โศลกเศร้าจากแดนตะวันตก
เคยนอนพักปลอดภัยอยู่ในบ้านเมื่อวันวาน..วันนี้ต้องหนีถิ่นทิ้งแว่นแคว้นแสนระกำยากทำกินทิ้งแผ่นดินเคยอุดมแดนสมบูรณ์ผู้ปกครองเผด็จการสันดานหยาบเมืองต้องสาปบาปซ้ำทุกสิ่งสูญประชาหมองนองน้ำตาแสนอาดูรในกองกูณฑ์โหมไหม้ไฟอาธรรม์ถูกสูบเลือดเชือดเนื้อเขาเถือสิ้นทั่วแผ่นดินของเราเขาห้ำหั่นอยู่แค่เพียงหายใจไปวันวันเขาบีบคั้นทั้งเสรีในชีวามุ่งความหวังยังถิ่นแผ่นดินใหม่หนทางไกลใจหมายตายดาบหน้ามุ่งหลั่งเหงื่อเพื่อบ้านเมืองมารดาทิ้งครอบครัวคอยท่าหาทำงานทางเสี่ยงภัยไกลถิ่นแผ่นดินเกิดหวังบรรเจิดเลิศค่ามหาศาลหวังค่าจ้างมีเหลือได้เจือจานคนทางบ้านอดอยากหลายปากท้องดินแดนแห่งความฝัน...ตะวันออกในม่านหมอกเลือนไกลใจลอยล่องเปี่ยมความหวังตั้งใจไปขุดทองตามครรลองคนทุกข์บุกบั่นไปการเดินทางครั้งนั้นกลับสั้นนักอุปสรรคหนักหนาเกินฝ่าได้โอ้อนาถชีวิตลิขิตไว้ต้องสิ้นลมหายใจก่อนได้งานแม้กระทั่งอากาศยังขาดช่วงถูกหลอกลวงแย่งชิงทิ้งสังขารเป็นเหยื่อเหล่ามิจฉาคนสามานย์เหลือวิญญาณสิ้นไร้ในต่างแดนพ้นวังวนข้นแค้นอันแสนโศกสิ้นอาลัยในโลกอันโศกแสนฝังความช้ำชิงชังความคลั่งแค้นยังคงความขาดแคลนแผ่นดินเดิมสุดโค้งขอบฟ้านั้น...ตะวันตกเลือดนองอกธรณีที่แตกเพิ่มทรราชรายเก่าเอาศพเติมโศลกเริ่มย้อนใหม่สุมไฟแค้น
ผู้แพ้
เเบกทุกข์เศร้าหดหู่สู้สัญจร เร่ร่อนในวิถีที่เปล่าว่าง ใต้เงาเมฆสีหม่นคนอ้างว้าง เดินทางเดียวดายในสายลม ที่พัดพลิ้วปลิวไปใบไม้แห้ง ฤดูแล้งร้อนอ้าวอกร้าวขม เส้นทางใดไหนเล่าล้างเศร้าตรม ใบไม้ถมถนนเก่าดูเศร้าแท้ ชีวิตรักแสนเศร้าเรื่องเก่าก่อน เหมือนละครตอนเศร้าเรื่องเก่าแก่ จบบทตอนจากกันไปไม่เหลียวแล เราผู้แพ้ผิดหวังทุกครั้งครา คงไม่มีครั้งใหม่หมดใจแล้ว สิ้นวี่แววพิศวาทปรารถนา เหลือแต่ทุกข์ทดท้อทรมา เสี้ยววิญญาแหว่งวิ่นรอสิ้นใจ ระยะทางห่างกันยังฝันถึงวจีหนึ่งฝากฝังยังจำได้เป็นคำเดียวที่มิเคยเอ่ยกับใครเธอคงลืมสิ้นไปไม่นำพาวันเวลาผ่านไปใจเธอเปลี่ยนฉันยังเวียนคิดถึงคนึงหาในความช้ำจำเจ็บเก็บน้ำตาลูกผู้ชายขายหน้าไม่กล้าร้องเธอคือกลางวันฝันเช้าชื่นฉันคือกลางคืนขมขื่นหมองเธอเพลิดเพลินรักใหม่ที่ไฝ่ปองฉันยังตรองเรื่องเก่าอยู่เศร้าตรมรักใหม่เธอเริงรื่นชื่นฉ่ำหวานรักเก่าฉันเนิ่นนานกลับพาลขมหวังรักเธอคู่เคียงได้เพียงลมหวังจักชมชื่นเคียงได้เพียงช้ำ
นิยายรักไม่รู้จบ
