อิสรภาพแลนด์-ดินแดนลิเบอร์ตี้

ฉันไม่ไป : คนรักกันไม่ทำอย่างนี้

title : ฉันไม่ไป
album : คนไม่มีหัวใจ
astist : กาน
Released : 6/06/01





ฉันไม่ไป

ฉันไม่ไป ฉันไม่คิดจะไปไหน
แม้เธอขอให้ไป จากชีวิตเธอ เมื่อเธอไม่มีเหลืออะไร
ฉันเข้าใจ รู้ว่าเธอน่ะห่วงฉัน
รู้ว่าเธอไม่ต้องการ ให้ฉันนั้นพลอยลำบาก เธอน่ะรู้จักฉันน้อยไป

*ไม่มีอะไรจะทุกข์จะทรมาน เกินไปกว่าการที่ฉันต้องขาดเธอ

**ก็เราน่ะรักกัน หวานกันมาเท่าไหร่
ถึงเวลาขื่นขม ก็สมควรจะแบ่งปัน
ให้คนที่รักเธอ คนที่เธอรัก ได้ร่วมชีวิต เหมือนคนที่เขารักกัน เขาทำ

ฉันไม่ไป ฉันจะยังอยู่ตรงนี้
เหมือนเดิมๆอย่างทุกที จะร้ายหรือดีไม่หวั่น และฉันไม่เคยจะคิดเสียใจ

(ซ้ำ*,**,**)


หายไปนานเลย
หายไปนานแม้ไม่มีใครเรียกร้อง เราก็จะกลับมา
.
.
จริงๆผมตั้งใจจะเขียนเรื่องของไตรภาคให้เสร็จก่อนน่ะครับ
แต่ว่ามันเหลือองก์สุดท้ายที่เป็นท่อนร้องสรุปของคุณมาโนชเท่านั้น
ซึ่งส่วนนี้ก็จะเขียนเขามาให้ครบเป็นซีรีย์นะครับ
และต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ทั้งหลงและไม่หลงเข้ามาอ่านนะครับ
(แบบว่าเขียนเองและเหมาเอาเองเลยว่าจะมีคนเข้ามาอ่าน)
.
.
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณเว็บ //www.covershare.com/?action=open&infoid=1637 มากมายครับ
เพราะว่าผมเองน่ะมีแผ่นของกาน และก็เก็บมานานมากแล้ว
แต่ปกหาย !
(ซึ่งก็เป็เนรื่องปรกติของการซื้อแผ่นช่วงเรียนมหาลัย บางแผ่นเหลือแต่ปกไม่เหลือ CD ก็มี)
เอาเป็นว่าผมเคยคิดจะแนะนำเพลงของกานหลายทีแล้วครับ
แต่ติดที่ว่าทำปกหายและหาในเน็ตยากเหลือเกิน (อาจจะเป็นเพราะความสามารถไม่ถึง)
จนมาคราวนี้ด้วยความบังเอิญไปเจอเข้าจนได้ครับ

เพลงนี้ผมชอบที่สุดในอัลบั้มนี้เลยครับ (แต่ถ้าเป็นเพลงเร็วจะชอบเพลงอุทกภัย) ติดใจที่ทำนองเนี่ยแหล่ะ
ตอนแรกฟังผ่านๆก็เข้าใจว่า ในเพลงนี้น่ะ เหมือนผู้ชายไปเจอผู้หญิงคนใหม่
แล้วต้องการเลิกกับคนเก่า แต่คนเก่าไม่ยอมไป เลยอยู่ขวางแข้งขวางขา ไม่ให้คู่รักใหม่มีความสุข

พอมาตั้งใจฟังจริงๆจังๆแล้วก็รู้สึกเซ็งตัวเองครับ
ว่าคิดในแง่ลบเสียจนเพลงเนื้อหาดีๆเป็นอย่างนั้นไปได้
เพราะว่าจริงๆแล้วเนื้อหามันก็ตามเพลงล่ะครับ "คืออฉันจะอยู่ร่วมทุกข์กับเธอและจะไม่จากไปไหน แม้ในวันที่เธอมีแต่ความลำบากก็ตาม"

อันว่าความรัก....(อ่ะฮริ้ววววว เข้าเรื่องที่ชำนาญ(น้อย)ที่สุด)
มันก็แปลกนะครับ
มีการแสดงออกต่อความรักหลายๆอย่าง
อย่างในเพลงนี้น่ะ เป็นความรักจากมุมมองของ 2 คน
ซึ่งมองกันคนละอย่างกันเลย

...อีกฝ่ายเพราะรักถึงต้องจาก
...อีกฝ่ายเพราะรักถึงต้องอยู่

มาสังเกตดูจากเรื่องราวของหนังและละครที่เคยพบเห็นก็ได้ตัวอย่างเพิ่มครับ

ละครบางเรื่องจะมีพระเอกที่รู้สึกน้อยอกน้อยใจที่ตัวเองต่ำต้อยเลยต้องลาจากจากนางเอกที่สูงศักดิ์ ไม่อยากให้เธอมาเกลือกกลั้ว
หรือดาวพระศุกร์ที่ถูกเอาไปทิ้งก็เพราะแม่รักและจำเป็น
หรือความรักเมื่อไปสุดปลายทางแล้วไปต่อไม่ได้ ทั้งคู่ก็ชวนกันฆ่าตัวตาย อย่างในโรมิโอกับจูเรียต
(หวังว่านี่คงจะไม่ไปทำให้ใครเสียอรรถรสหากยังไม่เคยดูเรื่องนี้นะครับ)

