|
นับถอยหลังวันที่สมาชิกใหม่จะลืมตาดูโลก
อีกไม่กี่วันแล้ว ชีวิตน้อยๆที่เราเฝ้าฟูมฟักประคับประคองมาร่วมแปดเดือนกว่าก็จะได้ออกมาใช้ชีวิตภายนอก รู้สึกตื่นเต้นมากๆไม่รู้จะบรรยายด้วยถ้อยคำใดได้เลย นี่เราจะได้เป็นแม่คนจริงๆแล้วเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ (มีแต่คนบอกว่า น่าสงสารลูกมันเจงๆ มีแม่บ้าๆบอๆอย่างเนี้ย) ดีใจที่ลูกชายของแม่แข็งแรง (ก็แหงละ ทั้งเตะทั้งถีบจนบางครั้งจุกไปเลย) แต่แม่คงมีลูกแค่คนเดียวแหละนะ ไม่ไหวๆ นึกถึงตอนที่แพ้ท้องแล้วทรมานมั่กๆ เกิดมาไม่เคยทรมานอะไรขนาดนี้ หลังกินข้าวแทนที่จะได้นั่งพักผ่อน ก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ กอดโถส้วม อ้วกเอาๆ สามเดือนเต็มๆ (แถมยังมีแพ้พ่วงมาต่อยอดอีกตอนเข้าเดือนที่เก้า แม่นับถือหนูจริงๆเลยลูกเอ๋ย)
การเป็นแม่คนนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องยากมาก แต่การเป็นแม่ที่ดีนั้นท่าจะยากยิ่ง แต่แม่ก็จะพยายามนะจ๊ะ ถ้าลูกอายุได้ซักสามขวบแม่ก็ว่าจะพาหนูไปเดินป่าแล้วล่ะ จะได้ชินตั้งแต่เล็กๆเลย ดีมะๆ อีกไม่กี่วันเจอกันนะจ๊ะ
Create Date : 09 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 9 สิงหาคม 2549 14:26:36 น. |
Counter : 669 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เชียงใหม่เป็นดิสนีแลนด์อยู่แล้ว
เชียงใหม่เป็นดิสนีย์แลนด์อยู่แล้ว ! สุชาดา จักรพิสุทธิ์ (บทความลำดับที่ 606 : 050748)
ในฐานะประชาชนชาวเชียงใหม่ และอดีตคนกรุงเทพฯที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นบนแผ่นดินเชียงใหม่กว่า 15 ปี ออกจะตกใจจนเกือบจับไข้หัวโกร๋น กับข่าวนายกฯทักษิณอยาก"ทำ"เชียงใหม่ให้เทียบชั้นดิสนีย์แลนด์ โดยจะทุ่มเงินงบประมาณของชาติกว่า 20,000 ล้านบาท ด้วยเป้าหมายที่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ คือเพื่อเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยว
ไม่ว่าวาระซ่อนเร้นในการประกาศนโยบายนี้จะเป็นอะไรก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าผู้บริหารที่ชาญฉลาดอย่างคุณทักษิณ จะคิดอะไรได้แต่เพียงการยัดเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบบริการและการจ้างงาน อย่างที่พูดให้ขลังตามขี้ปากฝรั่งว่า value creation ซ้ำยังนึกถึง value อะไรไม่ได้มากไปกว่าการขุดเอาวัฒนธรรมขึ้นมาขายๆๆ ในนามของการท่องเที่ยว ดังที่ท่านบอกว่า"จะสร้างเอกลักษณ์ให้วัฒนธรรมเชียงใหม่ จะเสริมระบบขนส่งมวลชนเป็นโมโนเรล ที่ใช้ทั้งขนส่งและชมทิวทัศน์ของเมือง สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ สร้างสวนสัตว์กลางคืน สร้างเคเบิลคาร์ที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งจะลงทุนไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ก็ทำให้เชียงใหม่มีแวลูครีเอชั่นได้"
คำถามก็คือ ท่านนายกฯหรือหน่วยงานที่จะกระดิกหางขานรับเรื่องนี้ เคยถามประชาชนชาวเชียงใหม่บ้างหรือไม่ว่า เราอยากให้แผ่นดินเกิดของเราเป็นแบบดิสนีย์แลนด์หรือไม่ ? ทุกวันนี้ความเจ็บช้ำกล้ำกลืนของคนเชียงใหม่จำนวนมาก ในฐานะของเมืองที่"ถูกท่องเที่ยว"ชั้นแนวหน้านั้น มีมากพออยู่แล้ว เราต้องเสียสละช่องทางจราจรให้รถบัสคันใหญ่ของนักท่องเที่ยว ที่นึกจะจอดขวางทางเพื่อซื้อของที่ระลึกตรงไหนก็ได้
