นี่เป็นคอนเสิร์ตที่ลังเลแล้วลังเลอีกว่าจะไปดีหรือเปล่า เพราะส่วนตัวไม่ได้ปลื้ม KEANE ขนาดนั้น ตั้งแต่อัลบั้มแรกที่รอบตัวฟังแล้วชอบกันไปหลายคน กว่าเราจะมารู้สึกดีด้วยก็หลังจากได้ดู Eternal Sunshine of a Spotless Mind ที่มี Somewhere Only We Know เป็นซาวนด์แทรกโน่น อันที่จริงน่าจะตรงกว่าถ้าบอกว่าชอบเพลงเพราะมันเหมาะกับฉากในหนังต่างหาก บ้านผุๆ หลังนั้นคือ “ที่ที่เรารู้กันแค่สองคน” สำหรับโจลและเคลเมนไทน์จริงๆ เข้าใจเลือกเพลงเป็นบ้า
ด้วยความสนุกของคอนเสิร์ตเช่นที่ว่า พอได้เวลาเพลงแห่งความหลัง Somewhere Only We Know เริ่ม เราถึงไม่ได้เศร้าดังคาด เสียงร้องรวมกันของแฟน KEANE ก้องผงาดจนเราเองก็อดปลื้มแทนนักร้องไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แอบหันไปมองอัฒจรรย์ด้านหลัง คนก็เริ่มมานั่งกันเต็มมากขึ้น ถ้าประชากรเหล่านั้นไม่ใช่ตุ๊กตายางที่ทีมงานผู้จัดเตรียมเป่าไว้ให้ดูนั่งเต็มเวลาฉุกเฉิน เราว่า KEANE ก็ไม่น่าจะมีปมด้อยจากการมาแสดงสดที่ไทยเพราะคนน้อยแต่อย่างใด มุขที่ทางวงเตรียมมาสำหรับเอาใจคนไทยก็ไม่ขี้เหร่ ตั้งแต่
1. เล่น Hamberg Song เพื่อในหลวงของเรา (อันนี้ถือว่าอินเทรนด์มาก) 2. ชักชวนหยิบมือถือมาโบกเป็นไฟสว่างพร้อมเพรียงตอนเพลงอะไรสักเพลง 3. พูดภาษาไทยเรียกคะแนนความเอาใจใส่ตลอดรายการ
สำหรับเรา KEANE ทำให้ทึ่งอีกครั้งกับพลังของ live concert เหมือนที่เคยรู้สึกมาก่อนตอนดู SUMMERSONIC ที่ญี่ปุ่น และ FUTON เล่นใน Fete de la Musique ก่อนออกอัลบั้ม พูดกันตามตรง ถึงตอนนี้เราก็ยังเฉยกับเมโลดี้ของ KEANE อยู่ไม่เปลี่ยน แต่ถ้า KEANE จะมาเล่นอีกทีวันพรุ่งนี้ เราจะควักธนบัตรสีเทาจ่ายแลกตั๋วโดยไม่อิดออดแน่ เพราะแค่ไปฟังคีย์บอร์ดใส่กีตาร์เอฟเฟกต์อันเป็นเอกลักษณ์ (รู้สึกจะเล่นตอน Is It Any Wonder? ฟังแล้วงงเลยเชียวว่า “ไหนบอกวงนี้ไม่มีกีตาร์”) บวกเสียงสุดแจ่มของอ้วน KEANE ก็มากกว่าพันนึงแล้ว
แย่อยู่อย่างที่การไปดู KEANE วันนั้นทำให้สัปดาห์ถัดมาซึ่งเราต้องไปแถวอิมแพคต์อีกครั้งเพื่อดูคอนเสิร์ต AF3 ด้วยความจำเป็นบางประการ ถือเป็น A Bad Dream โดยแท้
ก็พี่ สจ็วร์ต เมอร์ด็อค เขาบอก Its a good day for crying กูก็ร้องสิ
และเหมือนส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่ต้องทำทุกครั้ง เราวิ่งๆๆๆๆ ไปทั่วดาดฟ้า เต้นท่าห่าเหวอะไรก็ไม่รู้คลอกับเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม The Rollercoaster Ride เพราะ 3 เหตุผล 1. เรารักการวิ่งเป็นบ้าเป็นหลัง ชอบเวลาลมมันปะทะใส่หน้า และคงเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ชอบการขี่จักรยาน และการนั่งรถเมล์เขียวแดงด้วย 2. เราชอบการเต้นเอามากๆ ไม่ต้องมีท่าอะไรหรอก มันคือการเฉลิมฉลองการมีอวัยวะเป็นของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว 3. เรารักเพลงนี้เอามากๆ มันปลอบประโลมปิศาจให้ตัวเราให้สงบได้ชะงักอย่างไม่น่าเชื่อ เพิ่งจะรู้ว่าพาหนะในการหลบหนีความปัญญาอ่อนได้ดีที่สุดก็คือ รถไฟเหาะตีลังกานี่เอง แผลบเดียวก็ไม่เห็นฝุ่นแล้ว So long ไอ้โง่!
