|
รู้จักเครื่องสำอาง ก่อนแต่งสวย
เดี๋ยวนี้เครื่องสำอางเป็นได้หลายอย่าง เป็นทั้งของตบแต่งเพื่อความสวยความงาม เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจ บางอย่างก็ยังสร้างบุคลิกใหม่ ๆ ให้อย่างเช่นการเปลี่ยนสีผม แต่บางครั้งเครื่องสำอางก็อาจทำพิษกับเราได้ทั้งจากความไม่ระมัดระวังในการใช้ หรือจากสารอันตรายที่อยู่ในเครื่องสำอาง ต่าง ๆ การมาทำความรู้จักกับเครื่องสำอางให้มากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันสำหรับสาวใหญ่สาวน้อยที่ชอบแต่งแต้มสีสันให้กับตัวเอง
เครื่องสำอางไม่ใช่ยา ยาไม่ใช่เครื่องสำอาง
@ เครื่องสำอางใช้ทาถูบนร่างกายเพื่อ ทำความสะอาด แต่งแต้มให้สวยงาม เพิ่มความดึงดูดและเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอก เช่น ครีมทาผิว โลชั่น น้ำหอม ลิปสติค ยาทาเล็บ ผลิตภัณฑ์รอบผิวหน้าและดวงตา น้ำยาดัดผม น้ำยาโกรกสีผม รวมทั้งยาสีฟัน @ ยา ใช้เพื่อแก้ไข รักษา และป้องกันโรคที่เกิดกับร่างกาย ส่วนเครื่องสำอางไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือมีผลต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย
มีอะไรอยู่ในเครื่องสำอาง ?
น้ำหอมและสารกันเสียนับได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักสำคัญในเครื่องสำอาง
@ น้ำหอม เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการแพ้ของผิวหนัง น้ำหอมประกอบด้วยสารเคมีและสารธรรมชาติต่าง ๆ รวมกันมากมาย เครื่องสำอางที่ติดฉลากว่า ปราศจากน้ำหอม บางชนิดปราศจากการใส่น้ำหอมจริง ๆ แต่บางผลิตภัณฑ์ยังมีการปรุงแต่งด้วยน้ำหอมเล็กน้อยเพื่อกลบกลิ่นไขและสารประกอบอื่น ๆ @ สารกันเสียในเครื่องสำอาง นับเป็นอันดับสองรองจากน้ำหอมที่ก่อให้เกิดปัญหาทำให้ผิวหนังแพ้ได้ สารกันเสียทำหน้าที่กันเชื้อแบคทีเรียและราไม่ให้เจริญเติบโตในผลิตภัณฑ์ และยังป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสียง่ายเมื่อได้รับแสงและความร้อน @ สี ในเครื่องสำอาง ต้องเป็นสีที่ปลอดภัยตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คือ สีที่ใช้สำหรับ อาหาร ยาและเครื่องสำอาง (FD&C) หรือสีที่ใช้สำหรับยาและเครื่องสำอาง (D&C) หรือสีใช้ภายนอกสำหรับยาและเครื่องสำอางเท่านั้น
ความปลอดภัยของเครื่องสำอางขึ้นอยู่กับอะไร ?
เครื่องสำอางส่วนใหญ่จะมีความปลอดภัย ยกเว้นเครื่องสำอางปลอมหรือชนิดที่ผิดกฎหมาย ความไม่ปลอดภัยบางครั้งเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น
@ การขยี้ตาที่มีมาสคาร่า ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ถ้าไม่รักษา เพื่อความปลอดภัยไม่ควรเขียนคิ้ว ทาขอบตาระหว่างที่เดินทางในรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน @ ไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากเราเองไปสู่ผู้อื่น หรือจากผู้อื่นมาสู่เราได้ รวมถึงการไม่ใช้หวีร่วมกัน ไม่ใช้สบู่อาบน้ำก้อนเดียวกัน เพราะเชื้อโรคหรือเชื้อจุลินทรีย์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า @ ขณะนอนหลับ ไม่ควรมีเครื่องสำอางอยู่รอบดวงตาและผิวหน้า เพราะเคมีในเครื่องสำอางอาจเข้าตาเมื่อขยี้ตาได้ ปัญหาตาอักเสบจะตามติดมาได้ง่าย @ ผลิตภัณฑ์ประเภทแอโรซอล ไม่ควรวางกระป๋องแอโรซอลใกล้ความร้อนหรือไฟ หรือใกล้คนที่ชอบสูบบุหรี่ เพราะองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ติดไฟง่าย สามารถระเบิดได้ ระหว่างการใช้งาน เช่น สเปรย์ผม ให้ระวังไม่สูดดมเข้าไป เพราะจะสะสมที่ปอด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้ จะป้องกันตนเองจากอันตรายของเครื่องสำอางอย่างไร?
@ ไม่แต่งหน้าระหว่างขับรถ หรือโดยสารในรถ @ ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น @ ปิดภาชนะให้แน่น เก็บให้พ้นจากแสงและความร้อน @ อย่าใช้เครื่องสำอาง หากมีปัญหาตาอักเสบ และทิ้งผลิตภัณฑ์ไปหากพบปัญหา เช่น เก่าเก็บ เนื้อครีมสลายตัว @ อย่าเติมของเหลวหรืออื่นๆลงในผลิตภัณฑ์ ยกเว้นมีคำแนะนำบนฉลาก @ โยนทิ้ง หากพบว่าสีเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เริ่มเปลี่ยน หรือส่งกลิ่นผิดปรกติ @ อย่าใช้กระป๋องสเปรย์ใกล้ความร้อน หรือระหว่างสูบบุหรี่ เพราะอาจระเบิดได้ @ อย่าสูดดมละอองสเปรย์ หรือผงแป้งเข้าปอด เพราะถ้าสเปรย์ทุกวัน อาจเกิดการสะสมจนเกิดอันตรายต่อปอดได้ @ หลีกเลี่ยงการใช้สีถาวรบริเวณรอบดวงตา เพราะมักจะมีโลหะ เช่น ตะกั่ว เป็นองค์ประกอบ ก่อให้เกิดอันตรายต่อตาได้
คำถามน่ารู้ของเครื่องสำอาง
- เวชเครื่องสำอาง คืออะไร ?
