|
นิทานกระต่ายกะเต่า ฉบับ MBA
 นิทานกระต่ายกะเต่า ฉบับ MBA กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่ง ก็มีการกำหนดเส้นทางวิ่งแล้วก็เริ่มการแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักกะแป๊บนึงก่อนแข่งต่อก็คงดี ไปๆมาๆก็ง่วงสิ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้าๆแต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้(เหมือนกัน) นี่เป็นเวอร์ชั่นเดะๆที่เราคุ้นหูกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง ต่อเลยนะ.... เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็รมณ์บ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเอง มันก็พบว่าความมั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจ ของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้ มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย เจ้าเต่าก็ตกลง ย่อมได้ไอ้น้อง ..เมื่อกี๊ฟลุ้คอ๊ะป่าว แน่จริง..ใหม่เด่ะ ".... แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอย เราได้ข้อคิดอะไรล่ะ ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอใช้ได้นี่ดีกว่า .... เรื่องยังไม่จบแค่นี้ คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะกระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วเพ่ พอการแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย "เฮ้ย!!!..เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะตู..." เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลย เจ้ากระต่ายมัวแต่เง็งว่าจะทำไงดี นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผลการแข่งครั้งนี้ สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย(ตัว)มากกว่า การแข่งครั้งก่อนๆหน้านี้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.... การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้นๆเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วง สถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้น และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต เมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างออกไป และในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคล แล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก .... พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ ตนเองได้เปรียบมากที่สุด ย๊างงง ยังไม่พอ มีต่อ.... ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์ค เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำแล้วเจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน ... ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆมากกว่า (ซิกแซกไม่เป็น อะไรลัดได้ เร็วได้ก็ไม่กล้าเสี่ยงไม่กล้าทำ ผลงานก็เลยน้อยมั้ง)
Free TextEditor
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 3:17:51 น. |
Counter : 695 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ทำไมเรียกเซ็งเป็ด
เรื่องก้อมีอยู่ว่า..... หมูกับไก่ไปเที่ยวกัน แล้วไก่ก็ถามหมูว่า...ทำไมไม่ชวนเป็ดมาด้วย หมูก็บอกว่า...ไม่อยากชวนมา เพราะชวนมาทีไร..เป็ดชอบบอกว่า... กับ กับ กับ ชวน กลับ เรื่อย....เลยเซ็งเป็ด 55555

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 2:31:28 น. |
Counter : 2730 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)
เหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้ คนไทยแบ่งพัก แบ่งพวกกันอยู่ ทำให้แตกความสามัคคี อย่าเชื่อหรือฟังใครง่ายนะค่ะ ลองอ่านนี้ดีกว่า คติเตือนใจคนไทย ชาวพุทธ เกี่ยวกับกาลามสูตร อย่าเชื่ออะไรใน 10 อย่างนี้ หวังว่าเป็นคติหรือไว้พิจารณาเป็นแง่คิดดีๆ ค่ะ ทางสายกลางทำให้เราได้มีศาสนาพุทธเกิดขึ้นทุกวันนี้ ไม่อยากให้ใคร มีความคิดหรืออคติ อุดมการณ์มากเกินไปเลยจริงๆ เพราะมันอาจจะทำร้ายอะไรได้หลายๆ อย่าง โดยไม่ได้คิด จงมีสติ กันดีกว่าค่ะในการทำอะไรให้ใครบางคนมีความสุข ไม่ใช่คิดแต่เอาชนะ ใครบางคน แต่มาร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อแก้ปัญหากัน แต่แบบสันติวิถี คนไทยด้วยกันไม่รักกัน จะให้ประเทศอื่นมารักน่ะ อายเขานะค่ะ ยิ่งมีเพื่อนบ้านเราดูอยู่ตอนนี้ เขาคงคิดแย่ๆกับเรา ให้คิดดี ทำดี แต่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และอย่าทำให้ใครมาตายเพราะในสิ่งที่เราคิดดีกว่าค่ะ ใครบ้างจะทำได้ ช่วยตอบหน่อย

//biolawcom.de/article/139
พระสูตรความย่อ เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) ว่าด้วย ข้อห้ามมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง
ที่มา : พระไตรปีฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ. ๒๕๒๕ เล่ม ๒๐ ข้อ ๕๐๕ หน้า ๑๗๙ - ๑๘๔
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปถึง นิคมของพวกกาลามะชื่อว่าเกสปุตตะ พวกชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้ทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึง ทั้งทราบกิตติศัพท์ แห่งพระพุทธคุณของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ และกราบทูลพระ องค์ว่าได้มีสมณพราหมณ์ที่มายัง เกสปุตตนิคมนี้ ต่างก็พูดประกาศเฉพาะลัทธิของพวก ตน และพูดตำหนิลัทธิของพวกอื่น จึงมีความสงสัยว่า ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย ท่านทั้งหลาย
อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบ ๆ กันมา อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว อย่าได้เชื่อถือ โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้เชื่อถือ โดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมใดเป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ติเตียน และการปฏิบัติธรรม เหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ เมื่อนั้น ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย
ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ความโลภ,ความโกรธ,ความหลง นี้ เมื่อเกิดขึ้นในคนเราแล้ว จะเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์?
พวกชนกาลามโคตร ต่างกราบทูลว่าไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า : ท่านทั้งหลาย บุคคลผู้โลภ,โกรธ,หลง ย่อมฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ คบชู้ พูดเท็จก็ได้ ย่อมชักชวนผู้อื่น ให้กระทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ชั่วกาลนานก็ได้
กาลามโคตร : จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า : ท่านทั้งหลาย ท่านเห็นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล มีโทษหรือ ไม่มีโทษ ท่านผู้รู้ติเตียนหรือสรรเสริญ?
กา. เป็นอกุศล มีโทษ ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า
พ. การปฏิบัติธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ มิใช่หรือ?
กา. ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นว่า การปฏิบัติธรรมเหล่านี้ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ท่านทั้งหลาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานั้นแหละ เราจึงได้ กล่าวไว้ว่า ท่านทั้งหลาย อย่าได้เชื่อถือด้วยเหตุต่าง ๆ ๑๐ ประการ เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนเอง ว่า ธรรมใดเป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ติเตียน และการปฏิบัติธรรมเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ เมื่อนั้นท่านควรละธรรม เหล่านั้นเสีย
