“A path is made by walking on it.”
Group Blog
 
All blogs
 

แผนลวงหักเหลี่ยมเซี่ยงไฮ้







“ในวังวนของอำนาจมืด เงินตรา และสถานการณ์ที่บีบคั้น 
จิตใจมนุษย์คนใดเล่าจะยังสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อไม่มีใครให้พึ่งพา สัญชาตญาณดิบเท่านั้นที่จะช่วยให้รอด”
(คำโปรยบนปกหลัง)


แผนลวงหักเหลี่ยมเซี่ยงไฮ้
ผู้แต่ง เสี่ยวไป
สำนักพิมพ์มติชน


เซี่ยงไฮ้เป็นบ่อย้อมที่ไร้กฎเกณฑ์
นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลย

ชาวปักกิ่งในยุคต้นศตวรรษที่ 20 มองเซี่ยงไฮ้อย่างดูแคลน พวกเขาเห็นว่าเซี่ยงไฮ้เป็นดินแดนอัปลักษณ์ ชาวเซี่ยงไฮ้แม้มีชีวิตหรูหรา แต่ก็หยาบกระด้าง ไร้รากเหง้าขนบธรรมเนียม จะเป็นจีนก็ไม่ใช่ จะเป็นฝรั่งก็ไม่เชิง เรื่องนี้ชาวเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาเห็นว่าเซี่ยงไฮ้ก็มีข้อดีของเซี่ยงไฮ้ 

ปักกิ่งแม้เป็นเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ มีวัฒนธรรมเก่าแก่ดีงาม ทว่าความยิ่งใหญ่นั้นแฝงไว้ด้วยความอดอยากแร้นแค้น สภาพดินฟ้าอากาศในปักกิ่งหากมิใช่หนาวเย็นเกินไป ก็มักมีฝุ่นทรายมากไป ผู้คนที่หิวโหยซมซานอยู่นอกกำแพงเมืองอาจล้มตายลงได้ทุกเมื่อ โดยปราศจากผู้ใดสนใจไยดี

ดังนั้นผู้คนต่างถิ่น ต่างสำเนียงภาษา ต่างอุดมการณ์ หรือแม้แต่ต่างเชื้อชาติ พากันหลั่งไหลมายังเซี่ยงไฮ้ ดินแดนอัปลักษณ์ บ่อย้อมที่สามารถแต่งแต้มชีวิตใหม่ให้แก่ผู้คน ไม่ว่าใครพอเดินทางมาถึงที่นี้ก็จะมีชีวิตใหม่ ซึ่งอาจดีขึ้นกว่าเดิม หรือเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม นั่นขึ้นอยู่กับโชคชะตา

เสี่ยวเซวีย ช่างภาพลูกครึ่งจีน-ฝรั่งเศสโดยสารเรือปอล เลอกาต์ จากฮ่องกงมายังเซี่ยงไฮ้ ตลอดการเดินทางบนเรือเขาคลุกคลีอยู่กับหญิงสาวชาวเบลารุสผู้ร้อนร่านทว่าลึกลับนามว่าอิกซ์มาเยร์ เทเรซ การที่เสี่ยวเซวียขลุกอยู่กับเทรเซ เขารักหล่อนอย่างจริงๆ จังๆ หรือไม่ เรื่องนี้ยากจะบอกได้ 

สิ่งที่บอกได้คือหล่อนเป็นเพื่อนนอนของเสี่ยวเซวีย บ่อยครั้งหล่อนจะหายตัวไป หายไปเป็นเวลานาน จนเสี่ยวเซวียสงสัยว่าหล่อนเที่ยวไปหลับนอนกับชายอื่น และเมื่อหล่อนกลับมาหาเขา เขาก็จะลงโทษหล่อนด้วยบทรักที่เร่าร้อนรุนแรง แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่หล่อนชอบ หล่อน “ชอบกระดูกซี่โครงจีนของเขา...แนบชิดบดแน่นบนร่างหล่อน” 

และบนเรือปอล เลอกาต์นั้นเอง เสี่ยวเซวียได้พบเห็นหญิงสาวอีกผู้หนึ่ง เธอชื่อเหลิ่งเสี่ยวม่าน ภรรยาคนสวยของคนใหญ่คนโตในพรรคก๊กมินตั๋ง ใบหน้าที่อ่อนหวาน รูปลักษณ์อันอ่อนแอของเธอดึงดูดความสนใจของเสี่ยวเซวียตั้งแต่แรกพบ

