“A path is made by walking on it.”
Group Blog
 
All blogs
 
ยอดยุทธ์พิภพเทวะ [ Spoiler Alert! ]



“อืม ผู้หญิงร้องไห้!”
จินต้าร้องโวยวาย “แย่แล้ว ซวยแล้วโว้ย จบเห่แล้ว สงบสติอารมณ์ไว้ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”


ยอดยุทธ์พิภพเทวะ
ผู้แต่ง: โม่เหริน
ผู้แปล: หลินหยาง
สนพ. สยามอินเตอร์บุ๊คส์


ยอดยุทธ์พิภพเทวะ เป็นนิยายออกใหม่ของ สนพ. สยามฯ มี ๕ เล่มจบ ได้ข่าวว่า ‘ยอดขายถล่มทะลาย’ ในไต้หวัน ฮ่องกง และจีน (อีกแล้ว ฮ่าๆๆ รู้สึกว่าจะเป็นคำโปรยที่แปะอยู่บนปกนิยายทุกเล่มของสยามฯ ไปแล้วนะ - แซววว) ตอนแรกที่เปิดเรื่องนี้ขึ้นอ่าน เหมือนจะได้กลิ่นไอเดียจากเรื่องปรสิตอยู่หน่อยๆ แต่อ่านไปๆ อยากจะบอกว่าคล้ายเรื่องสตาร์วอร์สมากกว่า เพราะเนื้อหามีแง่มุมที่ซับซ้อน มีการฝึกพลัง มีปรัชญา ซึ่งสามารถอ่านเอาสนุก หรือจะตีความให้ลึกไปกว่านั้นก็ได้

โผบินหรือสิ้นสูญ
เล่มแรกเนื้อเรื่องหลักกล่าวถึงชีวิตที่ค่อนข้างเหลวไหลของชายหนุ่มวัยใกล้ ๓๐ ปี ชื่อ เติ้งซัน เขาเรียนจบสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ถือว่าเป็นคนมีความรู้ดีทีเดียว แต่กลับไม่กระตือรือร้นหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง (แบบว่าชีวิต slow life อะเนอะ) อาศัยความรู้ที่มีรับจ็อบสอนพิเศษในโรงเรียนกวดวิชา จึงมีเวลาว่างมากสุดๆ ถึงขนาดเอาเวลาว่างนั้นไปล้อเล่นกับบรรดาบริษัทขายตรง ที่มักประกาศรับคนไปอบรมแล้วหลอกขายของ (ไปหลอกกินน้ำกินขนมฟรีว่างั้น!)

วันหนึ่งเขาไปเจอประกาศรับสมัคร “พนักงานทดสอบผลิตภัณฑ์” ของบริษัทมูลนิธิวิจัยต่างมิติ เรื่องสนุกๆ มันก็เริ่มตรงนี้แหละ เติ้งซันลองไปสมัครงานดูเล่นๆ เขาต้องเผชิญกับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายและจิตใจอย่างเข้มข้น แต่มันก็น่าลองอ่ะนะ เพราะบริษัทจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก ในที่สุดเขาก็ผ่านการทดสอบไปได้ด้วยดี โดยได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน ฟันรายได้เป็นกอบเป็นกำเชียวล่ะ

งานชิ้นแรกที่เขาได้รับคือการขึ้นยานออกไปตามจับ ‘จินหลิง’ (จิตวิญญาณแห่งทอง) สิ่งมีชีวิตประหลาดที่สามารถแปลงร่างได้ตามปรารถนา ไม่ทราบว่าโชคดีหรือโชคร้าย เติ้งซันได้ผสานร่างรวมกับจินหลิงที่พิเศษกว่าตัวอื่นๆ คือจินหลิงตัวนี้สามารถพูดได้ (พูดเก่งซะด้วยสิ) ทำให้เขารู้ว่าตนเองกำลังถูกมูลนิธิวิจัยต่างมิติหลอกใช้ให้จับจินหลิงไปขายในราคาแพง คนของบริษัทต่างก็เป็นทูตเทวะ และสถานที่ที่เขาไล่จับจินหลิงอยู่นี้ไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นอีกมิติหนึ่ง เรียกง่ายๆ ว่าพิภพไททัน เอ๊ย..พิภพเทวะตามชื่อเรื่องแล้วกัน

