Group Blog
 
All blogs
 

เลเซอร์ ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความงาม!!!

ผู้หญิงทุกคนอยากสวยด้วยกันทั้งนั้น คนเกิดมาสวยอยู่แล้วก็ยังอยากสวยทนสวยนานตลอดกาล ขณะที่คนเกิดมาไม่สวยก็ใช่ว่าชีวิตจะสิ้นหวังไปเลย เพียงแค่เดินเข้าไปตามสถานเสริมความงามที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ใช้เวลาไม่นานเกินรอ ชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สวยฉับพลันทันใจทีเดียว

เมื่อก่อนนี้สาว ๆ อยากสวยต้องพึ่งมีดหมอยอมเจ็บกันทั้งนั้น ขึ้นเขียงให้หมอทั้งกรีด ทั้งคว้าน แค่ฟังก็หวาดเสียวแล้ว แต่เมื่อมีนวัตกรรมของ “เลเซอร์” เข้ามาสู่แวดวงความงาม เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางชีวิตของผู้หญิงที่รักสวยรักงามทุกคนที่หวังว่าเลเซอร์จะมาช่วยให้เธอสวยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

การพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์เกี่ยวกับความงามก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา จนปัจจุบันแม้แต่สีฟันก็ฟอกให้ขาวได้ ลดรอยเหี่ยวย่นใบใบหน้า ทำหน้าสวยกระจ่างใส ลบรอยแผลเป็น กระชับรูขุมขน ฯลฯ. สวยแบบฉับพลันแถมไม่ต้องเจ็บด้วยมีดผ่าตัดหรือเข็มฉีดยาอีกแล้ว

แต่ใช่ว่า “เลเซอร์” จะเป็นของวิเศษที่มีเวทย์มนตร์ดลบันดาลความสวยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่สาว ๆ ทุกคนฝากความหวังเอาไว้ เพราะของทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษคู่กันไปเสมอ




นพ.พีระ อุดมจารุมณี จาก พรเกษม คลินิก เป็น Dermatologist หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนัง จากประสบการที่รักษาด้านผิวหนังมากว่า 10 ปี นพ.พีระได้ให้ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังจะพึ่งพาเลเซอร์เพื่อแก้ปัญหาด้านผิวหนังว่า เลเซอร์อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับการเนรมิตความงามให้ได้ผลอย่างปลอดภัย แต่ทั้งนี้ยังมีหลากหลายปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจพึ่งพาเลเซอร์

เลเซอร์ในยุคแรก ๆ ที่เข้ามาใช้เพื่อความงามนั้น นพ.พีระบอกว่ามีประสิทธิภาพแบบดุดัน เน้นการทำลายผิว โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ในการ “ผ่าออก” แทนการ “ผ่าตัด” เรียกว่าแบบ Ablative Laser

“สมัยก่อนนั้นการเปลี่ยนผิวหน้าให้เนียนเรียบที่เราเรียกว่า Re-surface นั้นจะนิยมใช้แสงทำลายทิ้ง คือใช้แสงเลเซอร์ร้อนยิงไปทั่วใบหน้าเพื่อให้ผิวหนังชั้นบนสุดลอกออก ซึ่งความจริงวิธีการนี้ได้ผลมากที่สุด แต่ต้องดูแลผิวที่ถูกทำลายค่อนข้างมาก”
ผู้ที่ผ่านการยิงเลเซอร์แบบนี้จะห้ามโดนแดดเด็ดขาดประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ เพราะผิวหนังชั้นบนถูกทำลาย ใบหน้าจะเป็นรอยแดงไหม้ด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งแพทย์จะต้องนำเทปมาปิดรอยแดงบนใบหน้าเอาไว้ ส่งผลให้หลายคนไม่สามารถออกสังคมหรือไปทำงานได้ตามปกติ และถ้ารักษาไม่ดีอาจจะติดเชื้อลุกลามได้เช่นกัน