หรืออย่างละครเรื่องจำเลยรักนั่นก็ตบเอาตบเอา..........
.............แต่ก็รัก
.
.
สรุปการแสดงออกของความรักต่อสถานการณ์ต่างๆของแต่ละคนก็ต่างๆกันไปครับ
อย่างวิลลี่ใเรื่องรักเดียวของเจนจิราเนี่ย มันรักน้องจอยแบบเลี้ยงต้อยรึเปล่า
เพราะเฝ้าดูแลแบบห่างๆตั้งแต่เด็กเลย
มู่หลาน เพราะรักพ่อ เลยหนีออกจากบ้านไปเป็นทหารแทนพ่อ
รักนะเด็กโง่? -- อันนี้เข้าใจว่ารักนะแต่ไม่แสดงออก
แล้วรู้สึกซีรี่เกลาหลีที่นิยมมาก(ซึ่งผมไม่เคยดูสักเรื่องแต่เคยเห็นผ่านๆ)
ก็พระเอกประมาณว่าดุ เฮี้ยบกับนางเอก
....แต่สุดท้ายก็รัก(อีกแล้ว)
.
หรืออย่างพ่อแม่รักลูกจึงตี
หรือครูรักนักเรียน อยากให้้ได้ดีจึงตี
หรือเขาว่าผู้หญิงตบก็แปลว่ารัก
.
.
เอ่อออ....กลายเป็นว่าเข้าสไตล์ตบจูบไปซะแล้ว
ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างของการกระทำรุนแรงต่อสิ่งที่ตัวเองรัก จะเรียกว่าความรักได้ไหมนะ

เผาบ้าน ตัวเอง เอาประกัน?<==== งานนี้สงสัยจะรักครอบครัวเลยจำเป็นต้องทำ
เผารถเมล์?<====ผมว่าคนรักประเทศไม่น่าจะทำแบบนี้นะครับ
อันหลังสุดนี่ดูยังไงก็ไม่เห็นเจตนาของความรักเลยสักกระผีก




ใบปิดจำเลยรักมากจากเว็บนี้ครับ //www.boomerangshop.com/web/productdetail.aspx?pid=205163




 

Create Date : 29 เมษายน 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:55:19 น.   
Counter : 1041 Pageviews.  

รู้ตัวหรือเปล่า : เธอเขียนเรื่องราวในชีวิตฉัน

title : รู้ตัวหรือเปล่า
album : Paper Jam
astist : Paper Jam
Released : 2540



<


รู้ตัวหรือเปล่า

รู้ตัวหรือเปล่าจากวันที่เธอเข้ามาในหัวใจ
เปลี่ยนแปลงความฝันวันที่โหดร้าย
ต้องร้องไห้ ต้องเสียใจ
รู้ตัวหรือเปล่า เธอเขียนเรื่องราวชีวิตฉันใหม่
แต่งเติมละครตอนที่ขาดหาย
แล้วทิ้งไป ให้เฝ้าคอย

หากเปลี่ยนแปลงชีวิตฉัน
อย่าทิ้งไว้กลางคันอย่าจบไว้แค่นั้นฉันยังไม่เข้าใจ
ช่วยแต่งเติมบทสุดท้ายแม้นไม่เป็นดังใจ
อยากจบมันเอาไว้ ทิ้งฉันไปหาใครคนอื่น
รู้ตัวหรือเปล่าสิ่งที่เธอเล่าให้ใจฉันชื่นฉ่ำ
กลับทำให้ใจที่เคนเจ็บช้ำยิ่งเจ็บซ้ำ
โปรดอย่าตอกย้ำอีกเลย
รู้ตัวหรือเปล่า

รู้ตัวหรือเปล่าเธอเขียนเรื่องราวชีวิตฉันใหม่
แต่งเติมละครตอนที่ขาดหาย
แล้วทิ้งไปให้เฝ้าคอย
หากเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันอย่าทิ้งไว้กลางคัน
อย่าจบไว้แค่นั้นฉันยังไม่เข้าใจ
ช่วยแต่งเติมบทสุดท้าย
แม้ไม่เป็นเหมือนอย่างใจ
อยากจบมันเอาไว้
ทิ้งฉันไปหาใครคนอื่น
รู้ตัวหรือเปล่าสิ่งที่เธอเล่าทำให้ใจฉันชุ่มฉ่ำ
กลับทำให้ใจที่เจ็บช้ำเจ็บซ้ำ
ยิ่งเจ็บช้ำ ยิ่งตอกย้ำอีกเลย รู้ตัวหรือเปล่า
รุ้ตัวหรือเปล่า




สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ
ปีใหม่นี้ผมก็อยากขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายและสุขภาพใจ ที่แข็งแรง นะครับ
.
.
ผมเคยได้ยินเรื่องที่พูดว่า ถ้าหากเราคอยมองลูกเป็ดหรือลูกนกเวลาที่ฟักออกจากไข่แทนแม่ของมันแล้วเนี่ย
ลูกเป็ดหรือลูกนกตัวนั้นจะคิดว่า เราเป็นแม่ของมันน่ะครับ
คาดว่าลูกเป็ดคงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นอย่างแรกบนโลกคือแม่ของตนน่ะครับ
.
คือว่า...ผมเองก็ค่อนข้างเชื่อเรื่องประมาณนี้น่ะครับ
ว่าถ้าเกิดเราไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็ดมันจะออกจากไข่แทนแม่ของมันขึ้นมา
แล้วเกิดลูกๆมันเข้าใจว่าราเป็นแม่ของมันเนี่ย
คงจะยุ่งน่าดู เพราะว่าผมเองก็เลี้ยงเป็ดไม่เป็นเหมือนกัน
หมายความว่าวิถีชีวิตเป็ดที่ควรจะเป็นน่ะครับ
ประมาณว่าเมื่อไหร่ควรว่ายน้ำ เมื่อไหร่ควรจะออกหาปลาเอง เมื่อไหร่หัดบิน
.
พอคิดอย่างนี้แล้วมันก็ทำให้เราคิดไปเผื่อมุมมองของลูกเป็ดนะครับ
ว่าถ้าเกิดมันเห็นผมเป็นสิ่งแรกบนโลกนี้ แล้วเข้าใจว่า เป็นแม่โดยมาตลอดเนี่ย
แล้วเกิดมีวันหนึ่งที่ผมหายไป หรือเลิกเป็นแม่เป็ดขึ้นมาเนี่ย (ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นแต่แรกแล้วนี่)
ลูกเป็ดคงจะสับสนอย่างแรงในชีวิตนะครับ
ถ้าเอาตามธรรมชาติ อาจจะหากินแบบธรรมชาติของเป็ดไม่ได้
ถ้าขั้นเลวร้ายก็อาจจะถึงขั้นอดตายได้เลยก็เป็นได้
.
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะวินาทีที่เห็นหน้าผมหลังจากออกจากไข่นั่นแหล่ะครับ
ซึ่งหากมันเกิดเรื่องเลวร้ายกับลูกเป็ดอย่างที่คิด ผมเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบครับ
เพราะว่าไม่ควรไปยืนตรงนั้นแทนแม่เป็ด
ชีวิตลูกเป็ดก็เลยเปลี่ยนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น
.
.
ต่อกรณีนี้ผมก็นึกถึงเรื่อง Memoirs of a Geisha ครับ (ขอเล่านิดหน่อย)
นางเอกของเรื่องคือ จาง ซิยี่ ในวัยเด็กของเธอนั้นไม่เคยคิดจะเป็นนางเกอิชาเลยครับ
จนเธอได้ไปพบกับพระเอกของเรื่อง ซึ่งตอนนั้นน่ะพระเอกถูกรายล้อมไปด้วยนางเกอิชา
และเขาก็ได้ซื้อน้ำแข็งใส(หรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะ)เลี้ยงนางเอกครับ
แล้วจากไปด้วยอารมณ์หนุ่มเจ้าสำราญ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
.
ตรงจุดนั้นเองครับ น้ำแข็งใสหนึ่งถ้วย กลับได้เปลี่ยนชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้วเธอก็ตั้งใจจะเป็นนางเกอิชาบ้าง เผื่อจะได้เจอพระเอกคนนี้อีกทีครับ
เล่ามาถึงตรงนี้ก็คงต้องไปหาดูต่อกันนะครับ เพราะว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มของเรื่องเท่านั้น
.
.
จากกรณีของ หนู จาง ซิยี่ กับลูกเป็ดนั้น ผมว่าคล้ายๆกันนะครับ
ทั้งพระเอกของเรื่อง Memoirs of a Geisha และตัวผมเองนั้น
ก็ไม่ได้จะตั้งใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรอกครับ
หากแต่ว่า การกระทำนั้นๆกลับสามารถเปลี่ยน หรือกำหนดชีวิตของใครสักคนเลยก็ได้
.
ผู้ชายบางคนที่อาจจะถูกขนานนามว่าเป็นคนเจ้าชู้ เพลย์บอย คาสโนว่า พระยาเทครัว หรืออะไรก็แล้วแต่
บางที อาจจะคิดสนุกหรือกับผู้หญิงสักคน แล้วปล่อยผ่าน ซึ่งถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสนุกแล้วปล่อยผ่านกับชีวิตด้วยกันก็คงไม่เป็นไร
แต่หากจะมีผู้หญิงสักคนที่รักจริง และรักผู้ชายคนนั้นไปตลอดชีวิตของเธอ
เธอได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ชายใดคนอื่นอีกแล้วในชีวิต
ผู้ชายคนนั้นก็ควรจะรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองเหมือนกันนะครับ
เพราะได้มีส่วนในการเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงสักคน
.
พูดเหมือนในนิยายนะครับ แต่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ได้นะ
.
หรืออย่างในกรณีที่มีมนุษย์ต่างดาวสักคน (หรือว่าตัว?)
สามารถเดินทางย้อนเวลาได้ เขาไปเที่ยวอาณาจักรโรมันในอดีตมา
แล้วเกิดหยิบ หอก หรือว่าแจกันติดไม้ติดมือด้วย
แล้วดันไปเผลอทิ้งไว้ในดินแดนสุโขทัยในเวลาต่อมา
แล้วถ้าในปัจจุบันประเทศไทยได้ขุดพบหอก หรือแจกันอันนั้นเนี่ย
คงจะเกิดความโกลาหลทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นแน่ทีเดียวครับ
.
จากการกระทำอะไรเล็กๆน้อยๆของมนุษย์ต่างดาวตัว(หรือว่าคน)หนึ่งเท่านั้นเอง
.
พูดมาตั้งนานนม ก็เพื่อจะบอกว่า เราควรจะรับผิดชอบกับทุกการกระทำของเราหน่อยก็ดีครับ
คิดให้ดี มีสติกับทุกการกระทำของตัวเอง เพราะผมเชื่อเหลือเกินครับว่า
ทุกการกระทำของเรานั้นย่อมส่งผลต่อผู้อื่นอย่างแน่นอนครับ
.
เพลงของ paperjam เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมากครับ
และก็เป็นเพลงที่ใช้เล่นกีตาร์บ่อยมากสมัยเรียนมัธยม
จำได้ว่าตอนที่ซื้อเทปม้วนนี้ แล้วเอาปกมานั่งดูกับเพื่อน
พวกเรายังพูดกันเลยว่าอยากให้ศิลปินกลุ่มนี้ออกชุดที่ 2 เร็วๆจัง
แบบว่าปลื้มฝีมือมาก
.
ความจริงผมน่าจะบอกว่าจนถึงวันนี้ผมก็ยังเฝ้ารอชุดที่ 2 ของพวกเขาอยู่นะครับ




 

Create Date : 05 มกราคม 2552   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:56:06 น.   
Counter : 963 Pageviews.  

