ท่องแดนพระนิพพาน ภาค ๑
เส้นทางนิพพาน ภาค ๒
ความว่าง-ประตูสู่นิพพาน ภาค ๓
พระนิพพาน---สมญาโลกอุดรพิศดาร อันลึกโอฬาร พิศุทธิ์พิเศษสุกใส.....
-พระนิพพานอยู่ที่ไหนใครรู้บ้าง?
-เป็นแสงสว่างอยู่ในใจที่ไหนหนอ?
-อยู่เบื้องบนหรือเบื้องต่ำร้องพร่ำรอ?
-มัวร้องขอ"ไม่ปฏิบัติ"หลงพลัดเอยฯ....
บทกวีทิพย์ :: ท่องแดนพระนิพพาน ภาค 1......
ชัย แสงทิพย์ พุทธกวีทิพย์
ท่องแดนพระนิพพาน ภาค1
พระนิพพานคืออะไร?ใครรู้บ้าง
. นิพคือว่าง
.จากกิเลสเป็นเหตุผล
.
พานะคือเครื่องร้อยรัด
.มัดผู้คน
ให้ทุกข์ทนจิตไม่ว่างคือร่างกาย
..
อันความว่างนั้นหรือ คืออะไร?
คือจิตใจของมนุษย์ไร้จุดหมาย
..
มองไม่เห็น
.จึงว่างสว่างพราย
.. อาศัยกาย
.จึงไม่ว่างเหมือนอย่างคิด!!
.
ทึกทักเอาว่าร่างกายหมายเป็นเรา
ช่างโง่เขลาหลงปลื้มลืมสนิท
..
ว่าร่างกายเป็นของเราเอาเป็นมิตร
. เข้าใจผิด
.คิดดูไม่รู้จริง
.
โดยธรรมธาตุจิตใจอาศัยร่าง-
. กายอยู่อย่างชั่วคราวหนุ่มสาวหญิง
..
เหมือนคนอาศัยบ้าน
.ใช่นานจริง
.. บ้านพังทิ้ง
คนยังอยู่สู้ต่อไป
.
เมื่อกายพังจิตก็ไปไร้ที่อยู่
.. ติดตามดูอยู่แห่งหนตำบลไหน?
..
เป็นมนุษย์-สวรรค์-พรหมได้สมใจ
. หรือจะไปสู่โลกทิพย์
.แดนนิพพาน
.
แม้ร่างกายแท้จริงไซร้อาศัยโลก
เผชิญโชคเจอทั้งทุกข์และศุขศานติ์
อาศัยโลกอยู่ชั่วคราวใช่ยาวนาน
.. ร้อยปีผ่านไม่เกินก็เดินลง
.
สู่ความตายกายร่างต้องว่างเปล่า
.. ผลัดกันเข้ากันออกหลอกให้หลง
กายอยู่ได้อาศัยธาตุสี่ธำรง
. ดิน-น้ำ-คงควบไปกับ-ไฟ-ลม
ขาดธาตุใดธาตุหนึ่งถึงมรณะ
.. จิตต้องละกายทิ้งทุกสิ่งสม
การเข้าใจโลกธาตุสี่ที่นิยม
. เหมือนโลกกลมต้องหมุนเวียนมีเปลี่ยนแปลง
.
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นให้มันหนัก
หากยึดหลักไม่ยึดมั่นให้ขันแข็ง
..
ปราศจากทุกข์คลุกเคล้าเข้าเสียดแทง
จะพบแสงแห่งธรรม
.ล้ำปัญญา
..
จะเข้าใจถึงนิพพานกันหรือไม่?
.. เรียนรู้ได้หากสำนึกหมั่นศึกษา
..
การเข้าถึงพระนิพพานมีนานมา
อยู่ที่ว่าจะเข้าใจหรือไม่?เอง
..
นิพพานคือคุณาของอากาศ
. เหนือธรรมชาติเจาะประเด็นเห็นตรงเผง
.