“ ข้อดีสำหรับเลเซอร์แบบนี้คือได้ผลดีที่สุด แต่ข้อเสียก็มีคือมีผลข้างเคียงมาก ปัญหาคือคนไข้รับไม่ค่อยได้ เพราะต้องหลบหน้าจากสังคม ขณะที่บางคนอาจลางานไม่ได้ก็ต้องแบกหน้าในสภาพนี้ไปทำงานหรือไปออกงานสังคมได้ระยะหนึ่ง”

อย่างไรก็ตามเลเซอร์ก็มีวิวัฒนาการให้ประโยชน์ได้ง่ายและปลอดภัยขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ยุคที่ 2 ซึ่งนพ.พีระให้ชื่อยุคว่า Non – Ablative Laser เป็นยุคที่ปรับความรุนแรงของแสงเลเซอร์ให้เบาลง วิธีการคือเมื่อยิงแสงเลเซอร์ผ่านเข้าไปในผิวหนัง โดยจะทำให้ผิวชั้นบนถูกทำลายน้อยที่สุด ทั้งนี้เพราะแสงจะผ่านผิวชั้นไปผิวหนังเข้าไปทำปฏิกิริยากับคอลลาเจนโดยตรง

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงข้อเสียเรื่องความร้อนของแสงเลอเซอร์ที่จะเผาไหม้ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เนื่องจากแสงเลเซอร์จะร้อน จึงมีการใส่ความเย็นเข้าไปเพื่อช่วยลดความร้อนของแสงเลเซอร์ทำให้ผิวชั้นบนไม่ถูกเผาไหม้

“ คนไข้หลังจากยิงเลเซอร์มาแล้ว ผิวหนังเพียงแดงเรื่อ ๆ นิดหน่อย แพทย์ที่ใช้เลเซอร์ในการรักษาจะต้องเลือกระดับของเลเซอร์เพื่อให้เข้ากับอาการที่จะรักษา เพราะเลเซอร์เป็นคลื่นของแสง แพทย์จะรู้ว่าสเปกของแสงระดับไหนรักษาอะไรได้บ้าง c]tแพทย์จะต้องรู้ว่าถ้าใช้สเปกเท่าใดมีผลข้างเคียงกับคนไข้อย่างไรบ้าง ต้องปะยาชา เพราะจะเวลารักษาอาจจะเจ็บได้”

ข้อดีของการใช้เลเซอร์แบบ Non – Ablative Laser คือผลข้างเคียงน้อย ผิวหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อคนไข้ยิงเลเซอร์เสร็จก็สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่มีแผลรุนแรง

“ เรามักจะได้ยินโฆษณาประเภทที่ว่ามาทำหน้าสวยเร็วเหมือนเข้ามาชอปปิ้ง ทำเสร็จก็กลับไปทำงานต่อได้เลย แต่ข้อเสียก็คือผลจะสู้แบบแรกไม่ได้ ดังนั้นคนไข้จึงต้องทำบ่อย ๆ ซึ่งตามคลินิกมักจะรักษาด้วยการขายเป็นแพคเกจ ”

เมื่อเลเซอร์ทั้งยุคแรกและยุคที่ 2 ต่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป เลเซอร์จึงนำข้อดีของทั้ง 2 แบบมาพัฒนาเข้าสู่ยุคที่ 3 ซึ่งนพ.พีระให้ชื่อว่า Semi Ablative Laser ซึ่งปัจจุบันเครื่องเลเซอร์ประเภทนี้เข้ามาสู่เมืองไทยแล้ว ที่รู้จักกันในชื่อ Smooth Sour

“ การทำงานของ Semi Ablative Laser นั้นจะปล่อยลำแสงเลเซอร์เล็ก ๆ ขนาดไมคอนยิงผ่านผิวหนังไปกระตุ้นคอลลาเจน ข้อดีคือได้ผลดีกว่าแบบที่ 2 คือหน้าจะแดงนิดหน่อยอยู่ 2 – 3 วัน หลังจากนั้นผิวจะผลัดเซลล์ออก ริ้วรอยบนใบหน้าจะจางหายไป ทำให้ผิวเนียนเรียบ ฟื้นฟูสภาพผิวให้กระชับสดใส ลบลอยแผลเป็น หลุมสิวต่าง ๆ เป็นต้น”

