|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
24 กรกฏาคม 2556
|
|
|
|
เชลย....ตอนยี่สิบสอง
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น..ฉันได้เดินทางไปพบกับเขาที่สถานีตามเวลานัดหมาย และรีบถอดหมวกออก..ด้วยเกรงว่าเขาอาจจำฉันไม่ได้ในเครื่องนุ่งห่มที่หนาเตอะตะ แต่ที่ไหนได้ เขากลับส่งเสียงทักทายโหวกเหวกมาแต่ไกล และเข้ามาโอบกอดด้วยความดีใจ เราไปรับประมานอาหารเช้าด้วยกันที่หอศิลป..เขากุมมือฉันอย่างทนุถนอมก่อนที่จะพูดว่า "เมื่อวาน..ก่อนไปทำงานผมได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะอยู่โดยที่ไม่มีคุณไม่ได้" "อะไรนะ?" "ก็..อย่างที่บอกมานั่นน่ะ คือ คุณต้องเป็นภรรยาของผมละ" "อะไรนะ?" "ผมก็เลยลางาน บอกกับนายว่า บ้านแม่ที่ Rhineland ถูกระเบิด และผมต้องไปช่วยดูแล" "นี่คุณ โกหกขนาดนั้นน่ะ ติดคุกเชียวนะ..ข้อหาโป้ปดมดเท็จ บิดเบือนสร้างสถานะการณ์" "ก็เขาเชื่อผมนี่..ดูหน้าผมซิ น่าเชื่อถือจะตายไป..นะ นะ แต่งงานกับผมนะ" "เรากำลังอยู่ระหว่างสงคราม ไม่ควรแต่งงานในสภาพที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้" "ก็ผมรักคุณนี่..คิดถึงแต่คุณทุกวัน ทุกเวลา ไม่ว่าจะกินจะนอน" "โธ่..คุณเวอร์เน่อร์ กรุณาเถอะ..อย่าพูดถึงมันเลย.." "ผมอยากจะพบกับคุณพ่อของคุณ อยากจะขอลูกสาวท่าน จะไปขอถึงเวียนนาด้วยตัวเอง รับรองว่าท่านต้องชอบผมแน่ๆ..ไม่เชื่อลองดูม๊ะ" ความคิดหาทางออกในสมองหมุนติ้วราวจักรผัน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอกับปัญหานี้ ความตั้งใจเพียงแค่จะมาพบปะพูดคุยกันในฐานะคนที่เคยรู้จักเท่านั้น แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า..ช่างกระตือรือล้น..พร้อมที่จะไปพบกับพ่อแม่ของฉันอย่างมุ่งมั่น ..แล้วฉันจะไปหาพ่อแม่ที่ไหนมาอ้างกันเล่า? "ได้โปรดเถอะค่ะ นี่มันรวดเร็วไป เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานมานี้เอง" "สำหรับผม..แค่นี้ก็เหลือแหล่ ผมน่ะเป็นคนใจร้อนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร" "ก็ทำไมไม่จดหมายมาบอกกันก่อน ทำไมต้องปดกับที่ทำงานด้วย?" เขาทอดตัวเอนยาวไปกับเก้าอี้ ถอนหายใจออกมายาว บอกด้วยเสียงเรียบๆว่า "เพราะ..ผมรู้สึกผิดน่ะซิ ผมโกหกคุณหมดทุกอย่างเลยนะ ความจริงก็คือว่า..ผมแต่งงานแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการหย่าร้าง แม่หนูบาร์เบิ้ลที่ผมบอกว่าเป็นลูกสาวของน้องชายนั้น..จริงๆแล้วคือลูกสาวของผมเอง เมื่อไหนๆก็จะต้องมาสารภาพกับคุณ ผมจึงอยากที่จะมาบอกด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือ ผมรักคุณ รักคุณมาก จนรู้สึกได้ว่าคุณเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม ไปอยู่ที่แบรนเดนเบอร์คกับผมนะ..