๑ ดังแสงแรกสาดส่องท้องทุ่งร้าง อันเวิ้งว้างแห่งห้วงดวงจิตฉัน ซึ่งเคยมืดครึ้มมัวชั่วชีวัน กลายกลับพลันกระจ่างพราวคราวพบเธอ ปวงบุปผาแห่งปีติผลิสะพรั่ง แว่วระฆังกังวานหวานเสมอ เริ่มแต่เมื่อนาทีที่พบเจอ อยากเสนอรักสนองร่วมห้องใจ ห้วงหทัยให้ระทึกเพียงนึกถึง แรกสบตรึงซึ้งตาพาหวามไหว ปีกแห่งรักกระพือร่อนบินว่อนใน ห้องหทัยให้สะท้านเสียวซ่านซึ้ง ๒ ใจฉันเริ่มบรรเลงบทเพลงฝัน เมื่อชีวันอับเฉาได้เข้าถึง อมฤตรสรักสลักตรึง เธอเพียงหนึ่งที่รักสลักฤดี แค่ฟังเสียงหวานใสใจดื่มด่ำ อยากตอบคำลืมตัวใจรัวถี่ ลืมหมดสิ้นลำนำคำกวี อายวจีที่เอ่ยกลัวเผยใจ ฉันอยากกล้ากว่านี้นะที่รัก อยากถามทักรักมากอยากชิดใกล้ เธอก็อายยามเอ่ยฉันเผยนัย แก้มแดงใสเลือดสาวคงผ่าวร้อน ทุ่งดอกไม้แย้มบานตระการสี กลอนกวีแสนหวานจากกาลก่อน เราขับขานหวานคำลำนำวอน ร่วมทางจรร่วมใจรักวัยเยาว์ ๓ รสรักซ่านหวานแทรกแรกสัมผัส โอบร้อยรัดวิญญาณผ่านวันเศร้า เหมือนลบลืมโลกหมองเหลือสองเรา โลกใบเก่ากลับใหม่เปลี่ยนไปพลัน เพียงนิ้วเดียวเกี่ยวก้อยร้อยปรารถนา พันธนาหัวใจไว้คงมั่น หวังสนองรักสนิทนิจนิรันดร์ ฟากฟ้านั้นฝันไกลไปสุดฟ้า เพียงมือเธอยื่นมาพาหวามไหว สัมผัสแผ่กระแสใจต่างไฝ่หา หวังร่วมฝันวันคืนชื่นชีวา ร้อยวิญญาเราสองคู่ครองกัน ๔ แรกจุมพิตจิตไหวใจหวามหวิว สัมผัสผิวเอียงอายกายเธอสั่น วงแขนเราทั้งสองคล้องสัมพันธ์ อ้อมกอดฉันโอบแนบเธอแอบอิง อ่อนละมุนอุ่นละไมในอ้อมอก เธอสะทกอกสะท้อนอ่อนใจหญิง ฉันสะท้านซ่านกายชายใจจริง ราวไฟผิงร้อนผ่าวปนหนาวทรวง ราวกุหลาบกลีบละมุนกลิ่นกรุ่นหอม ความรักย้อมแรกแย้มปากแก้มหวง เชยผกาผลิดอกพันลอกดวง ฝันสุดห้วงเสน่หาสู่ฟ้าไกล ๕ เสพน้ำทิพย์จิบดื่มจนลืมโศก จวบหล้าโลกสิ้นลงอสงไขย ไม่สิ้นรักแรงถวิลอจินไตย ร้อยสายใยใจฝันอนันตกาล แรกหลอมรวมใจกายเชื่อมสายรัก ซึ้งสลักชั่วกัลปาวสาน ความลี้ลับแห่งรักเลี้ยงจักรวาล ร้อยวิญญาณดูดดื่มไม่ลืมเลือน ลบสิ้นความอ้างว้างให้จางหาย ล้างสิ้นความเดียวดายให้คลายเคลื่อน สู่คืนวันฝันดีผ่านปีเดือน เมื่อมีเพื่อนชีวิตร่วมชิดชม ๖ รับหยาดชลหยดชื้นคืนวสันต์ ชโลมฝันวันชื่นคืนสุขสม ผืนดินชุ่มชอุ่มน้ำที่ฉ่ำพรม เราเพาะบ่มพืชพันธุ์สรรค์ชีวิต บนเส้นทางมนุษย์ชาติปรารถนา สืบชีวาเชื้อสายสืบกายจิต คือของขวัญล้ำค่าฟ้านิรมิต สืบความคิดจิตวิญญาณผ่านช่วงชนม์ นิยายรักไม่รู้จบทุกภพชาติ พิศวาทปรารถนาหาหลุดพ้น วิถีโลกโศกสุขทุกข์เวียนวน วิถีคนหวังสุขทุกคืนวัน ๑ ดังแสงแรกสาดส่องท้องทุ่งร้าง .......
