เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่เวลาที่ใช้อ่านหนังสือสามารถให้สิ่งที่มีค่ากว่าเงินทองแก่เราได้
Group Blog
 
All Blogs
 
ปล่อยให้ปีกของหัวใจโบยบิน (ความเรียง)



คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ถ้าเดินทางไปจนถึงสุดปลายฟ้า เราจะได้พบกับอะไร

ทุ่งดอกหญ้าทอดยาวขนานเคียงไปตามสองข้างถนน สายลมเย็นที่พัดพลิ้วผ่านนำพาความสดชื่นมาแทนที่ความเหนื่อยล้า ท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนสีไปตามแต่ละช่วงเวลาของวัน ทั้งสีม่วงสดใสและชมพูอ่อนหวานในรุ่งอรุณของวันใหม่ เที่ยงวันที่แดดจัดจ้าจนฟ้าเป็นสีครามสดแตะแต้มด้วยเมฆขาว สีทองยามเย็นที่ตะวันใกล้สัมผัสกับขอบฟ้าและแผ่นดิน ค่ำคืนที่ดาวพราวพร่างเหมือนเกล็ดเพชรบนกำมะหยี่สีดำเพราะไร้แสงไฟกลบบัง ดอกไม้บานที่ต่างสีไปตามฤดูกาล ภูเขาสูงเสียดฟ้า ทะเลกว้างไกลสุดสายตา

คนขับรถที่มีน้ำใจรับเราร่วมทางไปด้วย ร้านอาหารริมทางที่เราแวะพัก วิถีชีวิตของผู้คนที่อาจต่างไปจากที่เราเคยพบเห็น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่เราพบระหว่างทาง วัฒนธรรมประเพณีที่ไม่เคยรู้จัก สถานที่ที่ไม่เคยไปเยือน

หรือสิ่งที่เราได้พบอาจจะเป็นเพียงแค่... ความผูกพันของตัวเราเองที่มีต่อรองเท้าผ้าใบคู่เก่าแต่เคียงข้างเรามาตลอด เป้สะพายหลังที่เป็นเพื่อนร่วมทางพร้อมจะไปกับเราได้ทุกที่เสมอ กล้องถ่ายรูปที่ทำให้เราได้เห็นโลกในมุมที่แตกต่างไปแต่งดงามขึ้น โปสต์การ์ดที่แทนความคิดถึงของเราไปถึงคนที่เรารัก ปากกากับสมุดที่เราใช้บันทึกความทรงจำอันมีค่าที่เราได้จากการเดินทาง

แต่ในความเป็นจริง คนที่แทบไม่เคยเดินทางอย่างฉันก็ยังไม่อาจหาคำตอบให้คำถามนี้ได้ หลายครั้งที่ฉันหลับตาลงแล้วจินตนาการถึงการเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล บ่อยครั้งที่ใจฉันเฝ้าใฝ่ฝันถึงการได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ระหว่างเส้นทางที่ผ่าน แต่ทุกครั้งฉันกลับเลือกที่จะรับประสบการณ์จากการถ่ายทอดของผู้ที่ได้ก้าวไปบนทางสายนั้นมาแล้วผ่านทางสารคดี หรือนิตยสารท่องเที่ยว แทนที่จะออกไปแสวงหาด้วยตัวเอง

ฉันเคยได้ยินใครหลายคนกล่าวถึงการเดินทาง ว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตที่นำพาเราไปค้นพบสิ่งใหม่ ความคิดใหม่ มุมมองใหม่ หรือแม้แต่อาจนำพาไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเราเอง

บ่อยครั้งที่หัวใจฉันร่ำร้องที่จะไปให้ถึงปลายฟ้า แต่ฉันก็ปฏิเสธเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองด้วยเหตุผลเพียงแค่ ไม่ว่าง ไม่มีเวลา หรือแม้แต่มีข้ออ้างกับคนอื่น ๆ ว่าไม่มีโอกาส ทั้ง ๆ ที่โอกาสนั้นอาจมี แต่ฉันไม่เคยพยายามไขว่คว้าให้ได้มันมา

ฉันตั้งข้อสงสัยกับตัวเองอยู่เสมอว่าอะไรคือโซ่ตรวนที่พันธนาการปีกของหัวใจฉันกันแน่ กรงที่กักขังฉันเอาไว้มันมีอยู่จริงหรือว่าเป็นแค่สิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาเองกันแน่ บางทีโซ่ตรวนกับกรงขังนั้น อาจเป็นเพียงแค่ความรู้สึกไม่มั่นใจต่อการที่ต้องเดินไปบนเส้นทางที่ไม่รู้จัก ความติดกับความสบายจนรู้สึกว่าเป็นความลำบากที่จะต้องเปลี่ยนวิถีประจำวันไปจากกิจวัตรที่เคยชิน

และความคิดที่ว่าไม่มีเวลา เวลาที่ไม่เคยมีเพียงพอกับการทำงานและใช้ชีวิตเพราะความเร่งรีบของเราเอง จนเหมือนกับเราไม่มีโมงยามหลงเหลือไว้สำหรับสิ่งที่เราอยากทำเลยแม้เพียงนาที