พลันที่เรือปอล เลอกาต์มาถึงท่าเรือจินลี่หยวนซึ่งอยู่ในเขตเช่าของฝรั่งเศสในเซี่ยงไฮ้ ผู้ใหญ่แห่งพรรคก๊กมินตั๋งรายนั้นได้ถูกลอบสังหารอย่างอุกอาจ เหลิ่งเสี่ยวม่านหายตัวไปทันควัน หลายวันให้หลังรูปของเธอถูกเผยแพร่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ในฐานะผู้ต้องสงสัยอย่างเปิดเผย

ซึ่งความจริงตำรวจประจำเขตเช่าฝรั่งเศสยังสงสัยผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่เงียบๆ นั่นคืออิกซ์มาเยร์ เทเรซ 

ผู้หญิงสองคนที่เสี่ยวเซวียชมชอบถูกสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนี้ และด้วยความที่เสี่ยวเซวียเป็นคู่นอนของเทเรซ เขาจึงถูกตำรวจบีบบังคับให้ทำงานเป็นสายลับ คอยสืบหาความลับของหญิงสาวชาวเบลารุสมาบอกกับตำรวจประจำเขตเช่า

นับจากนั้นเสี่ยวเซวียก็รู้เรื่องราวของเทเรซมากขึ้นเรื่อยๆ (แม้แต่เรื่องที่อยู่ในเส้นขนบนเรือนร่างหล่อน) เขารู้ว่าหล่อนเป็นนักค้าอาวุธรายใหญ่ที่ทำมาค้าขายอยู่กับพวกอันธพาลในเซี่ยงไฮ้ เช่น แก๊งชิงปัง หรือแม้แต่พวกปฏิวัติ (คอมมิวนิสต์) ที่เคลื่อนไหวในเขตเช่าของฝรั่งเศส หล่อนเป็นหญิงไม่ดี แต่หล่อนมักกลับมาหาเขา และเขาก็ไม่อาจตัดใจไปจากหล่อนได้   

สืบไปสืบมา เสี่ยวเซวียยังพบอีกว่าเหลิ่งเสี่ยวม่านเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ เธอเป็นคนหัวอ่อนที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของพรรคอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าแกนนำสั่งให้ทำอะไร เธอจะยินยอมทำตาม เธอมักได้รับคำสั่งให้ไปแต่งงานกับคนนั้นคนนี้ เพื่อผลประโยชน์ของพรรค ครั้งล่าสุดเธอได้รับคำสั่งให้ไปเป็นเมียของคนใหญ่คนโตของฝ่ายรัฐบาล ก็เพื่อที่พรรคปฏิวัติจะได้วางแผนสังหารเขาอย่างไม่ผิดพลาด

ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร เสี่ยวเซวียยิ่งสืบสาวก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับหญิงสาวทั้งสอง หญิงสาวที่ร้อนร่าน และหญิงสาวที่ซื่อบริสุทธิ์จนน่าสงสาร เขาไม่ได้เผยความลับที่รู้ให้ตำรวจฝรั่งเศสทราบ สิ่งที่เขาทำคือพยายามหาทางปกป้องพวกเธอทั้งสองคน 

ในบั้นปลายเสี่ยวเซวียถึงกับเลือกเหลิ่งเสี่ยวม่าน เขาฝันหวานว่าจะหอบเงินค้าอาวุธของเทเรซไปตั้งรกรากอยู่กินกับเหลิ่งเสี่ยวม่านที่อเมริกา เขาพูดเรื่องนี้กับเหลิ่งเสี่ยวม่าน ไม่นึกไม่ฝันว่าเหลิ่งเสี่ยวม่านจะปฏิเสธ เธอต้องการรับใช้พรรคต่อไป เธอบอกว่าอะไร...เธอบอกว่าหัวหน้าคนก่อนแอบอ้างพรรคหลอกใช้เธอ ตอนนี้เธอค้นพบองค์กรพรรคที่แท้จริงแล้ว น้ำเสียงของเธอใสซื่อบริสุทธิ์ปานนั้น เสี่ยวเซวียได้แต่ยอมตามหล่อน 

