ยังวนเวียนหากินอยู่กับของเก่าๆ => ภาพยนตร์ 2 ขั้วแห่งห้วงอารมณ์
(4/3/2548) เนื่องจากผมยังไม่มีเวลาเขียนถึงเรื่องที่ได้ไปดูมาเพิ่มเติม ดังนั้นขออาศัยหากินจากข้อเขียนเก่าๆ ไปก่อนนะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่า ... เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากผมได้ดู All about Lily Chou-Chou ที่ลิโดจบลง ผมก็มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้กระทบความรู้สึกและอารมณ์ผมอย่างรุนแรง เพียงแต่ประเด็นต่างๆ ในหนังมันอาจจะดูหลอนๆ เบลอๆ ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ผมจึงลองไล่ตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต ตามที่มีหลายๆ คนเคยโพสต์ลิงค์เอาไว้ (โดยเฉพาะจากกระทู้ของคุณ merveillesxx) เพื่อทำความเข้าใจกับประเด็นต่างๆ ในหนัง จนภาพต่างๆ ในหนังแจ่มชัดขึ้น ก็ยิ่งทำให้ผมขนลุก ... หนังเรื่องนี้ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เคยได้ดูมา แล้วสามารถกระทบอารมณ์ผมในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นหนังอันดับ 1 ในดวงใจของผมด้วยนั่นก็คือเรื่อง Shawshank Redemption ... เพียงแต่ มันเป็นอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ... คือหลังจากดู Shawshank จบลง ผมมีความรู้สึกว่าหัวใจพองโต ชีวิตเรืองรองไปด้วยความหวังแห่งการดำรงอยู่ต่อไป เรียกว่าเป็นหนัง "Feel good" สุดๆ ว่างั้นเหอะ ตรงข้ามกับ Chou-Chou โดยสิ้นเชิง เพราะผมว่าคนปกติบางคนที่ได้ดู หลังจากดูจบอาจก่อให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นมาได้ (ผมก็เป็น อินกับหนังอยู่ตั้ง 2-3 วันแน่ะ) และยิ่งถ้าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ก็อาจเกิดอาการอยากฆ่าตัวตายหนีจากโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ไปเลยด้วยซ้ำ ... แต่อย่างไรก็ตามทั้ง Shawshank และ Chou-Chou ก็มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างอยู่ในตัวของหนังเอง เท่าที่ผมพอจะนึกประเด็นออกก็ได้แก่ ...
ความแตกต่างคนละขั้ว : - ถ้า Shawshank เป็นหนัง 'Feel good' สุดๆ ... Chou-Chou ก็ต้องเรียกว่าเป็นหนัง 'Feel bad' สุดๆ ... เหมือนที่ผมได้เขียนไว้ว่า Shawshank อาจเสริมสร้างกำลังใจให้คุณอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ... ส่วน Chou-Chou ก็อาจทำให้คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้เช่นกัน - ใน Shawshank เป็นโลกของผู้ใหญ่ ตัวละครเกือบทุกตัวอยู่ในวัยฉกรรจ์จนถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง มีเพียงเด็กวัยรุ่นในช่วงกลางค่อนท้ายเรื่องอยู่เพียงคนเดียว ... ตรงข้ามกับ Chou-Chou ซึ่งเกือบทุกตัวละครเป็นวัยรุ่น (ไม่นับผู้ใหญ่ที่เป็นครอบครัวของเด็กๆ เหล่านี้ เพราะแทบไม่บทบาทใดๆ ต่อเนื้อเรื่อง) ... มีผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่หนังใส่มิติเข้ามาให้ คืออาจารย์สาวที่เกือบจะสื่อสารกับพระเอกได้ คนนั้นเท่านั้น - ที่เป็นสุดขั้วตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัดของหนัง 2 เรื่องนี้ก็คือ ใน Shawshank ภาพส่วนใหญ่จะออกแนวหดหู่ และโทนสีดำทมึน เนื่องจากเป็นชีวิตในคุก แต่ตัวละครกลับเปี่ยมไปด้วยความหวังของชีวิต... ตรงกันข้ามกับ Chou-Chou ที่เป็นโลกอิสระ วิวสวยสดงดงามมาก (โดยเฉพาะภาพหลอนๆ ของทุ่งหญ้าแห่งอีเธอร์) แต่แทบทุกคนในเรื่อง กลับเหมือนถูกกักขังอยู่ด้วยบ่วงอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น และยิ่งดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อจะให้หลุดพ้นจากมันเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งรัดแน่นขึ้นๆ ทุกที จนอึดอัดแทบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