คนดี พอการหย่าร้างเสร็จสิ้นเรียบร้อย เราก็มาแต่งงานกัน" สิ้นประโยคสารภาพของเขา มือที่ถือถ้วยกาแฟของฉันไหวระริก จนกาแฟกระฉอกออกมาเปื้อนผ้าปูโต๊ะด่างเป็นวง เขามุ่งหมายใจที่จะพาฉันไปพบกับญาติคนอื่นๆให้ได้ เช่น น้องชาย น้องสะใภ้ แม้กระทั่งป้าพอลล่าผู้แสนดี ยังไม่นับกลุ่มเพื่อนๆที่เขาอ้างชื่อคนโน้นคนนี้มาสารพัด ระหว่างทางที่เราเดินไปด้วยกันในหอศิลปที่สองข้างผนังนั้นประดับประดาไปด้วยภาพของท่านผู้นำฮิตเล่อร์ ท่านแม่ทัพเกอริง ภาพของท้องฟ้าที่ฉานไปด้วยสีเพลิง ภาพของทหารที่สวมหมวกเหล็ก มีใบหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้เปลี่ยนอารมณ์ของเวอร์เน่อร์ให้เอนเอียงไปพูดหรือคิดถึงเรื่องอื่นได้เลย นอกจากเรื่อง"ของเรา"ในอนาต เขาเกาะกุมมือของฉันอย่างไม่ยอมปล่อย เล่าเรื่องของเขาไปเรื่อยๆว่า เขามีงานทำที่ดี มีแฟลตที่อยู่อาศัยสวยงาม ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขให้กับฉันได้อย่างไม่ยาก เขาเสริมต่อว่า.. "คิดดูนะ..อ่างอาบน้ำสวยๆ เก้าอี้โซฟางามๆ อ้อ..รถโฟล์คสวาเกนอีกล่ะ ผมจะหามากองแทบเท้าคุณให้หมด" "บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนเลยนะคะ ถ้าคุณต้องออกไปแนวหน้าและมีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นมาล่ะ..จะทำอย่างไร?" "พวกเขาไม่มีวันส่งผมไปตายหรอกน่า ก็ผมเป็นคนพิการ ตาบอดข้างหนึ่ง..จำไม่ได้เหรอ?" "ก็แล้วถ้าเผื่อว่า ..เกิดมีการระเบิดที่สถานพยาบาล แล้วฉันโดน.." ฉันพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างเต็มที่ "อ้าว..แล้วเกิดว่าเขาส่งคุณไปประจำที่กาชาดอื่นๆ เกิดคุณไปเจอกับทหารเจ้าชู้เข้า มันมาจีบคุณ หลงรักคุณหัวปักหัวปำอย่างที่เกิดขึ้นกับผมนี่ล่ะ ผมไม่ยอมหรอก แค่คิดก็ทำใจไม่ได้แล้ว" เขายังดื้อดึงต่อปากต่อคำอย่างไม่ลดละ "โอย..หยุดก่อนเถอะ คุณเวอร์เน่อร์" "ไหน..เล่าเรื่องคุณพ่อของคุณให้ผมฟังบ้างซิ" (หนอย..อยากจะรู้นักเหรอ..พ่อฉันเป็นยิว..ยิวชั้นดีด้วย และถ้าพ่อมีโอกาสได้มาล่วงรู้ว่าฉันกำลังเดินควงอยู่กับผู้ชายอย่างคุณ พ่อคงฆ่าฉันให้ตาย ก่อนที่ท่านจะเป็นลมตายไปอีกรอบหนึ่ง) "เรื่องคุณแม่คุณด้วย ผมอยากฟัง" (แม่ฉันอยู่ที่ค่ายกักกันในโปแลนด์ เพราะไอ้ฮิตเล่อร์.. นายของเธอส่งไปน่ะซิ) "พวกพี่ๆน้องๆของคุณล่ะ?" (พวกเขาไปอยู่ในปาเลสไตน์ กำลังร่วมมือกับกองทัพอังกฤษให้เข้ามาบดขยี้พวกนาซีไงล่ะ ขอให้พระเจ้าคุ้มครองพวกเขาให้ประสบความสำเร็จด้วยเถิด..