แม้เลเซอร์ที่ผ่านการพัฒนามาถึงยุคปัจจุบันจะให้ผลดีมากกว่าผลเสียก็ตาม แต่นพ.พีระก็แนะนำการรักษาปัญหาของผิวพรรณนั้นควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จบด้านผิวหนังมาโดยเฉพาะ เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะสามารถวิเคราะห์สาเหตุของอาการได้แม่นยำ รักษาได้ตรงกับอาการได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น ด้วยความสามารถในการที่จะผสมผสานความรู้ความเชี่ยวชาญกับวิวัฒนาการทางการแพทย์หรือนวัตกรรมทางการแพทย์ ต่างๆโดยใช้ความรู้ความสามารถของแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง ส่งผลให้ผลการักษามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นมากกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่บทสรุปที่การใช้เลเซอร์รักษาก็ได้

//www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000074330 




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2551    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 22:38:32 น.
Counter : 6064 Pageviews.  

ประเภทของเลเซอร์


ประเภทของเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาปัญหาผิวหนัง
1. Ablative Laser ได้แก่ Ruby Laser, Nd:YAG Laser ฯลฯ ซึ่งผลของการรักษาของเลเซอร์แต่ละตัว จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีใช้ของแพทย์ และการตอบสนองต่อเลเซอร์ของคนไข้ด้วย หลังจากการรักษาอาจจะมีจ้ำแดง หรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์จะตกสะเก็ดและหลุดออกเอง
2. Nonablative Laser ได้แก่ IPL (เป็นคลื่นแสงความเข้มสูง), Pulse Dye Laser (V-Beam), Long Pulse Nd:YAG Laser (CoolTouch) เลเซอร์ในกลุ่มนี้เดิมนิยมใช้รักษาอาการเส้นเลือดขอด จ้ำเลือดหรือรอยแดง ระยะหลังมีการประยุกต์นำมารักษารอยแดง-ดำจากสิว






ปล. ยังเขียนไม่เสร็จนา




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 25 มีนาคม 2548 13:27:02 น.
Counter : 1071 Pageviews.  

ข้อคิดก่อนจะตัดสินใจรักษาผิวหน้าด้วยเลเซอร์

ปัญหาผิวหน้าที่สามารถรักษาด้วยเลเซอร์
1. รักษาสิว (สิวอุดตันและสิวอักเสบ)
ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์เพื่อใช้รักษาสิว ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ เท่าที่ผู้เขียนทราบคือ ใช้เลเซอร์เพื่อสะกิดและเปิดหัวสิวอุดตัน และยิงฆ่าเชื้อให้สิวแห้ง ในไทยยังไม่ทราบว่าแพทย์ที่รักษาใช้เลเซอร์ตัวไหนบ้าง เพราะมีเยอะเหลือเกิน ไม่ทราบว่าทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยมีการรับรองแล้วหรือไม่ แต่ใน U.S.A. ทางอาหารและยา (FDA) ได้มีการรับรองให้ใช้ Aramis เลเซอร์ในการรักษาสิว ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตันได้ โดยเฉพาะในรายที่เป็นค่อนข้างมาก ค่าใช้จ่ายของเลเซอร์ตัวนี้ค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาใช้คลื่นแสงที่ใกล้กับแสง UV มาใช้ในการรักษาสิว จากรายงาน พบว่า ได้ผลดีในกลุ่มที่เป็นสิวอักเสบค่อนข้างมาก โดยการทำงานของคลื่นแสงนี้จะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อ P. Acne ที่อยู่บนผิว การรักษาต้องทำอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4-6 สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ประมาณ 800-1500 บาท
ไม่ว่าการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ในกรณีใดๆ ไม่ได้ช่วยให้หายขาดจากสิว สามารถเป็นขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเรา ฉะนั้นผู้ที่ตัดสินใจรักษาสิวด้วยเลเซอร์หรือคลื่นแสง ควรพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าที่ได้รับ



