อิสรภาพแลนด์-ดินแดนลิเบอร์ตี้

Saturday Night : ศุกร์เมา เสาร์นอน อาทิตย์ถอน จันทร์ลาไม่ได้ !

title : Saturday Night
album : Color Lab
astist : The Photo Sticker Machine
Released : ประมาณปี 2002





Saturday Night


แล้วก็ถึงวันนั้นที่วันที่ฉันได้ปลดปล่อยความเบื่อหน่าย
คืนวันเสาร์...สุดสัปดาห์ที่เฝ้ารอ...

ทิ้งท้ายสักนิดก็หกวันที่ผ่านมา เพราะว่า...เราจะไม่พูดถึงมันอีกแล้ว
จันทร์ถึงศุกร์ไม่มีอะไร ทำงาน 9 โมงเลิก 5 โมงเย็น
ทุกวันตื่นมาทั้งที่ยังสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า...
ทำไมเราต้องหมุนปั่นชีวิตไปตามกระแสแบบนี้ด้วย(วะ)
อยากรู้เหมือนกันว่าความสุขอยู่ที่ไหน...แล้วก็พบว่า...นี่ไง

พอดีวันนั้นที่ฉันอยากไปก็เป็นวันที่เธออยากไปที่นั่น
พอดีวันนั้นที่เราเจอกัน เป็นวันที่พอดีเธออยากเจอฉัน
บังเอิญคำถามที่ฉันอยากถามเธอ...เธอเองก็...อยากถามคำเดียวกัน
พอดีคำตอบที่ฉันใฝ่ฝันเป็นคำเดียวกับที่...เธอต้องการ

หยุดเวลาสู่ความฝัน ปล่อยให้เสียงเพลงนำหัวใจ
ข้ามหุบเหวแห่งกฎเกณฑ์...ลืมความทุกข์ใดๆ
สู่ความหวังแห่งราตรี ค่ำคืนนี้ยังมีแสงไฟ
ปลดปล่อยใจสู่สวรรค์...

นี่ไงของขวัญสำหรับคนที่ต้องว่ายตามน้ำกันไป
ในคืนแห่งความฝันที่ดูเหมือนไม่มีค่า
มาถึงจุดจบของแต่ละอาทิตย์ของชีวิตที่เลือกไม่ได้

บางคนอาจคิดว่าช่วยไม่ได้ เพราะอยู่ในโลกที่เหมือนเลือกได้
เดินๆ ตามๆ กันไปอยู่ได้ ทั้งๆ ที่โลกนี้หมุนไปทุกวัน
ทั้งๆ ที่...โลกนี้เปลี่ยนไปทุกวัน

แล้วก็ถึงวันนั้นวันที่ฉันรอคอย วันที่จะได้ปลดปล่อยความเบื่อหน่าย
คืนวันเสาร์...สุดสัปดาห์ที่เฝ้ารอ...

หยุดเวลาสู่ความฝัน ปล่อยให้เสียงเพลงนำหัวใจ
ข้ามหุบเหวแห่งกฎเกณฑ์...ลืมความทุกข์ใดๆ
สู่ความหวังแห่งราตรี ค่ำคืนนี้ยังมีแสงไฟ
ปลดปล่อยใจสู่สวรรค์...
ก่อนดวงจันทร์ลาลับไปไกล...
ปลดปล่อยใจสู่สวรรค์...




ผมเป็นคนหนึ่งครับ
ที่เป็นพนักงานรับเงินเดือนประจำและรอคอยวันหยุดทุกสัปดาห์ครับ
ความจริงไม่ต้องเป็นพนักงานรับเงินเดือนก็รอคอยวันหยุดสุดสัปดาห์มาตั้งแต่ประถมแล้วครับ

จำได้ว่าพอเริ่มวันจันทร์ผมจะเริ่มนับถอยหลังสู่วันศุกร์เลย
วันจันทร์จะน่าเบื่อมาก วันอังคารน่าเบื่อกว่าวันจันทร์
วันพุธน่าเบื่อที่สุด วันพฤหัสเริ่มคึกและ
วันศุกร์จะสดชื่นมาก

คือมันก็ไม่ได้หมกมุ่นจดจ่อรอวันหยุดอย่างเดียวหรอกนะครับ
แต่ก็เรียกว่าแอบลุ้นตลอดเหมือนกัน ( จะลุ้นทำไมก็ไม่รู้ )

เป็นอย่างนี้จนทำงาน
พอมีช่วงหนึ่งกลับได้ทำงานอิสระ
ก็พบว่ามีวันหยุดทุกวันเลย
ตอนแรกก็ว่าดีจังเลย สบายแฮ
ไปๆมาๆกลับมานั่งปวดกะโหลกทุกวันไม่เว้นวันหยุด
สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า โดนโปรแกรมให้อยู่ในวงเวียนของการใช้ชีวิตรายสัปดาห์แล้วหรือย่างไร