สิบประการเสมือนสร้อยร้อยบรรเลง
.. เป็นบทเพลงพระนิพพานประทานพร
ไม่มีรูป-ไม่มีสี-ไม่มีกลิ่น
ไร้ประทิ่น
.ไม่มีรสทั้งหมดถอน
ไม่มีสัมผัส
สารพันทุกขั้นตอน
. ไร้อาทรสุขเกษมแสนเปรมปรีดิ์
..
ไม่มีเกิด-ไม่มีแก่-ไม่มีเจ็บ
ไร้ร้อนเหน็บหนาวไร้ทุกข์เป็นสุขศรี
..
ไม่มีตาย
.เป็นความว่างอย่างเสรี
. ให้ปักษีบินไปไร้ร่องรอย
เป็นเก้าไม่หนึ่งมี
..ที่ความว่าง
เป็นเก้าอย่างเก้าไม่มีที่ใช้สอย
.
คืออัตตา-ตัวตนยกคนลอย
.. มีไม่น้อยทั้งเราเขามีเก้ารู
.
อย่างละหนึ่ง
..ทวารหนัก-ทวารเบา
. ปากของเจ้าจมูกข้าฯแลตา-หู
.
อย่างละสองทางออก-เข้ามีเก้ารู
. มันว่างอยู่
.จึงไม่มี
..ที่ตัวตน
.
ความว่างไร้รั้วรอบ
ไร้ขอบเขต
สุดสายเนตรคือความว่างกระจ่างผล
..
ไม่มีเครื่องร้อยรัดมัดตัวตน
ทุกแห่งหนไม่สิ้นสุดถึงพุทโธ
..
ความว่างเป็นที่อยู่หมู่อัตตา
.. ตัวตนข้าฯหรือเจ้าเศร้าอักโข
.
คือดิน-น้ำ-ไฟ-ลมดั่งร่มโพธิ์
.. แล้วเติบโตเป็นร่างกายจนวายวาง
.
เป็นที่อยู่ของอนัตตาชัดแจ้ง
. นามธรรมแฝงอยู่เด่นชัดไม่ขัดขวาง
.
คือจิตใจของสัตว์-คนเปิดหนทาง
เห็นความว่าง
.เห็นนิพพาน
ไม่นานเกิน
..
พระนิพพานอยู่สูงสุดในพุทธศาสน์
.. ใครสามารถรู้เท่าทันท่านสรรเสริญ
..
พระนิพพานอยู่ที่ไหน?ใคร่เชื้อเชิญ
. ร่วมทางเดินชูช่วยไปด้วยกัน
.
นิพพานคือความว่าง
วางกิเลส
.. ว่างจากเหตุโลกิยะเบ็ญจขันธ์
..
ว่างจากตน
..เหนือโลกและเหนือธรรม์
.. เลิกยึดมั่นถือมั่น
.จบกันเลย
ทั้งอัตตา-อนัตตาสารพัด
.. ต้องละตัด
.แล้วอยู่กลางคือวางเฉย
.
อุเบกขารักษาไว้ให้ใจเคย
. ที่ชื่นเชยอัพยากตาธรรม
..
อัตตาละสิ่งที่มีนี้ไม่ยาก
.. แสนลำบากอนัตตาพาถลำ
..
เพราะไม่มี-ไม่เห็น
.เป็นรูปธรรม
.. ด้วยลึกล้ำฝังจิตสนิทใน
ยึดนามธรรมนำใจแก้ไขยาก
.. รู้ตัวหากถึงตัวรู้พอสู้ไหว
ศีล-สมาธิ-ปัญญา
.จะพาไป
.. แก้ไขได้หากแน่วแน่จะแก้ตัว
.
การเข้าถึงพระนิพพานใช่การง่าย
ใช่ยากหลายพอเกลี่ยเฉลี่ยถัว
..
ความยากง่ายพอกันมันลงตัว
.. มองให้ทั่วแล้ววกมาหาตัวเรา
..