เหมือนเวลาประจวบเหมาะให้อดีตทั้งสองอย่างสามัคคีชุมนุม ไม่นานมานี้ พี่ที่ออฟฟิศสั่งซื้อซีดี The Boy with the Arab Strap มาจากต่างประเทศ เราก็ได้โอกาสฉวยมันมาลง iPod หลังจากที่อิดออดมานาน ไม่ยอมแปลงไฟล์จากซีดีตัวเองเสียที
เฮ่อออออออ...The Boy with the Arab Strap ยังเพราะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
4. ตัวเราใหญ่กว่าที่เราเห็นในกระจกมากๆ มันถึงลำบากที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแออัด คนมากมาย พอได้เจอ my space ที่ใหญ่พอจะให้ทั้งร่างได้แผ่ขยาย เราถึงจะเป็นตัวเองได้สมบูรณ์แบบ
แย่หน่อยที่เพื่อนดันเปิดประตูออกมาเห็น ยังไม่ทันได้เต้นปิดพิธีกรรม แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะมาคิดอีกที ตอนนั้น 7/4 Shoreline ของ Broken Social Scene กำลังเล่นใน iPod ลืมไปเลยว่า ซีนแบบนี้ แถมสูงแบบนั้น
เอาล่ะ เข้าไปดูจริงๆ เสียที The Futureheads เริ่มแสดงแล้ว สารภาพว่านึกไม่ออกว่าเพลงคอรัสเยอะอย่างวงนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเล่นบนเวทีแล้วเวิร์กไหม สรุปว่าดีแฮะ เสียงนิ๊งหน่องเหมาะกับการร้องเสียงประสานกันทุกหน่อเลย เสียดายคนดูน้อย นึกเอาเองว่า คงยังไม่มากันมันมัง กระทั่งโชว์จบด้วย Hounds of Love ก็มี โอ๊ะ โอ่ะ โอ กันอยู่หยิบมือ (เกือบร้องผิดเป็นของ บอดี้สแลม โอะ โอ่ะ โอ๋ โนววววว์....ฮ่าฮ่า)
ต่อด้วย Maximo Park วงนี้ตอนแรกเฉยๆ แต่พอรู้ว่าจะมาเลยพยายามขุดมาฟังมากขึ้น จากที่รู้จักแค่ Apply Some Pressure เพลงเดียว ฟังไปฟังมาเลยกลายเป็นฟังบ่อยกว่า Clap Your Hands Say Yeah ที่เพื่อนเอามาให้ฟังก่อนหน้าเสียอีก ไปถึงเลยร้อง/เต้นได้ทุกเพลง ชอบนักร้องที่เป็นคนสุภาพเหลือแสน แถมมีประกาศบนเวที "I've been with disappointment all my life" อะโห พี่ ถึงได้ว่า เพลงมองโลกในแง่ร้ายนิ แนะนำให้ไป collaborate กับ Her Space Holiday