ความงามที่แตกต่าง : สีที่มนุษย์เห็นชัดที่สุดคือ...

title : ความงามที่แตกต่าง
album : รุ้งกินน้ำ
astist : อัสนี-วสันต์ โชติกุล
Released : 1993



<


ความงามที่แตกต่าง

เห็นชายคนหนึ่ง เพิ่งลงจากเขา
เขาเดินมือเปล่า เข้ามาที่เมือง

แต่ชายคนหนึ่ง ออกจากเมืองฟ้า
เขาเดินเข้าป่า หลบความรุ่งเรือง...

ชีวิตคนสองคน ต่างเดินทางไปค้นหา
รอยเท้าที่ผ่านมา ก็เลยสวนกัน
คนเราทุกคน ต่างก็มีความนึกฝัน
ต่างมองเห็นคืนวัน ที่ต่างไป

(ต่างก็ไปตามเส้นทาง
ต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย ต่างกัน)
เดินสู่ความฝันที่เคย...ตั้งใจ
(ต่างกันเพียงแค่ที่มา
ต่างกันแค่เพียงที่จุดหมาย เท่านั้น)
เมื่อคนเราเกิดมา มองจากมุมที่ต่างกัน
ก็เลยเห็นความงาม ที่ต่างไป

ผู้ชายคนหนึ่งไม่เดินไปไหน
เขานั่งทำใจ อยู่เพียงผู้เดียว

ชีวิตคนทุกคน ต่างเดินทางไปค้นหา
รอยเท้าที่ผ่านมา ก็เลยสวนกัน
คนเราทุกคน ต่างก็มีความนึกฝัน
ต่างมองเห็นคืนวัน ที่ต่างไป

(ต่างก็ไปตามเส้นทาง
ต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย ต่างกัน)
เดินสู่ความฝันที่เคย...ตั้งใจ
(ต่างกันเพียงแค่ที่มา
ต่างกันแค่เพียงที่จุดหมาย เท่านั้น)
เมื่อคนเราเกิดมา มองจากมุมที่ต่างกัน
ก็เลยเห็นความงาม ที่ต่างไป

หลายคน หลายความเข้าใจ
หลายความ หลายคน...
หลายคน หลายความตั้งใจ ไม่เหมือนกัน

(ต่างก็ไปตามเส้นทาง
ต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย ต่างกัน)
เดินสู่ความฝันที่เคย...ตั้งใจ
(ต่างกันเพียงแค่ที่มา
ต่างกันแค่เพียงที่จุดหมาย เท่านั้น)

(ต่างก็ไปตามเส้นทาง
ต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย ต่างกัน)
เดินสู่ความฝันที่เคย...ตั้งใจ
(ต่างกันเพียงแค่ที่มา
ต่างกันแค่เพียงที่จุดหมาย เท่านั้น)>