ถึงนิพพานคือเข้าไป
เข้าใจจิต
เข้าปลดปลิด
บาปโทษที่โฉดเขลา
.
ธรรมชาติจิตคือตัวรู้
..ก็ดูเอา
.. ที่จิตเราตัวเราเองหากเก่งจริง!!
..
ความวุ่นวาย
..กำเนิดเกิดจากจิต
.. หยุดสักนิด
.ไม่วุ่นวายทั้งชายหญิง
.
ความสงบ
..เกิดจากจิตไม่ผิดจริง
เหนือทุกสิ่งจิตเป็นนาย
กายเป็นรอง
แม้ความว่างก็กำเนิดเกิดจากจิต
.. หยุดความคิด
.ไว้แค่หนึ่งไม่ถึงสอง
.
สู่เอกัคคตาปัญญาครอง
.. คุมจิตมองให้ว่างไว้อย่างเดียว
ถึงจิตว่าง
..ก็เข้าผ่านนิพพานได้
. สว่างไสวจิตสะอาดฉลาดเฉลียว
..
ไร้กิเลสก็ถึงสุขไร้ทุกข์เทียว
.. คุมอย่างเดียวให้จิตว่าง
ทางนิพพาน
.
เมื่อจิตว่างดวงจิตเป็นอิสระ
. ความคิดละปรุงแต่งแปลงประสาน
เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน
. สวรรค์ผ่าน
.นรกพ้น
.เลิกวนเวียน
.
ไม่วุ่นวาย
..เพราะมีสมาธิ
มีสติและปัญญาใช่พาเหียร
..
ไม่หลงโลก-หลงธรรมโน้มนำเพียร
. จิตโล่งเตียน
.ปล่อยวางทุกอย่างลง
.
ภาวนา
..รู้ตัวอยู่ทั่วพร้อม
. มนัสน้อมแจ่มใสมิใหลหลง
.
สิ้นตัณหาอุปาทาน
.ถึงกาลปลง
.. ไม่ลุ่มหลงเลิกยึดมั่นในทันที
..
ไม่มีอกุศล
..บนความคิด
.. ไร้อวิชชาจรัสรัศมี
สลัดเครื่องร้อยรัดมัดฤดี
. คืนเข้าที่ธรรมชาติสะอาดจริง
..
รู้ผิด-ถูก
.ควร-ไม่ควรมวลดี-ชั่ว
. เพราะรู้ตัว
.รู้ใจในทุกสิ่ง
รู้แค่รู้
.แล้ววางลงตรงความจริง
.. เพราะทุกสิ่งคือสามัญ เช่นนั้นเอง
..
นิพพานอยู่ในดวงจิตหากคิดออก
.. ใช่ภายนอกเจาะจงให้ตรงเผง
.
เราไม่มีในจิต
..แค่คิดเอง
.. สิ้นหวาดเกรงความตาย
แค่วายวาง
..
บริสุทธิ์หยุดคิดจิตก็หยุด
.. สู่โลกุตตระเข้าสะสาง
.
ดับกิเลส
.เหตุกำเนิดเปิดหนทาง
. โลกกระจ่าง
.จิตว่างสว่างเบา
สงบเย็นเห็นทุกสิ่งความจริงเปิด
. สุดประเสริฐเลิศประโยชน์ดับโฉดเขลา
. .
ดับดี-ชั่ว
..ตัวตนผลกล่อมเกลา
. ให้จิตเราสุดสะอาดปราศมลทิน
เห็นสถานวิมานแก้วที่แวววับ
.. งามระยับโปร่งใสใจถวิล
.
ประดับเพชรล้ำค่าไร้ราคิน
.. เห็นองค์อินทร์
.เทวดา..มหาพรหม
มาฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า
.. ต่างแหนเฝ้าก้มกราบเรียบราบสม
.