ผลิตภัณฑ์บางชนิดเป็นได้ทั้งยาและเครื่องสำอาง เช่น แชมพูสระผม จัดเป็นเครื่องสำอางเพื่อทำความสะอาดเส้นผม แต่หากมีองค์ประกอบของสารขจัดรังแคซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อราอันเป็นสาเหตุของรังแค แชมพูชนิดขจัดรังแคจะจัดเป็นยา และหาซื้อได้จากร้ายขายยาเท่านั้น ตัวอย่างอื่นๆที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งยาและเครื่องสำอาง เช่น ยาสีฟันผสมฟูออไรด์ ผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่นตัวชนิดที่มีฤทธิ์ระงับเหงื่อ และครีมบำรุงผิวที่มีสารกันแดดชนิดเคมี (chemical sunscreening agent) ผลิตภัณฑ์เวชสำอางต้องมีคุณสมบัติครบทั้งทางเครื่องสำอางและยาตามที่ อย.กำหนด
- เครื่องสำอางสามารถเก็บได้นานแค่ไหน ?
ผลิตภัณฑ์ประเภทรอบดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาสคาร่า อายเชโด่ ดินสอเขียวคิ้วและขอบตา ไม่สามารถใช้ได้นาน ๆ เท่ากับชนิดอื่น ๆ เพราะโอกาสในการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ระหว่างการใช้งานมีสูงมาก อาจทำให้เกิดอักเสบของเยื่อบุลูกตาได้ ผู้เชี่ยวชาญทางเครื่องสำอางแนะนำให้เปลี่ยนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทิ้งทุก 3 เดือนภายหลังจากการเปิดใช้งาน
ผลิตภัณฑ์ประเภทสมุนไพรหรือชนิดที่มีองค์ประกอบจากธรรมชาติ มักจะเก็บได้ไม่นาน ผู้ใช้ควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เช่น สี กลิ่น และความหนืดของเนื้อครีม เพราะทั้งสี กลิ่นและความหนืดที่เปลี่ยนไป แสดงถึงการสลายตัวของผลิตภัณฑ์อันอาจมีสาเหตุจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ได้ เนื่องจากสารสกัดจากธรรมชาติมักจะไม่มีสารกันเสีย ถ้าพบการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นให้หยุดใช้ และทิ้งไปทันทีไม่ต้องเสียดาย นอกจากนั้นการเก็บผลิตภัณฑ์ต้องเก็บตามคำแนะนำบนฉลาก เช่น หลีกเลี่ยงจากความร้อน และแสงแดด หากเก็บไม่ได้ตามคำแนะนำ อายุของผลิตภัณฑ์จะสั้นกว่าวันหมดอายุที่กำหนดไว้บนฉลาก
- ระหว่างตั้งครรภ์โกรกสีผมได้หรือไม่ ?
จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองและในอาสาสมัคร พบว่าสีย้อมผมหรือสารเคมีจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยมาก ๆ ในระหว่างการโกรกสีผม และไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีความรู้มากมายนักถึงผลกระทบต่อทารกในครรภ์ในระยะยาว หากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเช่นนี้จะดีกว่าผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.4woman.gov/faq/cosmetics.htm
ข้อมูลจาก วารสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 67 ประจำเดือน มิถุนายน - กรกฎาคม 2548 รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล //www.consumerthai.org//good/show_page.php?t=10&s_id=46&d_id=46
Create Date : 24 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 24 มกราคม 2549 20:30:47 น. |
Counter : 722 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ล้างพิษลดน้ำหนัก
กองบรรณาธิการ
ในช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้เขียนเคร่งเครียดกับการทำงาน ทั้งงานราษฎร์งานหลวง พักผ่อนน้อย ช่วงนั้นจะรู้ตัวเลยว่าร่างกายอ่อนแอ เดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ไม่ได้หยุด โดยเฉพาะภูมิแพ้ ที่เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่เชียงใหม่ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเป็นคนที่แพ้อากาศหนาว พออากาศเริ่มเย็น ปากจะเขียว เล็บจะม่วง แล้วจามและมีน้ำมูกฟืดฟาดๆ ตั้งแต่เช้าจนสายที่อากาศเริ่มอุ่น อาการจึงจะหายไป
ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียนก็จะมีอาการน้ำมูกไหล มีเสมหะตอนเช้าๆ มาตลอดทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนาวหรือหน้าร้อน เรียกว่า เป็นตลอดทั้งปี
แต่มาระยะหลังๆ เริ่มสังเกตตัวเองว่า อาการมีเสมหะจะเป็นตลอดทั้งวัน จนเริ่มรำคาญตัวเอง จึงปรึกษากับนพ.ทีปทัศน์ หมอประจำศูนย์ฯบัลวี หมอก็แนะนำให้เข้าคอร์สล้างพิษ 10 วัน