ผมมักเห็นคนชอบพูดในเชิงเสียดสีมนุษย์เงินเดือนว่าเหมือนหุ่นยนต์บ้างล่ะ ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจบ้างล่ะ ไปไหนไม่ได้ ไม่เป็นอิสระ อย่างนู้นอย่างนี้
จริงๆผมก็แอบคิดอย่างนั้นนะ
แต่พอมาคิดดูอีกที
ผมว่ามนุษย์เงินเดือนนั้นก็น่าเห็นใจนะครับ
คือในสภาวการณ์อันเชี่ยวกราดของกระแสทุนนิยม มันทำให้ลักษณะการทำงานและการหาเลี้ยงชีวิตของคนนั้นเปลี่ยนไปน่ะ
.
.
ผมว่า...
ทุกอย่างถูกส่งเข้าสู่ระบบสายพานการผลิตแบบโรงงานหมด
ทรัพยากรต่างๆถูกส่งเข้าไปเพื่อออกมาเป็นสินค้า
ทรัพยากรมนุษย์ก็เหมือนกัน



ฉะนั้นผมจึงคิดว่า
หากใครจะเสียดสีเหล่ามนุษย์เงินเดือนก็น่าจะเห็นใจ และเข้าใจเขาสักหน่อยหน่อย
เพราะผมเชื่อว่าตั้งแต่เริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้วนู่นแหล่ะ
ที่ให้กำเนิดชนชั้นนี้
คือจะเรียกชนชั้นกลางก็น่าจะได้
ผมเองก็ไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร



ในสภาวะที่พอลืมตามาบนโลกก็ต้องวิ่งตามกระแสสังคมอันเชี่ยวกราดอย่างนี้แล้ว
การที่จะต้องวิ่งรอกทำมาหาเลี้ยงชีพไปวันๆนั้น ก็คงจะหมดเวลาที่จะไปคิดเรื่องสุนทรีย์อย่างอื่นแล้วกระมังครับ
มีคนกล่าวว่า
..."สุนทรีย์มาหลังจากที่ท้องอิ่มเสมอ"...
ซึ่งผมก็ว่าจริงครับ
ในภาวะปากกัดตีนถีบอย่างนี้อะไรทำให้ชีวิตรอดได้ก็ต้องทำไปก่อน

รู้ตัวอีกทีก็เป็นมนุษย์เงินเดือน รอเงินเดือนประจำรายเดือนไปเสียแล้ว
ประกอบกับยิ่งที ชีวิตก็ยิ่งมีเรื่องมากมายขึ้น
การคิดจะตัดสินใจทำอะไร ที่มันแปลกมันเสี่ยงออกมาก็เลยต้องคิดหนักมากขึ้นไปอีก
นี่ล่ะครับความลำบากใจของมนุษย์เงินเดือน
ก็ต้องเห็นใจเขาหน่อย



แต่ว่า
ในความเหมือนนั้นย่อมมีความต่างๆเสมอครับ
เคยได้ยินว่าม้าลายแม้เราจะมองผ่านๆ จะดูเหมือนกันหมด
แต่ว่าถ้าสังเกตดีๆ ตัวทางสีดำนั้นจะไม่เหมือนกันเลยสักตัว
คล้ายๆกับลายนิ้วมือของคน
มนุษย์เงินเดือนแต่ละคนไม่ใช่หุ่นยนต์แน่ครับ (เอ๊ะ ! หรือว่ามี )
ทุกคนล้วนมีความฝัน ความอยากที่จะทำอะไรอิสระแน่นอนครับ
ผมเชื่ออย่างนั้น
แต่ว่าแต่ละคนก็มีภาระรับผิดชอบต่างกัน
เหตุผลในการตัดสินใจก็ต่างๆกันไป



พูดมาถึงตรงนี้แล้วผมก้นึกถึงโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง ที่เป็นคนหัวล้านๆ ขับรถแข่งหรืออะไรสักอย่าง
ที่ไปขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่กลับมานอนนับเงินบนเตียงสุดหรู อย่างกะในวัง
แล้วก็มาชี้หน้าบอกเราว่า
"เป้าหมายมีไว้พุ่งชน !"

ความจริง...
ผมก็อยากจะพุ่งชนนะครับ
แต่ดูๆไปแล้วความฝันกับความจริงมันก็ต่างกันเหลือเกินครับ
พอคิดอย่างนี้แล้ว คำว่า "สุนทรีย์มาหลังจากที่ท้องอิ่มเสมอ"มันก็ลอยเข้ามาในหัวแหะ
.
.
อยากถามพี่เขาเหมือนกันครับว่า"พี่ครับถ้าพี่พุ่งชนแล้วล้ม พี่น่าจะมีฟูกนุ่มๆมารับนะครับ"
แต่ของผมเนี่ยพื้นคอนกรีตเต็มๆเลยนะครับ แถมอาจจะมีบาทาผสมโรงด้วยอีกต่างหากน่ะ




ภาพปกจาก //www.covershare.com/?action=open&infoid=1627 ครับ
รูปม้าลายจากว็บ//peypers.com/ นี้ครับ
รูปคุณส้มมาจากเว็บผู้จัดการครับ //www.manager.co.th/




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:42:26 น.   
Counter : 1924 Pageviews.  