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงนิยม
.. แสนชื่นชมพระอรหันต์ตามกันมา
พระปัจเจกพุทธเจ้ามาเฝ้าด้วย
แสง-สีสวยสุดสว่างกระจ่างหล้า
ดั่งอาทิตย์สักสิบดวงพ่วงกันมา
เต็มท้องฟ้าสวยงามอร่ามเรือง
..
ณ ที่นี่ไม่มีแก่แลเจ็บตาย
แก้วแพรวพรายระยิบระยับสลับเหลือง
..
สะท้อนต้องทองคำค่าล้ำเมือง
. จิตต่อเนื่อง
คิดอะไรก็ได้พลัน
.
จะไปไหนมาไหนดังใจนึก
. ช่างลุ่มลึกงดงามดั่งความฝัน
ไม่มีทุกข์สุขาสารพัน
รู้เท่าทันสรรพสิ่งมิ่งมงคล
เมื่อเห็นจิตก็เห็นพระนิพพาน
ซ่อนอยู่นานแจ่มประจักษ์ด้วยมรรคผล
แล้วทบทวนครวญคิดเห็นจิตตน
เป็นกุศลเปี่ยมอยู่ทุกครู่ยาม
..
ดวงจิตทรงอุเบกขาเมตตายิ่ง
เห็นทุกสิ่งทั่วโลกาฟ้าสยาม
ทั่วอนันตจักรวาลผ่านนิยาม
. เห็นความงามแห่งสามัญเป็นอันเดียว
วิมานแก้วประกายเพชรถึงเจ็ดสี
.. หากจิตดีใสสะอาดฉลาดเฉลียว
.
หากจิตอ่อนเป็นทองคำค่าล้ำเชียว
เพชร-พลอยเขียว-ทับทิมแดงเปลี่ยนแปลงไป
.
แต่ละคนอาจเห็นได้ไม่เหมือนกัน
. ความเชื่อมั่น-ความมั่นคง-ความสงสัย
..
และบารมีแต่ละคนยลต่างไป
. อยู่ที่ใจจิตตน
ของคนดู
..
พระนิพพานเป็นอย่างไรเก็บไว้ก่อน
. อย่าใจร้อนใจเย็นเย็นจะเด่นหรู
..
เร่งปฏิบัติให้ถึงแล้วพึงดู
แล้วจะรู้เป็นฉันใด?ในนิพพาน
สำคัญที่ตัวตน
.ค้นให้พบ
นิพพานจบ
.บุญญามหาศาล
เห็นจิตตนจิตเป็นทิพย์
เห็นนิพพาน
.. จิตเบิกบานถึงพุทธะปล่อย-ละ-วาง
ปล่อยทุกอย่าง
.วางลงตรงแค่จิต
. ดับนิมิตสารพัดที่ขัดขวาง
ไม่หนาว-ร้อนผ่อนสบายเดินสายกลาง
. ดับทุกอย่างทั้งดี-ชั่วดับตัวตน
เห็นนิพพานในความว่างสว่างจ้า
เห็นพุทธาบรรลุจิตกุศล
.
เห็นพระธรรม
..ดำริเลิศวิมล
.. เห็นพระสงฆ์คงทนในตนเอง
..
พระไตรรัตน์ชัดแจ้งแทงตลอด
.. เป็นเยี่ยมยอดตอบรับกระฉับกระเฉง
..
คารวะเพราะค้นพบตนเอง
ลือละเบงพระนิพพานสำราญดี
..
ดวงจิตเห็นเป็นดวงแก้วที่แพรวพราย
.แสงกระจายดั่งเพชรแผ่เจ็ดสี
อยู่รอบตัวรอบทิศด้วยฤทธี
และบารมีสิบทัศเข้าจัดแจง
โพธิญาณผ่านล่วงถึงดวงแก้ว
ตลอดแนวแลโล่งด้วยโปร่งแสง
.
มองทะลุทุกมิติฤทธิแรง
ดวงจิตแกร่งอมตะนิรันดร์
..