ท่านทั้งหลาย อย่าได้เชื่อถือ ด้วยเหตุต่าง ๆ ๑๐ ประการ เมื่อใด ท่านรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมใด เป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้รู้สรรเสริญ และการปฏิบัติธรรมเหล่านี้เป็นประโยชน์ เป็นสุข เมื่อนั้น ท่านควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ที่มา : //www.navy.mi.th
บทขยายความ กาลามสูตร
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) 2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) 3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) 4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) 5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) 6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) 7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) 8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) 9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) 10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ ตัวอย่าง
1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย 2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส 3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย 4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก 5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา 6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย 7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต 8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก 9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง 10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
ที่มา : เว็บไซท์ buddha4u
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 1:50:29 น. |
Counter : 1100 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รูปแบบการทำงานเป็นทีม
รูปแบบการทำงานเป็นทีม เป็นเหมือนกันไหมฮับ
Create Date : 26 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 26 ตุลาคม 2551 15:44:16 น. |
Counter : 3477 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ร้านอาหารบ้านมณี
ชื่อร้าน : ร้านอาหารบ้านมณี รายการอาหาร : ข้าวผัดพริกนรกทะเล ปลากุแลพล่า ปลาทูต้มบีบน้ำมะนาว หมึกต้มน้ำดำ ต้มส้มปลาทู ห่อหมกปู-ปลา เวลาเปิดบริการ : เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น. ที่ตั้งร้าน : อ่างศิลา, ชลบุรี พิกัด GPS : หาพิกัดไม่ลำบาก จากกรุงเทพฯแยกขวาเข้าอ่างศิลา ไปตามทางบังคับเรื่อยๆ กระทั่งผ่านวิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ แล้วลงเนินน้อยๆก็ชะลอรถ มองทางขวา
บ้านมณีริมทะเลอ่างศิลา
ระยะนี้ ยามล้าๆเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง ต้องขอหลบไปพัก ให้ร่างกายได้รับธาตุทั้งสี่ เป็นการเติมพลังให้กายและจิต แต่จะไปไหนไกลๆก็คร้านเดินทางที่เสียเวลานานๆ แทนที่ได้พักผ่อน กลับกลายเป็นทรมานสังขาร จึงขอเลือกใกล้ๆกรุงเทพฯอย่าง อ่างศิลา -บางแสน อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งใช้เวลานั่งรถชั่วโมงเดียว
อ่างศิลา-บางแสน ในวันนี้ รื่นรมย์เหมาะแก่การไปพักผ่อน ไม่ว่ายกไปทั้งครอบครัว หรือขอแค่โลกนี้มีเพียงสองเรา บรรยากาศโดยรวมทัศนวิสัยเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน มีที่พักหลายหลายรูปแบบให้เลือกตามรสนิยมและกำลังทรัพย์ รวมทั้งอาหารการกินค่าใช้จ่าย ก็ไม่สูงลิบลิ่วเท่าแหล่งท่องเที่ยวที่อู้ฟู่
เติมพลังจิตที่อ่างศิลาเที่ยวนี้
แวะเติมพลังท้องที่ร้าน บ้านมณี ริมทะเลอ่างศิลา ทางเข้าด้านหน้าอาจดูไม่เร้าอารมณ์ กระทั่งล่วงเข้าส่วนพื้นที่ส่วนตั้งโต๊ะแล้ว บอกตัวเองว่ากินไปนอนไปยังได้ เพราะโล่งโปร่งสบายสายตา ลมทะเลตึง เหมาะแก่การกินอาหารรสจี๊ดๆ