No Word : รักแอบบอกไม่ได้

title : No Word
album : Beautiful Energy
astist : Twelve Girls Band
Released : March 15, 2004





อยากจะบอกรักเจ้า อยากจะบอก
อยากทักเจ้าพูดไม่ออก อยากทักเจ้า
ทุกค่ำเช้าอยากบอกรัก ทุกค่ำเช้า
สุดจะกล่าวจากใจเรา สุดจะกล่าว

ลมแห่งรักช่วยนำพา ลมแห่งรัก
รักหรือเปล่าฝากลมทัก รักหรือเปล่า
ฝากดวงดาวฝากวาจา ฝากดวงดาว
กระพริบทีพี่รักเจ้า กระพริบที

ทุกหยาดฝนแทนคำรัก ทุกหยาดฝน
แทนวจีทุกหยาดหล่น แทนวจี
แทนรักพี่ถึงเจ้า แทนรักพี่
ช่วยเฉลยถึงคนดี ช่วยเฉลย

โอ้ใจเอ๋ยดวงใจ โอ้ใจเอ๋ย
ไม่กล้าเผยไฉนเลย ไม่กล้าเผย
ไม่กล้าเอ่ยไฉนเลย ไม่กล้าเอ่ย
พี่รักเจ้าเจ้าเอย พี่รักเจ้า


อิสรภาพแลนด์





วันนี้ขอเริ่มด้วยกลอนสด ชิ้นเปื่อยเหมือนเดิมครับ
คือจะว่าแต่งมั่วก็ไม่ได้
เพราะว่าไปอ่านเจอกลอนบทหนึ่งในหนังสือของ ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ
เรื่อง "ถอดรหัส สัญลักษณ์ ปริศนา"เข้าน่ะครับ
เขาเรียกว่า กลอักษรงูกินหาง
พออ่านแล้วก็รู้สึกว่า "เห้ย! สุดยอด!" ขนาดคนกักขฬะ อย่างผมยังซึ้งได้

ลักษณะของกลอนแต่ละวรรคจะซ้ำกัน 3 คำแรกและ 3 คำหลังครับ
คือไม่ว่าจะอยู่หน้าหรือหลังก็ได้ความหมาย

พอซึ้งเสร็จ...ก็ลองมาแต่งดูครับ...
ปรากฎว่าก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ
สดเปื่อย ไม่งอก กันไป

บทสุดท้ายนึกอะไรไม่ออก ดันนึกเพลงโอ้ใจเอ๋ย ของพี่ปั่นออก ก็ยัดเข้ามาเลย
.
.
อันว่า..เรื่องความรัก...
ขอออกตัวเลยว่าไม่ชำนาญครับ
เวลาแอบชอบใคร อยากจะบอกความรู้สึกกับเขาเหมือนกันครับ
แต่ไม่กล้าบ้าง โอกาสไม่มีบ้าง
ก็ผลัดไปเรื่อย สุดท้ายก็แห้วไป

ผมว่าปัญหานี้ต้องเป็นปัญหาคลาสสิคแน่นอน เพราะมีเพลงที่แต่งถึงสถานการณ์นี้บ่อยมาก
และเท่าที่พบมาเพลงแนวนี้จะดังด้วย ! ประมาณว่าโจ๊ะโดนใจ
แปลว่าคนส่วนใหญ่ประสบปัญหานี้กันมากหรืออย่างไร

ถ้าคนส่วนใหญ่เป็นรึเปล่าน่ะ ผมไม่กล้าฟันธงหรอกครับ
แต่ผมน่ะเป็นแน่ (อ่ะ ฮริ้วว)

ผมว่าวิธีอื่นที่จะแสดงความรักมันก็พอมีบ้างล่ะน่า
ไม่ว่าจะเป็นการส่งสายตา ส่งยิ้ม ส่งดอกไม้ ส่งsms ส่งความคิดถึง ความห่วงใยให้
บางคนก็แอบช่วยเหลืออยู่ หรือทำอะไรหลายๆอย่างให้
เผื่อสาวเจ้าจะซึ้ง

แต่ก็อีกนะครับ ส่วนใหญ่ชีวิตมันไม่ซึ้งเหมือนในละครขนาดนั้นหรอก
แอบทำดีๆให้แทบตายไม่ค่อยมีใครเห็นหรอก
สุดท้ายมันก็ต้องบอกให้เป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี

เพลง No Word ของ 13 สาว(แต่ชื่อTwelve Girls Band ) ทีมีฝีมือจัดจ้านมาก
ผมฟังครั้งแรกก็ซึ้งเลยครับ
ความจริงเท่าที่ฟังผลงานของสาวๆแล้ว ผมว่าพวกเธอจะเน้นไปทางเพลงเร็วสนุกสนานเสียมากกว่า
แต่ก็นะครับ
คนเก่งเล่นเพลงอะไรก็เพราะ เล่นเพลงนี้ก็ฟังแล้วก็ซึ้งอย่างแรง

ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงนี้ ผมจินตนาการถึงหนุ่มสาวที่จีบกันอยู่ในสวนสวยๆเงียบๆสักที่ครับ
เอาสักตอนที่ แดดอ่อนๆยามเย็นละกัน
ทั้งสองนั่งอยู่นานครับ ไม่มีใครพูดอะไร ต่างนั่งเอียงอายดูสายน้ำบ้าง ใบไม้ร่วงบ้าง
ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวดำเนิเนเรื่องไป ไม่ต้องพูดมากให้มากความ
มาคิดอย่างนี้แล้วก็ดูกุ๊กกิ๊กน่ารักดีครับ

รักออกแบบไม่ได้ก็คงจะอย่างนั้นล่ะครับ
แต่ที่แน่ๆรักก็แอบบอกไม่ได้เหมือนกันนะ





 

Create Date : 21 มิถุนายน 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:44:47 น.   
Counter : 923 Pageviews.  

