สุขอนามัยง่ายๆ ที่คุณอาจไม่ได้นึกถึง 1
เนื่องจากช่วงหลังๆ บล็อกผมวนเวียนอยู่แค่ไม่กี่กรุ๊ประหว่าง Tag, ท่องเที่ยว และภาพยนตร์ ดังนั้นจึงเริ่มอยากจะเติมเรื่องราวที่น่าสนใจลงในกรุ๊ปอื่นๆ บ้าง ... และถ้าเป็นคนที่ติดตามอ่านกันมาเนิ่นนาน ย่อมพอจะคุ้นๆ ว่ารากเหง้าของบล็อกผมนั้น จะออกแนวหนักๆ เอาการอยู่
เนื่องจากช่วงนี้เห็นไข้หวัดหมู ที่กลายชื่อเป็นหวัดเม็กซิโก และหวัด 2009 ในที่สุด กำลังระบาดไปทั่วโลก ดังนั้นประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพน่าจะเข้ากับช่วงเวลานี้ จริงมั้ยครับ (ตอนนี้คิดไว้ได้หลายหัวข้อ ขอตัดแบ่งเป็นตอนๆ แล้วกันเน้อ จะได้ไม่ยาวและหนักเกินไปสำหรับผู้อ่าน)
... และถ้าใครต้องการเพิ่มเติมในประเด็นใด ก็สามารถเล่าสู่กันฟังที่คอมเม้นต์ได้เลยนะครับ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหมอๆ ทั้งหลาย) เพราะต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่บุคลากรทางด้านสาธารณสุข อาศัยเขียนจากประสบการณ์ตรง หรือจากที่เคยได้อ่านมา ดังนั้นอาจมีบางอย่างที่ผมเข้าใจผิด หรือเขียนได้ไม่ครอบคลุมเพียงพอก็เป็นได้
ประเด็น #1 คุณล้างมือบ่อยแค่ไหนในแต่ละวัน?
+ เชื่อหรือไม่ว่าการล้างมือบ่อยๆ (แต่ไม่ใช่เว่อร์จนต้องล้างเกือบทุกครั้งที่ไปจับอะไรมาแบบโฮเวิร์ด ฮิวจ์ ในเรื่อง The aviator นะ อันนั้นเข้าขั้นเป็นจิตเภทแล้ว) และบางโอกาสก็ควรฟอกสบู่ด้วย นี่แหละที่ช่วยลดการแพร่ระบาดหรือโอกาสติดเชื้อหวัดจากผู้อื่นได้ชะงัด
เพราะน่าจะมีหลายครั้งที่มือและนิ้วของเราไปสัมผัสกับวัตถุสาธารณะที่มีเชื้อโรคที่ผู้อื่นแพร่เชื้อไว้ติดอยู่ แล้วหลังจากนั้นเราก็อาจเผลอหยิบของกินเข้าปาก หรือเอามือสกปรกนั้นไปสัมผัสกับข้าวของที่เราใช้อยู่เป็นประจำ และเชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้ในที่สุด
จุดไหนบ้างที่มีความเสี่ยง เท่าที่ผมนึกออกนะ ราวรถเมล์ ราวบันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ ลูกบิดประตูห้องน้ำ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ เงิน (ทั้งธนบัตรและเหรียญ)
... อ้อ! แล้วก็เวลาจับหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออื่นๆ ด้วย (อันนี้ยังช่วยลดสารเคมีคือ หมึกพิมพ์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง) เคยสังเกตกันมั้ยว่าเวลาอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ แล้วลองเอามือไปจับอย่างอื่นที่ใสๆ อย่างแก้วดู คุณจะเห็นหมึกพิมพ์สีดำเปื้อนบนแก้วใบนั้นอย่างชัดเจน!