เจ้าประคุณ) "เรื่องญาติโยม พี่ป้าน้าอาคนอื่นๆด้วยนะ อ้อ แฟนเก่าๆของคุณด้วย" (สาบสูญกันไปหมดแล้ว บางคนก็ตายจาก ถึงอยู่ก็อยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมานเต็มที ตายไปเสียได้ก็สิ้นเคราะห์) "ผมรักคุณจัง..ยังไงก็ต้องแต่งงานกับคุณให้ได้" (โอย..ไม่เอา..ไปให้พ้น ฉันทำไม่ได้หรอก ใครต่อใครจะต้องมาพลอยรับเคราะห์ โดยเฉพาะคนที่มีบุญคุณล้นหัว คุณนายไนเดอร์รัลล์ คริสตัลเพื่อนรัก เป็ปปิ แล้วก็คุณด้วย) ความคิดในสมองได้ถึงจุดประทุ..ฉันกรีดเสียงออกมาด้วยความร้าวรานว่า.. "คุณ..ฉันไม่อาจจะร่วมทางเดินกับคุณได้อย่างเด็ดขาด ขอได้โปรด..." "ทำไมล่ะ กรีท..คุณให้สัญญากับใครไว้ก่อนแล้วหรือ..ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะ ทำไมคุณถึงใจดำกับผมอย่างนี้.." ใบหน้าของเขาซีดเผือด มีทีท่าเสียใจระคนผิดหวังอย่างสุดหัวใจ ซึ่งมันได้สร้างความเจ็บปวดให้กับฉันอย่างทวีคุณเช่นกัน และโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว..ฉันได้โอบคอเขาแน่น กระซิบที่หูของเขาด้วยน้ำเสียงสุดเยียบเย็นว่า.. "ฟังให้ดีนะที่รัก ที่ฉันแต่งงานกับคุณไม่ได้ เพราะฉันเป็นยิว..ได้ยินไหม..ว่า ฉันคือยิว ที่มีประวัติอยู่ที่เกสตาโปในเวียนนา และเท่าที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ คือ ของปลอมทั้งสิ้น !!!" เวอร์เน่อร์หยุดชะงักนิดหนึ่ง เขาดันฉันออกห่างไปจนสุดแขน ทำหน้าเคร่ง หรี่ตาแบบมีเลศนัย ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง และกล่าวว่า "โอ้โห..ที่คุณต้มผมจนเปื่อยเลยนะเนี่ย.." ตอนนี้..สีหน้าของเขานั้นไม่ต่างไปจากสีหน้าของพวกทหาร SS ในภาพวาดพวกนั้นเลยแม้แต่นิด.. (โอย..:-)..หลุดปากบอกเขาไปได้อย่างไร นี่มันตายกับตายสถานเดียวเลยนะ) ฉันคิดด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ถ้าเขาจะจับไปฆ่าไปแกง ฉันก็จะไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิด แต่..คริสตัลเท่านั้น ที่จะต้องเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ยิ่งคิดฉันยิ่งเป็นห่วงอย่างสุดใจ "งั้นถือซะว่า..เราหายกันก็แล้วกันนะ" เวอร์เน่อร์พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉยในที่สุด เหมือนกับสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องจิ๊บจ้อย เขากล่าวต่อว่า "ก็ผมโกหกคุณ..เรื่องที่ว่าเป็นโสด คุณโกหกผมในเรื่องว่าเป็นอารยัน สรุปก็หายกันไง..แต่งงานกับผมนะ" "จะบ้าเหรอ..เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เกิดมีคนรู้ขึ้นมาจะทำไง?" "จะไปรู้ได้ไงล่ะ ถ้าคุณไม่ไปบอกใครอื่นนอกจากผม..หรือคุณคิดจะไปโพนทะนาบอกใครอีก?" "อย่าพูดเล่นไป..นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ คุณคงไม่เข้าใจว่าโทษทัณฑ์นั้นมันร้ายแรงนัก แค่คุณมาคบค้ากับฉันก็มีความผิดถึงขั้นติดคุก หรือส่งไปค่ายนรก แล้วพวกเขาจะเอาฉันและเพื่อนไปทรมานจนตาย คุณไม่กลัวหรอกหรือ?" เวอร์เน่อร์หัวเราะออกมาดังๆ บอกมาหน้าตาเฉย..ว่า..ไม่กลัว "อ้อ..แล้วความจริงอีกเรื่องหนึ่งคือ ฉันอายุยี่สิบแปดแล้วนะ ไม่ใช่ยี่สิบเอ็ด" "แล้วไงล่ะ อายุเท่าไหร่แล้วไง..?" เขาตอบด้วยทีท่าสบายๆไม่มีกังวลใดๆ เราทั้งสองได้เดินไปถึงส่วนที่ตั้งภาพปั้นครึ่งตัวของท่านผู้นำฮิตเล่อร์ที่ประดิษฐานอยู่อย่างเด่นเป็นสง่า เขาหยุดนิ่งและหันมาถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นจริงเป็นจังว่า "คุณทำอาหารอื่นๆอร่อยเหมือนอย่างกับเค้กที่คุณส่งไปให้ผมหรือเปล่า?" ฉันพยักหน้า...โกหกไปแบบไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไม.. ช่างประหลาดเหลือเกินในความเป็นลูกผู้หญิงนี่..ศักดิ์ศรีมันช่างมากมายจนไม่อาจหาคำมาบรรยายได้ ฉันยอมสารภาพความจริงในเรื่องเป็นยิวให้เขารู้ได้อย่างไม่กลัวตาย แต่เรื่องที่จะให้สารภาพว่าเป็นคนไม่เอาไหน ทำกับข้าวไม่เป็น ไม่เก่งนั้น..เป็นตายอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้ แต่กระนั้น..ฉันก็ยังยืนยันในเรื่องการตัดรอนสัมพันธ์ระหว่างเรา "กลับไปเเบรนเดนเบอร์คเถอะค่ะ ลืมเรื่องของเราให้หมด ฉันจะไม่ถือเอาจริงเอาจังกับคำสัญญาของคุณ" เวอร์เน่อร์กลับไปยังแบรนเดนเบอร์คจริงๆ แต่ไม่ใช่กลับไปคิดทบทวนใหม่แต่อย่างใด เพราะคนอย่างเขาเมื่อตัดสินใจแล้ว นั่นคือ เด็ดขาด.. คุณๆคงสงสัยกันนะว่า..ฉันไม่กลัวว่าเขาจะไปแจ้งความเรื่องการพบสาวยิวปลอมตัวอย่างฉันหรือไร.. ไม่กลัวว่าเกสตาโปจะไปลากตัวคุณนายเคิร์ลในฐานะที่ให้ที่ซุกหัวนอนกับคนอย่างฉันนั้นหรือ.. บอกตามตรง..ฉันเชื่อลึกๆว่า เวอร์เน่อร์ต้องไม่เป็นเช่นนั้น เขาต้องไม่ขายฉันอย่างแน่อน ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ฉันตอบไม่ได้.. มันอาจเป็นเพราะ ฉันหมดทางเลือกอื่นใดแล้วกระมัง? เขาส่งโทรเลขมาติดกันจนถี่ยิบ เล่าถึงเรื่องการวิ่งเต้นติดต่อให้ฉันไปพักกับครอบครัวของเพื่อนที่มีห้องว่าง..และ ให้ไปอยู่จนกว่าการหย่าร้างของเขาจะสิ้นสุด ฉันรู้จักเกรงๆในเรื่องโทรเลขเหล่านั้น เกรงไปว่า อาจเป็นพิรุธจนเป็นที่น่าสงสัยจนเรื่องไปถึงหูพวก SS และเกรงไปว่า ถ้าสภากาชาดส่งฉันออกไปอยู่ในแนวหน้าอย่างโปแลนด์ ฉันจะไปหาเอกสารเดินทางมาจากไหน ดังนั้น..ทางออกที่จะไปอยู่กินกับเวอร์เน่อร์ที่เป็นสมาชิกของพรรคนาซี อีกทั้งทำงานชิ้นสำคัญคือการประกอบเครื่องบินสู้ศึกนั่นก็เป็นเกียรติประวัติอันงดงาม ซึ่งน่าจะปลอดภัยดีกว่าอยู่เป็นผู้หญิงโสดหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างนี้ เมื่อตกลงใจได้..