น่าเสียดายที่เหลิ่งเสี่ยวม่านไม่มีโอกาสได้รับใช้พรรคอีก วันนั้นเธอสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องเสี่ยวเซวียจากกระสุนปืนของอดีตหัวหน้าที่เลวทรามนั่น 

สุดท้ายเสี่ยวเซวียกลับไปหาเทเรซ เสพสุขจากเงินสกปรกที่ได้จากการค้าของผิดกฎหมายร่วมกัน นอนบนเตียงร่วมกัน นั่นเป็นความรักหรือไม่ก็ยากบอกได้ ในวังวนของอำนาจมืด เงินตรา และสถานการณ์ที่บีบคั้น...มีความรักแท้อยู่หรือไม่?

สถานการณ์ในเซี่ยงไฮ้งวดจนเข้าใกล้ขั้นแตกหักในต้นปี 1932 ตำรวจในเขตเช่าฝรั่งเศสปวดหัวกับแก๊งอันธพาลมากขึ้นเรื่อยๆ พวกคอมมิวนิสต์ยังแฝงตัวใช้เขตเช่าฝรั่งเศสเป็นที่กบดาล กองทัพญี่ปุ่นรุกคืบเข้ามาไม่หยุดยั้ง มหาสงครามเอเชียบูรพากำลังจะเริ่มขึ้น ทหารตำรวจของรัฐบาลก๊กมินตั๋งพยายามตั้งรับอย่างสิ้นหวัง ฝูงชนมหาศาลเริ่มทิ้งบ้านช่องอพยพ สายลับญี่ปุ่นแทรกซึมไปทั่ว ขณะที่ชาติตะวันตกต่างรักษาท่าทีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง 

เซี่ยงไฮ้ในช่วงเวลานั้นกลายเป็นบ่อย้อมที่ไร้กฎเกณฑ์ไปแล้วจริงๆ   





 

Create Date : 25 มีนาคม 2561    
Last Update : 24 มิถุนายน 2561 12:36:15 น.
Counter : 1106 Pageviews.  

A Corpse in the Koryo






ผู้แต่ง: James Church
สนพ.  Minotaur Books

ไม่ได้รีวิวหนังสือลงบล็อกนานมาก... ช่วงนี้กำลังติดนิยายสืบสวนสอบสวนชุดสารวัตรโอ (Inspector O) ชนิดงอมแงม รู้สึกว่าของเขาดี ฮา... เลยอยากเขียนรีวิวแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักนิยายเรื่องนี้บ้าง

จริงๆ นิยายชุดสารวัตรโอมีหลายเล่มต่อเนื่องกัน แต่ จขบ. เพิ่งอ่านจบแค่เล่มแรก และรู้สึกว่านิยายเนื้อหาแบบนี้แหละที่ใช่ หาอ่านมานาน เนื้อหามีส่วนผสมของงานเขียนแบบสืบสวนสอบสวน อาชญากรรม ประวัติศาสตร์ และสภาพสังคมเกาหลี (เหนือ)โดยเล่มแรกมีชื่อตอนว่าศพในโรงแรมคอรยอ (A Corpse in the Koryo) ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีเหนือ (ในปัจจุบัน)

เนื้อเรื่องคร่าวๆ นิยายเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของสารวัตรโอ ซึ่งเป็นเพียงตำรวจวัยกลางคนธรรมดาๆ ไม่ได้มีภาพลักษณ์เก่งกาจอะไรเป็นพิเศษ เขาทำงานในหน่วย 826 ของกระทรวงความมั่นคงแห่งประชาชน วันหนึ่งเขาได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญสุดๆ คือ การไปนั่งซุ่มเพื่อรอดักถ่ายรูปรถคันหนึ่งที่จะวิ่งผ่านบนทางหลวง!