จินหลิงตัวนี้ชื่อ ‘จินต้า’ มีอายุหลายร้อยปี แต่ตอนรวมร่างกับเติ้งซันเหมือนเกิดเหตุผิดพลาดนิดหน่อย ทำให้มีจินหลิงตัวแถมมาอีกตัว จินต้าเลยตั้งชื่อให้มันว่า ‘จินเอ้อร์’ แต่ตัวนี้ยังไม่มีบทบาทสำคัญ ทั้ง ๓ หน่อก็เลยกลายเป็น 3 in 1 (ยังกะเนสกาแฟแน่ะ) และไม่สามารถแยกจากกันได้จนกว่าเติ้งซันจะตาย

พวกเขาต้องต่อสู้ผจญภัยไปด้วยกัน เติ้งซันได้เรียนรู้วิธีการฝึกกำลังภายในและการใช้พลังพิเศษโดยมีจินต้าเป็นผู้แนะนำ เขาหนีกลับมายังโลกมนุษย์ได้สำเร็จ แต่เพราะจินหลิงไม่สามารถแยกออกจากตัวเติ้งซันได้อีก บริษัทจึงตามตัวเขามาทำงานใช้หนี้ที่ทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จากจินหลิง ๑ ตัว นับว่าเป็นทางออกที่ประนีประนอมต่อทั้งสองฝ่าย โดยงานที่เติ้งซันต้องทำก็คือเข้าร่วมการแข่งขัน “ประลองกระบวนท่า” ซึ่งจัดขึ้นในพิภพเทวะ

มาถึงขั้นนี้เติ้งซันได้แต่ต้องตามน้ำไปจนสุดทาง เพราะหลังการรวมร่างกับจินหลิง เส้นทางชีวิตที่เหลืออยู่ เติ้งซันจำเป็นต้องเลือก ระหว่าง “โผบินหรือสิ้นสูญ”

ในแง่ชีวิตส่วนตัว เติ้งซันมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับสองพี่น้องหลิ่วอวี่หลันและหลิ่วอวี่หรง พูดอย่างผิวเผินเขามีความเข้าใจตัวตนของหลิ่วอวี่หลันดีที่สุด เรียนหนังสือมาด้วยกัน เข้าอกเข้าใจกันดี แต่ในความใกล้ชิดคล้ายมีระยะห่างที่มองไม่เห็น และไม่อาจจบลงด้วยการเป็นแฟน ต่างจากหลิ่วอวี่หรงผู้น้องที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเข้าอกเข้าใจอะไรเธอมากนัก แต่กลับไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เป็นความสัมพันธ์ที่มึนๆ งงๆ แต่เติ้งซันเป็นคนไม่ชอบเอาปัญหามาขบคิดให้รกสมอง อะไรที่คิดไม่ออก เขาก็ไม่ไปคิดถึงมัน จนวันหนึ่งเขาได้พบหลิ่วอวี่หรงเดินมากับผู้ชาย ความรู้สึกเสียใจทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขารักเธอมานานโดยไม่รู้ตัว แต่ความรักระหว่างเขากับหลิ่วอวี่หรงหาใช่จะลงเอยโดยง่าย นับจากนี้เติ้งซันต้องกลับไปยังพิภพเทวะ เพื่อศึกษาจินหลิง และเข้าร่วมการประลอง แม้แต่การมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เติ้งซันก็ต้องหักห้ามใจ เพราะเขาไม่อยากให้หลิ่วอวี่หรงเสียใจหากเขาไม่รอดชีวิตกลับมา