เราต้องสู้ทนกักตัวเองไว้ในบ้านกับการซื้อกับข้าวตุนใส่ตู้เย็น เพื่อจะไม่ต้องเข้าสู่สงครามน้ำบนท้องถนนในช่วงสงกรานต์ ขณะที่ชาวบ้านแถวตีนดอยสุเทพ ต้องไปหิ้วน้ำจากรถจ่ายน้ำ อบต.ในช่วงแล้งนั้น เพราะไนท์ซาฟารี หรือสวนสัตว์กลางคืนของท่านนายกฯ (ก็ท่านขึ้นป้ายใหญ่เบ้อเริ่มว่า เป็นโครงการในดำริของฯพณฯ ) มาตอกบ่อลึกเป็นร้อยๆ เมตรหลายสิบบ่อเพื่อสวนสัตว์กลางคืนที่ท่านอยากได้ โดยจนป่านนี้โครงการหลุมดำที่ดูดงบประมาณแผ่นดินไปมหาศาลแล้วนี้ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดให้บริการได้
หรือหากเปิดให้บริการ คนเชียงใหม่ก็จินตนาการไม่ออกว่า จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำเงินสู่ชาวเชียงใหม่ยังไง นอกเสียจากการเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนขั้นต่ำไม่กี่ตำแหน่ง มิพักจะพูดถึงการปู้ยี่ปู้ยำแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม ให้กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมของการขาย ๆ ๆ ๆ เพื่อเสพบริโภคเหมือนๆกันไปตั้งแต่เหนือจรดใต้ จนนึกไม่ออกว่าเอกลักษณ์เชียงใหม่ที่ท่านายกฯเอ่ยมานั้น ท่านหมายถึงอะไร
และถ้าเอกลักษณ์ของเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ มีอยู่จริง ก็แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะ"สร้าง"ได้ด้วยเม็ดเงินและกรอบคิดแต่เพียงแง่มุมของการท่องเที่ยว ท่านคงเข้าใจผิดอะไรไปมากทีเดียวเกี่ยวกับความหมายและคุณค่าของ "เอกลักษณ์" และ "วัฒนธรรม" เพราะท่านพร่ำพูดถึงแต่โครงการก่อสร้างและกายภาพของเมือง ทั้งระบบขนส่งมวลชนเอย ศูนย์ประชุมนานาชาติเอย ชวนให้นึกสงสัยว่า ไม่เคยมีหน่วยงานใดๆของการท่องเที่ยว ทำการศึกษาวิจัยให้ได้ความรู้ที่ชัดเจนเลยหรือว่า นักท่องเที่ยวชั้นดี
เอ้า หรือนักท่องเที่ยวทั่วไปก็ได้ เขาอยากมาเที่ยวเชียงใหม่ เพราะอะไร ? ไหนๆก็มุ่งจะหากินกับการท่องเที่ยวไปทุกหย่อมหญ้าทั้งที
วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของเชียงใหม่เป็นอย่างไร ก็ต้องถามพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย และชาวชุมชนที่อยู่นอกเมืองเชียงใหม่ เพราะทุกวันนี้ คนเชียงใหม่จริงๆถูกไล่ที่จากธุรกิจ ( และผู้คนที่มาซื้อ -ขายฝันกันในเชียงใหม่) ไปอยู่รอบนอกกันเสียมาก ไปดูให้"เห็น"และเรียนรู้ให้"เข้าใจ" จากวิถีชีวิต สำรับกับข้าว และสิ่งที่อยู่ใน"ปุ๋ม" (ภูมิ) ของคนเชียงใหม่จริงๆ ซึ่งไม่ใช่การแสดงมรหรสพ แอ่ะๆอุ่ย แอ่ะๆอุ่ย อย่างที่เสแสร้งขายกันอยู่
แล้วตกลงนโยบายแห่งชาติ อยากให้เชียงใหม่เป็นอะไรกันแน่ ศูนย์กลางการบินก็จะเป็น ศูนย์กลางการเงินก็จะเป็น ศูนย์กลางวัฒนธรรมก็จะเป็น นี่จะให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวอีกแล้ว หรือจะพูดให้ถูกว่า ทั้งหมดนี้คือการพัฒนาบนความโลภใช่หรือไม่ ? จากกรอบคิดการพัฒนาที่ไหลจากศูนย์กลางอำนาจไม่เคยแปรเปลี่ยน แม้เชียงใหม่จะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นมากว่า 700 ปี