อยู่เหนือโลก
.เหนือธรรมสุดล้ำเลิศ
แจ่มบรรเจิดเที่ยงแท้ไม่แปรผัน
เหนือจักรวาลผ่านพิภพจบเทวัญ
เหนือสวรรค์
.พรหมสถานพิมานแมน
..
ณ ที่นี้คือโลกทิพย์พระนิพพาน
.. พระผู้ผ่านดาษดื่นเป็นหมื่นแสน
..
ถึงล้านโกฏนับไม่ได้ในดินแดน
วิมานแมนยังรออยู่ทุกผู้คน
..
ตัดสินใจไปนิพพานเสียวันนี้!!
.. ด้วยจิตที่แกร่งดังเพชรสำเร็จผล
มุ่งนิพพานเท่านั้น
.มั่นกมล
. เกิดมรรคผลล้วนสัมฤทธิ์ที่จิตเรา
พุทธธรรมนำธรรมะประกาศก้อง......ต่างแซ่ซ้องเพื่อมวลมิตรดับจิตเขลา........
"คิด-พูด-ทำแต่กรรมดี"ที่ตัวเรา .........ดับที่"เงาความคิด"สนิทเอยฯ..........
นิพพานะ ปัจจโย โหตุ
..สาธุ
สาธุ
..สาธุ
ท่องแดนพระนิพพาน ภาค2(เส้นทางนิพพาน)
บทกวีทิพย์ :: ท่องแดนพระนิพพาน ภาค2(เส้นทางนิพพาน)
ชัย แสงทิพย์ พุทธกวีทิพย์
ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นนิพพาน
(พุทธวจนะ)
ทุกข์ก็คือตาเนื้อเชื่อหรือไม่?
. ธรรมก็คือตาในจำไว้หนอ
เห็นทุกข์คือเห็นรูปธรรมนำพะนอ
. ดิน-น้ำหนอ ไฟ-ลมผสมกัน
.
เห็นธรรมคือเห็นนามธรรม จำ-รู้สึก
. ความคิดนึกและสัมผัสที่จัดสรร
ตถาคตคือตาในตา
.สารพัน
. รู้แจ้งทันเท่ามายาในสากล
.
ตาในตา ทิพย์จักษุ
.บรรลุแล้ว
เหมือนดวงแก้วทรงฤทธิ์ประสิทธิ์ผล
เห็นตถาคตคือความคิดในจิตคน
ไม่มีตน-ตัวเราด้วยเข้าใจ
จิตละรูปเพียงดูแค่รู้สึก
.. มิคิดนึก
.ชังหรือคิด พิศมัย
..
เป็น ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานใจ
ด้วย ตาในตาพุทธะจิต ละวาง
.
นิพพานหรือคือธรรมจักษุ
. ตาบรรลุ เห็นธรรมะใสกระจ่าง
เห็นนิพพาน
.สุญญตามาเปิดทาง
.. ดวงจิตว่าง
..จากกิเลสเหตุมายา
..
ว่างจากเครื่องร้อยรัดที่มัดจิต
. ว่างจากพิษแห่งสมมุติสุดสรรหา
..
ไร้รูป-นาม
.สิ้นห่วงภาพลวงตา
นิพพานาเป็นสุขทุกวันคืน
ผู้เห็นทุกข์
เห็นธาตุสี่นี่ตัวเรา
รวมกันเข้าผูกมัดไม่ขัดขืน
..
ทั้งดิน-น้ำ-ไฟ-ลมช่างกลมกลืน
. กิเลสรื่นครื้นเครงบรรเลงรมย์
.
เป็นตัวเรา
.เดือดร้อนเป็นก้อนทุกข์
. ตัณหาคลุกเคล้าสร้างไว้ให้ขื่นขม
.
ไม่รู้จักคำว่าพอ
..ก่อตรอมตรม
.. สามพอคมคายนัก
รู้สักนิด!!