ประเด็น #2 ลองหมั่นสูดลมหายใจให้ยาวและลึกขึ้น
+ เวลาเราเหนื่อยหรือมีความเครียด ร่างกายจะต้องใช้พลังงานสูง ดังนั้นเราจึงมักหายใจหอบๆ ถี่ๆ เร็วๆ ... แล้วสภาวะไหนบ้างที่เราจะหายใจยาวๆ และลึกๆ เท่าที่ผมนึกออกก็คือ
1. ตอนออกกำลังกายบางประเภท เช่นเวลาว่ายน้ำ พอหมดสโตรกแล้วพักที่ขอบสระ ร่างกายของเรามักจะสูดลมหายใจยาวๆ และลึกๆ โดยอัตโนมัติ
2. ขณะที่เครียด ท่านว่าให้สูดลมหายใจยาวๆ ลึกๆ เพื่อลดความเครียดให้น้อยลง
3. ขณะนอนหลับ โดยเฉพาะช่วงที่หลับลึก
4. ตอนทำสมาธิวิปัสนา สงบสำรวมจิตใจ ทำให้ร่างกายเกิดการผ่อนคลาย
ทำไปทำไมเหรอ? เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายใช้ออกซิเจนเป็นพลังงาน การสูดลมหายใจยาวและลึก จึงเป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เซลล์โดยตรง ดังนั้นคนที่ชอบออกกำลังกาย, พักผ่อนเต็มอิ่ม และหมั่นทำสมาธิบ่อยๆ จึงมักมีใบหน้าผ่องใส ไม่เป็นโรคนั่นโรคนี่ได้ง่าย เพราะมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์อย่างเพียงพอนั่นเอง
แต่ อย่าเผลอไปสูดในที่ที่อากาศไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยควันพิษ, ควันท่อไอเสียรถยนต์อย่างแถบกลางเมืองเข้าล่ะ เพราะคุณจะกลับได้สารพิษที่ปนเปื้อนในอากาศเหล่านั้น เข้าสู่ร่างกายคุณแทน ... ควรฝึก "รู้ลมหายใจ" ในที่อากาศปลอดโปร่ง ถ่ายเทได้สะดวก เท่านั้น
ประเด็น #3 คุณดูแลสุขภาพช่องปากของคุณดีพอรึยัง?
หน้าบล็อกที่เกี่ยวข้อง ผมเคยเขียนถึงเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับการดูแลฟันไว้ที่นี่ ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหรือลืมไปแล้ว ลองกลับไปทบทวนได้ครับ คลิกที่นี่
+ หลายๆ ท่านเป็นนักดูแลสุขภาพตัวยง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน แต่กลับมีบางสิ่งที่เขาอาจหลงลืมหรือไม่ได้ใส่ใจ นั่นคือสุขภาพในช่องปากของตัวเองนั่นเอง
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่อยากไปพบหมอฟัน จากประสบการณ์ตรงของผมเอง น่าจะมีดังนี้ 1. เคยมีประสบการณ์เลวร้ายเกี่ยวกับหมอฟันในวัยเด็ก (ผมเองนี่แหละคนนึง) ทำให้เข็ดขยาดการพบหมอฟันไปเลย
2. การพบทันตแพทย์ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ถ้าไม่สามารถเบิกได้ (แต่อย่าลืมว่าพบตอนที่ฟันยังไม่ผุ จะถูกกว่าตอนฟันผุแล้วเพิ่งไปรักษา)
3. กลัวเลือด เหม็นกลิ่นเลือดในปากตัวเอง
4. เกลียดความรู้สึกเวลามีอุปกรณ์ของทันตแพทย์อยู่ในช่องปาก เช่น เครื่องดูดน้ำลาย, รู้สึกเจ็บเวลาโดนเข็มยาชาจิ้มเหงือก ... หรือแม้กระทั่งรู้สึกเสียวจี๊ด! เพราะกลัวเสียงเครื่องกรอฟัน ฯลฯ
แล้วถ้าไม่ดูแลจะเป็นอย่างไร จะมีหลายโรคที่รอคุณอยู่ในภายภาคหน้า ไม่ว่าจะเป็น ฟันผุ, ฟันคุดอักเสบ, เหงือกอักเสบ, มีกลิ่นปาก ... จนสุดท้ายถ้าอุดไม่ได้ คุณอาจต้องรักษารากฟัน, ตัดแต่งเหงือก, ทำครอบฟัน หรือถอนทิ้ง แล้วใส่ฟันปลอมในที่สุด ซึ่งยิ่งเป็นขั้นตอนหลังๆ ก็จะยิ่งเจ็บตัว และค่ารักษายิ่งแพงเป็นเท่าทวีคูณ
สิ่งที่ควรทำ 1. แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (หรือจะเพิ่ม 3 เวลาหลังอาหารด้วยก็ได้) เพื่อลดเศษอาหาร, คราบพลัค และหินปูนที่เกาะฟันอยู่ (ข้อนี้สอนกันมาแต่อ้อนแต่ออก แต่ก็เห็นมีบางคนที่ยังนอนหลับไปโดยไม่ได้แปรงฟันอีกเนาะ)