Regression : ขออธิษฐานให้ความกลัวหายไปจากดวงตาทุกคู่บนโลกนี้

title : Regression
album : Metropolis Pt. 2: Scenes from a Memory
astist : Dream Theater
Released : October 26, 1999





Scene One: Regression


Hypnotherapist :


Close your eyes and begin to relax.
take a deep breath, and let it out slowly.
concentrate on your breathing.
with each breath you become more relaxed.
imagine a brilliant white light abov,
focusing on this light as it flows through your body.
allow yourself to drift off as you fall deeper and deeper into a more relaxed state of mind.
now as I count backward from ten to one, you
Feel more peaceful, and calm.
ten. nine. eight. seven. six.
you will enter a safe place where nothing can harm you.
five. four. three. two.
if at any time you need to come back,
all you must do
En your eyes. one.


Nicholas :


Safe in the light that surrounds me
Free of the fear and the pain
My subconscious mind
Starts spinning through time
To rejoin the past once again

Nothing seems real
Im starting to feel
Lost in the haze of a dream

And as I draw near
The scene becomes clear
Like watching my life on a screen

Hello victoria so glad to see you
My friend.
































บังเอิญได้อ่านนิตยสาร American Photo ฉบับเดือน มีนายน-เมษายน ปีนี้มาครับ
อ่านถึงหน้าไหนจำไม่ได้
เป็นเรื่องที่นิตยสารเขาประกาศางวัล ภาพถ่ายยอดเยี่ยมของปี 2008
รางวัลใหญ่ที่ได้ในงานนี้คือภาพถ่ายของ Walter Astrada ครับ
(ภาพแรกที่นำมาลงนั่นล่ะ)
น่าจะเป็นภาพถ่ายของเด็กชายชาวเคนยาที่ตกใจกลัวสุดขีดจากการกระทำอะไรสักอย่างของคนถือกระบองทางซ้ายของภาพ

พออ่านเสร็จกลับมาบ้าน ก็รู้สึกว่าภาพนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
ก็เลยค้นชื่อของนายคนนี้ดู
ปรากฎว่าก็เห็นงานของเขาอีกมากมาย แถม link ไปดูภาพถ่ายของช่างภาพคนอื่นๆอีก

ภาพเหล่านี้มันทำให้ผมเห็นความกลัวแบบหลากหลายความรู้สึกจากดวงตาครับ
ดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ ใครๆก็รู้
ถ้าตาแสดงซึ่งความกลัว
จิตใจก็ต้องประหวั่นอย่างที่สุดจนมันทะลักออกทางดวงตา

พอมาคิดอย่างนี้แล้วนึกถึงหมาจรจัดแถวบ้านเหมือนกันครับ
บางทีเราก็เห็นมันผอมโซมาก
บางทีผมก็จะซื้อลูกชิ้นบ้าง โครงไก่บ้าง โยนให้มันกิน
หมาตัวนี้แค่เราเดินผ่านมันก็กลัวลนลานแล้ว
เข้าใจว่าคงจะโดนตีมาเยอะ
พอผมโยนลูกชิ้นหรือโครงไก่ให้มันก็จะตกใจและจะวิ่งหนีออกไป
ไม่ยอมมากิน ทั้งๆที่น่าจะหิวมาก
จนผมต้องไปแอบดู
มันถึงจะค่อยๆย่องเข้ามาครับ
แล้วก็แอบคาบเอาลูกชิ้นนั้นไปแอบกินอีกที
เห็นแล้วก็สงสารมันครับ
ว่ามันไปเจออะไรที่โหดร้ายมาหนอ ถึงได้กลัวอะไรมากมายอย่างนี้

ยุคพระศรีอาริย์เป็นยังไงผมไม่รู้หรอกครับ เพราะความรู้ทางศาสนาแย่มาก
ส่วนยูโทเปีย ซื้อหนังสือมาก็ยังไม่ได้อ่านสักที

แต่ถึงไม่รู้ ผมก็อยากให้มีโลกที่ปราศจากความกลัวครับ
ปราศจากความกลัวจากทุกอย่าง
เอาให้ออกไปจากจิตใจของทุกคน ทุกตัว ทุกๆอย่างบนโลกนี้
มันจะได้ไม่ต้องล้นออกมาจากทางตา

ไม่มีความกลัว ไม่ใช่หมายความว่า เราจะกล้าทำอะไรทุกอย่าง
จนกระทั่งเบียดเบียนคนอื่นอีกนะครับ
แต่ผมว่า ถ้าโลกไร้ซึ่งความกลัว
มันก็คงจะไม่มีเรื่องอะไรก็ตาม ที่มันเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยน่ะครับ

เพลง Regression เป็นเพลงแรกในอัลบั้ม Metropolis Pt. 2: Scenes from a Memory ของ Dream Theater ครับ
จริงๆแล้วอัลบั้มนี้ทุกเพลงจะติดกันหมดและก็เป็นเรื่องเดียวกัน
เพลงนี้จะการเกริ่นนำด้วยการที่นายนิโคลัสถูกสะกดจิตจนตกสู่ห้วงภวังค์แล้วก็ระลึกชาติของตัวเองในอดีตได้น่ะครับ

อัลบั้มนี้เป็นตำนานไปเรียบร้อยโรงเรียนนักฝันแล้วครับ
ผมจำได้ว่าสมัยมัธยมตอนที่อัลบั้มนี้ออกใหม่ๆ
นอนฟังเทปอัลบั้มนี้ก่อนนอนแทบทุกคืนเลย
ชอบสุดๆ