หากพอกินพอใช้ใครพออยู่
ผู้นั้นรู้ถึงแก่นธรรมเลิศล้ำจิต
เป็นธรรมชาติแท้จริงยิ่งชีวิต
.. หากใครคิดออก
ไร้ทุกข์เป็นสุขเทอญฯ
ธรรมชาติ
.รังสรรค์เจ้า-ตัวเราด้วย
เรียนรู้ช่วยเหล่ามนุษย์สุดสรรเสริญ
ให้เรียนรู้
.ไม่ยึดติด
.ไม่ชิดเชิญ
ไม่ขาดเกิน
แล้วปล่อยวางทุกอย่างลง
..
ร่างกาย
.อาศัยข้าว-ผ้า-ยาและบ้าน
. สี่ประการก็อยู่ได้มิใหลหลง
..
ไม่มีทุกข์สุขใจ
..เมื่อได้ปลง
.. ชีพดำรง
.คงทำดีมีมงคล
ผู้เห็นธรรม
.เห็นตัวเราไม่เขลาโง่
มุ่งสู่โพธิญาณตระการผล
รูปธรรมสี่-นามธรรมสี่
มีทุกคน
แยกแยะตนออกให้เห็นอย่างเด่นชัด!!
รูปธรรมสี่คือธาตุสี่
..มีดิน-น้ำ-
. ไฟ-ลมย้ำตามรุกทุกขสัจจ์
นามธรรมสี่รู้สึก-จำเห็นธรรมชัด
คิด-สัมผัสปรุงแต่งแหล่งรับรู้
.
ละเอียดมีเพียงสี่คู่
.ดูให้ดี
.. ย่ออีกทีมองให้ซึ้งเหลือหนึ่งคู่
.
รูปกับนามกระทบกันเท่านั้นดู
.. ก็จะรู้นี่มายาชีวาเรา
..
เห็นตัวตน
.แล้วอย่าหลงพะวงคิด
.. เป็นพุทธจิตจิตเดิมแท้ช่วยแก้เขลา
ละทั้งรูป-ละทั้งนาม
..เกิดความเบา
เป็นแค่เงา
.ตามร่างก็ช่างมัน!!
.
เป็นจิตเดิมใสยิ่งกว่าธาราน้ำ
. ไม่ชอกช้ำบริสุทธิ์ประดุจฝัน
บริสุทธิ์ยิ่งกว่าอากาศพิลาศครัน
.. เป็นต้นธาตุ-ต้นธรรม์
นิรันดร
ผู้ใดเห็นตถาคต
.ปรากฏเด่น
.. ผู้นั้นเห็นนิพพานะประภัสสร
..
เห็นทุกสิ่งเพียงมายา
.ทุกท่าตอน
.. ไม่เดือดร้อนเครื่องร้อยรัดสลัดไป
.
รูป-นามเป็นภาพลวงตา
..สารพัด
เลิกผูกมัดพบหนทางสว่างไสว
.
เพราะไม่มีฝุ่นละอองเกาะข้องใจ
.. ด้วยละได้ในทุกสิ่ง
แล้วทิ้งเลยฯ
..
นิพพานะ ปัจจโย โหตุ
.
ท่องแดนพระนิพพาน ภาค3(ความว่าง-ประตูสู่นิพพาน)
บทกวีทิพย์ :: ท่องแดนพระนิพพาน ภาค3
(ความว่าง-ประตูสู่พระนิพพาน)
ชัย แสงทิพย์ พุทธกวีทิพย์
อันความว่าง คือ ประตูสู่นิพพาน
นิรันดร์กาลยืนยงน่าสงสัย
ในความว่าง
ที่ว่างนี้มีอะไร?
อยู่ที่ไหน?
เล่าความว่างที่อ้างอิง
อยากจะมี-อยากจะเห็น-อยากเป็นอยู่
ความอยากรู้มีมากมายทั้งชายหญิง
ความว่างมีคุณอนันต์
นั่นความจริง
ยิ่งค้นยิ่งล่อหลบไม่พบเจอ
ความว่าง คือสิ่งว่างเปล่า
.หากเข้าถึง
.. จะรู้ซึ้งสัจธรรมนำเสนอ
ความว่าง คือ บรมธรรมน้อมนำเธอ
. ให้พบเจอ
ประตูสู่นิพพาน
ความว่างไม่มีอะไร
.อยู่ไหนเล่า?