ฉันจึงเขียนจดหมายไปบอกเป็ปปิ เล่าให้ฟังถึงเรื่องทั้งหมด เขาตอบกลับมาด้วยอารมณ์โกรธด้วยถ้อยคำรุนแรงด่าว่า..ว่า "คุณทำไปได้อย่างไรกัน ที่จะไปอยู่กินกับพวกอารยัน จำคำสัญญาที่คุณให้ไกับพ่อคุณไม่ได้หรือไง..พ่อคุณคงไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆถ้าท่านรู้เข้า แล้วคุณไม่เคยคิดเลยหรือ ว่า ผมยังรักคุณอยู่นะ.." ใช่ซิ..ฉันยังจำได้ดีถึงความรักห่วยๆของเขาเสมอ ว่า.. เขาไม่เคยหาที่ซุกหัวนอนให้กับฉันในยามที่เดือดร้อนจนเลือดตาแทบกระเด็นในเวียนนาครั้งโน้น แม่ของเขา..ที่แสนเป็นคนกว้างขวางในพื้นที่..ไม่เคยหยิบยื่นน้ำใจมาให้..แม้แต่ชาเพียงสักถ้วยเดียวก็ไม่เคย.. และครั้งหนึ่งที่คุณนายไนเดอรัลล์ได้พูดไม่ถูกหูเพียงคำเดียว เขาไม่เคยมองหน้าหรือพูดจากับเธออีกเลย ทั้งๆที่ผู้หญิงคนนี้มีบุญคุณกับฉันอย่างล้นเหลือ เขาเคยมีโอกาสที่จะพาฉันออกไปอยู่กันนอกประเทศ อย่างอังกฤษ เขาก็ไม่ยอมทำ หรือโอกาสที่จะพากันไปสร้างตัวในเยรูซาเล็มตั้งแต่ควันสงครามเริ่มกรุ่นขึ้นนั้น..เขาก็ไม่ยอม เพราะ..เขาอ้างว่า เขาจะห่างแม่ที่แสนใจร้ายของเขานั้นไม่ได้ นี่แหละ..คือ ความรักของเป็ปปิ ที่ฉันจำได้อย่างไม่มีวันรู้ลืม..!! มาถึงบัดนี้..ได้มีอัศวินขี่ม้าขาวที่ได้หยิบยื่นหัวใจรักให้กับฉัน โดยที่ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น..ไม่ใช่ความรักอย่างเดียวที่ได้มอบให้ เขาได้เสนอตัวเป็นเกราะกำบัง ที่จะทำให้ฉันได้อยู่อย่างรอดปลอดภัยจากเงื้อมมือมารอีกเล่า.. ทั้งหมดนี้..ต้องขอขอบคุณพระเจ้าที่ยังทรงมีเมตตาประทานแสงสว่างและโอกาสใหม่ให้แก่ชีวิตที่อับจนอย่างฉัน คุณนายเคิร์ลและสามี แอบเข้าไปในป่า ลอบตัดต้นสนคริสมาสต์ต้นเล็กๆมาให้ (เพราะมันเป็นข้อห้าม) แต่ทั้งคู่ไม่อยากให้ฉันเดินทางไปที่แบรนเดนเบอร์คด้วยมือเปล่า ดังนั้น..ในวันที่ 13 ธันวาคม 1942 ฉันได้เดินทางไปพบเวอร์เน่อร์พร้อมกับต้นคริสมาสต์น้อยๆที่มัดห่อมาอย่างดีในกระเป๋าเดินทาง.. ฉันเริ่มใช้ชีวิตเหมือนกับแม่บ้านเยอรมันทั่วๆไป ซึ่งน่าอิจฉาที่สุดในโลก เพราะในยุคนาซีนี่..แม่บ้านทั้งหมดไม่ต้องกระดิกนิ้วทำอะไรทั้งสิ้น ท่านผู้นำต้องการให้พวกเธอทั้งหมดทนุถนอมร่างกายให้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้ขยายพันธ์ให้มากที่สุด ฉันพยายามทำตัวให้เรียบง่าย ไม่สุงสิงกับใคร และบอกตัวเองว่า ฉันคือ กรีท เดนเน่อร์ พยายามลืมอดีตที่ผ่านมาให้หมด แต่..