สำหรับผู้ที่สนใจเนื้อเรื่องเต็มๆของอัลบั้มนี้ลองดูที่นี่ก็ได้ครับ
เขามีคำแปลไว้ดีทีเดียว (ถ้าผมจำไม่ผิดจะเคยเห็นในห้องเฉลิมกรุงด้วยนะ)
//www.taf.in.th/forum/index.php?topic=361.0



ถ้าอยากดูผลงานเพิมเติมของ Walter Astrada ก็น่าจะเป็นที่นี่ครับ
//www.walterastrada.com/
ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณเจ้าของภาพอื่นๆ
และขออภัยด้วยนะครับ ที่จำ link ไม่ได้ จึงไม่ได้นำมา link ไว้




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:46:53 น.   
Counter : 1511 Pageviews.  

ตำนาน : แม้สิ้นแผ่นดินถิ่นอาศัย เราจะไม่ไปจากใจคุณ

title : ตำนาน
album : ไตรภาค
astist : The Olarn Project
Released : สิงหาคม 2536





ตำนาน

เอาความมันส์มาหั่นบนเขียง สับสำเนียงให้เป็นเรื่องราว โอฬารจะบอกกล่าวเรื่องราวของความล่าช้า
ไม่มีครั้งใด อ่อนล้า แสนเหนื่อย เมื่อยล้า ด้วยรักจริงหรอกหนา จึงเอ่ยวาจามาอธิบาย

ดื่มสุรามหากาพย์ สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงอารมณ์ สุขสม ระทม ขมขื่น ชื่นใจได้ลองได้ลิ้ม ชิมอารมณ์ อิ่มอารมณ์ แสงดาวยังผ่องพราวนภา แสงเดือนดาราพาใจล่องรอย
สุขเกษม เปรมปรีย์ มโหรี ระทึก ระทึก มัวนั่งนึกนอนนึกระลึกถึงชาติก่อน

ตำๆๆเข้าไปใส่ตะไขร้ ใส่ความอาวรณ์ ห่วงหาและอาธรณ์ สั่นสะท้อน สะเทือนอารมณ์
สมาธิขาด...สะบั้น สมาธิขาด สะบั้น ฉันลืมตำความหวาน กังวาลขับขาน ตำนานเสียงเพลง

ตำ นานๆตำไม่เสร็จ แต่ละเม็ดหยดเหงื่อเพื่อแฟนเพลง สิ่งใดจะถูกใจใครไม่ถูกอะไร ได้โปรดอภัยอย่าเคืองขุ่น อย่าฉุน แม้สิ้นแผ่นดินถิ่นอาศัย เราจะไม่ไปจากใจคุณ
เหมือนอยู่เคียงหมอนหนุ่นตัก อบอุ่นแนบเนื้อทรวงใน เก็บใจของเราเอาไว้ในใจของคุณตลอดเถิด

ตำ นานๆตำไม่เสร็จ แต่ละเม็ดหยดเหงื่อเพื่อแฟนเพลง สิ่งใดจะถูกใจใครไม่ถูกอะไร ได้โปรดอภัยอย่าเคืองขุ่น อย่าฉุน แม่สิ้นแผ่นดินถิ่นอาศัย เราจะไม่ไปจากใจคุณ
จะอยู่เคียงหมอน หนุนตัก อบอุ่นแนบเนื้อบาทา บอกไว้สัญญาเอาไว้จะไม่ตำเนิ่น...นาน...น๊าน.............





ถ้าจำไม่ผิด
ผมได้เทปไตรภาคเป็นของขวัญวันเกิดตอนอยู่ป.5 ครับ
ตอนนั้นน่ะรู้จัก The Olarn Project แล้วนะ
จากการฟังเทปของพี่ชาย
แต่พอมีเทปเป็นของตัวเองก็ได้ลองฟังดูครับ
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็หลาย(ๆๆ)ปีแล้ว
ผมยังฟังอัลบั้มนี้อยู่เลย
อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า "ตำนาน" ยังไงไหว
ตำนานที่ยังมีชีวิตด้วย

ดิ โอฬารเป็นตำนานของวงการเพลงร็อกเมืองไทยแน่นอนครับ
อย่างน้อยในพจนานุกรมของผมก็ต้องเขียนอย่างนั้น

ตำนานในความรู้สึกของผมนั้นมันต้องยิ่งใหญ่มาก
จะต้องมีการกระทำที่ยิ่งใหญ่ให้คนส่วนใหญ่หรือมหาชน จดจำกันไปแสนนาน
ส่วนจะยังมีชวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่นั้นไม่สำคัญ
ดูที่ผลงานดีกว่า

บังเอิญว่าช่วงนี้ได้ติดตามข่าวคราวของประเทศเพื่อนบ้านบ้างเหมือนกันครับ
นั่นก็คือข่าวการจับกุมและฟ้องร้องนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของประเทศพม่า
อย่างที่ทราบกันนะครับว่าเธอถูกกักบริเวณอยู่ภายในบ้านพักหลายปีแล้ว
แนวทางของเธอนั้นชัดเจนมากในเรื่องของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติ
แม้เธอจะถูกกักบริเวณในบ้านพักรวมๆแล้วเกือบ 13 ปีก็ตาม