สั่งทอดมันปลากรายเพื่อเริ่มเดินเครื่อง คนต่างถิ่นกินแล้ว อาจสรุปรสว่าหวานนำหน้า แต่ คนอ่าง รวมทั้งคนเมืองชลฯกินรสนี้มาแต่ดั้งแต่เดิม จึงมิควรกินกับน้ำจิ้ม เพราะจะหวานเลยเถิด ยกเว้นเด็กตัวเล็กตัวน้อยต้อยตีวิด ที่ชอบหวานล้ำ คงยิ่งชอบ
เมื่อร่างกายพร้อมรับรสต่างๆแล้ว ถึงเวลาของปลากุแลพล่า ความสดของเนื้อปลากุแล และเครื่องเคราที่ใส่โดยไม่รู้จักคำว่าขี้เหนียว ความหวานลิ้นจากเนื้อปลา จึงตัดลงตัวกับความจัดจ้านของเครื่องพล่า
ปลาทูต้มบีบน้ำมะนาว ได้ซดน้ำจี๊ดจัด จากพริกขี้หนูตำ หัวน้ำปลาอย่างดี และน้ำมะนาว ตัดกันดีกับความมันของเนื้อปลาทูโป๊ะ ขนาดตัวไม่โตเกินไปนัก รสและรูปลักษณ์ของชามนี้ไม่ต่างจากต้มยำเท่าไรนัก แผกกันแค่ว่าไม่ใส่ผักหญ้าอื่นใดอีก นอกจากผักชีโรยหน้า
ปลาทูในอีกรส ต้มส้มปลาทู น้ำต้มส้มเข้มข้น คล่องคอด้วยความรู้สึก เปรี้ยว หวาน ละไมลิ้น
อาหารพื้นบ้านแถบภาคตะวันออก หมึกต้มน้ำดำ อร่อยลิ้นกับเนื้อหนั่นของหมึกกระตอมตัวยาวแค่นิ้วชี้ ที่ก่อนจะใส่ปลาหมึกลงในน้ำเดือดพล่าน ต้องใช้ปลายช้อนบีบส่วนดี(หมึกสีดำ)ให้แตก แล้วใส่ปลาหมึกลงต้มทันที จากนั้นดีสีดำค่อยๆ ออกมา ปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลา ซดน้ำได้ความชื่นใจอย่างไม่น่าเชื่อ ห่อหมกปู-ปลา พริกแกงรสกลมกล่อมระเรื่อยระรื่นลิ้น กินกับข้าวสวยร้อนๆ เข้าคู่กันได้ดีนักแล
สำหรับคนชอบกินเผ็ด หมายมาดกินอาหารจานเดียว ขอรับรองว่าข้าวผัดพริกนรกทะเล คู่ควรแก่การนี้เป็นที่สุด ข้าวเม็ดเป็นตัวผัดคลุกเคล้า พริกขี้หนูและกระเทียมปั่นหยาบ เพิ่มโปรตีนจากปลาหมึก กุ้ง และเนื้อปู ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ ซอสปรุงรส และพริกไทยป่น ได้ความเผ็ดหอมที่เข้มข้น
บ้านมณี ถนนอ่างศิลา เขาสามมุข เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น.หาพิกัดไม่ลำบาก จากกรุงเทพฯแยกขวาเข้าอ่างศิลา ไปตามทางบังคับเรื่อยๆ กระทั่งผ่านวิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ แล้วลงเนินน้อยๆก็ชะลอรถ มองทางขวา เห็นป้ายร้านชัดเจน เลี้ยวเข้าไปได้เลย ด้านในที่ทางสำหรับจอดรถค่อนข้างพอสมควร หากไปมื้อเย็นวันศุกร์-เสาร์ ควรจองโต๊ะที่โทร.086-301-4497 และ 086-111-1636
เพราะเป็นปกติของร้านอาหารริมทะเล ที่มักเนืองแน่นช่วงนั้น และโต๊ะมุมดีๆมักเป็นที่ช่วงชิง!
อัญชัน
ข้าวผัดพริกนรกทะเล
โดนใจในรสชาติสุดๆ จึงต้องนำวิธีทำ ข้าวผัดพริกนรกทะเลมาบอกต่อ
- ข้าวสวย,เนื้อปู - กุ้ง,ปลาหมึก - พริกขี้หนู,กระเทียม - แตงกวา,ต้นหอม - น้ำตาลทราย, พริกไทยป่น - เกลือ ,ซอสปรุงรส
ผัดพริกขี้หนูและกระเทียมที่ปั่นพอหยาบ ตามด้วยปลาหมึก กุ้ง เนื้อปู ที่ผ่านการลวกแล้ว ผัดทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นใส่ข้าวสวยลงผัดพร้อมกับน้ำตาลทราย ,ซอสปรุงรส ,เกลือ และพริกไทยป่น เคล้าจนเข้ากันดีแล้ว เป็นอันเสร็จสรรพ ตักเสิร์ฟพร้อมแตงกวาและต้นหอม
ราคาอาหารบ้านมณี ปลากุแลพล่า 80 บาท ปลาทูต้มบีบน้ำมะนาว 80 บาท หมึกต้มน้ำดำ 120 บาท ต้มส้มปลาทู 80/120 บาท ห่อหมกปู-ปลา 100/150 บาท
Create Date : 26 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 26 ตุลาคม 2551 14:59:17 น. |
Counter : 1087 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]

|
กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะ
ความจริงเวลานั้นพระที่แต่งตัวแบบนี้ ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวทูตทั้ง ๕ ที่เรียกกว่า เทวทูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฏกับสายพระเนตรขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฏ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า
"โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"
ต่อมาวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัยก็เข้าใจว่าทางนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก
|
|
|
|
|
|
|