ใครเล่าจะรู้ได้ว่า จากภายนอกที่มีท่าทางติ๋มๆนั้น ภายในใจของฉันร้อนระอุไปด้วยความหวาดระแวง ความเครียด ความกังวล จนกลายเป็นคนที่ข่มตาให้หลับได้อย่างยากยิ่ง เวอร์เน่อร์พักอยู่ในบ้านของบริษัทที่เป็นสวัสดิการให้กับพนักงาน โครงการนั้นใหญ่โตที่มีแฟลตตั้งอยู่เรียงเป็นแถว นับได้ถึงสามพันห้อง ซึ่งค่าเช่านั้นได้หักไปจากเงินเดือนทุกเดือนก่อนที่จะถึงมือ บริษัทผลิตเครื่องบิน อาราโด เป็นบริษัทที่ใหญ่โต และเป็นบริษัทแรกได้ผลิตเครื่องบินเจ๊ตทิ้งระเบิด เจ้าของคือ นายฟีลิกซ์ วากอนเฟอร์ และ นาย วอลเตอร์ บลัม ทั้งสองเป็นยิ่งกว่าอภิมหาเศรษฐี โดยเฉพาะคนหลัง คือ นายบลัมนั้นได้เป็นผู้อำนวยการของสำนักงานงบประมาณให้กับกองทัพเยอรมัน ท่านอัลเบิร์ต สเปียร์(รมต. กระทรวงสงคราม) ถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็นศาสตราจารย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ในปี 1940 ทางบริษัทมีพนักงานแค่ 8,000 คน พอมาถึงปี 1944 มีเพิ่มขึ้นเป็น 9,500 คน สามสิบห้าเปอร์เซนต์ในนั้น คือ พวกแรงงานต่างชาติ พวกคุณคงสงสัยกันใช่ไหมว่า..ทำไมท่านผู้นำถึงได้ให้คนต่างชาติมาทำงานในสถานที่ผลิตยุทธภัณฑ์สำคัญเช่นนี้ จะตอบให้ว่า..เป็นเพราะ ท่านผู้นำไม่ต้องการใช้แรงงานหญิงอย่างที่เล่ามาน่ะซิ ท่านบอกว่าผู้หญิงเยอรมันมีหน้าที่ดูแลบ้าน ดูแลสามี และเป็นแม่ที่ดีเท่านั้น ในตอนนั้น ข่าวที่มาจากอังกฤษ และอเมริกาก็มีมาว่า พวกพลเมืองผู้หญิงของเขาต้องเข้าไปทำงานในโรงงาน รัฐบาลได้ช่วยสงเคราะห์เลี้ยงดูบุตรให้ แต่..ท่านฮิตเล่อร์มีความคิดที่สวนทางอย่างสิ้นเชิง แม่บ้านเยอรมันได้รับเงินทองเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องทำงาน ยิ่งเป็นแม่พันธ์ดี พันธ์ดกด้วยละก้อ มีสิทธิได้รับเหรียญรางวัล ฉะนั้น ในโรงงานต่างๆ อย่าง อาราโด จึงมีแต่คนงานชาย ที่ส่วนใหญ่แล้ว..ไม่เด็กเกิน ก็แก่หงำเหงือก พวกแรงงานต่างชาตินั้น พำนักอยู่ในค่ายพนักงานที่มีด้วยกันถึงแปดค่าย.. พวกชาวดัทช์ที่มีฝีมือทางช่างยนตร์ก็จะกินดีอยู่ดีหน่อย ฝรั่งเศส..ก็เช่นกัน เพราะฝรั่งเศสนี่เป้นอะไรที่ชาวเยอรมันมักจะเกรงใจในเรื่องของความสามารถและความเนี๊ยบ.. ส่วนพวกอิตาเลี่ยน ที่ความจริงแล้วจะนับว่าเป็นแรงงานต่างชาติก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติกัน เพราะ เขาคือแนวร่วมสัมพันธมิตรของสงครามครั้งนี้ แต่..เป็นแนวร่วมที่ไม่เคยได้ลงรอยกันเลย พวกเยอรมัน ต่างเดียจฉันท์ อิตาเลี่ยนว่า..