และก็บังเอิญอีกเช่นกันครับที่ผมได้อ่านข่าวเรื่องหนังสือที่ถอดความมาจากเทปบันทึกเรื่องราวของ นาย จ้าว จื่อหยาง(Zhao Ziyang)
เกี่ยวกับเรื่องราวการสลายการชุมนุมของนักศึกษาที่จตุรัสเทียนอันเหมิน
นายจ้าวเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังทหารเต็มกำลังเข้าสลายการชุมนุมของนักศึกษาครับ

บังเอิญ(อีกแล้ว)ผมก็เพิ่งดูสารคดีเรื่องนี้มา
ถ้าจำไม่ผิด นายจ้าว จะถูกควบคุมตัวให้อยู่ภายในบ้านพักหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่กี่วัน(หรือเปล่า?/ประมาณนั้นล่ะ)
จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อเดือนมกราคมปี 2548 นี้เองครับ
และวันที่ 4 มิถุนายนนี้ก็จะครบปีที่ 20แห่งเหตุการณ์นองเลือดนั้นพอดีครับ

ทั้งนายจ้าว จื่อหยาง และนางอองซาน ซูจี ต่างก็ถูกกักบริเวณเป็นระยะเวลายาวนานเหมือนกันครับ

อีกท่านที่จะลืมการถึงเสียไม่ได้คือ องค์ทะไลลามะ องค์ปัจจุบัน
(เทนซิน เกียตโซ)
ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวธิเบต ผู้ซึ่งต้องลี้ภัยจากธิเบตไปอยู่อินเดีย
และได้ต่อสู้อย่างสันติ เพื่อการปกครองตนเองของธิเบตมากว่า 40 ปีครับ

ความจริงมีนักสู้ทางอุดมการณ์ที่ทั้งถูกกักบริเวณหรือไม่มีที่จะอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งต้องระหกระเหิรเร่ร่อน
ในประวัติศาตร์โลกน่าจะมีมากมาย
แต่ที่ผมรู้ก็มีไม่กี่ท่านนี่ล่ะครับ



จะว่าไปเรื่องตำนานที่กระเบียดกระเสียรเรื่องที่ดินหรือทีอยู่อาศัย
นอกจากเรื่องของการเมืองการปกครองแล้ว เรื่องอื่นก็พอมีให้เห็นเหมือนกันครับ

หนึ่งในตำนานนี้สำหรับผมคือเจ้า ไลก้า (laika) ครับ
ถ้าจำไม่ผิดจากสมัยเรียนมัธยมไลก้าคือสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงลูกด้วยนม ชนิดแรกที่ขึ้นไปกับยานอวกาศเลยนะ (รึเปล่า)

เอาเป็นว่าถ้าวันใดมนุษย์ได้ขึ้นไปอยู่บนดาวอังคารเนี่ย
ก็ต้องควรบันทึกเจ้าไลก้าไว้ในประวัติศาสตร์การท่องอวกาศไว้ด้วยนะ

แต่น่าสงสารครับ ไลก้าก็ตายในยานอวกาศนั่นล่ะครับ
ในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
(ความจริงคำถามนี้ตอนเรียนผมก็คิดนะว่าสมัยนั้นเนี่ยคาดหวังว่ายานจะกลับมายังโลกยังไง
หรือว่าเขาปล่อยทิ้งไปเลย
เหมือนจับหมาใส่กระละมังลอยน้ำไป
เท่าๆที่ทราบน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ)

ตำนานของไลก้าจึงไร้ผืนดินเป็นฉากหลัง
หากแต่เป็นท้องฟ้าและดวงดาวเป็นพยานแห่งตำนานครับ
(ความจริงผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายานเขายิงออกไปไกลแค่ไหนน่ะนะ /เอาเป็นว่าบนท้องฟ้าละกัน)



ตำนานที่ไม่มีแผ่นดินเป็นฉากหลังที่พอนึกออกยังพอมีครับ

- นีล อาร์มสตรอง นี่ก็ใช่เพราะนั่นไปเหยียบดวงจันทร์เลย
- แจ๊ค กับ โรส
คู่นี้ความรักเขาเป็นตำนานกลางทะเลเลยด้วยซ้ำ (แต่เป็นหนังนี่นะ /ช่างมัน)
- ซุปเปอร์แมน รายนี้นอกจากต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาแล้ว วันๆยังไม่ค่อยได้แตะพื้นเสียด้วยสิ(ยกเว้นตอนปลอมตัว)
- เอ่อออ...อะไรอีกดีล่ะ
- 80 วันรอบโลก อันนั้นนั่งบอลลูนรอบโลกมั้ง
.
.
นึกไม่ออกแล้ว



อย่างที่บอกนะครับ
ผมเชื่อว่าการจะเป็นตำนานของใครสักคนนั้นมาจากกระทำที่ยิ่งใหญ่และถูกยกย่องจากหมู่ชนส่วนมาก
แม้ว่าผู้กระทำนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ ลิดรอน ทางใดก็ตาม
แต่การกักขังหรือกีดกั้นทางกายภาพนั้น ไม่อาจที่จะกักขังเสรีภาพทางอุดมการณ์ได้หรอกครับ
ความตั้งใจจริงต่ออุดมการณ์เหล่านั้นจะส่งต่อโดยผู้ที่เชื่อในแนวคิดนั้นต่อไปในวงกว้าง โดยไม่อาจจะปิดกั้นได้
นั่นเองครับที่ว่าการกักขังทางกายภาพนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อันใด