2. รอยดำ รอยแดงจากสิว
เมื่อสิวหาย โดยมากมักจะทิ้งรอยไว้ เป็นรอยดำรอยแดง ยิ่งผิวขาว หน้าจะดูเป็นด่างๆ บางคนกังวลใจมาก จนมีการนำเลเซอร์ชนิดที่ใช้รักษาเม็ดสี(ผิดปกติ) มายิงรักษารอยสิว ซึ่งมีอัตราต่างๆ กันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ ถ้าเป็น nonablative laser มักจะต้องยิงซ้ำหลายครั้ง (4-6 ครั้ง) และค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าด้วย (ทั้งนี้ นอกจากวิธีเลเซอร์แล้วยังมีวิธีอื่นๆ ที่อาจให้ผลได้เหมือนกัน หรือดีกว่า)




3. หลุมสิว
หลุมสิวเกิดจากการแคะ แกะ เกา บีบ เมื่อเป็นสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ ทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนถูกทำลาย ถ้าเป็นหลุมลึกมาก แสดงว่าชั้นคอลลาเจนและอิลาสตินถูกทำลายไปด้วย การรักษาด้วยเลเซอร์ คือ การยิงทำลายเพื่อสร้างแผลแล้วกระตุ้นให้เกิดการรักษาตัวเองของผิว จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความสามารถในการทะลุทะลวงของเลเซอร์ชนิดนั้นๆ ที่นิยมรักษามักใช้เลเซอร์ในกลุ่ม nonablative laser เนื่องจากมีข้อดีตรงที่ไม่ต้องมีระยะพักตัวนาน แต่การรักษายังต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง ผลการรักษาหลุมลึกมักจะได้ผลเพียง 40-60% (ทั้งนี้ นอกจากวิธีเลเซอร์แล้วยังมีวิธีอื่นๆ ที่อาจให้ผลได้เหมือนกัน หรือดีกว่า)



4. ฝ้าและกระแดด (กระตื้น)
การรักษาเม็ดสีผิวผิดปกติ สามารถรักษาด้วยหลายวิธี เลเซอร์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ในกรณีที่จะป้องกันไม่ให้ฝ้าหรือกระแดดเกิดขึ้น ก็คือ การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้ว่าจะทำการรักษาด้วยวิธีเลเซอร์แล้วก็ตาม ฝ้าหรือกระ ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
เลเซอร์ที่ใช้รักษาเม็ดสีมีอยู่หลายชนิด เช่น Ruby Laser, Nd:YAG Laser ฯลฯ ซึ่งผลของการรักษาของเลเซอร์แต่ละตัว จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีใช้ของแพทย์ และการตอบสนองต่อเลเซอร์ของคนไข้ด้วย หลังจากการรักษาอาจจะมีจ้ำแดง หรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์จะตกสะเก็ดและหลุดออกเอง



5. กระลึก (ปานโอตะ)
กระลึก ลึกสมชื่อจริงๆ ค่ะ เพราะเกิดในชั้นหนังแท้ (dermis) (ดูกระทู้ของคุณหมอเล็กข้างล่างนะคะ) ทำให้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เป็นไปได้ยาก เพราะไม่ว่าจะทายา หรือทำทรีทเม้นท์ ส่วนใหญ่มักจะรักษาปัญหาเม็ดสีที่อยู่บนชั้นหนังกำพร้า (epidermis) ได้ดี แต่การรักษาที่อยู่ในชั้นหนังแท้ทำได้ยากค่ะ เท่าที่เคยปรึกษาหมอมา คุณหมอก็มักจะบอกว่าการทายาหรือทรีทเม้นท์ทำได้แค่จางนิดหน่อย เพราะลักษณะเม็ดสีที่เกิดอยู่ลึก และมักจะมีสีเข้มมาก (เกือบดำ) การรักษาด้วยเลเซอร์จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่จะต้องเลือกเลเซอร์ที่มีการทะลุทะลวงสูง และทำลายเม็ดสีได้ลึก การรักษาด้วยเครื่องมือความเข้มแสง (IPL) หรือการรักษาด้วย nonablative laser จะให้ผลไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนัก ดังนั้นเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาจึงเป็นกลุ่ม ablative laser มากกว่า เช่น Ruby Laser, Nd:YAG Laser (ตัวที่ได้ผลชัดมากๆ และแพทย์นิยมใช้มักจะเป็น Nd:YAG Laser ประเภทที่ปรับความยาวคลื่นได้ (Q-Switch) เพื่อให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน) ถึงกระนั้นการรักษากระลึกยังอาจจะต้องมีการยิงซ้ำหลายครั้ง มักจะประมาณ 3-4 ครั้งขึ้นไป ผลการรักษาก็ไม่แน่ว่าจะหาย 100% ขึ้นอยู่การดูแลหลักการยิงเลเซอร์ไปแล้วด้วย เพื่อจะได้ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก



6. รอยเส้นเลือดฝอยแตก
รอยเส้นเลือดฝอยแตกบนผิวหน้านี่ จะว่าไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นกันนักค่ะ ที่เป็นกันเยอะๆ จะเป็นที่ขาซะมากกว่า แต่บริเวณผิวหน้าที่มักพบก็เช่น บริเวณที่อ่อนบางมากๆ อย่างบริเวณข้างจมูกหรือเหนือริมฝีปาก ถ้าไม่มีมากนักจนน่าเกลียดก็ไม่ต้องรักษาก็ได้ เพราะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก การรักษาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพราะนิยมที่จะใช้ nonablative laser ในการรักษา ต้องยิงซ้ำหลายครั้ง กลับมาเป็นได้อีกเรื่อยๆ ด้วยค่ะ



7. กระเนื้อ ไฝ และขี้แมลงวัน
กระเนื้อ ที่จริงแล้วคือลักษณะของเนื้องอกขนาดเล็กๆ การรักษาที่นิยมจึงใช้วิธีคล้ายๆ กับการรักษาไฝ และขี้แมลงวัน ถ้ามีขนาดเล็กๆ และไม่มีมากนัก แพทย์มักใช้วิธีแต้มกรด เพื่อกัดบริเวณที่เป็นกระเนื้อหรือไฝให้หลุดออก แต่ถ้ามีจำนวนมาก มักนิยมใช้ CO2 Laser ในการรักษามากกว่า ซึ่งรวมไปถึงสิวหิน (ต่อมเหงื่ออุดตัน : syringomas มักพบบริเวณใต้ตา เห็นเป็นจุดเล็กๆ หมอไทยนิยมเรียกว่า สิวหิน แต่หมอของแอนอธิบายว่าจริงๆ ไม่ใช่สิวหรอก) ทั้งหมดอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้ใหม่แม้จะยิงรักษาจนหมดแล้วก็ตาม ส่วนไฝหรือขี้แมลงวัน (ขี้แมลงวัน คือ ไฝขนาดเล็กค่ะ) บางจุดอาจจะไม่สามารถรักษาให้หายหมดได้ในครั้งเดียว เพราะถ้ายิงลึกมาก จะทำให้เป็นหลุมและเป็นแผลเป็น (ไม่แนะนำให้คะยั้นคะยอหมอให้ยิงลึกค่ะ เพราะเลเซอร์ตัวนี้อำนาจในการทำลายสูงมาก เหมือนการตัดชิ้นเนื้อออกมายังไงยังงั้นเลย โดยมาก หมอมักจะแนะนำให้ค่อยๆ ตัดออกทีละนิด รอให้แผลหายแล้วมาดูผล แล้วค่อยทำซ้ำ ซึ่งถ้าทำวิธีนี้จะไม่เป็นแผลเป็นค่ะ ในกรณีที่ไฝมีขนาดใหญ่และมีรากลึก หมอบางท่านอาจจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดแล้วเย็บ ซึ่งมักจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้)




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 7 เมษายน 2548 12:17:55 น.
Counter : 4110 Pageviews.  

คำถาม-คำตอบคร่าวๆ เกี่ยวกับเลเซอร์รักษาเม็ดสี

~~~ กระทู้เรียนถามคุณหมอเล็กเรื่อง Laser ค่ะ ~~~




 

Create Date : 17 มกราคม 2548    
Last Update : 17 มกราคม 2548 22:16:32 น.
Counter : 587 Pageviews.  


แอ่นแอ๊น
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แอ่นแอ๊น's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.