ตอนนั้น ผู้เขียนอยากจะหายจากอาการภูมิแพ้เต็มที จึงตัดสินใจเข้าคอร์สตามที่หมอแนะนำ (แกมสั่ง) แต่ด้วยความที่เราต้องทำงานด้วย ไม่สามารถทำกิจกรรมทั้งหมดในคอร์สได้ จึงต้องเคร่งครัดในเรื่องอาหารการกินอย่างเต็มที่
จำได้ว่า วันแรกที่เข้าคอร์ส ผู้เขียนก็ยังมีโอกาสได้กินอาหารแบบปกติ คือมีข้าวบ้าง มีเนื้อสัตว์ มีผักสด น้ำผลไม้ ก็ยังอร่อยอยู่ พอเริ่มวันที่สอง เขาให้อดด้วยผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน ก็ยังพอทน เพราะเราตุนเอาไว้ก่อนหน้านั้นในกระเพาะไว้เยอะ พอวันที่ 3 อดด้วยผลไม้อย่างเดียวทั้งวันอีกวัน อาการโหยเริ่มมา ชนิดที่เรียกว่า ห้ามไปกินร่วมโต๊ะกับคนที่กินอาหารปกติเด็ดขาด เพราะตัณหาและความอยากอาจทำให้ตบะแตกได้
จนวันที่ 4 เขาเริ่มให้เรากินอาหารล้างพิษ ให้กินสลัดผักสด ผัดผัก แกงจืด น้ำผลไม้ ผลไม้สด ทั้ง 3 มื้อ วันที่ 5 ก็ให้กินแบบวันที่ 4 เพียงแต่เปลี่ยนชนิดอาหารเท่านั้น
ผู้เขียนกินอาหารล้างพิษไปได้ 4-5 วัน ในช่วงระหว่างนั้น ตอนเย็นก็กลับไปสวนลำไส้ด้วยกาแฟ ไปออกกำลังกายแบบเบาๆ ที่บ้าน จำได้ว่า น้ำหนักตัวเองลดลงไปทีเดียว 3-4 ก.ก. (ทั้งๆ ที่ผู้เขียนไม่ใช่คนอ้วน ติดจะผอมด้วยซ้ำไป แต่มีลูกแล้วก็อาจมีไขมันสะสมอยู่ตามหน้าท้อง ตามแขนขา) ช่วงนั้น กางเกงเริ่มหลวม หุ่นเริ่มกลับมาเหมือนตอนที่ยังไม่มีลูก แต่พอหมอทีปทัศน์รู้เข้า ก็บอกผู้เขียนว่า "สงสัยพี่ต้องเข้าคอร์สแค่ 5 วันก็พอ เพราะเดี๋ยวน้ำหนักจะลดลงไปอีก"
แต่เรื่องอะไรจะยอม เริ่มมาแล้วตั้ง 5 วัน จะทิ้งกลางคันไม่ได้หรอกน่า ผู้เขียนเข้าคอร์สล้างพิษจนครบ 10 วัน เพียงแต่พยายามกินอาหารที่เขาจัดเตรียมไว้ให้หมด เพื่อที่น้ำหนักจะได้ไม่ลดลงไปกว่านี้ (เดี๋ยวจะกลายเป็นไม้ซีกไปซะก่อน) ผลปรากฏว่า อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่ หายไปเป็นปลิดทิ้ง ในขณะเดียวกันก็ได้ของแถมมาอีกอย่างคือ น้ำหนักลดลงไป 5 ก.ก. สะโอดสะองขึ้นเยอะเชียวแหละ
ผู้เขียนอยากจะบอกว่า ใครที่อยากลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหารและไม่ต้องกินยา ให้หันมาใช้วิธีล้างพิษ 10 วันอย่างที่ผู้เขียนทำ ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก คุณหมอลลิตา ธีระสิริ เขียนหนังสือ "ล้างพิษ 10 วัน ตำรับบัลวี" บอกวิธีการไว้เสร็จสรรพ รวมทั้งสูตรอาหารล้างพิษเต็มๆ ทั้ง 10 วัน ให้คุณนำไปปฏิบัติได้จริงและเห็นผล
ลองทำดูแล้วคุณจะรู้ว่า การลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอด ดีต่อสุขภาพอย่างไร //www.balavi.com//content_th/nanasara/Con00116.html
Create Date : 08 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 8 มกราคม 2549 13:27:54 น. |
Counter : 1731 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
โปรตีนถั่วเหลือง ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
ในบรรดาสารสุขภาพจากต้นพืช สารที่ได้รับการวิจัยค้นคว้าในด้านคุณประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างเป็นระบบและมีหลักทางวิทยาศาสตร์ มี 5 ชนิดสำคัญ หนึ่ง คือโสม สอง คือหลิงจือ สาม คือแปะก๊วย สี่คือถั่วเหลือง และห้า คือชาเขียว
กว่า 30 ปีแล้วที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ค่อยเป็นมะเร็งเต้านมกัน และผู้ชายญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก น่าจะมีอะไรดีๆอยู่ในเต้าหู้ที่คนญี่ปุ่นกินเป็นอาหารประจำชาติ บางงานวิจัยถึงกับมีรายงานว่า ชายชราชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตไปด้วยโรคชรา เมื่อผ่าศพพิสูจน์ก็พบว่า ชายชราจำนวนไม่น้อยบังเกิดมีมะเร็งต่อมลูกหมากอยู่ในตัว แต่อาการไม่กำเริบจนคนเหล่านี้ตายไปอย่างธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ นั่นอาจเป็นเพราะข้อดีจากอาหารที่พวกเขากินอยู่เป็นประจำ คือเต้าหู้หรือผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองนั่นเอง
ปี 1994 M.Messina และคณะได้รวบรวมไว้ใน Nutrition and Cancer 21, no. 2 เรื่อง Soy Intake and Cancer Risk: A Review of the in Vitro and in Vivo Data สรุปว่าชาวญี่ปุ่นกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองวันละประมาณ 3-4 ออนซ์ (เท่ากับ 100 กรัม) ขณะที่ชาวอเมริกันไม่กินเลย เรื่องที่น่าเศร้าก็คือผู้หญิงอเมริกันต้องตายด้วยมะเร็งเต้านมเป็น 4 เท่าของผู้หญิงญี่ปุ่น และผู้ชายชาวอเมริกันก็มีโอกาสตายด้วยมะเร็งต่อมลูกหมากเป็น 5 เท่าของชายชาวญี่ปุ่น