พูดมาถึงตรงนี้ผมก็ขอสารภาพว่าประเทศไทยเราในตอนนี้ มีบุคคลที่เข้าข่ายเหมือนกันครับ
ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น คุณทักษิณ
ที่ว่าใกล้เคียงนั้นคือตอนนี้ต้องลี้ภัย ไม่สามารถเข้าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนได้

แต่อีกสักนานเท่าไหร่ไม่รู้ล่ะ
คุณทักษิณอาจจะได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานก็ได้ครับ
ถ้าหากสิ่งที่แกพร่ำบอกว่า "รักประเทศไทยอย่างนู้นอย่างนี้นั้น"
ได้รับการพิสูจน์ในระยะเวลาอันยาวนาน

แต่เท่าที่ผมรู้จักแกมา(จากข่าวและข้อมูลที่ได้รับ)มาเกือบจะ 10 ปีแล้วเนี่ย
ตอนนี้แกคงจะต้องรีบนับ 1 เร็วๆหน่อยล่ะครับ




นี่เป็น link เนื้อเพลงครับ
//www.gugalyrics.com/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99---THE-OLARN-PROJECT-LYRICS/138183/
รูป ดิ โอฬารสมัยหนุ่มแน่นจากเว็บนี้ครับ
//www.jb-idea.net/over/olarn.html
เรื่องหนังสือของ จ้าว จื่อหยาง (Zhao Ziyang) อ่านเพิ่มได้ที่นี่ครับ
//blog.eduzones.com/bluesky/25424
รูปของ อองซาน ซูจีมาจากเว็บนี้ครับ
//www.oknation.net/blog/inter/2009/05/12/entry-1




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:47:57 น.   
Counter : 1878 Pageviews.  

Surfing featuring Tania : Welcome to My Life

title : Surfing featuring Tania
album : Tranparency
astist : Funky Wah Wah
Released : 2003





ผมรู้จัก Funky Wah Wah ครั้งแรกจากอัลบั้มชุดแรกครับ ซึ่งตอนนั้นก็น่าจะประมาณปี 2545 นะครับจำได้ว่าติดใจ single แรกของเขานะครับ
แผ่นที่ซื้อตอนนั้นน่ะหายไปเรียบร้อยแล้วครับทั้งปกทั้งแผ่น

ด้วยความบังเอิญก็ได้เจอกับอัลบั้มนี้ (Tranparency) จากเพื่อน พอได้ลองฟังแล้วพบว่าดนตรีดูน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะเพลงนี้นี่ล่ะครับ (Surfing)
ฉะนั้นก็ขอเดาว่าอัลบั้มชุดนี้น่าจะประมาณ ปี47-48นะ

เพลงนี้นอกจากทำนองที่ติดหูดูน่าสนใจบวกกับเสียงนักร้องสาวที่มาช่วยแจมที่ดูกิ๊บเก๋แล้ว
ยังมีคำพูดบางคำที่ผมพอฟังออกและติดใจก็คือคำว่า "Welcome to my Life" เนี่ย ล่ะครับ
แล้วก็พอฟังต่อได้ลางๆว่าตื่นกลางคืนนอนตอนเช้าอะไรเนี่ยล่ะ (ขออภัยที่ภาษาอังกฤษแย่เข้าขั้นเทพนะครับ )

คือบังเอิญว่าผมเพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง ฮิคิโคโมริ จบมาน่ะครับ
ฮิคิโคโมริ เป็นอาการของใครสักคน (น่าจะในเฉพาะที่ญี่ปุ่น) ก็ได้ที่ปฏิเสธการเข้าสังคมอย่างสิ้นเชิงครับ
ด้วยการเก็บตัวอยู่แต่ในห้องของตัวเองเป็นระยะเวลานาน บางทีก็แค่ครึ่งปี
บางคนนั้นเป็น 20-30 ปีก็มีนะ

ที่นี้ปัญหานี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของญี่ปุ่นครับ เพราะวัยรุ่นหนุ่มสาวสมัยใหม่
เริ่มหลีกหนีความกดดันทางสังคมในรูปแบบต่างๆกัน
ทำให้เสียกำลังของคนหนุ่มสาวในการพัฒนาประเทศไปถึง 1 ใน 10 ที่เดียว
ฮิคิโคโมริก็เป็นหนึ่งในรูปแบบนั้นครับ และดูว่าอาการจะหนักที่สุดด้วย



พอมาลองคิดๆดูครับ
ก็น่าสนตรงที่ว่า ผมเคยได้ยินคำว่า welcome to my life ในเพลงหลายๆพลงเหมือนกัน
มันก็ทำให้คิดว่าหลายๆคนก็คงอยากจะที่จะลองให้คนอื่นข้ามารู้จักกับตัวเรารึเปล่า ประมาณว่า
"อิสรภาพแลนด์ ยินดีต้อนรับครับ อยากรู้จักอะไรก็เชิญเข้ามารู้จักกันก่อนครับ แต่ขนมจีบซาละเปาไม่มีนะคร๊าบบ"

คนเราโดยปรกติมักอยากให้คนอื่นรู้จักเราอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ปฏิเสธที่จะรู้จักคนอื่นครับ
จึงเป็นการมีปฏิสัมพันธ์แบบไป-กลับครับ สร้างสัมพันธ์กันได้หลากหลายมากมายครับ