ที่ว่างเปล่าแสนปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
..
ไร้เครื่องหมาย
.ไร้ขอบเขต
สังเกตการณ์
..พระนิพพานคือที่หมาย
.จุดปลายทาง
เป็นที่อยู่อาศัย
..ของสรรพสิ่ง
. อยากเห็นจริงก็มองเห็นเด่นกระจ่าง
.
สัมผัสได้
.รู้ได้
.ใคร่เปิดทาง
. สู่ความว่างประตูทอง
ให้ลองดู
.
สิ่งที่มีชีวิตและไม่มี
. อยู่ในนี้
.ในความว่างสว่างหรู
.
อัตตา-ตัวตน
สสารเชิญอ่านดู
. แล้วจะรู้ พลังงานชัด
.อนัตตา
.
มีตัวตนและไม่มี
.อยู่นี่หมด
.. ใช่สมมติเป็นความจริงทุกสิ่งหนา
..
ในความว่าง
.มนุษย์-สัตว์
.เหมือนจัดมา
. ล้วนแต่อาศัยความว่าง
..ก่อสร้างตน
แต่ความว่าง คือ ความมี ที่ไม่เห็น
. แอบซ่อนเร้นอยู่รอบกายขยายผล
เป็นช่องว่าง
.จึงไม่รู้เหล่าผู้คน
แท้ในตน
ว่างยังมีที่ร่างกาย
จะรู้จัก ความว่างดังอ้างถึง
ควรจะซึ้งรู้จักธรรมในความหมาย
ธรรมที่อยู่ในความว่างเคียงข้างกาย
.. ผลสุดท้ายก็จะเห็นอย่างเด่นชัด!!
..
โลกบังธรรม
.ธรรมบังพระนิพพาน
จำเนียรกาลนานนับสรรพสัตว์
.
สมมุติบังความจริง
ยิ่งผูกมัด
เครื่องร้อยรัดบังความว่าง
ปิดทางตัน!!
..
ธรรมก็คือรูปธรรม
ประจำใจ
. ดิน-น้ำ-ไฟ-ลมพัดที่จัดสรร
ธรรมะคือนามธรรมอันสำคัญ
จิตใจนั้น คือความหมายใน กายเรา
จิตซ่อนอยู่ในกาย
.หมายเป็นตน
. ดิ้นทุรนเป็นทุกข์ใจเหมือนไฟเผา
.
ทึกทักว่า กายต้อง เป็นของเรา
. ไล่ตามเงา
.บังนิพพานมานานนม
.
จิตเป็นของว่างเปล่า
.นะเจ้าเอ๋ย
. หลงจนเคยชินอยู่ไม่รู้สม
.
อาศัยรูปกายแฝงแหล่งภิรมย์
.. มัวงายงม อวิชชา
นานกาเล
.
จิตอาศัยกายอยู่เพียงครู่หนึ่ง
.. ให้รู้ซึ้ง
เท่าทันใช่หันเห
จิตต้องไปเมื่อกายพัง
.ไม่ลังเล
จิตจะเร่ไปที่ไหน?
.ก็ไม่รู้!!
.
จิตย่อมไปตามกรรมที่ทำมา
.. หากบาปหนา
.ลงอบายตายอดสู
.
จิตกุศลผลบุญ
.หนุนอุ้มชู
.. ตายไปสู่ทิพยสถานพิมานแมน
.
หากจิตสิ้นอาสวะสละแล้ว
. จิตเป็นแก้วดวงวิมุติพิสุทธิ์แสน
จักไปสู่ พระนิพพาน
.ตระการแดน
หยุดโลดแล่นไม่เกิดอีก
ปลีกตัวไป
..