ถั่วเหลืองต้านมะเร็งได้อย่างไร สารผักหลายตัวในถั่วเหลืองคือคำตอบ
หนึ่งคือสารเจนิสเตอิน เป็นสารฟลาโวนอยด์ตัวสำคัญที่มีบทบาทยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ด้วยกลไกป้องกันการงอกของเส้นเลือดที่จะส่งอาหารเข้าไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง (Fotsis, T., et al. "Genistein, a Dietary Dirived Inhibitor of in Vitro Angiogenesis." Proceedings of the National Academy of Sciences 90 (April 1993): 2690-94)
สอง คือสารเดอิดเซอิน ซึ่งเป็นสารไอโซฟลาโวน ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนอีสโตรเจนและเทสโตสเตโรน แต่มีฤทธิ์เพียงครึ่งเดียวของฮอร์โมนทั้งสอง เมื่อกินเข้าไป ไอโซฟลาโวนจะเข้าไปจับกับเซลล์เป้าหมาย ได้แก่ เซลล์เต้านมหรือต่อมลูกหมาก จึงป้องกันเซลล์เหล่านี้ไม่ให้ถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนของตนเอง ซึ่งฤทธิ์แรงกว่า อันจะทำให้เกิดเป็นมะเร็ง ตรงนี้ภาษาทางวิชาการเรียกว่า มีฤทธิ์ยับยั้งโดยการแย่งจับจอง หรือ Competitive inhibitor ขณะเดียวกันการที่มันมีฤทธิ์น้อยๆ ก็ทำให้ร่างกายมีการหล่อเลี้ยงของฮอร์โมนเพศโดยไม่เกิดอาการพร่องฮอร์โมน
สาม คือถั่วเหลืองมีกรดฟัยติก เป็นสารแอนติออกซิแดนต์สำคัญ และเป็นสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสซึ่งเป็นสารส่งเสริมการกลายตัวเป็นเซลล์มะเร็ง ด้วยเหตุฉะนี้ทุกคำเคี้ยวของเต้าหู้ ทุกอึกของนมถั่วเหลือง คืออาหารสำคัญต้านมะเร็งของผู้คนชาวเอเชีย ที่ตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ
มาในปีนี้ มีข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับการวิจัยโปรตีนถั่วเหลืองป้องกันและรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ จาก Alternative Healthcare Network, July. 25, 2004 ดังนี้คือ
Ruth MacDonald จากศูนย์วิจัยสารผัก ที่มหาวิทยาลัยมิสซูรี-โคลัมเบียได้ศึกษาพบว่า สารอีสโตรเจนและโปรตีนถั่วเหลืองนอกจากป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว ยังมีฤทธิ์ถึงขั้นลดขนาดและจำนวนของก้อนมะเร็งในหนูทดลองได้อีกด้วย
เธอทำการศึกษาและตีพิมพ์ผลงานของเธอใน Journal of Nutrition, Jan 2004 ด้วยการป้อนหนูตัวเมียที่เหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็ง แต่ป้อนอาหาร 5 ชนิดให้ แล้วติดตามผลในระยะเวลา 1 ปี
อาหารชนิดที่ 1 ได้แก่โปรตีนจากนม อาหารชนิดที่ 2 ได้แก่โปรตีนจากถั่วเหลือง อาหารทั้งสองชนิดแรกนี้ไม่มีสารฮอร์โมนอีสโตรเจนอยู่เลย อาหารชนิดที่ 3 ประกอบด้วยโปรตีนถั่วเหลืองกับสารเจนิสเตอิน อาหารชนิดที่ 4 เป็นอาหารสำเร็จรูปในท้องตลาดที่มีโปรตีนจากถั่วเหลืองและสารเจนิสเตอิน อาหารชนิดที่ 5 เป็นอาหารถั่วที่มีสารอีสโตรน ซึ่งเป็นอีสโตรเจนธรรมชาติที่พบในคน
รวมความแล้วอาหาร 3 ชนิดหลังประกอบด้วยโปรตีนถั่วเหลืองและสารอีสโตรเจนหรือสารคล้าย
ผลการวิจัยสร้างความแปลกใจให้รูทมาก เพราะพบว่าอาหาร 3 กลุ่มหลังที่มีโปรตีนถั่วบวกกับอีสโตรเจนมีฤทธิ์ปกป้องหนูจากมะเร็งลำไส้ได้จริงๆ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มที่ 5 งานวิจัยชิ้นนี้นับเป็นครั้งแรกที่พิสูจน์บทบาทของโปรตีนถั่วกับอีสโตรเจนอย่างชัดเจนเช่นนี้
การวิจัยยังพบอีกว่าหนูที่กินโปรตีนถั่ว แม้จะเกิดมะเร็งแต่ก็มีน้อยก้อนและก้อนก็เล็กกว่าเมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้กินโปรตีนถั่ว
"ก่อนอื่นงานวิจัยชิ้นนี้บอกเราว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน เรื่องนี้น่าจะนำไปสู่กระบวนการรักษามะเร็งด้วยวิธีการใหม่ๆ ขณะเดียวกันงานวิจัยชิ้นนี้ยังค้านกับความเชื่อเรื่องการกินวิตามินเสริมเสมือนยาวิเศษ แต่มันบอกเราว่า สุขภาพดีต้องอยู่ที่อาหาร ไม่ใช่ด้วยการกินสารเสริม" รูท แมกโดนัลด์กล่าว
"แถมดิฉันยังมีข่าวดีอีกว่า คนเราสามารถกินอาหารถั่วได้ในหลายรูปแบบ แต่โปรตีนถั่วนั้นปลอดภัยอย่างยิ่งที่จะบริโภคโดยไม่ก่อเกิดอันตรายใดๆเลย"