2. หลังทานของหวานๆ ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ อย่าปล่อยให้ความคงอยู่ในปากนาน เพราะมันจะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก และแปรสภาพเป็นกรดที่กัดกร่อนเคลือบฟันในที่สุด ... ถ้าแปรงฟันขณะนั้นไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า เอาน้ำตาลออกจากเคลือบฟันให้เยอะๆ ไว้ก่อนเป็นดี
3. ใช้ไหมขัดฟัน อย่างน้อยก็วันละครั้งก่อนนอน (สำคัญอย่างไร และขัดอย่างไรให้ถูกต้อง อ่านในหน้าที่ทำลิงค์ไว้ได้)
4. พบทันตแพทย์ เพื่อให้ตรวจดูสุขภาพช่องปาก (เผื่อมีฟันผุ จะได้อุดทัน) หรืออาจรวมทั้งขูดหินปูนด้วย 6 เดือนครั้ง หรืออย่างเลวร้ายที่สุดอย่างน้อยปีละครั้ง
... พึงระลึกเสมอว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึก ปวดฟัน เมื่อนั้นแสดงว่าฟันคุณผุลึกลงไปถึงโพรงประสาทฟันแล้ว ซึ่งนั่นอาจเป็นการสายเกินเยียวยาแล้วก็เป็นได้!
ประเด็น #4 หมั่นออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส / ปรับทัศนคติ ให้มองโลกในแง่บวกเข้าไว้
+ ยิ่งร่างกายคุณได้เคลื่อนไหว แม้ไม่ใช่การ ตั้งใจ ออกกำลังกายโดยตรง (ซึ่งวิถีคนเมือง มักกลายเป็นการเข้าฟิตเนสไปเสียแล้ว) เช่นการเดินไปหยิบข้าวของ, เดินขึ้นลงบันได, ทำงานบ้าน, ปัดกวาดเช็ดถูนั่นนี่, ทำกับข้าว, ล้างจาน, รีดผ้า, ตัดหญ้า, ให้ข้าวหมา, ปั่นจักรยานไปซื้อของหน้าปากซอย ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดผลดีแก่ร่างกายคุณทั้งสิ้น เช่นเดียวกับเครื่องยนต์กลไก ยิ่งได้ใช้งานมากเท่าไหร่ ก็จะมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และคล่องตัวมากขึ้นเท่านั้น
+ และขณะกระทำการเหล่านั้น คุณก็ควรคิดในแง่บวกไปด้วยว่า ชั้นกำลังออกกำลังกายอยู่นะ ไม่ใช่ไปคิดว่า โหย! เหนื่อยเหลือเกิน ต้องทำนั่นนี่โน่นไม่รู้จักจบสิ้น ทำไมงานบ้านถึงได้เยอะอย่างนี้ เพราะเพียงแค่ทัศนคติที่ต่างกันของตัวคุณ ก็อาจทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนต่างชนิดกันออกมา ซึ่งแน่นอนว่าการคิดในแง่ลบย่อมจะเป็นฮอร์โมนตัวที่ไม่ดีเป็นแน่
... ฮอร์โมนตัวดังกล่าวคือ คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งจะหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไต เมื่อเกิดความเครียด และเมื่อมีคอร์ติซอลอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณสูงเป็นเวลานานๆ อาจเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายหลายชนิดทั้งทางกาย และรวมถึงโรคทางใจอย่าง โรคซึมเศร้า และยังทำให้คุณแก่เร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย
สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเครียด และคอร์ติซอลได้จากลิงค์เหล่านี้
//www.elib-online.com/doctors49/mental_stress001.html
//www.dmc.tv/print//2007-04-17-1.html
... เอาล่ะ! คงตึ้บๆ หัวกันเอาการแล้ว ไว้ผมค่อยเปิดประเด็นอื่นๆ ในคราวต่อไปแล้วกันนะครับ
Create Date : 25 พฤษภาคม 2552 |
|
56 comments |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 2:04:50 น. |
Counter : 6838 Pageviews. |
|
|
|