แต่ให้ตายเถอะ สภาพชีวิตในเกาหลีเหนือนั้นมันบิดเบี้ยวไปหมด และไม่มีอะไรที่ดูปกติเลย ตั้งแต่ถนนที่ตรงแน่วไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเนินเขา รถที่นานน้านจะผ่านมาสักคัน และไอ้กล้องเจ้ากรรมที่มันจะดับทุกทีที่สารวัตรโอต้องการใช้งาน บทสรุปของวันนั้นก็คืองานของสารวัตรโอล้มเหลว

แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องยุ่งๆ ที่จะเข้ามาพัวพันกับชีวิตของสารวัตรโอไปจนกระทั่งจบเรื่อง

เพราะเมื่อสารวัตรโอกลับมารายงานสารวัตรใหญ่พัค เขาพบว่ามีเจ้าหน้าที่สองคนที่พยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานของเขา คือเจ้าหน้าที่คิมและเจ้าหน้าที่คัง คนทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่น่าแปลกก็คือการประสานงานระหว่างกันไม่มีอะไรชัดเจนเลย

สารวัตรโอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหน้าที่คิมและเจ้าหน้าที่คังต้องการอะไร แม้แต่งานที่สารวัตรใหญ่พัคสั่งให้เขาไปดักถ่ายรูป ต้นสายปลายเหตุคืออะไรกันแน่ เขาก็ยังไม่รู้ เขาแค่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่เขากำลังปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่าเจ้าหน้าที่คังกำลังตามเซ้าซี้เขาอย่างไม่หยุดหย่อน 

และวันหนึ่งเมื่อสารวัตรใหญ่พัครู้ว่าเจ้าหน้าที่คังคุยเรื่องบางอย่างกับลูกน้องของตน สารวัตรโอก็ถูกสั่งให้ลาพักร้อน และถูกส่งไปพักผ่อนไกลถึงจังหวัดชายแดน โดยที่เจ้าหน้าที่คังยังแอบตามสารวัตรโอไป (อย่างเปิดเผย!)

อ่านแล้วงงๆ ไหม ฮา... ซึ่ง จขบ. เองขณะอ่านก็รู้สึกงงๆ เหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องก็มีเสน่ห์ชวนให้ติดตามอ่านได้จนจบ ผู้เขียนตั้งใจสร้างบรรยากาศที่ชวนสับสนแบบนี้ และไม่บอกอะไรผู้อ่านล่วงหน้าเลย เพื่อให้ผู้อ่านมึนไปพร้อมๆ กับตัวสารวัตรโอว่าตกลงแล้วเขาจะต้องทำอะไร หัวหน้าต้องการอะไรจากเขา ทำไมสั่งให้เขาไปโน่นมานี่ไม่หยุดหย่อน ทำไมเขาจึงถูกติดตาม ศพในโรงแรมคอรยอนั่นมีความเป็นมาอย่างไร และคนอื่นๆ ที่เข้ามายุ่งมีวาระซ่อนเร้นอย่างไรกันแน่

James Church เป็นนามปากกาของผู้แต่งซึ่งอ้างว่าเคยทำงานเป็นสายลับของอเมริกา มีประสบการณ์หาข่าวในหลายประเทศในทวีปเอเชีย (และคงจะรวมถึงเกาหลีเหนือด้วย) เขาแต่งนิยายเรื่องนี้ในลักษณะของวรรณกรรมมืดหม่น (Noir fiction) จงใจให้ผู้อ่านเห็นสภาพชีวิตที่บูดๆ เบี้ยวๆ ในสังคมเกาหลีเหนือผ่านชีวิตของสารวัตรโอซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสังคมอันบูดเบี้ยวนั้น

เขาถูกตัวแทน ‘ความมั่นคง’ ซึ่งต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบีบให้ต้องซ้ายหันขวาหันโดยไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องทำงานโดยที่ไม่รู้ว่างานที่ทำอยู่คืออะไร มีเป้าหมายอย่างไร และชีวิตของเขาก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย เพราะถูกเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นจับจ้องอย่างเปิดเผยอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่ไม่ว่าจะไปไหนก็เจอตลอด แม้แต่ตอนนอนอยู่ในโรงแรมยังถูกบุกเข้ามาหา!