มารยาททราม ขี้ขลาดตาขาว พวกอิตาเลี่ยนก็หาว่า พวกเยอรมันนั้น ป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม อีกทั้งพวกเขาเกลียดอาหารเยอรมันอย่างที่สุด เพื่อนข้างบ้านเคยเล่าให้ฉันฟังว่า เธอได้พบกับชาวอิตาเลี่ยนในร้านอาหาร และ ทันที่ที่ได้ชิมใส้กรอกเยอรมันเข้าไป เจ้าพวกนั้นถึงกับถ่มถุยลงกับพื้น และ ตระโกนด่าก่อนออกจากร้านไปว่า คงมีแต่พวกฮั่นในยุคบาเบเรี่ยนเท่านั้น ที่จะสามารถกระเดือกอาหารแบบนี้ลงคอไปได้ !! ส่วนพวกแรงงานจากฝั่งตะวันออก เช่น โปล์ เซิร์ป รัสเชี่ยน พวกนี้น่าสงสารอยู่ในสภาพไม่ต่างกับจองจำในคุก เพราะ มีผู้คุมคอยเฝ้าตลอดเวลา แฟลตคนงานแต่ละตึกนั้นมีสี่ชั้น ชั้นละมีสามยูนิตที่อยู่อาศัย ของเรานั้นอยู่ที่ชั้นแรก ที่ข้างหน้ายังเป็นลานกว้างเพื่อเตรียมจะสร้างสวนหย่อม แต่ตอนนี้ยังเป็นที่ใช้วางถังขยะ ในแฟลต มีห้องนอนหนึ่งห้อง และห้องโถงที่ใช้อเนกประสงค์ มีเป็นทั้งครัว ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก และห้องทานข้าว และมีห้องว่างเล็กๆอีกห้องหนึ่งซึ่งเราเก็บไว้เผื่อรับแขกใครไปใครมา ส่วนห้องน้ำนั้น มีอ่างอาบน้ำ..ถ้าจะใช้น้ำร้อนเราสามารถนำน้ำใส่กาไปตั้งไปเครื่องทำความร้อนเพียงพักเดียวก็เอาไปรินใส่ในอ่างอาบได้เลย เตาทำอาหารนั้น ออกแบบมาพิเศษสำหรับยุคสงคราม คือ ใช้ไฟฟ้า แต่ถ้าเกิดว่า ไฟฟ้าดับ..ก็สามารถใช้เชื้อเพลิงถ่านหินทดแทนได้ในช่องที่ได้ออกแบบมาเตรียมไว้ให้ เวอร์เน่อร์ได้ระมัดระวังเรื่องการติฉินนินทา โดยการกันให้ฉันไปพักอยู่กับภรรยาเพื่อนของเขา คือ นางไฮล์ดี้ ชเลเกล สาวนิสัยดีที่อาศัยอยู่ห่างไปจากแฟลตของเขาเพียงไม่กี่ห้อง นายไฮนซ์ ชเลเกล สามีของเธอยังอยู่ในแนวหน้าทางตะวันออก เขาเป็นช่างเช่นกัน ทั้งคู่ไม่มีบุตร ซึ่งนี่คือปัญหาที่ไฮล์ดี้ต้องขยันไปพบแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือ แม้กระทั่งการผ่าตัดขจัดปัญหาของการมีลูกยาก รัฐบาลจ่ายให้หมดทุกบาททุกสตางค์ เธอเล่าให้ฟังว่า.. "ตอนที่ไฮนซ์เข้าร่วมในกองทัพนะ เขาเกิดบาดเจ็บนิดหน่อย ต้องนอนโรงพยาบาล พวกเขาออกเงินให้ฉันไปเยี่ยมถึงที่นั่นเลย โอย..กรีทเอ๋ย..เรามีความสุขกันมาก ยังกับฮันนีมูนเลยเชียว เพราะนั่นมันเป็นการพักผ่อนตากอากาศครั้งแรกในชีวิตของฉันเลยนะเธอ ครอบครัวฉันน่ะจ๊น..จน..สมัยที่ฉันยังเป็นเด็กๆ พ่อไม่เคยมีงานทำเป็นหลักเป็นแห่ง เราต้องอาศัยกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ พอท่านผู้นำขึ้นมามีอำนาจ ท่านก็จัดให้มีกลุ่ม"ยุวชน ฮิตเล่อร์"ที่ฉันก็เข้าร่วมด้วย ตอนที่อายุได้สิบห้า ฉันได้ไปงานกินเลี้ยงเป็นครั้งแรกในชีวิต กรีท..เธอเชื่อไหม..ว่า เขาเสิร์ฟขนมปังก้อนกับเนยสดด้วยละ..มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของฉันเลยนะที่ได้มีโอกาสลิ้มรส"เนย"จริงๆกะเขา " (เพราะเหตุนี้ละหรือ แค่กับการได้กินเนยเนี่ยะนะ..