่มทลายเหนือ Eintracht Frankfurt ในการแข่งขันที่กลาสโกว์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนัดชิงแชมป์สโมสรยุโรปที่สุดยอดตลอดกาล

ดิ สเตฟาโน่เป็นนักฟุตบอลที่เล่นได้แทบทุกตำแหน่งและมีความแข็งแกร่งอันไร้เทียมทาน แม้ปกติจะเล่นในตำแหน่ง center-forward เขายังเล่นเกมรับได้เหนียวแน่น อีกทั้งสามารถเล่นในแดนกลางและแดนหน้า ความแข็งแรงบึกบึนของดิ สเตฟาโน่ทำให้เขาสามารถเล่นเกมรับ สอดขึ้นมาทำเกมในแดนกลาง ก่อนจะเร่งสปีดขึ้นไปยิงประตูคู่แข่งได้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ... มันคือเกมการเล่นที่ฟุตบอลสมัยใหม่เรียกกันว่า “toal football” ซึ่งจะมาในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ไม่มีใครบอกดิ สเตฟาโน่ในตอนนั้น Miguel Muñoz อดีตเพื่อนร่วมทีมผู้ผันตัวมาเป็นโค้ชของเรอัล มาดริดในเวลาต่อมา พูดถึงอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ว่า “ความสุดยอดของดิ สเตฟาโน่คือถ้าคุณมีเขาในทีม มันก็เท่ากับคุณมีนักฟุตบอลสองคนในทุกตำแหน่ง”

ดิ สเตฟาโนเล่นฟุตบอลระดับชาติมากว่า 15 ปีตั้งแต่ 1947 เขาเล่นให้ทีมชาติ 3 ประเทศ แต่ไม่เคยได้เล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกแม้แต่ครั้งเดียว ในปี 1950 ที่ดิ สเตฟาโน่อยู่ในทีมชาติฟ้าขาว ประเทศอาร์เจนตินาไม่ต้องการเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก เขาย้ายไปสเปนในปี 1954 แต่เนื่องจากเขาเคยเล่นให้ทั้งทีมชาติอาร์เจนตินาและโคลอมเบียมาแล้ว ฟีฟ่าประกาศว่าเขาไม่มีสิทธิ์เล่นให้ทีมชาติสเปน กว่าดิ สเตฟาโนจะได้รับอนุญาตให้เล่นกับสเปนก็ปี 1956 เขาลงเล่นให้ทีมกระทิงดุเป็นครั้งแรกในปี 1957 ขณะนั้นเขามีอายุ 31 ปี เขาได้เล่นแค่นัดควอลิฟายให้ประเทศใหม่ของเขาในปี 1958 แต่สเปนไม่ผ่านรอบคัดเลือก และวาสนาที่ดูจะไม่สมพงศ์กับฟุตบอลโลกก็ทำให้เขาต้องพลาดโอกาสอีกครั้งในปี 1962 เพราะอาการบาดเจ็บ และในฟุตบอลโลกปี 1966 ดิ สเตฟาโน่ก็อายุ 40 ปีแล้ว หลังจากผิดหวังกับฟุตบอลโลก ดิ สเตฟาโน่ย้ายจากเรอัล มาดริดไปอยู่กับเอสปันญอล และเล่นกับสโมสรนี้จนแขวนสตั๊ดในปี 1966

เขาเริ่มอาชีพโค้ชหลังจากอำลาสนาม ดิ สเตฟาโน่กลับบ้านเกิดไปคุมสองทีมยักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่กัด เขาพาทั้งโบคา จูเนียร์ส (1970) และริเวอร์ เพลท (1979) เป็นแชมป์ประเทศ และบาเลนเซียได้เป็นแชมป์สเปนปี 1971 ชนะคัพส์วินเนอร์คัพในปี 1980 ภายใต้การคุมทีมของดิ สเตฟาโน่ เขายังพาเรอัล มาดริดเป็นรองแชมป์ลีกในปี 1983 โดยเสียตำแหน่งในนัดสุดท้ายของลีก อีกทั้งยังนำทีมราชันชุดขาวเข้ารอบชิงบอลถ้วยถึง 4 ครั้ง

ปัจจุบันดิ สเตฟาโน่ยังคงครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์พรีเมร่า ลีก้าของสเปน เขายิงไป 228 ประตูใน 329 นัด ตามหลัง Hugo Sanchez (234) และ Telmo ‘Zarra’ (251) ดิ สเตฟาโน่คือดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกมลีกของเรอัล มาดริด เขายิงไป 219 ประตูใน 282 นัด ระหว่างปี 1953 ถึงปี 1964

ในมีนาคมปี 2004 เปเล่ยกย่องอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดนักฟุตบอล 125 คนที่ยังมีชีวิตอยู่


Create Date : 07 กันยายน 2549
Last Update : 15 กันยายน 2549 22:39:30 น. 1 comments
Counter : 778 Pageviews.

 
Thank you

No Crespo ?


โดย: Mesia_82 วันที่: 29 กันยายน 2549 เวลา:13:58:04 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

la liga fan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อย่าฟังความข้างเดียว เหรียญมีสองด้าน

ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าเราไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเองก่อน

A rich man is not one who has the most, but one who need the least.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add la liga fan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.