ผู้แต่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ เมือง หมู่บ้าน การคมนาคม อาชีพ การใช้ชีวิตประจำวัน ฯลฯ ได้ดี อ่านแล้วเห็นภาพ แต่ไม่ทราบว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ เพราะแม้ว่าผู้แต่งจะเป็นสายลับ แต่การหาข่าวหรือรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ในเกาหลีเหนือคงไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างไรก็ดี ถามว่าสนุกไหม? สำหรับคนที่ชอบอ่านงานเขียนแนววรรณกรรมมืดหม่นแล้วต้องบอกว่า...ว่าอย่างไรดีล่ะ จะบอกว่าสนุกก็ไม่เต็มปาก เพราะอย่างที่บอกว่าขณะอ่านจะรู้สึกมึนๆ งงๆ กับภารกิจของสารวัตรโอ (รวมถึงการเล่าเรื่องโดยอาศัยเทคนิคแฟล็ชแบ็คด้วย)

ดังนั้นขอบอกว่าน่าสนใจมากก็แล้วกัน และอยากแนะนำให้ลองหามาอ่านกันนะ





 

Create Date : 23 มีนาคม 2561    
Last Update : 25 มีนาคม 2561 9:27:32 น.
Counter : 507 Pageviews.  

ถ้า โลกนี้ ไม่มี แมว






"โลกที่มีผมอยู่ กับโลกที่ไม่มีผม ต่างกันแค่ตรงนั้นเอง...
ช่องว่างเล็กๆ ที่เป็นสัญลักษณ์บอกว่าผมเคยมีชีวิตอยู่"


ผู้แต่ง: Genki Kawamura
ผู้แปล: ดนัย คงสุวรรณ์
สนพ.  Maxx Bublishing


ของบางสิ่ง มีอยู่ก็ไม่มากไป ขาดหายไปก็ไม่น้อยเกิน
ดังนั้นมันสามารถถูกแลกเปลี่ยนออกไปอย่างไม่เสียดาย

ของบางสิ่ง มีค่าควรแก่การทนุถนอม มีค่ามากกว่าเงินทอง บางครั้งยังมากกว่าชีวิต
ดังนั้นมันจึงถูกรักถูกหวงแหน และไม่มีวันถูกลืมเลือนได้ตลอดกาล

สุดท้ายยังมี...

ของบางสิ่ง แม้มีคุณค่าสูงยิ่ง แต่เราละเลยมันเสมอ
ดังนั้นมันจึงจากเราไป จากไปแบบไม่มีวันหวนคืน ต่อให้เราสำนึกได้ในภายหลัง นั่นก็สายไปแล้ว

ชายหนุ่มมีอาชีพเป็นบุรุษไปรษณีย์ เขาถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคเนื้องอกในสมอง... เขากำลังจะตาย
เมื่อมองไปรอบกาย เขาไม่มีใคร มีเพียงแมวที่อยู่เป็นเพื่อนร่วมห้องของเขา บางครั้งเขาก็คิดว่าชีวิตของตนมิได้มีคุณค่าความหมายอันใด

 “อาชีพบุรุษไปรษณีย์... สักวันก็คงไม่มีแล้ว”
“โลกนี้มันเต็มไปด้วยของแบบที่ไม่มีก็ได้”

แต่เขายังไม่อยากตาย
เมื่อความตายมาเยือนตรงหน้า เขาจึงยินดีแลกเปลี่ยน ‘สิ่งของ’ เหล่านั้น เพื่อให้ได้มีชีวิตต่อไปในแต่ละวัน

และนั่นคือเส้นทางที่นำชายหนุ่มไปสู่มุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว
ความตายนำพาความมืดมิดอมตะนิรันดร์กาลมาสู่บางคน
แต่สำหรับบางคน ความตายคล้ายส่องแสงสว่างให้เขาได้ทบทวนหวนนึก และมองเห็นคุณค่าที่ตนไม่เคยมองเห็น
...............................................................................

การลบสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปจากชีวิต ก็เหมือนกุศโลบายที่ปราณีต่อคนใกล้ตาย ให้เขาได้ลืม และค่อยๆ ตายอย่างหมดอาวรณ์
แต่นั่นไม่ใช่การตายอย่างเชื่องช้า แสนทรมานหรอกหรือ

หากเราต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ และความทรงจำต่อสิ่งนั้นไปจนหมดสิ้น แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
หัวใจของมนุษย์แตกต่างจากหัวใจของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น
เพราะหัวใจของมนุษย์เป็นกล่องเก็บความทรงจำ ทุกครั้งที่มันถูกเปิดออก ชิ้นส่วนแห่งอดีตจะพากันพรั่งพรูออกมา