รูท แมกโดนัลด์ยังคงดำเนินการวิจัยต่อไป โดยเจาะลึกถึงกลไกของโปรตีนถั่วที่ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ดังกล่าวโดยเที่ยวนี้สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติอเมริกาได้มอบทุนวิจัยให้กับเธอ
ถึงตรงนี้เลยขอฝากเมนูถั่วเหลือง สำหรับผู้อ่านสัก 1 เมนู โดยขอถ่ายทอดความคิดของ รศ.พญ.จิรพรรณ มัธยมจันทร์ มาดังนี้ครับ
กาแฟถั่วเหลือง ส่วนผสม ถั่วเหลือง 1 กก. เกลือป่น 1 / 4 ช้อนชา น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ เนย 3 / 4 ถ้วยตวง วิธีทำ - ล้างเมล็ดถั่วเหลืองให้สะอาด คัดกรวดทราย แล้วผึ่งแดดให้แห้ง - นำถั่วมาคั่วในกระทะ - ใส่เนย เกลือป่น น้ำตาลทรายแดง คั่วจนถั่วสุกและเหลืองกรอบ ทิ้งไว้ให้เย็น - นำมาป่น (ด้วยเครื่องไฟฟ้า) จนละเอียด - ใช้ผงถั่วเหลืองป่นชงกับน้ำเดือด โดยใส่ถุงผ้า ชงแบบชงกาแฟทั่วๆไป - เติมน้ำตาลทรายไม่ฟอกสี และนมถั่วเหลืองเล็กน้อย ก็จะมีรสเหมือนกาแฟร้อน ใครจะลองเอาไปเปิดร้านกาแฟถั่วเหลืองก็ได้ครับ ที่มา : //www.balavi.com/content_th/Health_trick/HT00019.html
Create Date : 30 มีนาคม 2548 | | |
Last Update : 6 เมษายน 2548 23:54:22 น. |
Counter : 663 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วิตามินต้านอนุมูลอิสระ
พญ.ลลิตา ธีระสิริ
วิตามินต้านอนุมูลอิสระคือ เอ (เบต้าแคโรทีนเท่านั้น) ซี และอี เบต้าแคโรทีนมีมากในผักและผลไม้ โดยเฉพาะผักใบเขียวจัดๆ เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ผักกาดหอม ส่วนผักกาดขาวมีน้อย และมีในผักผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้มและแดง เช่น แครอท บีทรูท ฟักทอง มะม่วง มะละกอ แคนตาลูป เป็นต้น
วิตามินซีมีในผักสดและผลไม้สด ส่วนวิตามินอีมีมากในข้าวกล้องและเมล็ดพืชทุกชนิด แล้ววิตามินเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไร...
มันเป็นวิตามินที่ปกป้องเซลล์ร่างกายจากความเสื่อม มันจะกำจัดอนุมูลอิสระอย่างควันพิษ ควันบุหรี่ สารเคมีต่างๆ ไม่ให้เข้าประชิดเซลล์ ดังนั้นเอ ซี อี จึงเป็นวิตามินพื้นฐานที่ช่วยให้สุขภาพดีเยี่ยม ป้องกันโรคเสื่อมทุกอย่างตั้งแต่หลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ อัมพาต ข้อเสื่อม กระทั่งโรคมะเร็ง ถ้าใครกินข้าวกล้อง ผักสดผลไม้สดทุกวันเป็นประจำและกินปริมาณมากพอก็เท่ากับว่าได้วิตามินต้านอนุมูลอิสระอยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันมีวิตามินเอ ซี และอี เป็นเม็ดสำเร็จรูปหลายยี่ห้อออกมาขาย จึงมีคนถามว่า ถ้าอย่างงั้นกินวิตามินนี้แทนการกินข้าวกล้อง ผักสดผลไม้ได้ซิ จึงอยากจะชี้แจงว่าเรารู้จักสารอาหารไมโคร (micronutrient) ไม่มากนัก เรารู้จักวิตามินเพียง 17 ชนิด และเกลือแร่อีกเพียง 24 ชนิด ในจำนวนไม่อาจสกัดออกมาเป็นเม็ดทุกอย่าง การกินวิตามินต้านอนุมูลอิสระจะทำให้เราได้สารอาหารเพียง 3 ตัว แต่ถ้ากินผักสดผลไม้สด กินข้าวกล้อง เรายังได้สารประกอบวิตามินซีอย่างรูติน เฮสเพอริดีน ไบโอฟลาโวนอยด์ ได้สารเส้นใย และวิตามินบีอีกด้วย
อยากแนะนำว่าวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากอาหารนั้นดีที่สุด ดร.วิลเลียม เจ.บล็อต ผู้ทำวิจัยหลินเสียงเกี่ยวกับการเอาวิตามินต้านอนุมูลอิสระไปต้านมะเร็ง ซึ่งได้คำตอบว่าถ้ากินยาเป็นเม็ด มีเพียงเบต้าแคโรทีนและวิตามินอีเท่านั้นที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ ทั้งๆ ที่วิตามินซีก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวหนึ่ง แต่เมื่อกินเป็นเม็ดกลับมีบทบาทต้านมะเร็งไม่เด่นชัด
ยังมีอีกหลายตัว เดี๋ยวจะสาธยายให้ทราบ
เบต้าแคโรทีน
เบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอตัวหนึ่ง มีมากในผักใบเขียวยิ่งเขียวจัดๆ ยิ่งมีมากอย่างที่กล่าวไปแล้ว ข้อสังเกตเกี่ยวกับเบต้าแคโรทีนคือ ในผักพื้นบ้านไทยเรามีเบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอทซึ่งฝรั่งถือว่ามีเบต้าแคโรทีนสูง
จากข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ผักไทยที่มีเบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอท คือ ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ผักกูด ผักแพว ผักชีลาว ใบบัวบก ใบเหมียง ใบกระเจี๊ยบ ผักแว่น ใบแมงลัก เป็นต้น