ความเหมือน : - หนังทั้ง 2 เรื่องนี้ ผกก. สามารถคุมอารมณ์หนังแทบทุกซีนได้ในระดับ 'ท็อปฟอร์ม' เหมือนกัน และหนังทั้ง 2 เรื่อง ต่างก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานระดับ 'มาสเตอร์พีซ' ของทั้ง ผกก. แฟรงค์ ดาราบอนต์ และ ชุนจิ อิวาอิ ด้วย - ตัวเอกของทั้ง 2 เรื่อง เป็น 'ผู้ถูกกระทำ' ทั้งๆ ที่ไม่มีความผิดเช่นเดียวกัน ... และน่าจะสื่อความหมายถึงว่า โลกใบนี้แท้จริงแล้วเป็นโลกที่รุนแรงโหดร้าย เพียงแต่เราจะรับมือกับมันอย่างไร เพื่อให้ชีวิตของเราสามารถดำรงคงอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุขเท่านั้นเอง - หนังมีสัญลักษณ์และซับพล็อตมากมายที่อาจต้องได้รับการตีความ ใน Shawshank อาจไม่มากเท่าไหร่ แต่ Chou-Chou อาจเป็นด้วยวิธีการนำเสนอแบบเบลอๆ และหลอนๆ ไม่ให้เห็นภาพชัดเจน จึงเป็นหนังที่ 'ลึก' เอามากๆ (หนังไม่ได้ดูยากขนาดนั้น เพียงแต่มันมีประเด็นอะไรต่อมิอะไรอยู่ในเนื้อเรื่องตั้งมากมาย) - ในตอนจบของหนัง ตัวเอกได้รับการปลดปล่อยไปสู่อิสรภาพอันเป็นจุดมุ่งหมายของคนทั้งสองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ต่างกรรมต่างวาระกันเท่านั้น ... Shawshank พระเอกได้รับอิสรภาพ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่เขาปรารถนา พร้อมกับเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันในคุก จึงเปรียบเสมือนการไถ่ถอนและปลดเปลื้องความผิดบาปทั้งปวง ที่เขาได้รับจากคุก Shawshank ตามชื่อเรื่อง ... ส่วนใน Chou-Chou พระเอกได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณให้สถิตย์อยู่ในทุ่งหญ้าสีเขียวแห่งอีเธอร์อันเป็นนิรันดร์ เหมือนดังเช่นในฉากเปิดเรื่องนั่นเอง ... _______________________________________ (21/2/2548) เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงว่างเว้นหนังรางวัลเข้าฉาย จึงเป็นโอกาสเหมาะสำหรับผมในการตามเก็บหนังอินดี้เล็กๆ ที่ตั้งใจจะดูแล้วยังไม่มีเวลาว่างพอจะไปดู และสัปดาห์หน้าก็จะมีหนังรางวัลเข้าเยอะอีกแล้ว จึงต้องรีบเก็บหนังเล็กๆ เหล่านี้ซะก่อนจะลาโรงไปหมด ซึ่งจั่วหัวเรื่องที่ขึ้นไว้แบบนั้นก็เพื่อแทนความรู้สึกของหนังทั้ง 3 เรื่องที่ผมได้ไปดูมานั่นเองครับ
Open water - ตัวหนังทำได้ตื่นเต้นดีพอสมควร ทั้งฉาก 'หมู่ฉลาม' ทั้งที่เห็นแบบเป็นเงาๆ ผ่านแว่บไปในน้ำหรือแบบที่เห็นกันจะๆ รวมทั้งข่าวเบื้องหลังการถ่ายทำเรื่องนี้ว่าใช้วิธีถ่ายจริง โดยนักแสดงไม่ได้อยู่ในกรงป้องกันคมเขี้ยวแต่อย่างใด ... แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกขัดอารมณ์อย่างรุนแรง ก็คือตอนจบของเรื่อง เนื่องจากการเปิดเรื่องในรูปแบบหนัง 'กึ่งสารคดี' แถมยังประกาศตัวเบ้งๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า "based on true story" แต่ไหงตอนจบ พี่แกเล่นจบแบบเป็นภาพยนตร์ซะงั้น ทำให้ผมไพล่ไปคิดถึงหนังอีกเรื่องนึงที่มาในแนวเดียวกันนี้เลยก็คือ 'The Blair Witch Project' ซึ่งเล่นกับความกลัวของคนเหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนโจทย์จากแม่มดแบลร์ ผีและความมืด มาเป็นฝูงปลาฉลามแทนแค่นั้นเอง หรือถ้าจะให้เรียกอีกที ก็ต้องเรียกว่าหนังเรื่องนี้เป็น 'Blair Witch เวอร์ชัน ปลาฉลาม' ก็คงพอได้มั้งครับ ** 1/2 : 5