ราตรีกานท์
ค่ำคืนตื่นฝันเห็นจันทร์แจ่มหาวดึกดื่นคืนหนาวดาวส่องฟ้าใสฟังเสียงกรีดกริ่งหรีดหริ่งเรไรเมฆลอยคล้อยไปรุ้งใสล้อมจันทร์ดูภาพคืนเพ็ญเดือนเด่นดาวดาษเวิ้งฟ้าดังวาดผ่องผาดเพียงนั้นทุ่งหญ้าเย็นเยือกเทือกผาสูงชันน้ำค้างค่อยกลั่นหยาดฝันหยดพรมมนตราราตรีเสกสีส่งเสียงคอยร่ำคำเรียงสำเนียงเหมาะสมแผ่วหวานพลิ้วไหวซ่านในสายลมเอิบอิ่มอารมณ์ฟังชมชื่นบานบันทึกถ้อยคำดื่มด่ำล้ำลึกจดจำสำนึกรู้สึกประสานสรรถ้อยสุนทรีย์กวีตระการกาพย์กลอนอ่อนหวานจารไว้ใจจำลำธารรินทกเลี้ยววกเลาะไหลสะท้อนเงาใสจันทร์ในสายน้ำเงาไผ่ไหวพลิ้วทิวไม้ร่ายรำนกร้องลำนำสูงต่ำทำนองดื่มด่ำล้ำลึกดึกดื่นโลกหลับค่อนดึกดาวดับเดือนลับลอยล่องปรัชญาล้ำลึกนั่งนึกนิ่งตรองค้นหาครรลองของโลก,ชีวิตโลกหล้าเปลี่ยนผันคืนวันเปลี่ยนหมุนสรรพสิ่งสมดุลย์เกื้อหนุนกายจิตโลกซ่อนปรัชญาล้ำค่าควรคิดเพียรค้นนิมิตลิขิตกาพย์กลอนเดือนต่ำดาวตกวิหคเริ่มร้องใกล้สางแสงทองเรืองรองเรื่ออ่อนราตรีผ่านผันดวงจันทร์ผ่านจรจบคืนจบท่อนบทตอนกวี
กลียุค
แผ่นดินณ ยามภววิกฤตปะทุพิษพญามารเหล่าพวกสถุลบริวารมุจะผลาญไผทไทยวันวันสิแหย่ยุกุกระแสพิษแพร่ขยายไปเมืองล่มเพราะด้วยธนประลัยระอุไฟจะไหม้ลามแตกแยกระหว่างนิกรชนทะเลาะบ่นวิกลตามพรรคเลวจะนำคณะสยามประลุทรามและเสื่อมโทรมหากโคตรตระกูลบุรพกาลพิศหลานฤญาติโยมกัดกินประเทศตะกละตะโบมสิจะคิดอนิจจาน่าอายอุบาทว์ประดุจมูลปฏิกูลสะสมคาริมฝั่งประดังระดะประสาสวะเน่าคละเคล้าเหม็นจวนเริ่มกลียุคปฐมบทผิวะกดประชาเป็นสองขั้วผิว์ชนบทเข็ญก็กระตุ้นกิเลสเหิมคนเมืองประสมคณะระคนคละปะปนก็แตกเติมแยกขั้วเพราะคำประทุษเสริมระยะห่างระหว่างกันบ้านเมืองเสมือนนรกมัวคณะชั่วจมูกชันเหล่าพลเมืองจะเยาะจะหยันฤจะอาจประศาสน์ชนเหล่าปวงวธูวิพุธมวลตละล้วนมิอาจทนขี้ฉ้อตะกลามตะกละจะฉลฤจะปกประเทศครองเสนาบดีตละพระหน่อพิศท้ออนาถมองล้วนพวกระยำคณะผยองคละกะเหล่ากะล่อนไหลผู้นำอุบาทว์มนพิการบริหารประเทศไทยโอ้ว่าประชาอธิปไตยทุรชนจะปล้นชิงผู้แทนถนัดผรุสวาททุรชาติอุบาทว์จริงวาจาเสมือนนรกสิงทะเลาะท้าประสาทรามอ้าองค์สยามเทวธิราชฤปลาตสุธายามสัตว์ต่ำจะนำภพสยามทะลุขุมอเวจี(วสันตดิลกฉันท์๑๔)