หากโครงการปั้นเชียงใหม่ให้เป็นดิสนีย์แลนด์เกิดขึ้นจริงๆ เชื่อเถอะว่าคนเชียงใหม่ส่วนใหญ่ก็คงไม่ลุกขึ้นมาก่อม็อบคัดค้านอะไร อย่าว่าแต่คนเชียงใหม่เลย คนจังหวัดไหนๆก็เหมือนกัน ลอง ท่องมนต์มหาระรวยเรื่องรายได้การท่องเที่ยวแบบนี้ ประชาชนตาดำๆ ก็คงได้แต่ตาลอยเคลิบเคลิ้มกันไป ส่วนที่ลุกขึ้นมาเขียนอะไรโวยอะไรบ้าง ก็จะถูกป้ายสีปิดฉลากเก่าๆว่าเป็นคนส่วนน้อยบ้าง ไม่ใช่คนเชียงใหม่บ้าง โดยหารู้ไม่ว่าเขาไม่อยากให้เชียงใหม่เป็นเมืองอุบาทว์อย่างที่ที่เขาหนีมาเพราะอะไร
บทเรียนความล้มเหลวของโครงการพัฒนา ที่ไม่เคยศึกษาหรือถามหาความต้องการของท้องถิ่นสักที กลายเป็นพล็อตนิยายซ้ำซากที่นักเขียนบทในโครงสร้างส่วนบน ทั้งของรัฐและทุนไม่เคยใส่ใจ เนื่องเพราะการท่องเที่ยวได้กลายเป็น"ชิ้นปลามัน" ที่ทำให้นักธุรกิจการเมืองสบช่องการฮั้วและปั้นโครงการก่อสร้างต่างๆ เข้ามา "พัฒนา" ท้องถิ่นได้อย่างเมามัน
ไม่ต้องเสียเวลาและใช้เงินงบประมาณแผ่นดินมหาศาลมาบันดาลเชียงใหม่ให้เป็นดิสนีย์แลนด์หรอก ฯพณฯ เชียงใหม่เป็นดิสนีย์แลนด์อยู่แล้ว และเมืองไหนๆในแผ่นดินไทยนี้ก็กำลังจะกลายเป็นดิสนีย์แลนด์กันไปหมด ในความหมายที่ดิสนีย์แลนด์คือดินแดนเทพนิยายแห่งการเสแสร้งปั้นแต่ง เพื่อจะมอมเมาผู้คนให้เคลิบเคลิ้มสนุกสนานอยู่ในดินแดนเนรมิต เพื่อความลวงจะทำให้เราหลงลืมความจริงอันเจ็บปวดของผู้ถูกปกครอง
ในดิสนีย์แลนด์แดนสยามนี้
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2548 10:03:32 น. |
Counter : 398 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ฟ้าวันนี้มีเมฆสีคล้ำๆๆๆ
ฟ้าวันนี้มีเมฆสีคล้ำหลายก้อนลอยเกลื่อน....อย่างแท้จริง หนำซ้ำกลับซัดสาดสายฝนชโลมผืนโลกอย่างไม่ปรานีปราศรัย
ฝนตกกระหน่ำตั้งแต่ตอนเย็น ..ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ฉันยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา(ตอนนี้มันพอรู้ทันโลกบ้างแล้ว)น่ะเรอะ ไม่มีทางที่เราจะพลาดการกระโจนลงไปรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับสายฝนหรอกน่า
จำได้อย่างชัดเจนเลยว่าเมื่อตอนที่อยู่มหาลัยปีหนึ่ง(ฮือๆ อดูดอันดีดดื่มที่น้านนานมาแย้ว) มีประกาศผลเอ็นท์ที่มหาลัย นักศึกษารุ่นพี่มากมายต่างมาตั้งซุ้มรอรับน้องในวันรุ่งขึ้น แต่ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครเล้ย(อีกและ) ว่าแล้ว เรากับพี่ๆเพื่อนๆที่ชมรมก็อดรนทนไม่ไหวกับการท้าทายกันขนาดนี้ของสายฝน เลยพากันกระโจนออกไปวิ่งเล่นน้ำฝน(มองละม้ายคลายฮิปโปที่ขาดน้ำมานาน โอ้ววววว ช่างร่าเริงเริงร่ากันเสียนี่กระไร) ไปวิ่งลุย คลุกโคลนกันในสนามรักบี้ที่เจิ่งนอง ตะโกนกันโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ท่วงทำนองที่ได้ยิน มันสื่อได้ถึงความสะจาย สะใจสุดๆ พอฟ้าผ่าทีก็หมอบนอนหงายราบกับพื้นดินให้น้ำฝนชะหน้าชะตาซะหน่อย ดีนะ ที่ได้ฝึกซ้อมการกลั้วกับดินมาอย่างเชี่ยวชาญในตอนรับน้อง ภายใต้สายฝนและสายลมที่กรรโชกแรงราวพายุโซนร้อน นิสิตหนุ่มสาวหกชีวิต ต่างเริงร่าท้าทายสายฝน โอ้ววววววว เห็นฝนตกทีไร ภาพนั้นมันก็แจ่มกระจ่างเข้ามาในความรู้สึกทันที