Tarnation - ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ว่าทำไมคำวิจารณ์หนังกึ่งสารคดีแนวอัตชีวประวัติเรื่องนี้ถึงดีเหลือเกิน อีกทั้งเห็นว่าเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการยืนโรงฉาย แล้วด้วย ก็เลยเป็นปัจจัยเร่งให้ผมเดินทางไปพิสูจน์ ซึ่งรอบที่ผมดูนี้เหลือคนดูทั้งโรงประมาณ 5 คนเอง ... พอเห็นชื่อเครดิตตอนต้นเรื่องว่า Executive Producers ของหนังเรื่องนี้คือ กัส แวน ซอง (Elephant) และจอห์น คาเมรอน มิตเชล (Hedwig & the angry inch) ก็นึกรู้ได้ทันทีเลยว่าธีมของหนังเรื่องนี้น่าจะห่างไกลจากความเป็น 'หนัง feel good' เป็นแน่แท้ เพราะหนังเก่าๆ ของทั่นผอ. ทั้งสองล้วนออกมาในทำนองนั้น และก็เป็นจริงดังคาด ... หนังมุ่งสำรวจตรวจสอบชีวิตอันบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยนของผู้ชายคนหนึ่ง ที่อาจเกิดมาผิดที่ผิดทางและผิดเวลา จนทำให้เค้าเติบโตมาเป็นอย่างที่เห็น รูปแบบการนำเสนอใช้กลยุทธ์ของหนังโบราณยุคหนังเงียบ คือใช้การบรรยายเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรเต็มหน้าจอ คั่นสลับกับภาพฟุตเตจที่ตัวผกก.และดารานำ (เจ้าของเรื่องนี้) เคยถ่ายชีวิตของตนเองเก็บไว้ตั้งแต่สมัยวัยเด็ก นำมาเรียงร้อยต่อกันเป็นเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจ ซึ่งคำชมก็คงมาจากการนำเสนอที่ทำได้ค่อนข้าง 'ถึงอารมณ์' ตามที่ผู้สร้างต้องการนั่นเอง *** 1/2 : 5
All about Lily Chou-Chou - สุดยอดสมค่ำร่ำลือจริงๆ ครับ ... เรื่องนี้ ทำให้เหมือนกับว่าตัวผมได้กลายเป็นสาวกของ Lily Chou-Chou และถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในอีเธอร์ด้วยอีกคน ตอนเดินออกมาจากโรงลิโดตอน 4 ทุ่มครึ่ง ผมก็ยังมึนๆ เพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตวัยรุ่นได้อย่าง 'เซอร์' และ 'หลอน' เต็มที่ สมกับคำชมที่ผมเคยได้อ่านคร่าวๆ (เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสจากการรับรู้เรื่องราวในหนังล่วงหน้า) จากที่หลายๆ ท่านเคยเขียนถึงเอาไว้ ... ผกก. อิวาอิ เรียงร้อยประเด็นแรงๆ ของชีวิตช่วงวัยรุ่น ทั้งเรื่องการคลั่งไคล้บูชาศิลปิน, การที่คนเข้มแข็งข่มเหงคนอ่อนแอกว่า, โลกของความจริงกับโลกเสมือน (หรือโลกแห่งความฝัน) ในอินเตอร์เน็ต, มิตรภาพ, การฆ่าตัวตาย, การขายตัว, การข่มขืน, การแบล็คเมล์, ฯลฯ ผ่านสัญลักษณ์มากมายในเรื่อง ให้ผู้ชมค่อยๆ ซึมซาบเรื่องราวเหล่านั้นอย่างพร่าเลือนเสมือนเป็นเงา แต่ก็ทรงพลังยิ่งนัก ... เรียกว่าหนังเรื่องนี้ "ดูดกลืนจิตวิญญาณ และกระชากอารมณ์คนดู (โดยเฉพาะอารมณ์มืดหม่น) ในระดับรุนแรง" ก็ว่าได้ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะหนังเข้าใจนำสิ่งที่สว่างไสวที่สุด (อย่างเช่นฉากพระเอกยืนฟัง CD ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว อันเป็นฉากที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นโลโก้ที่โดดเด่นที่สุดของเรื่องอย่างที่เห็นในรูป) มาเข้าคู่กับอารมณ์อันมืดหม่นของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ถูกเหวี่ยงขึ้นไป แล้วก็ลอยละลิ่วตกลงมา จนกระทั่งดำดิ่งถึงจุดที่ต่ำที่สุดของก้นบึ้งแห่งอารมณ์นั่นเอง ...