ในกล่องส่วนตัวของเราใบนั้น... ดวงตาหม่นเศร้าเฝ้ามองรอยยิ้ม เสียงหัวเราะดังกังวานในร่องรอยเหือดแห้งของหยดน้ำตา
ความสุขความทุกข์ทั้งมวลที่ปรากฏในนั้น เป็นพลังที่ผลักดันให้หัวใจของเราเรียนรู้ที่จะรัก อย่างน้อยก็รักในคุณค่าของตนเอง
เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องโศกเศร้าหรือสุขสันต์ ในที่สุดเรายังไม่ตาย สองเท้าของเราย่ำผ่านอดีตมา และจะยังก้าวต่อไป

หากต้องละทิ้งมันไปทีละสิ่ง จนสุดท้ายไม่หลงเหลือความทรงจำอันใดเป็นของตนเอง
พื้นที่ของหัวใจคงกลับกลายเป็นเพียงกล่องที่ว่างเปล่า
หัวใจที่ว่างเปล่าก็คือหัวใจที่ไม่สามารถเป็นบ่อเกิดของความรัก
หัวใจที่ไม่มีความรัก ไยมิใช่ก้อนหินที่ไร้คุณค่าความหมายโดยสิ้นเชิง
...............................................................................

หัวใจของชายหนุ่มไม่ใช่ก้อนหิน
สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ไม่ได้ไร้คุณค่าความหมาย
การเป็นคนส่งจดหมายก็มีคุณค่าอย่างยิ่ง
ดังนั้นเขาออกแรงถีบจักรยานขึ้นเนิน ฝ่าสายลม เพื่อนำจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งให้แก่คนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของเขา

คนผู้นั้น
ความตาย

ใกล้เข้าไปทุกที






 

Create Date : 12 มิถุนายน 2559    
Last Update : 12 มิถุนายน 2559 17:14:25 น.
Counter : 930 Pageviews.  

เจ็ดอาถรรพ์: เสน่ห์ของนิยายในนิยาย






"อ่านต่อไป ไปด้วยกัน
เจ็ดอาถรรพ์มิอาจขาดใครคนหนึ่ง !"


ผู้แต่ง: ชิงชิว
ผู้แปล: มิราทิพย์
สนพ.  นานมีบุ๊คส์


เป็นนิยายเล่มหนามากๆ ... แต่ขอชื่นชม สนพ. นานมีที่มีความจริงใจต่อลูกค้า มาอย่างไรก็แปลไปอย่างนั้น ไม่หั่น ไม่แบ่ง เย็บเล่มอย่างดี ลองคิดดู... ถ้าหนังสือเล่มนี้พยายามจะดันตัวเองออกมาจากชั้นหนังสือ ยั่วยวนให้เราอ่านมันให้จงได้ ด้วยขนาดรูปเล่มแสนเขื่องกว่า ๖๕๖ หน้าของมัน จะเตะตาเรามากขนาดไหน

คุณจะห้ามใจไม่หยิบมันขึ้นมาอ่านได้หรือ ?

ใช่แล้วครับ เรากำลังพูดถึงนิยายสักเล่มที่ซุกตัวอยู่ในชั้นหนังสือเป็นเวลานาน นิยายที่คุณแทบจะไม่แยแสสนใจ หรือไม่ก็ลืมมันไปแล้ว แต่จู่ๆ วันดีคืนดีมันก็โผล่ออกมา แปลกประหลาด เย้ายวน ชวนฉงน

ถึงคุณจะไม่อยากใส่ใจ แต่มันขวางหูขวางตาคุณ...
ถึงคุณจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่หลังจากเดินผ่านไปมาหลายเที่ยว คุณเริ่มรู้สึกหงุดหงิด หันมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์ ยื่นมือหยิบมันออกมา เปิดอ่านหน้าแรก...

วูบ!! ประดุจลำแสงสว่างจ้ายามรถไฟโผล่พ้นปากอุโมงค์ แล้วคุณก็พบว่าโลกหลังอุโมงค์นั่นแตกต่างจากโลกที่คุณเคยพบเจออย่างสิ้นเชิง เป็นโลกที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์ ที่ถูกปลุกขึ้นมาจากมือของโจรปล้นสุสาน