พี่นักร้องนำ (ที่ไม่รู้จักชื่อ) มีอารัมบทก่อนหน้าเข้าทุกเพลง พอจบก็มี Thank you ทุกเพลง และทำท่าปลื้มคนดูเอามากๆ ด้วย เล่นไปเล่นมามือคีย์บอร์ดเริ่มมัน ก็ละตำแหน่งประจำหันมาเต้นท่าเนิร์ดๆ บ้าง พี่นักร้องมีแหกแข้งขาเต้นด้วย เป็นโชว์ที่สนุกเอามากๆ ผมให้เป็นที่ 2 ของทั้งเฟสติวัล รองจากของ Franz เลยเอ้า
อ้อ เพลงสุดท้ายที่เขาเล่นคือ Going Missing ครับ
จบ Maximo Park ก็ได้เวลาอาหาร เพราะ Snow Patrol คิดว่าคงเป็นโชว์ง่วง เลยออกมานั่งกินข้าวกับคุยประสาทแดกกับเพื่อนที่ไปด้วยกัน หนึ่งในคำถามของวงสนทนา "ถ้าให้จัดไลน์อัปเองใหม่ อะไรควรจะมาเสียบแทน Snow Patrol ดี ดูมันไม่น่ามาอยู่ระหว่าง Maximo กับ Placebo เลย" ผมเสนอ Bloc Party กับ The Arcade Fire เท่านั้นแหละ เพื่อนสาวกตระกูลบัตเลอร์บอกว่า ถ้า Arcade Fire มา จะต้องเรียงแบบ Maximo/Placebo/Arcade Fire เพราะ Arcade Fire ต้องเป็น Headliner เท่านั้น...เอากับมันสิ!
ส่วนเพื่อนอีกคนหมกมุ่นกับการจะลวนลาม ไบรอัน โมลโค่ บอกว่า มันน่าจะเล่น 20th Century Boy นะ จะได้ร้อง "I wanna be your toy" หน้าเวที (นึกภาพผู้หญิงเอามือชี้ไปที่ตัวเองแล้วร้อง "I wanna be your toy" แบบเอ่อ...หื่นๆ น่ะ) ทุกคนลงความเห็นว่าถ้ามันทำจริง ไบรอัน จะเฟด 20th Century Boy แล้วเล่น Protege moi ทันที ชี้มาที่มันแล้วบอกว่า "Protect me from what she wants!" 555
ช่างเถอะ Placebo มาแล้ว เถียงกับเพื่อนตั้งนานว่าจะเพลงแรกจะเป็นอะไร ดันเป็น Taste in Men เสียฉิบ (ผมทาย Pure Morning เพื่อนทาย Every You and Every Me) เป็นวงที่มีเสน่ห์ประหลาด ดูวังเวงๆ ดาร์กๆ เล็กน้อย แต่ไม่วิปริตเท่า Marilyn Manson คนในวงทุกคนก็ดูเข้ากับบรรยากาศนี้เสียเหลือเกิน เหมือนดูหนัง เดวิด ลินช์ อยู่ ไม่รู้จะถูกพาไปที่ไหน แต่ Placebo ก็ทำให้ทุกคนสนุก มัน กระโดดโลดเต้นกันเต็มที่ Every You and Every Me ทำให้ผมเห็นการกระแทกกระทั้นที่ทุกคนโดนเบียดเสียดหันมายิ้มให้กันได้ ถึงจะรำคาญไอ้บอดี้เซิร์ฟที่เซิร์ฟหลายเพลงไม่ยอมเลิกเสียที แย่ตรงที่ setlist มันเพลงเนือยไปหน่อย แถมเล่นน้อยเสียจนต้องขอบ่น...ไหนวะ You Don't Care about Us ไหนวะ Slave to the Wage เฮ้ออออ...