... และหลังจากที่ผมใช้เวลาค่อยๆ แกะข้อมูลต่างๆ ที่มีคนเขียนอธิบายแต่ละจุดของเหตุการณ์ในเรื่องไว้ ก็ทำให้ภาพและความหมายต่างๆ ในหนังค่อยๆ กระจ่างชัดในห้วงความคิดของผมมากขึ้นๆ เป็นลำดับ จนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเริ่มจะอินกับอารมณ์ของคนดูที่เขียนถึงหนังเรื่องนี้ว่าเกิดอาการ "หัวใจสลาย" หลังจากการดูหนังเรื่องนี้จบลง และก็แทบอยากจะกระทำอาการแบบที่ตัวละครในหนังได้กระทำลงไปนั่นทีเดียว ... และแล้วสิ่งต่างๆ ในหนังก็เริ่มไหลวนเวียนกลับไปกลับมาในหัวผมอีกครั้ง ทั้งเสียงเพลงหลอนๆ, Dystopia, โลกแห่งอีเธอร์, Lily Chou-Chou,ชีวิตในช่วงวัยรุ่นของตัวเอง ... รวมทั้งทุ่งหญ้าสีเขียวอันเป็นนิรันดร์แห่งนั้น..............ซึ่งคงจะกระจ่างชัด ติดตราตรึงอยู่ในภาพความทรงจำในหัวของผม ......ตลอดไป ***** : 5 (เต็มครับ)
(14/2/2548) ก่อนอื่นในฐานะที่วันนี้เป็นวันแห่งความรักของใครหลายๆ คน ผมก็ขอสุขสันต์วันแห่งความรักแด่เพื่อนๆ ผู้อ่านทุกท่าน ถ้าคุณรักใคร วันนี้ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมบอกให้เจ้าตัวเค้ารู้บ้างนะครับ เพราะถ้ามัวแต่เก็บเอาไว้ เราก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีอีกกี่ 'วันพรุ่งนี้' สำหรับเราและเค้า อ้อ ... แล้วถ้าความรักของคุณยังพอมีเหลือ ก็อย่าลืมเผื่อแผ่ไปยังคนที่รักคุณ (ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้รักเค้าก็ตาม) คุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง เพื่อนพ้อง ญาติ สัตว์เลี้ยงของคุณ คนข้างบ้าน ขอทานข้างถนน ฯลฯ ด้วยล่ะครับ เพราะเพียงแค่คุณตั้งใจที่จะรักใครซักคน แล้วคนๆ นั้นเห็นคุณค่าในความรักนั้น ตัวคุณก็แทบจะลอยเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว จริงมั๊ยครับ?
... มาว่าด้วยหนัง (ดี) ที่ผมได้ไปดูมากันต่อ อาทิตย์ที่ผ่านมาลุยมาอีก 2 เรื่องคือ ...