ตอน ม.ปลาย ผมเคยไปติววิชาความถนัดฯครับ
เพื่อใช้ไปสอบในการเอ็นทรานซ์
.
วิชาความถนัดฯที่ว่านี้มันก็ต้องมีความรู้ทางศิลปะพอสมควรเหมือนกันครับ
จำได้ว่าวันแรกๆที่เข้าไปติวนั้น
พี่ติวเขาสอนผมเรื่องทฤษฎีสีหลายเรื่องเหมือนกัน
.
สอนแล้ว ลืมไปแล้วครับ
แต่มีเรื่องหนึ่งครับที่ผมกลับจำได้จนถึงทุกวันนี้(มันก็นานมากแล้วนะ)
คือเรื่องสีที่มนุษย์เห็นชัดที่สุดน่ะครับ
.
แกบอกว่าสีที่มนุษย์เห็นชัดที่สุดมี 2 สี คือ สีเหลือง กับ สีแดง ครับ
แต่ว่าจะเห็นชัดในเวลาที่ต่างกัน
สีเหลืองจะเห็นชัดที่สุดตอนกลางวัน
ส่วนสีแดงจะเห็นชัดที่สุดตอนกลางคืน
.
แกยังยกตัวอย่างด้วยว่า
สังเกตที่ไฟจราจรสิ มี ทั้ง 2 สีเลย
หรือแม้แต่ไฟท้ายรถ ก็เป็นสีแดง
โดยเฉพาะตอนกลางคืนจะเห็นชัดมาก
.
ผมก็ยิ่งเห็นด้วยกับแกครับ
เพราะว่านโยบายที่ให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ "เปิดไฟใส่หมวก" นั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีครับ
ผมก็เคยสงสัยว่าเปิดไฟตอนกลางวันมันจะได้อะไรขึ้นมา
แต่ว่ามันก็เห็นความแตกต่างจริงๆครับระหว่างเปิดกับไม่เปิด
คือมันกลับดูสว่างขึ้นมาทันที(หมายถึงสร้างจุดสังเกตให้รถมอเตอร์ไซค์น่ะครับ)
.
ไฟหน้ารถก็เป็นสีเหลือง
พอเอาเรื่องที่พี่ติวเคยสอนมาคิดก็ถึงบางอ้อ ว่าที่พี่แกพูดมาท่าจะจริงแหะ
.
อยู่ดีๆมาพูดเรื่องเหลืองๆแดงๆ จะมาหาว่าผมโยงเข้าเรื่องการเมืองรึเปล่า
ก็เห็นว่าท่าจะเลี่ยงยากครับ
เพราะว่าผมเองก็ได้แนวคิดเรื่องสีนี้มาจากสถานการณ์ปัจจุบันเหมือนกัน
.
เรื่องความงามหรือมนุษย์ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมันก็มองกันต่างมุมจริงๆครับ
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนออกทริปกับคณะ (อานิสงค์จากการติวนี่ล่ะครับ)
พวกเราจะมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ถ่ายรูปเก่งมาก
เวลาอาจารย์แกเอาขาตั้งกล้องไปตั้งตรงไหน
มักจะมีเพื่อนๆไปยืนรอกันเต็มไปหมดเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปมุมนั้นต่อไป
พวกเราก็แซวๆกันว่า "ลอก'ตีบ อาจารย์เสียเลย "
.
ปรากฎว่ารูปที่ออกมาก็เหมือนๆกันหมดครับ
เพราะมุมเดียวกัน
มันก็ทำให้ผมนึกถึงเวลาที่เราต้องวาดเส้น หุ่นนิ่ง ตอนนั้น หุ่นจะอยู่เฉยๆ
พวกนักศึกษาก็จะหามุมที่ตัวเองคิดว่าสวยของแต่ละคนแล้วก็ลงมือเขียน
อันนี้คงเป็นตัวอย่างเรื่องความงามจากมุมที่ต่างกันได้นะครับ
.
มีอาจารย์จิตวิทยาท่านหนึ่งเคยตอบคำถามที่ผมถามว่า
จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกนี้มี "พ่อ แม่ หรือสิ่งแวดล้อมในอุดมคติ"
เพื่อที่เราจะได้ประชากรโลกที่เป็นอุดมคติ โลกอาจจะสงบสุขแบบอุดมคติก็ได้
แกก็ตอบว่า ไม่มีทางทำได้และก็ไม่ควรทำครับ
เพราะโลกนี้ต้องการความแตกต่าง
ถ้าเป็นอย่างที่ผมถามทุกคนจะเหมือนกันหมด
.
ผมเป็นคนที่ชอบดูสารคดีเหมือนกันครับ
โดยเฉพาะวัฒนธรรมต่างๆของมนุษย์บนโลกใบนี้
.
มนุษย์เราถ้าจะให้แตกต่างกัน มันก็หาเรื่องไปได้ทุกเรื่องล่ะครับ
อย่าว่าแต่สีผิว สีตา สีผม ฯลฯ
ขนาดในซอยเดียวกันยังแบ่งได้เลยว่าใครมาจากไหนลูกเต้าใคร
.
นี่แค่เรื่องทางกายภาพ
ถ้ามองในเรื่องที่ซับซ้อนลงไปอีกคงจะได้แยกกันเป็นล้านๆๆกลุ่ม
.
ความแตกต่าง ไม่ว่าจะทางไหนผมว่ามันก็มีเหตุผลในตัวมันเอง
มีที่มาที่ไป ถ้าผมจะชอบดูหนังตลก ก็เพราะผมคงต้องการคลายเดรียด
ถ้าใครสักคนจะชอบดูหนังแอคชั่นก็คงเพราะเขาอยากจะสนุกตื่นเต้น เร้าใจ
.
ถ้าจะมีคนไทยส่วนใหญ่ชอบทานอาหารรสเผ็ด ก็คงเพราะว่าอร่อย
แต่ผมชอบของหวาน ก็คงเพราะว่าผมทานเผ็ดไม่เก่ง
.
คงจะไม่มีใครที่สามารถจะมาบังคับหรือว่าจ้างให้เรารักสิ่งไหนชอบสิ่งไหนได้หรอกครับ
และหากทำได้ นั่นก็เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนไฟไหม้ฟางเท่านั้นล่ะครับ
ไม่สามารถที่จะสั่นสะเทือนโครงสร้างหลักของใจเราได้หรอก
.
ผมเชื่ออย่างนั้นนะ



ขอบคุณรูปหน้าปกอัลบั้มจากเว็บ //www.covershare.com/?action=open&infoid=724 ด้วยนะครับ
และรูปคุณ อัสนี-วสันต์ โชติกุล จากเว็บนี้ครับ //board.raklukefamilygroup.com/viewtopic.php?t=67939




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2551   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:57:29 น.   
Counter : 1844 Pageviews.  