เบต้าแคโรทีนละลายได้ทั้งในน้ำมันและน้ำ หากใครกินเข้าไปมากๆ ร่างกายก็จะขับทิ้งทางปัสสาวะได้ หากกินเบต้าแคโรทีนเข้าไปมากๆ เม็ดสีเหลืองของมันจะสะสมใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเป็นสีเหลือง ถ้าเห็นว่าผิวของตัวเองเหลืองเกินไป ก็หยุดกินสักพัก อาการเหลืองจะค่อยๆ ลดลงได้เอง
จากงานวิจัยพบว่าใครก็ตามที่มีระดับเบต้าแคโรทีนในเลือดต่ำ ทำนายว่าจะเป็นมะเร็งภายใน 20 ปี แสดงว่าหากใครไม่กินผักจะไม่มีเบต้าแคโรทีนคอยปกป้องเซลล์ของร่างกาย เมื่อถูกอนุมูลอิสระทำร้าย จะไม่มีการ์ดคอยเฝ้าดูแล ดังนั้นเราจึงควรสอนลูกสอนหลานให้รู้จักกินผักแต่เล็ก เด็กคนไหนที่ไม่กินผัก ผิวจะเป็นตุ่มลาย ที่ชาวบ้านเรียกว่า น้ำเหลืองเสีย โตขึ้นหน่อยก็จะเป็นภูมิแพ้ เป็นสิวเขรอะ
เอาเป็นว่าใครก็ตามกินผักผลไม้เป็นประจำผิวจะสวย ไม่มีริ้วรอยยับย่นของผิวหนัง ไม่ตกกระ เป็นสิวฝ้า เล็บแวววาว และแข็งแรง
นอกจากนี้ยังสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ จากธรรมชาติอีกหลายตัว บางตัววางขายเป็นรูปอาหารเสริมอีกด้วย
OPC
OPC หรือ PCO ( Proanthocyanidins) มีมากในเมล็ดองุ่นและลูกองุ่นแดง นอกจากนี้มีมากในเปลือกต้นสน เปลือกต้นมะนาว เปลือกส้ม เม็ดลำไย เม็ดทุเรียน และเม็ดมะขาม ในบ้านเรารู้จักในชื่อเกรปซีด หรือพิกโนจีนอล
บทบาทของ OPC คือ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี 50 เท่า มากกว่าวิตามินซี 20 เท่า และถ้าร่างกายของเราวิตามินซีและอีอยู่แล้ว มันจะเสริมฤทธิ์ของอนุมูลอิสระทั้งสองตัวให้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนบทบาทเฉพาะตัว ได้แก่ ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคหัวใจ อัมพาต ทำให้ผู้สูงอายุมองเห็นได้ชัดขึ้น ช่วยชะลอความชรา ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแข็งแรงขึ้น เพิ่มภูมิต้านทาน และต้านมะเร็ง ทำให้ผิวสวย เหมาะสำหรับคนที่เป็นหวัดง่าย ป้องกันต้อกระจก และลดอาการของวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น
แนะนำในรายที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป โดยกินวันละ 50 mg. เพื่อป้องกันอาการเสื่อมตามวัย
Catechin หรือ Epigallo catechin gallatge (EGCG)
สารสกัดจากชาเขียวญี่ปุ่น อยู่ในกลุ่ม Polyphenol มีบทบาทป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับและผิวหนัง สามารถลดสารก่อมะเร็งในเนื้อสัตว์ลงได้ถึง 85% มีสารต้านไวรัส ทั้งไวรัสหวัด ไวรัสตับอักเสบ เริม และไวรัสเอชไอวี ทำให้หัวใจแข็งแรง สามารถลดแอลดีแอลคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันอาการเสื่อมของหลอดเลือด
แนะนำให้ดื่มแทนชาแดง หรือกาแฟเพราะจะได้ประโยชน์มากกว่า ถ้าจะกินเป็นอาหารเสริมใช้สารสกัดชาเขียว 30% วันละ 1-2 เม็ด
สารสกัดจากใบแปะก๊วย
สารสกัดจากใบแปะก๊วยมีบทบาทเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือกเล็กๆ เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการทางหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ช่วยแก้อาการวิงเวียน เพิ่มความจำ เหมาะสำหรับคนแก่ที่หลงๆ ลืมๆ ป้องกันโรคหัวใจ แก้ตะคริว ทำให้สายตาดี แก้อาการมือเท้าเย็น ป้องกันต้อกระจก กล้ามเนื้อเสื่อม อัมพาต
แนะนำให้ใช้เป็นสารสกัด เนื่องจากใบแปะก๊วยมีพิษอยู่ด้วย จึงไม่ควรดื่มเป็นชาหรือใช้ชนิดที่ป่นเป็นใบแห้งบรรจุแคปซูลขาย ยาที่เป็นสารสกัดคือได้สกัดเอาพิษที่เป็นอันตรายต่อร่ายกายออกแล้ว ให้ใช้สารสกัด 60% ของใบแปะก๊วยวันละ 2-3 เม็ด หรือถ้าเป็นชนิดน้ำให้ใช้ 1-3 หลอด(ที่ติดมากับขวด) วันละ 3-4 ครั้ง
Isoflavone หรือ Genistein
Isoflavone หรือ Genistein จากถั่วเหลือง มีบทบาทลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ เต้านม ต่อมลูกหมาก ปอด หลอดอาหาร และตับอ่อน ลดอาการวัยหมดประจำเดือน ช่วยลดการใช้อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวาน ป้องกันต้อกระจก ป้องกันโรคกระดูกผุ เสริมสมรรถภาพไต
แนะนำให้กินถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง และเต้าหู้เป็นอาหารประจำวัน โดยใช้แทนนมวัว และเนื้อสัตว์ในบางกรณี จะดีกว่าใช้เป็นอาหารเสริม แต่ไม่ควรกินมากจนล้นเกินเช่นเดียวกัน