Phantom of the Opera - ฉากอลังการ สวยสมกับที่สร้างจากละครเวทีชื่อดังอันดับต้นๆ ของโลก เพลง Opera ก็เพราะดี ... แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูละครเวทีอยู่มากกว่าดูภาพยนตร์ อาจเป็นเพราะความไม่ต่อเนื่องของเนื้อเรื่องที่ดูกระโดดไปกระโดดมา ถึงเวลาร้องเพลง ก็ร้องกันเป็นเพลงๆ ไป (แตกต่างจาก Chicago ตรงที่เรื่องหลังใช้ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องเป็นตัว lead ภาพยนตร์ ส่วนเพลงเป็นตัวเสริมให้เรื่องราวดูแน่นและสนุกสนานยิ่งขึ้น) ... เอ็มมี่ รอสซั่มดูสวยสะพรั่ง ขึ้นกล้องสุดๆ จึงดูเด่นกว่าตัว 'Phantom' (เจอร์ราด บัตเลอร์) และนางอิจฉาที่รับบทโดยมินนี่ ไดรเวอร์เป็นอันมาก *** /5
Finding Neverland - หลังจากได้ชมเทรลเลอร์แล้ว ก็อยากดูหนังเรื่องนี้เอามากๆ แต่แล้วก็เกิดอาการแป้วเล็กๆ เมื่อมีเพื่อนที่ชอบดูหนังอินดี้เช่นกันโทรมารายงานว่า เค้าเพิ่งไปดูมาแล้วเกิดหลับในโรงไปตอนกลางเรื่องซะงั้น มาตื่นอีกทีเอาเมื่อหนังเกือบจะจบแล้ว ... แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวเท่าไหร่ ด้วยความมั่นใจว่าหนังแบบนี้มันเป็นหนัง 'แนวผม' (ดราม่าซาบซึ้ง) เพราะเพื่อนคนที่ว่าเค้าค่อนข้างจะชอบหนังที่มีความ 'แรง' อยู่ในตัว ซึ่งหลังจากที่ดูจบ ความรู้สึกของผมในแง่ลบเพียงประการเดียว ก็คงเป็นที่ว่าหนังขาด 'เซอร์ไพรซ์' แก่คนดู เพราะแทบจะรู้ได้เลยว่าหนังจะดำเนินไปและจบลงอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือ 'ซึ้งในระดับที่ควรซึ้ง' นั่นแหละครับ
ในส่วนของนักแสดงก็ทำได้ถึงระดับของตนเองกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเฮียเดปป์และนู๋อึ๋ม (วินสเลต) ซึ่งผมค่อนข้างจะชื่นชมการเลือกหนังที่จะเล่นของ 2 คนนี้นะครับ ว่าเค้าเลือกแต่ละเรื่องได้ดี และอีกคนที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องก็คือวัยกระเตาะอย่าง Freddy Highmore ที่แสดงความขัดแย้งทางอารมณ์ในตัวเองได้ดีและมีความ'ลึก' ซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ท่าน Sir J.M. Barry ในการสร้างสรรค์ 'ด.ช. Pan ผู้ไม่มีวันโต' ขึ้นมา และน่าจะเป็นผู้ปลุกเร้าวิญญาณของเด็กชายผู้ไม่มีวันโต (เช่นกัน) ในตัวท่าน Sir ให้ลืมตาออกมาสร้าง 'Neverland' แดนแห่งจินตนาการที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าให้แก่ผู้ที่ได้อ่านหนังสือหรือดูหนังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Peter Pan อีกนับล้านๆ คนทั่วโลก ... และถือว่าท่าน Sir กล้าหาญมากที่สารภาพกับแม่ของหญิงสาว ซึ่งถือเป็นคู่ปรับของเขา ว่ารักลูกสาวของท่าน และน่าจะเป็นรักแท้เสียด้วย เหตุผลสำคัญก็คงเป็นเพราะเค้าทั้ง 2 คน สามารถแชร์ความฝันซึ่งกันและกัน จนสามารถนำไปสู่ 'Neverland' ได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็น Neverland อันเป็นรูปธรรมที่ท่านเซอร์ลงทุนเนรมิตขึ้นมาเพื่อหญิงที่ตนรักหรือ Neverland ที่อยู่ในจินตนาการอันไกลโพ้นก็ตาม
สำหรับตัวผกก. Marc Foster เอง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน ในการปลุกจินตนาการ วิญญาณแห่งการผจญภัยและวัยเยาว์อันสดใสที่ยังคงแอบแฝงอยู่ในตัวของคนดู ... เพียงแค่คุณหลับตาลงและจง 'เชื่อ' แล้วตัวคุณเองก็อาจโบยบินไปสู่ 'Neverland' ได้เช่นกัน เพราะดินแดนแห่งนี้อยู่ในใจของพวกเราทุกคนนั่นเอง เพียงแต่เพราะวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้เด็กชายแพนหรือเวนดี้ในตัวคุณหลับใหลลงเพียงเท่านั้น **** /5
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2548 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2548 21:12:03 น. |
| |
Counter : 617 Pageviews. |
| |
|
|