โจวเจวี๋ย นักศึกษาธรรมดาๆ ที่หาลำไพ่พิเศษด้วยการทำงานในห้องสมุดได้พบเจอโลกใหม่ที่ว่านี้ หลังจากเขาได้พบและอ่านนิยายเก่าแก่ที่มีที่มาที่ไปสุดลี้ลับ เรื่อง ‘เจ็ดอาถรรพ์’ ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงที่ญี่ปุ่นยกทัพรุกรานเมืองหนานจิง

มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ มีความตาย มีการขโมย และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนชีพของ ‘อาถรรพ์’ ก่อนที่มันจะฝังตัวอย่างมิดชิดอยู่ในหนังสือนิยาย รอวันที่ใครสักคนจะเปิดมันออกอ่าน

แล้วอาถรรพ์ก็จะถูกส่งต่อ
จากมือของโจรปล้นสุสานสู่มือของหลินซี่ว์ตัวละครเอกในนิยาย และส่งต่อจากหลินซี่ว์สู่ผู้ที่ได้อ่านเรื่องราวของเขา ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน เป็นตัวละครจำเป็น ที่ต้องเผชิญกับประสบการณ์แปลกประหลาดพิสดารและน่ากลัว จะถอนตัวก็ไม่ได้ หากอาถรรพ์ไม่ถูกคลี่คลาย คนที่เกี่ยวข้องก็จะต้องมีอันเป็นไปเรื่อยๆ

ผู้แต่งใช้เทคนิคการเขียนไม่ใหม่ แต่ยังน่าสนใจมากๆ คือการเล่าเรื่อง ‘นิยายในนิยาย’ และสุดท้ายเนื้อหาบิดเป็นเกลียวซ้อนทับกันจนแทบแยกไม่ออก เห็นรูปเล่มใหญ่โตแบบนี้แต่เนื้อหาเดินหน้าตลอด ผู้แต่งไม่เยิ่นเย้อกับการปูเรื่องจนเกินไป จึงสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้อย่างรวดเร็ว มีฉากน่าสะพรึง/ตกใจโผล่มาเป็นระยะๆ คอยกระตุ้นให้ผู้อ่านตื่นเต้นและลุ้นไปเกือบทุกบรรทัด

เมื่อคุณอ่านนิยายเรื่องนี้จบ วางมันลงบนโต๊ะ คุณอาจจะเหลือบมองไปที่ชั้นวางหนังสือในบ้านของคุณ... มองด้วยความหวาดระแวง

และภาวนาไม่ให้มีหนังสือเก่าแก่ที่ดูแสนประหลาดโผล่ออกมาจากชั้นหนังสือ !




 

Create Date : 15 เมษายน 2559    
Last Update : 17 เมษายน 2559 7:10:58 น.
Counter : 1023 Pageviews.  

ผู้ยิ่งใหญ่ กับมูลค่าของความเป็นวีรบุรุษ






"หากฉิ่นกอพอใจยืนชมจันทร์บนสะพาน
ท่านคิดจะชมจันทร์ ก็ต้องไปยืนอยู่ที่ใต้สะพาน!
เนื่องเพราะฉิ่นกอเป็น ผู้ยิ่งใหญ่!"


ผู้แต่ง: โกวเล้ง
ผู้แปล: ว. ณ เมืองลุง

จากรีวิวที่แล้วเรื่อง ตงกง ตำหนักบูรพา ขอต่อแนวเดียวกันอีกสักหนึ่งเรื่อง
แต่เรื่องนี้ตรงข้ามกับ ‘ตงกง’ ตรงที่มีเนื้อหาแนวสุขนาฏกรรม อ่านแล้วไม่ปวดตับ ทั้งยังขำขันเบิกบานใจยิ่ง

ชั้งซือซือ (เถียนซือซือ) ดรุณีน้อยโฉมสะคราญ ผู้ถือกำเนิดในชาติตระกูลอันสูงส่ง ปรารถนาใคร่หนีออกจากบ้าน เผชิญผ่านโลกภายนอก เพื่อค้นหา ‘วีรบุรุษ’ ในดวงใจของนาง

เขาผู้นั้นคือฉิ่นกอ (ฉินเกอ) ทั่วทั้งยุทธจักรใครบ้างไม่รู้จักฉิ่นกอ ชื่อของเขาโด่งดัง เรื่องเล่าเกี่ยวกับเขายิ่งอลังการกว่าความฝัน สาวเล็กสาวใหญ่พอรับฟังต่างหัวใจไหวหวั่นแทบละลาย