แต่วันนี้ คนไกล(ที่อยู่ในความรู้สึกตลอดเวลาอ่ะนะ) โทรมาบอกว่า ตอนนี้นั่งมองพระจันทร์อยู่ที่ขอนแก่น พระจันทร์สวยมาก (พรุ่งนี้วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มต๊ะหริ่งนี่นา) ป้าดโธ่ มะด้ายบิวท์ด้วยกันอ่ะ แบบ ฝนมันตกอ่ะนะตัว ตกหนักโคตรรรรรรร มองไม่เห็นพระจันทร์ซักกะผีกเดียวเลย แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าดินฟ้าอากาศจะต่างกันแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่เราคิดถึงกันเนี่ย มันก็คงเหมือนเดิม
  
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2548 21:46:40 น. |
Counter : 371 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันนี้กลายเป็นมนุษย์สี่ตาไปแย้ว
ง่า........วันนี้เพิ่งไปตัดแว่นมา รู้สึกว่าพอใส่แว่นแล้ว มิติตื้น ลึก หนา บาง มันไม่เท่ากันซักเท่าไหร่เลย
คง
ต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อยละมั้งนะ
พรุ่งนี้จะไปงานแต่งงานของพี่โป้งกะพี่หวายล่ะ ดีใจกับพี่ทั้งสองคนมากๆเลย มันไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ กับการที่
ต้องรับใครอีกคนเข้ามาร่วมแชร์ชีวิต แชร์เวลาร่วมกัน คบกันมาตั้งเก้าปี ได้รับรู้เรื่องต่างๆของพี่โป้งกะพี่หวาย
มาตลอดเวลา ทั้งตอนที่พี่เค้ามีความสุขและมีความทุกข์ เค้าทั้งสองก็ฟันฝ่ามันมาได้ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมัน
ไม่ใช่นิยายนี่นา จะได้จบเพียงแค่พระเอก นางเอกแต่งงานกัน ชีวิตจริงมันเริ่มต้นหลังจากนั้นต่างหากล่ะ จะว่า
ไอ้เราเองเนี่ยก้อไม่รู้ว่าจะได้มีวันนั้นกะเค้ารึป่าว แต่ที่เป็นอยุ่เนี่ย ก็รู้สึกดีสุดๆแล้ว แล้วพรุ่งนี้ก้อจะได้ไปเจอ
เพื่อนๆชมรม ได้เจอบรรยากาศเก่าๆ ลงทุนโดดงานไปเลยนะเนี่ย แต่ก้อกลัวจะเจอบรรดาโจทก์เก่าๆซะด้วยสิ
ช่วยไม่ได้เฟ้ย พี่เค้าไม่ได้แต่งกันบ่อยๆ ไปดีก่าๆๆๆ
  
Create Date : 09 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2548 21:25:57 น. |
Counter : 402 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวาน
เมื่อไหร่จะหายสักทีก็ไม่รู้ ไอ้โรคเกลียดวันจันทร์รักวันศุกร์เนี่ย นี่ก้อใกล้หน้าหนาวแล้ว หัวใจมันเรียกร้องให้เก็บเสื้อผ้ายัดใส่เป้ ไปหาเอารังอุ่นเอาข้างหน้า อยากไปเที่ยวเหนือจัง ไปนั่งดูหมอกค่อยๆเลื่อนไหล ละลายไปกับแสงอาทิตย์ โอบกอดตัวเองท่ามกลางความหนาวเหน็บ ได้แต่รอ รอ แล้วก็รอ อาจเป็นเพราะตัวเองยังอ่อนแอเกินไปที่จะไปทำอะไรอย่างที่ใจคิด ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ เอาแต่บ่นเพ้อ แล้วเมื่อไหร่ ฝ่าเท้าจะได้สัมผัสโขดหิน สัมผัสโตรกผาชัน เมื่อไหร่ ร่างกายจะได้โลมไล้สายหมอกกันล่ะ เอาเป็นว่า ปีใหม่ปีนี้ล่ะ แน่วแน่แล้ว แต่จะไปคนเดียว มันก้อดูจะว้าเหว่เกินไปนะ หาเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่ไม่จำเป็นต้องบอกต้องพูดอะไรมาก แค่มองหน้ากันก้อเข้าใจ ไปด้วยซักคนท่าจะดี   
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2548 20:19:09 น. |
Counter : 354 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|