แต่ฮิคิโคโมริน่าจะเป็นไปได้อย่างน้อยที่สุดคือเป็นไปในทางเดียว นั่นคือถ้าอยากรู้จักเขาต้องเข้าไปหาเขาเอง (แต่เขาจะต้อนรับรึเปล่าไม่รู้นะ)
อันนี้คือขั้นน้อยที่สุดนะครับ เพราะฮิคิโคโมริอาจจะไม่อยากรู้จักใคร และไม่อณุญาตให้ใครเข้าไปด้วยซ้ำครับ

ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ของฮิคิโคโมริ ส่วนใหญ่จะตื่นตอนกลางคืนและหลับนตอนเช้าครับ
สมัยเรียนั้นมีบางช่วงที่ผมนอนตอนเช้าตื่นตอนกลางคืนเหมือนกันครับ(แต่ไม่ได้เก็บตัวอะไรนะ แค่ขี้เกียจน่ะ)
และก็ค้นพบว่าชีวิตช่วงนั้นเนี่ยผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
และก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่

ฉะนั้นบางคนอาจจะสงสัยว่าคนที่เป็นฮิคิโคโมริใช้ชีวิตอย่างนี้ได้ยังไง
บางคนนานเป็นสิบปี
ผมว่าผมพอเข้าใจอารมณ์เขานะ
คือวันเวลาผ่านไปเร็วมาก ถ้าเราใช้ชีวิตตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน

เวลาที่คนเป็นฮิคิโคโมริเสียไปในตอนกลางคืนส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเรื่องของการเล่นเกมส์ ดูทีวิ และอินเตอร์เน็ตครับ

ผมก็เลยมาติดใจตรงอินเตอร์เน็ตนี่ล่ะ
เพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยทักว่า สมัยนี้พื้นที่ส่วนตัวของมนุษย์เปลี่ยนไปมาก

มือถือ คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊คและอินเตอร์เน็ต เป็นเครื่องมือสำคัญของปรากฎการณ์นี้ครับ
เราสามารถที่จะแก้ผ้าเต้นในห้องนอนของเราให้คนทั้งโลกเห็นได้ ผ่านอินเตอร์เน็ต
เราสามารถที่จะร้องไห้บนรถเมล์ผ่านทางมือถือได้ในตอนที่ถูกแฟนบอกเลิก
เราสามารถที่จะคุยกับแฟนผ่านเว็บแคมที่ร้านกาแฟสักที่ก็ได้

อาจารย์แกว่าพื้นที่ที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ทำให้มนุษย์รู้สึกสับสันระหว่างพื้นที่ส่วนตัวจริงๆกับพื้นที่ส่วนตัวเสมือนพอสมควรครับ

อย่างกรณีแก้ผ้าในห้องนอนเนี่ย
ผมว่าใครๆก็ทำกันครับ เพราะนอกจากห้องน้ำในห้องนอนแล้ว ไม่น่าจะมีที่ไหนส่วนตัวได้สุดๆเท่านี้แล้ว

แต่เมื่อินเตอร์เน็ตเข้ามาในห้องนอนทุกอย่างที่เป็นสาธารณะในโลกเสมือนก็เข้ามาในห้องนอนด้วย
แต่ความรู้สึกปลอดภัยและส่วนตัวในห้องนอนของผู้ใช้ก็ยังมีอยู่
จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเห็นใครๆกล้าทำอะไรต่างๆทางอินเตอร์เน็ตในห้องนอนของเขา
และผมเชื่อว่าเราจะมีโอกาสเห็นพวกเขาทำอย่างนั้นในที่สาธารณะยากเต็มทีเหมือนกันครับ

ทีนี้
ฮิคิโคโมริที่หลีกหนีจากโลกความจริง ด้วยการตัดขาดสังคมอย่างสิ้นเชิง
แต่พวกเขากลับใช้เวลากลางคืนอยู่ในโลกเสมือนของอินเตอร์เน็ตเป็นปีๆ
อย่างนี้จะว่าเขาตัดขาดสังคมได้รึเปล่า

ไม่แน่นะครับคนที่เราเห็นเขาเป็นฮิคิโคโมริ เก็บตัวแต่ในห้องและไม่ยุ่งกับใครในสังคมจริงนั้น
ในโลกเสมือนของอินเตอร์เน็ตเขาอาจจะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีเยี่ยมก็เป็นได้
ถ้าอย่างนั้นพื้นที่นั้นอาจจะเป็นพื้นที่จริงๆของเขาก็ได้นะครับ

แม้ในโลกความจริงพวกฮิคิโคโมริจะไม่ต้อนรับให้ใครเข้ามาในชีวิตก็ตาม
แต่ไม่แน่ว่าใน MSN ของพวกเขา อาจจะขึ้นหัวเอ็มไว้เลยด้วยซ้ำว่า
"Welcome to my life" ครับ


รูปคุณ บี สราวุธ ชินนภาแสน มาจากเว็บนี้ครับ
//www.musicza.com/info_artists.php?artists=873

รูปปกอัลบั้มจากเว็บ //www.covershare.com/?action=open&infoid=3129
รูปประกอบข่าวฮิคิโคโมริจากที่นี่ครับ //blogs.saschina.org/cathy02px2009/




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 22:58:21 น.   
Counter : 1187 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

อิสรภาพแลนด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อิสรภาพแลนด์
.
.
มีอยู่จริงนะ
[Add อิสรภาพแลนด์'s blog to your web]