ถือว่าเล่ม ๑ เปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ความสนุกสนานของการต่อสู้ผจญภัยในพิภพเทวะที่กำลังจะเริ่มขึ้น และปมเงื่อนเกี่ยวกับความรักของตัวละคร ชวนให้เราอยากติดตามต่อในเล่ม ๒ รวมทั้งความตลกขบขันของจินต้าที่พูดเก่งมากกก.. ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของนิยายเรื่องนี้ ซึ่งต้องชมผู้แปลที่รักษาอรรถรสเอาไว้ได้ดี แต่จุดที่อ่านแล้วรู้สึกไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็มีนะ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเติ้งซันกับจินต้าที่ดูรวบรัดไปหน่อย หลังผสานร่างกันเสร็จไม่รู้สึกระแวงกันบ้างเลยหรือไร ยอมตกล่องปล่องชิ้นกันง่ายไปไหม ฮ่าๆๆ และการที่เติ้งซันไม่ค่อยเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งที่มีตัวประหลาดมาติดหนึบไปตลอดชีวิตมันก็ดูแปลกๆ อยู่นะ (ถึงแม้ผู้แต่งจะบรรยายว่าเขามีนิสัยเฉยชากับเรื่องต่างๆ ก็เถอะ)  


หนทางสู่ความเป็นอภิมนุษย์
อย่างที่ได้เกริ่นว่านิยายเรื่องนี้มีส่วนคล้ายกับเนื้อเรื่องสตาร์วอร์ส ที่ว่าด้วยการฝึกฝนเพื่อนำพลังพิเศษออกมาใช้ เป็นการพัฒนาตนไปสู่ความเป็นอภิมนุษย์ที่มีพลังเหนือมนุษย์ปุถุชนทั่วไป (น่าจะคนละอภิมนุษย์กับนีทเช่นะ อันนั้นเน้นไปทางผู้เห็นแจ้งในสัจธรรม)

จากเนื้อหาในเล่ม ๑ จินหลิงหรือจิตวิญญาณแห่งทองนั้นเป็นขุมพลังเร้นลับ เมื่อร่างของมันผสานรวมกับร่างกายของมนุษย์แล้ว หากมนุษย์เจ้าของร่างกายรู้วิธีใช้งาน สามารถผสานกำลังภายในของตนเองเข้ากับพลังของจินหลิงได้สำเร็จ จะทำให้เขามีขีดความสามารถพิเศษที่เหนือกว่ามนุษย์สามัญทั่วไป

เนื้อหาทำนองนี้ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง “พลังจิตใต้สำนึก” ของ Joseph Murphy ที่ว่าด้วยการดึงพลังจิตใต้สำนึกในระดับสัญชาตญาณที่แฝงอยู่ในตัวเราทุกคนออกมาใช้ เราจะเห็นว่า ‘จินหลิง’ และ ‘พลังจิตใต้สำนึก’ มีหลักการคล้ายๆ กัน เราอาจมองจินหลิงเป็นสัญลักษณ์ทางวรรณกรรมที่หมายถึงจิตใต้สำนึกก็ได้ ซึ่งในยามปกติเรามักปล่อยปละละเลยหรือหลงลืมไม่ได้นำพลังส่วนนี้ออกมาใช้ เพราะชีวิตประจำวันของพวกเรายุ่งยากวุ่นวายอยู่กับเรื่องราว ‘ภายนอก’ มากไป ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่สภาวะ ‘ภายใน’ จิตใจของตนเอง ทำให้บางเวลาจิตใจเต็มไปด้วยความเครียด ความฟุ้งซ่านยุ่งเหยิง และบั่นทอนศักยภาพในการทำงานลง  