ชั้งซือซือก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อนางถูกบิดาจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับชายที่นางไม่รู้จัก นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เพื่อตามหา ‘วีรบุรุษ’ ในดวงใจ

ระหว่างทาง นางต้องพบพานอุปสรรคมากหลาย บางครั้งถึงขั้นหวุดหวิดแทบเอาตัวไม่รอด แต่แล้วพลันมี ‘ปีศาจหัวโต’ ร่างอวบผู้หนึ่งคอยยื่นมือช่วยเหลือ จนนางรอดมาได้ทุกครั้งครา เขาผู้นั้นมีชื่อว่า เอี้ยฮ้วม (หยางฝาน)

จากตำนานที่เล่าขานกันปากต่อปาก โกวเล้งชักนำผู้อ่านให้ค่อยๆ รู้จักกับวีรบุรุษฉิ่นกอตัวเป็นๆ บุคลิกของเขา ความคิดอ่าน การกระทำ และความนับถือศรัทธาของเขา

ทำให้เราได้เห็นว่า ฉิ่นกอเป็นวีรบุรุษขึ้นมาได้ก็เพราะ ‘ค่านิยม’ โดยแท้ ตัวตนแท้จริงของเขาไม่อาจนับเป็นวีรบุรุษอันใด แต่พอมีใครสักคน (สมมติว่าเป็นนักการตลาดขั้นเทพ) ป่าวประกาศว่าเขาเป็นวีรบุรุษ

คำ ‘วีรบุรุษ’ ก็แพร่ระบาดยิ่งกว่าเชื้อโรค จนฉิ่นกอกลายเป็นวีรบุรุษขึ้นมาได้จริงๆ

เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะสังคมของเราเต็มไปด้วย ‘นักฝัน’
นักฝันมักโหยหาวีรบุรุษ (ไอดอล) เพื่อปลอบประโลมและเติมเต็มจิตใจตนเอง

มูลค่าของความเป็นวีรบุรุษ หรือไอดอล ขึ้นอยู่กับความแรงของกระแส ‘ค่านิยม’ ที่จะแพร่กระจายไปในหมู่มวลชน ผู้เฝ้ารอแห่แหน กรีดร้อง ปรบมือ... ของใช้ของเหล่าไอดอลบางครั้งมีมูลค่ามหาศาล (อย่างไร้เหตุผล) ในตลาดประมูลสิ่งของ*

ฉิ่นกอ กับ เอี้ยฮ้วม นับเป็นสองบุคคลที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฉิ่นกอ ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษในยุทธจักร บุคลิกภาพและการแสดงออกเปิดเผย เข้มแข็ง ออกจะกระด้างอยู่บ้าง
เอี้ยฮ้วม กลับเป็นคนอ้วนหัวโต รูปลักษณ์ไม่น่ามอง แต่สติปัญญาเฉลียวฉลาด เก่ง และมีคุณธรรม ที่สำคัญชอบยียวนกวนประสาทชั้งซือซืออยู่เป็นนิจ

วีรบุรุษของคนอื่น อาจบางทีไม่ใช่วีรบุรุษของเรา
แล้วใครล่ะจึงสมควรเป็นวีรบุรุษที่แท้จริงในหัวใจของชั้งซือซือ?

เรื่องนี้มีแต่ชั้งซือซือจึงตอบได้
แต่อย่างน้อย หลังผ่านเผชิญโลกกว้าง นางได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงประการหนึ่ง

“คนที่มีคุณค่าให้ท่านเคารพนับถือโดยจริงใจ ย่อมจะต้องให้ท่านรู้จักมันมาเนิ่นนานยิ่ง จึงให้ท่านได้ทราบว่ามันเป็นคนเช่นไร”



* ชื่อเสียงของเหล่าไอดอล ถือเป็น ‘ทุนสัญลักษณ์’ ที่สามารถนำไปสู่พลังทางวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ (เงิน) ตามทรรศนะของปิแอร์ บูร์ดิเยอ






 

Create Date : 03 เมษายน 2559    
Last Update : 3 เมษายน 2559 17:41:42 น.
Counter : 1379 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Varalbastra
Location :
จันทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




My spirit listens and my yearning eyes
Strain to discover things they may not see.

《Chin Hwa》





..................
Friends' blogs
[Add Varalbastra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.