|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]

|
กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะ
ความจริงเวลานั้นพระที่แต่งตัวแบบนี้ ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวทูตทั้ง ๕ ที่เรียกกว่า เทวทูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฏกับสายพระเนตรขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฏ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า
"โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"
ต่อมาวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัยก็เข้าใจว่าทางนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก
|
|
|
|
|
|
|
5 ตุลาคม 2549 19:12 น.
"ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" ระบุขอให้นักธุรกิจเลิกกังวลเรื่องการใช้แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะทำให้ยากจนไม่จริง แต่แนวทางดังกล่าวทำให้ประเทศร่ำรวยอย่างยั่งยืนและไม่ถอยหลังเข้าคลอง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาบรรยายพิเศษเรื่อง นวัตกรรมกับเศรษฐกิจพอเพียง ในงานวันนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงกรณีมีนักธุรกิจกังวลเรื่องรัฐบาลชุดใหม่ที่นำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาบริหารประเทศว่าขอให้เลิกกลุ้มใจได้
เพราะแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากจะไม่ทำให้จนลงแล้ว ยังไม่ทำให้เกิดเอ็นพีแอล และจะทำให้เกิดความร่ำรวย แต่เป็นความร่ำรวยแบบไต่ระดับ เป็นความร่ำรวยที่ยั่งยืน อีกทั้งยังไม่ทำให้ประเทศล้าหลังหรือถอยหลังเข้าคลอง
พร้อมกับยกตัวอย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจมีหนี้สินกว่า 20,000 ล้านบาท และนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยการสำรวจศักยภาพองค์กรและปรับโครงสร้างใหม่ ในที่สุด 2 ปีที่ผ่านมา แม้องค์กรจะเล็กลงแต่สามารถสร้างผลกำไรได้มากที่สุดในรอบ 35 ปี
ธุรกิจที่แล้ว ๆ มามักพะวงที่ตัวกำไร โดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและส่วนมากจะเห็นว่าการดำเนินการทางธุรกิจไม่ค่อยยั่งยืนเท่าไหร่พอไปถึงจุดหนึ่งก็สลาย เศรษฐกิจพอเพียงนั้นพระองค์ทรงชี้นำให้ไปสู่การลงทุนที่ยั่งยืน มั่นคง แต่ต้องค่อยทำค่อยไป สร้างรากฐานให้มั่นคง ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานคำไว้ 3 คำ คือ
ก่อนอื่นต้องดูตัวเองก่อน ดูทุน ดูความสามารถ ศักยภาพ และสภาพแวดล้อม เมื่อทราบหมดแล้วก็ใช้คำว่าเหตุผลและเดินด้วยความระมัดระวังรอบคอบ อย่าไหลไปตามกระแส เห็นคนอื่นทำก็ตาม มีอยู่ช่วงปลูกคอนโดมิเนียมกันเป็นแถว สุดท้ายก็ไปไม่รอด ต้องบริหารความเสี่ยงและทั้งหลายทั้งปวงต้องบนฐานความสุจริตยุติธรรม" ดร.สุเมธ กล่าว
ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่านวัตกรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แตกต่างจากนวัตกรรมทั่วไปที่คำนึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่พระองค์จะทรงคำนึงเรื่องประโยชน์ของมนุษย์และประโยชน์ของโลก ตั้งแต่บนท้องฟ้าจดชายทะเล เช่น โครงการฝนหลวงที่แก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำให้กับเกษตรกร ขณะที่ประเทศในโลกตะวันตกอย่างสหรัฐมีปัญหาภัยแล้ง มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าประเทศไทยมาก แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะมีเรื่องความคุ้มค่าทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น อยากให้ทุกคนช่วยกันสร้างนวัตกรรมทางความคิดที่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะและสังคม
สำหรับโผรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ดร.สุเมธ กล่าวว่าไม่มีการทาบทามมา ตนยังอยู่ตรงนี้ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ไปไหน มาอย่างไรได้ทั้งนั้น เชื่อใจนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพราะเป็นคนเพชรบุรีเหมือนกัน ต้องช่วยกัน และคงต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศ
//www2.nesac.go.th/library/multimedia/sumet.wmv