แล้วเมื่อนั้นจะรู้สึกสำนึกคิด
.. ถูกหรือผิด
นรก-สวรรค์สำคัญไฉน?
..
หากคิดผิดถลำเดินสายเกินไป
ก็คิดใหม่-ทำใหม่
.ให้มันดี
.
ชีวิตเกิดมาในโลกมีโชคช่วย
. บุญอำนวยเป็นมนุษย์วิสุทธิ์ศรี
แต่ดิน-น้ำ-ไฟ-ลมผสมดี
.. เห็นกายนี้ว่าเป็นเรา
นั่นเขลาเกิน
กิเลสบังธรรมชาติอันบริสุทธิ์
.. มวลมนุษย์มีสารพัดเหตุขัดเขิน
เห็นร่างกายเป็นจิต
.มัวคิดเพลิน
ถลำเดิน
ลืมบ้านเก่าของเราเอง
..
เอาร่างกายคืนสู่โลกแห่งธาตุสี่
. ดิน-น้ำนี้
ไฟ-ลมปลงให้ตรงเผง
เอาจิตใจคืนความว่าง
.ทางเปิดเอง
. ยินบรรเลงเพลงทิพย์พระนิพพาน
.
ว่าความว่างสอนอะไรให้มนุษย์?
. ในที่สุดลืมความว่าง
ทางศุขศานติ์
..
ทุกอย่างที่มีตัวตน
.ดลบันดาล
. อัตตาผ่านลืมหลงถึงงงงวย!!
.
ไร้ความว่าง
.จะเดิน-ย่าง-วิ่งอย่างไร?
อยู่ที่ไหน?บนแผ่นดิน?คงสิ้นสวย
ไร้ความว่าง
.คนล้นโลก
โศกระทวย
. ใครจะช่วยถ่ายเท
..สนเท่ห์นัก!!
สิ่งที่มี
คือ.ฝุ่นละอองของความว่าง
. ทุกสิ่งสร้างชอบกล
.วิ่งวนหลัก
ในโลกนี้สิ่งที่มี
..มีน้อยนัก
.. ไม่รู้จัก
.สิ่งที่มี
.กันดีพอ
..
ความว่างคือความไม่มี
.ไร้ที่สุด
แล้วก้าวรุดสู่สิ่งมีฉะนี้หนอ
แล้วพัฒนาสู่ไม่มี
.มิรีรอ
.. ชีวิตก็ไปไปมามา
.น่าเบื่อจัง!!
.
นี่แหละคือชีวิต
..คิดให้ตก
ล้อธรรมวกเวียนตามดับความหลัง
ความว่างมีชีวิต
..อนิจจัง
. เมื่อชีพยัง
.ทำหน้าที่
ให้ดีเอยฯ
.
นิพพานะ ปัจจโย โหตุ สาธุๆๆ
Dark Shade(ฉากดำ)หรือLand of Gods(ดินแดน
แห่งพระเจ้า).....พระนิพพานอยู่ที่นี่หรือเปล่า และประตูทางเข้า
พระนิพพานเล่าอยู่ที่ใด.?......
จักรวาลจาเมเอดา หนึ่งในเจ็ดพิภพจักรวาล
ซึ่งรวมอยู่ในอนันตจักรวาล พระนิพพานอยู่ที่นี่หรือเปล่า? ผู้รู้กล่าวว่าประตูเข้าสู่พระนิพพานเล็กกว่าปลายเข็มหมุดเสียอีกนะครับ....แล้วเราจะเข้าไปสู่พระนิพพานได้อย่างไร?
ดาวราหูหรือโลกมนุษย์ที่เราอยู่นี่ละครับ
หรือบางทีพระนิพพานจะมีแอบซ่อนไว้ในโลกเราใบนี้หรือเปล่าก็
ไม่มีใครทราบได้ และบางทีประตูทางเข้าพระนิพพานก็อาจจะอยู่
ในตัวท่านเองก็ได้.......
ชัย แสงทิพย์
ChaiSangthip@hotmail.com
www.buddha-dhamma.com