กลูตาไทโอน
กลูตาไทโอน (GSH) และแอล-ซีสเตอิน (L-cysteine) หรือ NAC (N-acetyl cysteine) เป็นกรดอะมิโน (หน่วยย่อยของโปรตีน) ที่สร้างขึ้นจากซีสเตอิน ไกลซีน และกรดกลูตามิก ซึ่งพบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนี้
กลูตาไทโอนเป็นสารที่ล้างพิษจากร่างกาย ช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในร่างกาย กำจัด และขับสารพิษจากตับและระบบน้ำเหลือง ป้องกันเม็ดเลือดแดงจากอันตรายของออกซิเจน ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ป้องกันเซลล์จากพิษของรังสีอันตราย ยาและสารเคมีที่จะมาทำร้ายเซลล์ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในโรคเบาหวาน ป้องกันเบาหวาน และข้ออักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง ชะลอความชรา
ปกติในร่างกายคนเราจะต้องสร้างกลูตาไทโอนอยู่แล้ว แต่ต้องมีวัตถุดิบคือซีสเตอิน และเซเลเนียมให้เพียงพอ ถ้าต้องการให้ร่างกายเปลี่ยนซีสเตอินเป็นกลูตาไทโอน จะต้องกินอาหารที่มีวิตามินซี อี เบต้าแคโรทีน และเซเลเนียมให้เพียงพอเสียก่อน
อาหารที่มีซีสเตอินสูง เช่น ไข่ แตงโม หอมใหญ่ กระเทียม จมูกข้าวสาลี และเนื้อแดง ส่วนพืชตระกูลกะหล่ำจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูตาไทโอนให้มากขึ้น
ประโยชน์ของกลูตาไทโอน และซีสเตอิน ได้แก่ ทำให้ผู้สูงอายุมีร่างกายแข็งแรง ลดเสมหะ มูก และเมือกในปอด ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ป้องกันมะเร็ง ทำให้ระบบย่อยอาหารแข็งแรง ทำให้สายตาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ทำให้หัวใจแข็งแรง
ถ้าจะกินเป็นอาหารเสริมแนะนำให้ใช้ NAC 500 มก. วันละ 1-4 ครั้ง ที่มา : //www.balavi.com/content_th/Health_trick/HT00018.html
Create Date : 30 มีนาคม 2548 | | |
Last Update : 6 เมษายน 2548 23:53:50 น. |
Counter : 553 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รักษาสิวด้วยการอดอาหาร
กองบรรณาธิการ
สิว ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรือเอาไปพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันให้เป็นเรื่องตลกขบขัน
ในทางเทคนิคแล้ว สิวเป็นโรคที่ต่อมขนและต่อมไขมัน ต่อมทั้งสองชนิดนั้นมีท่อเปิดสู่ผิวหนัง และเป็นทางผ่านของขนสู่โลกภายนอก ต่อมไขมันสร้างซีบัมซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำมันเหลวและไขมันแข็งๆ ที่ไหลผ่านท่อออกไปเคลือบผิวหนังเพื่อปกป้องความชุ่มชื้นแห้งเหือดไปจากผิวหนัง
สิวเกิดขึ้นเมื่อต่อมไขมันและเซลล์บุท่อไขมันเริ่มทำงานนอกเวลา ต่อมจะผลิตซีบัมออกมามาก ทำให้ผิวหนังเป็นมันเลื่อมตลอดเวลา ปกติเซลล์บุท่อของต่อมไขมันจะหลุดร่วงออกเมื่อถึงเวลาและซีบัมจะเป็นตัวกลางช่วยขับออกนอกผิวหนัง เมื่อสิวเกิดขึ้นเซลล์เหล่านี้จะเกาะติดกันหนาอุดท่อของต่อมไขมัน ในไม่ช้าทั้งเซลล์ที่หลุดออกมาเรื่อยๆ ผสมกับซีบัมที่สร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ไหลออกไปไหนไม่ได้ก็จะอุดตันเกิดเป็นตุ่มนูนขึ้นมาบนผิวหนังจนเกิดเป็นหัวสิว
ถ้าคุณมีสิวอยู่แล้วระยะหนึ่ง คุณก็คงจะพยายามแก้ไขปัญหาโดยคุณจะตรงดิ่งไปร้านขายยาแล้วซื้อยาที่โฆษณากันอย่างหนักว่าใช้รักษาสิว แต่เมื่อคุณใช้ยาเองแล้วไม่ได้ผล คุณก็จะวิ่งไปหาแพทย์โรคผิวหนัง ซึ่งคุณจะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลแพงลิบลิ่ว คุณเคยสังเกตุใหมว่า เวลาที่สัตว์เลี้ยงของคุณเกิดเจ็บป่วย มันจะไม่ไปไหน แต่นอนนิ่งจนกว่ามันจะหายเป็นปกติ อาจใช้เวลาเป็นวันหรือเป็นอาทิตย์ที่มันไม่ยอมกินอาหาร มันจะอดอาหารจนกว่าจะหายเป็นปกติอีกครั้ง เหตุผลที่คุณไใรู้สึกอยากอาหารเวลาที่คุณไม่สบายเพราะว่าร่างกายเตือนคุณให้หยุดกิน นี่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติเตือนคุณ
"คืนร่างกายคุณให้ธรรมชาติและธรรมชาติจะรักษาให้หายเอง"
การอดอาหารก็เป็นเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่เราเคยทำ เราต้องเรียนรู้เป็นขั้นตอน คุณจะปีนเขาโดยเริ่มที่กลางภูเขาคงไม่ได้ การอดอาหารและสร้างนิสัยการกินที่ถูกต้อง คุณไม่อาจบรรลุผลสำเร็จได้ในวันเดียว คุณจะต้องมีงานที่ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าเราจะเริ่มต้นการอดอาหารเป็นระยะเวลานานโดยที่ไม่เคยอดมาก่อน คุณก็อาจล้มป่วยลงได้และตัดสินใจเลิกการอดอาหารเพราะทำให้ตัวเองไม่สบาย คุณไม่รู้หรอกว่าที่คุณล้มป่วยนั้นเกิดจากพิษในร่างกายไม่ใช่เกิดจากการอดอาหาร
การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอาจเห็นได้เมื่อคุณงดอาหารเช้า ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะอาหารมื้ออื่น การเปลี่ยนแปลงก็ยังพอสังเกตได้จากการงดอาหารมื้อเช้า หลังกินอาหารเย็นแล้วประมาณ 6 โมงเย็น เริ่มกินอีกครั้งราว 10-11 โมงเช้า ถือว่าการอดอาหารแบบนี้เป็นการอดอาหารแบบจำกัด เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับการอดอาหารทั้งวัน
การงดอาหารเช้ามาจากหลักการที่ว่า ปกติคนเรามีช่วงระยะเวลาท้องว่าง 10-12 ชั่วโมงอยู่แล้ว นับตั้งแต่อาหารเย็นถึงเวลาเช้าวันต่อไป ระยะเวลาดังกล่าวเป็นห้วงเวลาแห่งการอดเหมือนกัน ร่างกายจะถือโอกาสกำจัดพิษออก แต่กระบวนการกำจัดพิษจะยุติลงทันที เมื่อเรากินอาหารเช้าในวันถัดไป การงดอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายของคุณมีเวลาเผาผลาญและกำจัดพิษที่สะสมมาจากวันก่อนๆ ได้ถึง 15 ชั่วโมง
ในระหว่าง 2-3 วันแรกของการอดอาหารเช้าคุณอาจรู้สึกปวดหัว อาการปวดหัวดังกล่าวเกิดจากพิษถูกขับเข้ากระแสเลือดเพื่อกำจัดออกไปจากร่างกาย อาการปวดหัวก็เหมือนกับอาการถอนยา จะเกิดขึ้นเช่นกันเมื่อคุณหยุดกินน้ำตาล กาแฟ ชา หรือสารเสพติดบางอย่างจากอาหาร
น้ำตาลเป็นเสมือนยาทั่วไปที่มีขายในท้องตลาด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะไม่เห็นด้วยว่าน้ำตาลไม่ใช่ยาก็อยากให้คุณลองอดดูสัก 1 อาทิตย์ ถ้าคุณติดนิสัยดื่มกาแฟหรือชาในตอนเช้าก็ไม่จำเป็นต้องเลิก แต่อาหารแข็งจะเริ่มได้ก็เมื่อเวลา 10 หรือ 11 โมงเช้า เป็นผลไม้สักชิ้นที่ไม่ใช่ขนมแป้งอบหวาน โดนัท ขนมปังปิ้งหรือไข่ ส่วนมื้อกลางวันกินสลัดกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น คุณจะรู้สึกสบายตัวและถ้าคุณอยากกำจัดคาเฟอีนโดยเลิกดื่มกาแฟหรือชา คุณก็อาจหันมาหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคุณ พวกชาสมุนไพร น้ำมะนาวและน้ำผึ้ง ทั้งนี้มีเครื่องดื่มสมุนไพรจำนวนมากวางขายในท้องตลาดทดแทนกาแฟได้ดีและมีประโยชน์มากกว่าอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงนิสัยการกินช่วงเวลาเช้า ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และไม่เดือดร้อนร่างกาย ต้องใช้เวลานานในการปรับสภาพสู่นิสัยใหม่ที่ดีกว่า คาเฟอีนมีฤทธิ์เป็นยาเหมือนน้ำตาล คุณจะมีอาการถอนยาเช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ต้องตกใจ คุณจะรู้สึกดีขึ้นมาในไม่ช้า
หลังจากอดอาหารเช้ามาครบ 1 อาทิตย์หรือนานกว่า คุณจะเริ่มอดอาหารให้นานขึ้นเป็นเต็ม 24 หรือ 36 ชั่วโมง ทั้งนี้คุณจะเลือกจากมื้อเช้าถึงมื้อเช้าอีกวันหรือจากมื้อเย็นไปมื้อเย็นก็ได้ตามใจชอบ แต่ที่สำคัญคืออย่ากินอะไรเลยอย่างน้อย 24 ชั่วโมงและดื่มแต่น้ำสะอาดเท่านั้น เมื่อคุณรู้สึกสบายๆ กับการอดอาหารนาน 24 ชั่วโมง คุณก็จะเริ่มกำหนดวันที่จะอดอาหารในแต่ละอาทิตย์เป็นการถาวร วันไหนที่ไม่อดก็ให้งดอาหารเช้าโดยกินผลไม้สักชิ้นสองชิ้นก่อนไปทำงานหรือไปโรงเรียนและกินซ้ำอีกทีประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนอาหารกลางวัน
สิ่งที่ควรจำไว้คือการกินอาหารวันละ 3 มื้อเป็นนิสัย ไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรือเป็นธรรมชาติ ผู้คนจำนวนมากมีชีวิตที่สุขภาพสมบูรณ์โดยกินอาหารเพียงวันละ 1 หรือ 2 มื้อ โดยกินผักผลไม้สดเป็นของว่าง ผู้เป็นสิวหลายรายมีอาการดีขึ้นเพียงแค่แผนการงดอาหารเช้า โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรายการอาหารมื้ออื่นๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาแต่ได้ผลและเป็นการพิสูจน์ได้ว่านิสัยการกินอาหารมื้อเช้าใหญ่ไม่ดีสำหรับทุกคน
และทำร้ายสุขภาพคุณด้วย
ที่มา : //www.balavi.com/content_th/nanasara/Con00068.html
Create Date : 30 มีนาคม 2548 | | |
Last Update : 6 เมษายน 2548 23:53:02 น. |
Counter : 3228 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|