Circle of Life : อะไรเอ่ย เดินสี่เท้ายามเช้า สองเท้ายามสาย สามเท้ายามเย็น

title : Circle of Life
album : The Lion King: Original Motion Picture Soundtrack
astist : Carmen Twillie ft. Lebo M
Released : July 13, 1994





Circle of Life

Nants ingonyama bagithi Baba (Here comes a lion, Father)
Sithi uhm ingonyama (Oh yes, it's a lion)

Nants ingonyama bagithi baba
Sithi uhhmm ingonyama
Ingonyama

Siyo Nqoba (We're going to conquer)
Ingonyama
Ingonyama nengw' enamabala (A lion and a leopard come to this open place)

From the day we arrive on the planet
And blinking, step into the sun
There's more to see than can ever be seen
More to do than can ever be done
There's far too much to take in here
More to find than can ever be found
But the sun rolling high
Through the sapphire sky
Keeps great and small on the endless round

It's the Circle of Life
And it moves us all
Through despair and hope
Through faith and love
Till we find our place
On the path unwinding
In the Circle
The Circle of Life

It's the Circle of Life
And it moves us all
Through despair and hope
Through faith and love
Till we find our place
On the path unwinding
In the Circle
The Circle of Life




ไม่ได้เขียน blog นานมากครับ
ถ้านับก็คงจะประมาณ 4-5 เดือนเลยมั้ง
สาเหตุก็เพราะยุ่งๆเกี่ยวกับเรื่องการงานน่ะครับ
มาลองเขียนดูอีกทีก็พบว่าหลายๆอย่างแทบจะลืมไปแล้ว(ทั้งๆที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยรู้อะไรอยู่แล้ว)
.
แต่ว่าช่างมันเถอะครับ
จะอะไรก็ตามแต่
ผมก็อยากขอบคุณทุกท่านที่(หลง)เข้ามานะครับ
หลังจากนี้ก็จะพยายามเขียนเรื่อยๆเหมือนเดิมครับ(เขียนเอง อ่านเอง )
.
.
ตอนนี้สถานการณ์ทางเศรฐกิจท่าทางจะแย่ทีเดียวนะครับ
พูดถึงเรื่องนี้มันก็ทำให้นึกถึงเมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อนครับ
มีอยู่วันหนึ่ง ผมนั่งรถไปประชุมกับเจ้านายข้างนอก
ขากลับเจ้านายก็พูดอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะเกี่ยวกับเศรฐกิจ
แกว่าปลายปีนี้กับปีหน้าเศรฐกิจจะไม่ดีนะ
ผมก็ถามว่าทำไม แกรู้ได้ไง
แกบอกว่า "มันถึงรอบของมันแล้ว"
.
หัวหน้าแกคงอยู่ในแวดวงนี้มานานจนดูอะไรออกแล้ว
เหมือนคนที่อยู่ริมน้ำ เรียกว่าเห็นพระจันทร์ก็รู้เลยว่าน้ำจะมาแล้ว
.
และเท่าที่เคยอ่านหนังสือมา
ในชีวิตนี้มีหนังสือที่ผมอ่านสนุกชนิดวางไม่ลง ก็มีหลายเล่มครับ
หนึ่งในนั้นมีเรื่อง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของคุณ วินทร์ เลียววาริณ ครับ
แม้ว่าไม่ถึงกับอ่านรวดเดียวจบ แต่ก็รู้สึกสนุกและมีความสุขเวลาอ่านมาก
แต่ก็อ่านไว้นานมากแล้วครับ (ถ้าจำไม่ผิดก็ตอนที่ได้ซีไรท์นั่นแหล่ะ)
จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้
แต่จำได้ว่าตอนนั้นประทับกับแนวคิดของเรื่องนี้ในเรื่อง
กงล้อของประวัติศาสตร์น่ะครับ
ที่เกี่ยวกับเรื่องของการหมุนวนเกิดซ้ำของประวัติศาสตร์และชีวิตคน
.
รายละเอียดจะเป็นอย่างไรคงไม่ขอเล่าล่ะครับ
เพราะอย่างแรกคือจำไม่ได้
อย่างที่สองคือไม่อยากให้เสียอรรถรสสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้
.
.
ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งนะครับ ในเรื่องของอากัปกิริยาทั้งของเจ้านาย และตัวละครในหนังสือเรื่องประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
คือ ทุกท่านเหล่านี้จะ "นิ่ง"ต่อสถานการณ์ที่เจอในพักหลังๆพอสมควร
หรือว่าถ้าภาษาวัยรุ่นก็คงจะประมาณว่า "เก๋า" ขึ้น
.
เจ้านายแกคงจะเคยเศรษฐกิจขึ้นๆลงๆมาเกือบ 30 ปีในชีวิตการทำงานของแก
ชาวบ้านริมน้ำคงเคยยกของหนีน้ำตั้งแต่เด็ก
หรือแม้แต่ตัวละครในหนังสือก็คงจะห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ซ้ำรอยเดิมมาตั้งแต่ยังหนุ่ม
.
ทุกท่านเหล่านี้คงจะเคยเห็นรอบของเหตุการณ์เหล่านี้ จนเรียนรู้ที่จะรับกับเหตุการณ์
และอยู่กับมันได้น่ะครับ
.
แต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์ในเรื่อง"รอบ"ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ
.
อาจารย์บางท่านอาจจะเคยสอนเด็กตั้งแต่รุ่นยายยันรุ่นหลาน
ชาวนาอาจจะผ่านหน้าฝนและหน้าแล้งมาทั้งชีวิต
เด็กน้อยอาจจะเคยสังเกตวงจรชีวิตของกบตั้งแต่ลูกอ๊อดยันเป็นแม่กบจากบ่อใกล้บ้านมาหลายรุ่น
.
หรือคนไทยอาจจะเคยผ่านความวุ่นวายทางการเมืองมาหลายครั้ง
.
.
สิ่งต่างๆเหล่านี้ หากขึ้นชื่อว่ายังเป็นมนุษย์อยู่
ก็ย่อมที่จะเรียนรู้จากอดีตและประสบการณ์ที่ผ่านมาน่ะครับ
เพื่อนำไปสู่ความ"นิ่ง"อย่างที่ผมเข้าใจ(เอาเอง)
"นิ่ง" ในที่นี้คงจะหมายถึงการเข้าใจและพร้อมรับกับสถาณ์การณ์ที่จะเกิดน่ะครับ
.
เพลง Circle of Life เป็นเพลงที่ผมชอบมากครับ ตั้งแต่เด็ก (ความจริงต้องบอกว่าทั้งอัลบั้มนี้เลยล่ะ)
ฟังจนเทปยืดไปหลายครั้ง(ต้องซื้อใหม่ 2 หนแน่ะ/แถมหลงไปซื้อแต่ แบบรวม version ของ elton john มาด้วย)
.
สำหรับเนื้อเพลง ก็คงจะประมาณเรื่องของ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
รวมๆแล้วคงจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้เปลี่ยนไป(เอ๊ะ!/ อย่างงนะครับ)
คือเปลี่ยนตาม วัฏฐจักรเสียมากกว่า
.
.
วงจรต่างๆในชีวิตมีมากมาย ตั้งแต่วงจรชีวิต กบยันชีวิตคน
วงจรที่ยุ่งยากและซับซ้อนก็มีเยอะในช่วงชีวิตคนสักคนอาจจะเจอแค่ครั้งเดียวก็ได้
.
ลงได้ชื่อว่าวงจรมันก็ต้องเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆครับ
แต่แน่นอนว่ามนุษย์เองก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้จากวงเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ



รูปสฟิงค์เอามาจากเว็บนี้ครับ //www.theoi.com/Gallery/M18.4.html
ที่เลือกรูปสฟิงค์มาประกอบ
เพราะผมนึกถึง เรื่องคำถามของสฟิงค์น่ะครับ
ที่แกถามว่า "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….?"
คำตอบก็คือ มนุษย์นี่ล่ะครับ
เช้า สาย บ่าย เย็น ก็เปรียบเสมือน ช่วงชีวิตของมนุษย์
4 ตีนคือการคลานในวัยเด็ก
2 ตีนคือการเดินในวัยโตเต็มที่
3 ตีนคือการเดินโดยใช้ไม้เท้าในวัยชรา (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ //www.cupid.is.in.th/?md=content&ma=show&id=5 ด้วยนะครับ)
.
สฟิงค์เองอาจะอยู่มาเนิ่นนานมากๆ
สังเกตชีวิตมนุษย์มาหลายชั่วชีวิตคน จนเข้าใจความเป็นไปของมนุษย์ก็เป็นได้ครับ
จึงสามารถที่จะตั้งคำถามนี้ได้
.
แม้มนุษย์อาจจะอายุไม่ยืนยาวเหมือนสฟิงค์
เราอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด
แต่ว่าเราก็มีประวัติศาสตร์และการบันทึกต่างๆที่สั่งสมกันมา
สามารถช่วยให้เราเข้าใจได้เหมือนกันครับ




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2551   
Last Update : 11 มกราคม 2555 16:58:24 น.   
Counter : 4220 Pageviews.  

Wonderwall : อคติมีไว้ทำลาย

title : Wonderwall
album : (What's The Story) Morning Glory?
astist : Oasis
Released : October 3, 1995





Wonderwall

Today is gonna be the day
That they're gonna throw it back to you
By now you should've somehow
Realized what you gotta do
I don't believe that anybody
Feels the way I do about you now

Backbeat, the word is on the street
That the fire in your heart is out
I'm sure you've heard it all before
But you never really had a doubt
I don't believe that anybody
Feels the way I do about you now

And all the roads we have to walk are winding
And all the lights that lead us there are blinding
There are many things that I would
Like to say to you
But I don't know how

Because maybe
You're gonna be the one that saves me
And after all
You're my wonderwall

Today was gonna be the day
But they'll never throw it back to you
By now you should've somehow
Realized what you're not to do
I don't believe that anybody
Feels the way I do about you now

And all the roads that lead you there were winding
And all the lights that light the way are blinding
There are many things that I would like to say to you
But I don't know how

I said maybe
You're gonna be the one that saves me
And after all
You're my wonderwall

I said maybe
You're gonna be the one that saves me
And after all
You're my wonderwall

I said maybe
You're gonna be the one that saves me
You're gonna be the one that saves me
You're gonna be the one that saves me