ฉันเคยคิดถึงการนั่งรถประจำทางสายที่ไม่เคยรู้จักไปจนสุดสาย ด้วยตาและใจที่เปิดกว้าง มอง จดจำทุกเวลาที่ล่วงผ่าน และเก็บเกี่ยวจากทุกสิ่งที่ได้พบเห็น แค่นั้นก็เพียงพอที่จะนับเป็นการเดินทางแล้วสำหรับฉัน แต่เมื่อฉันเล่าแผนการนี้ให้เพื่อนสนิทฟัง เธอกลับหัวเราะแล้วถามว่ามีเวลาหรือ ทำให้ฉันทั้งประหลาดใจ และอดที่จะเศร้าใจไม่ได้ว่าเวลาในชีวิตของเรามีน้อยจนไม่มีเหลือสำหรับการปล่อยให้หัวใจได้เป็นอิสระบ้างเลยหรือ

แต่แล้ววันหนึ่ง โอกาสก็เดินทางมาหาฉัน เมื่อไม่นานมานี้ฉันมีความจำเป็นที่จะต้องโดยสารรถประจำทางสายที่ไม่เคยนั่งมาก่อน ตั้งแต่ต้นสายไปจนสุดสาย ขาไปเส้นทางหนึ่งและขากลับอีกเส้นทางหนึ่ง วันนั้นแค่วันเดียวแต่กลับได้เห็นสถานที่ระหว่างทางมากกว่าที่เคยเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมารวมกัน

ฉันมัวแต่สนใจเปิดตามอง มองสองข้างทางจนแทบจะลืมธุระที่รออยู่ปลายทางไปเสียสนิท ระหว่างที่รถแล่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ผิวน้ำที่สะท้อนแสงแดดพรายระยับจับตาเตือนให้ฉันระลึกได้ว่า ฉันยังไม่เคยนั่งเรือข้ามฟากข้ามแม่น้ำมาก่อนเลย และระหว่างทางกลับ ฉันก็ได้เก็บความประทับใจมาจากถนนสายหนึ่งที่ยังคงรักษาบรรยากาศของความเก่าแก่ไว้ได้ท่ามกลางกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงรุนแรงที่ถาโถมจนกวาดเอาความงดงามแห่งอดีตจมหายไปจนหมดสิ้น

ประสบการณ์การเดินทางอันแสนสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั้นเองที่สอนให้ฉันได้เข้าใจว่า ความจริงแล้วฉันไม่เคย ‘ไม่มีเวลา’ หากแต่ฉันเสียเวลาที่ผ่านมาของชีวิตให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

แม้ว่าในชีวิตที่ผ่านมาฉันอาจจะปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไป แต่นับจากนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้คำว่า ‘ไม่มีเวลา’ มาหยุดฉันอีกแล้ว จะไม่ปล่อยให้ข้อจำกัดที่ฉันสร้างขึ้นมาเองมาขวางกั้นระหว่างฉันกับโอกาสที่จะได้ให้คำตอบกับตัวเองว่ามีอะไรอยู่ที่สุดปลายฟ้านั้นอีกต่อไป

ที่สุดปลายฟ้าอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างรอคอยให้เราไปค้นหา เมื่อหัวใจเพรียกหาขอบฟ้า ปล่อยให้ปีกของหัวใจโบยบินไป เพราะการเมินเฉยต่อเสียงร่ำร้องของหัวใจอาจหมายถึงการพลาดโอกาสที่จะได้ค้นพบสิ่งสำคัญที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเราเอง

อย่ามัวแต่คิดว่าไม่มีเวลา เพราะหากถึงวันที่ชีวิตเราหมดเวลาอย่างแท้จริง เราจะสูญเสียโอกาสในการค้นพบและเรียนรู้สิ่งใหม่จากการปล่อยให้หัวใจได้โบยบินไปโดยที่ไม่อาจเรียกมันคืนกลับมาได้

ฉันหันไปมองรองเท้าผ้าใบคู่เก่า และเป้สะพายหลังเพื่อนร่วมทางใบเดิมของฉัน

ต่อไปนี้ฉันคงจะมีโอกาสได้เขียนโปสต์การ์ดส่งถึงใครสักคนบ้าง


ป.ล. ความเรียงนี้เขียนขึ้นในระหว่างอารมณ์กำลังอยากเที่ยวค่ะ

รูปภาพที่ประกอบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องเลย
แต่เป็นภาพที่ชอบค่ะ ตั้งชื่อให้เธอเล่น ๆ ว่า ธิดาท่านข่าน น่ารัก เห็นแล้วอยากโบยบินไปหา 55



Create Date : 28 มิถุนายน 2550
Last Update : 28 มิถุนายน 2550 20:58:52 น. 1 comments
Counter : 704 Pageviews.

 
ปรัชญาบนสายรถเมล์รึครับเนี่ย
แจ่มจัง


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 1 มีนาคม 2552 เวลา:12:17:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จินตานุภาพ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Imagination is more important than knowledge
Friends' blogs
[Add จินตานุภาพ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.