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตอนที่เติ้งซันไปเล่นบาสกับเด็กมหาวิทยาลัย เขาค้นพบว่าหากเขาประยุกต์เอาพลังของจินหลิง (หรือพลังจิตใต้สำนึก) ออกมาใช้จะทำให้เขาเล่นบาสได้เก่งกว่าเด็กคนอื่นๆ เพราะเด็กหนุ่มเหล่านั้นบ้างก็สูบบุหรี่ บ้างก็พูดคำหยาบ บ้างก็สนใจแต่เสื้อผ้าหน้าผม ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่บั่นทอนศักยภาพจากภายใน พวกเขาไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่รู้จักฝึกสมาธิและกำลังภายในเพื่อดึงเอาพลังที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้ ขีดความสามารถของพวกเขาจึงต่ำมากๆ จะเห็นว่า ‘จินหลิง’ ก็เหมือนกับ ‘จิตใต้สำนึก’ ของคนเรา ที่ไม่ปรารถนาสภาพแวดล้อมด้านลบ มันเป็นขุมพลังที่ต้องการการฟูมฟักอย่างดี เจ้าของร่างต้องประคับประคองจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เติ้งซันเริ่มรู้สึกหรือคิดอะไรในแง่ลบ จินต้าจะเอ่ยเตือนทันที ว่าความคิดหรืออารมณ์เหล่านั้นทำให้จินต้ารู้สึกไม่สบาย ส่งผลให้พลังอ่อนแอไปด้วย

อย่างไรก็ดี ‘จินหลิง’ (หรือพลังจิตใต้สำนึก) นั้นเป็นพลังดิบระดับสัญชาตญาณ มันจึงมีนิสัยคึกคะนอง กระหายการต่อสู้ หากมองว่า ‘จินหลิง’ คือขุมพลังเร้นลับที่ยิ่งใหญ่จากภายใน (จิตใต้สำนึก) การใช้งานก็ต้องพึ่งพาอาศัยปัจจัยภายนอก (จิตรู้สำนึก) เป็นตัวควบคุมด้วยเช่นกัน หาไม่แล้วก็อาจถลำลึกสู่ด้านมืดได้โดยง่าย จะเห็นว่าเติ้งซันมักสอนจินต้าบ่อยๆ ว่าการทำร้ายคนเป็นสิ่งไม่ดี นี่คือตัวอย่างของการใช้ ‘จิตรู้สำนึก’ ควบคุม ‘จิตใต้สำนึก’

การผสานรวมของภายนอก-ภายในอย่างเหมาะสมนี้เอง ที่ช่วยยกระดับมนุษย์สามัญให้กลายเป็น ‘อภิมนุษย์’ ขึ้นมา

เขียนมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า “คนเขียนรีวิวเพ้อไปไกลแล้วป่ะเนี่ย?” ยืนยันว่าไม่ถึงขนาดนั้น จากการอ่านเล่ม ๑ เราจะเห็นคีย์เวิร์ดประเภท ‘การรู้แจ้ง’ โผล่มาบ่อยๆ นี่ก็เป็นร่องรอยที่ชวนให้เพ้อได้อยู่นะ ส่วนจะถูกจะผิดก็ว่ากันอีกเรื่องแล้วกัน ฮ่าๆ 




Create Date : 03 กันยายน 2558
Last Update : 3 กันยายน 2558 15:42:39 น. 3 comments
Counter : 9868 Pageviews.

 
ชอบครับ มุมมองในการรีวิวมีความน่าสนใจดีครับ
ปล.ได้ลายทางมาจากกลุ่ม Fan Page ของคนแปลหนังสือเล่มนี้


โดย: Mukky IP: 27.55.154.185 วันที่: 3 กันยายน 2558 เวลา:20:18:16 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: Varalbastra วันที่: 4 กันยายน 2558 เวลา:22:13:58 น.  

 
การใช้ ‘จิตรู้สำนึก’ ควบคุม ‘จิตใต้สำนึก’


โดย: 444 IP: 14.207.35.138 วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:20:17:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Varalbastra
Location :
จันทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




My spirit listens and my yearning eyes
Strain to discover things they may not see.

《Chin Hwa》





..................
Friends' blogs
[Add Varalbastra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.