เมื่อเร็วๆนี้ ประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะครับ
ผมได้มีโอกาสฟังคลื่น FAT RADIO อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ฟังมานานเกือบ 4-5 ปีได้มั้ง
ฟังแบบแว้บๆเพราะว่า คุณ DJ แกเปิดเพลง wanderwall ของ oasis น่ะครับ
แต่เพลงนี้ถูกร้องโดย JAY Z ที่งานแสดงดนตรีที่ Glastonbury ครับ
ก่อนเิปิดเพลง DJ ก็เล่าให้ฟังว่างานนี้ JAY Z ถูกเชิญให้ร่วมแสดงด้วย
แต่ว่าก็มีเสียงคัดค้านมาบ้างว่าไม่ค่อยเหมาะกับงานนี้เท่าไหร่ เพราะงานแสดงดนตรีงานนี้เหมาะกับวงร็อกๆมากกว่า
โดยเฉพาะ คุณ LIAM GALLAGHER (รึเปล่า/แต่สักคนใน Oasis เนี่ยหล่ะ) ก็มีการออกโรงมาคัดค้านด้วยเช่นกัน
.
อย่างไรก็ตาม (คาดว่า) JAY Z ก็ได้ขึ้นแสดงในงานนี้ครับ
และเพลงที่เขาร้องก็มีเพลง wonderwall ของ Oasis ด้วย
เรียกว่ากัดกันได้เจ็บแสบดีจริงๆครับ
.
ผมฟังไปก็เผลอยิ้มไป(จนคนที่นั่งทำงานข้างๆตกใจบ้างเล็กน้อยเหมือนกัน)
เพราะว่าเท่าที่ผมเข้าใจมานะครับ (อาจจะเข้าใจผิด เพราะภาษาอังกฤษของผมมันแย่เต็มที)
มีทฤษฎีสมคบคิดที่ว่า เพลงนี้ก็เป็นเพลงปรารภของ Oasis ที่มีต่อ The Beatles เช่นกัน
เพราะว่าพวกเขามักถูกมองและเปรียบเทียบกับ Beatles บ่อยๆครับ โดยเฉพาะช่วงแรกที่ทำงานเพลง
.
ประมาณว่า
" ฉันก็ไม่ได้อยากจะไปเหมือนหรือเดินตามรอยของคุณหรอกนะ
ฉันก็ใช้ชีวิตของฉันอย่างนี้
คุณทำไว้ดีแล้ว แล้วยังไง แล้วทำไมคนชอบเอาฉันกับคุณมาเปรียบเทียบกัน
แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันทำอะไรผิดไปรึเปล่า "
.
อย่างที่บอกนะครับว่าเป็น "ทฤษฎีสมคบคิด"
ไม่แน่ว่า จริงๆแล้วเพลงนี้อาจจะแค่แต่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าไม่ถึงเธอสักทีก็ได้
.
อย่างไรก็ตามผมก็ร่วมสบคบคิดไปกับทฤษฎีนี้ด้วยครับ
ยิ่งเอาไปเชื่อมกับเหตุการณ์ที่ JAY Z เอาเพลงนี้มาร้องยิ่งทำให้สุดสึกเจ็บๆคันๆแทนเจ้าของเพลงเหมือนกันครับ
.
สุดท้ายนายก็เหมือนกันนี่แหล่ะที่เป็น Wonderwall ของฉัน
.
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยผมจะโดนอาจารย์บางคนมองว่าเกเรและเป็นตัวถ่วงของภาควิชาครับ
ที่รู้นี่ ไม่ใช่เพราะคิดเอาเองหรือว่ามานั่งน้ิอยอกน้อยใจนะครับ
รู้เพราะว่าแกบอกกับผมอย่างนั้นจริงๆ
.
แกทำนายตอนผมอยู่ปี 1 ว่า" อย่างมึงนะ กูว่าไม่เกิน ปี2 ก็ RETIRE "
ผมฟังตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้รู้สึกอะไรนะครับ
จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าอายก็ไม่ใช่
.
แต่หลังจากนั้นผมว่าอาจารย์แกก็คงจะทำนายแม่นเหมือนกันครับ
เพราะผมเองก็เฉียดจะ RETIRE อยู่หลายทีเหมือนกัน
แต่ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ท่านนั้นครับ
เพราะทุกครั้งที่เจียนอยู่เจียนไป ผมก็จะได้กำลังใจจากคำพูดเหยียดหยามของแกเนี่ยแหล่ะครับ
มาผยุงจิตใจอันอ่อนล้า
ว่า " กูจะุต้องไม่ยอมให้คนอย่างนั้นมาสบประมาทได้ "
.
สุดท้ายก็เรียนจบมาสมใจครับ
.
ตอนจบสะใจมากตอนที่ใส่ครุยเดินผ่านอาจารย์ท่านนั้น
ในใจคิดว่า "คำพูดอะไรที่พ่นๆออกมาก่อนหน้านี้รบกวนช่วยไปโกยเก็บตามพื้นแล้วกลืนกลับไปด้วยก็จะขอบคุณมากครับ "
.
.
ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่ผมชอบที่จะเอาคำสบประมาทของคนอื่นมาเป็นแรงผลักดันนะครับ
มีหลายครั้งผมสามารถใช้เป็นแรงผลักดันให้ทำลุล่วงไปได้หลายเรื่อง
.
ผมเห็นในละครไทยหลายๆเรื่องนะที่จะมี คุณหนูผู้หญิงดูถูก ผู้ชายคนสวน คนขับรถ ที่มาจีบว่า
"ฮึ อย่างแกน่ะ อย่าว่าแต่จีบฉันเลย ขาอ่อนฉันแกก็ไม่ได้เห็น"
สุดท้ายผู้พูดประโยคนี้มักจะจบลงด้วยการเป็นเมียของผู้ถูกดูถูกเหยียดหยามนั้นเสมอไปครับ
.
ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงยุให้ไปปล้ำใครนะครับ
แค่ผมจะบอกว่า บางทีอคติหรือการดูถูกเหยียดหยาม ของใครที่มีต่อเรา
หากเราเปลี่ยนจากความน้อยเนื้อต่ำใจของคำเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เราไม่เป็นอย่างนั้น
ผมว่าจะมีประโยชน์กับตัวเราอย่างมหาศาลเลยครับ
.
ให้รู้ไว้เลยว่าไม่ใช่แค่สถิติที่มีไว้ทำลายเท่านั้น
อคติก็มีไว้ทำลายเช่นกัน




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2551   
Last Update : 11 มกราคม 2555 17:00:07 น.   
Counter : 1145 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

อิสรภาพแลนด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อิสรภาพแลนด์
.
.
มีอยู่จริงนะ
[Add อิสรภาพแลนด์'s blog to your web]