ที่มันทำให้พวกเธอถึงได้ตาบอด หูหนวก ไม่รู้เลยว่า ท่านผู้นำของเธอนั้น ได้กระทำทารุณโหดร้ายใหเกับใครเขาบ้าง..) ไฮล์ดี้ได้เล่าต่อไปว่า.. "ฉันรู้สึกเสมอว่าเป็นหนี้บุญคุณท่านทั้งชีวิต ขอให้ท่านอยู่เย็นเป็นสุข อายุมั่นขวัญยืนเถิ๊ดด..คุณพระคุณเจ้า" และ เราก็กระทบถ้วยชากันดังกิ๊ก..อวยพรให้กับท่านผู้นำผูมากไปด้วยความดี..เพราะฉันไม่มีทางเลือกอื่นใด..!! ไฮล์ดี้เป็นคนเดียวที่ฉันสนิทสนมด้วย เธอได้พาฉันไปให้รู้จักร้านขายของ ตลาดสด และเธอได้เล่าเรื่อยเปื่อยไปถึงอลิซาเบธ ภรรยาเก่าของเวอร์เน่อร์ ว่า "อลิซาเบธเป็นคนร่างสูงใหญ่ สูงกว่าเวอร์เน่อร์ด้วยมัง เจ้าอารมณ์ โมโหร้าย เวลาที่เขาทะเลาะกันนะ เสียงเอ็ดตะโรได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่เชื่อเธอลองไปถามคุณนาย ซิคเกอร์ ที่อยู่ห้องข้างๆดูซิ บางทีก็ตีกัน ไม่รู้ว่าใครตีใคร ชุลมุนไปหมด ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าทำไมเวอร์เน่อร์ถึงได้เลือกผู้หญิงใจเย็นอย่างคุณมาเป็นแฟน" ตอนที่เขาแยกกัน อลิซาเบธได้ขนเครื่องเรือนออกไปจนเกือบหมด เหลือติดบ้านไว้ให้ไม่กี่ชิ้น ซึ่งเวอร์เน่อร์ได้ใช้ความเป็นช่างศิลปของเขาจัดแจงตกแต่งทาสี เปลี่ยนบรรยากาศเสียใหม่ก่อนที่ฉันจะย้ายเข้าไป เขาได้ใช้ผนังส่วนที่เป็นไม้..ระบายสี วาดภาพเป็นรูปผลไม้ที่พันไปตามเถากิ่งไม้ โดยการใช้เทคนิคที่เรียกว่า Scheiflack ที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน คือ การขัดไม้ด้วยกระดาษทราย เครือบเงา ทาสี แต่เมื่อเสร็จออกมาแล้ว มันสวยงามจนฉันอดรู้สึกภูมิใจในตัวเขาไม่ได้ เขาถามฉันว่า.."คุณว่าไง..?" ฉันตอบไปดังที่ใจคิดว่า" สวยมาก ฉันเชื่อแล้วละว่า คุณคืออาร์ติสต์ผู้ยิ่งใหญ่.." ในเดือนมกราคม..หลังจากที่การหย่าร้างของเขาได้เสร็จสิ้น ฉันจึงได้ฤกษ์ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยในฐานะคู่ผัวตัวเมีย ซึ่งตรงนั้นคือจุดเริ่มต้น ของชีวิตใหม่ ชีวิตที่บอกว่าฉันคือแม่บ้านเยอรมัน ที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีผู้คุ้มครองดูแล และมีอนาคต.. เราทั้งสองพยายามอยู่อย่างสันติสุข เพราะในฐานะอย่างฉันไม่อาจเรียกร้องขอสิทธิอะไรได้มากนัก หน้าที่ของช้างเท้าหน้าเป็นของเวอร์เน่อร์ทั้งหมด ส่วนฉัน..ได้เก็บปากเก็บคำในเรื่องของความเป็นยิวอย่างสนิท ไม่เคยเอ่ยเอื้อนให้แสลงใจอีกเลย ชื่อของ อีดิธ ฮาห์น นั้น ถูกลบหายไปจากความทรงจำ ฉันได้ทุ่มเทพลังงานและพลังสมองพัฒนาในเรื่องที่ได้เคยโกหกเขาไว้..คือเรื่องที่ว่า ฉันคือแม่ครัวมือดี.. คุณนายไนเดอรัลล์ได้จัดการส่งหนังสือและสูตรตำราทำกับข้าวมาให้..ในชื่อว่า.."ปรุงด้วยรัก " ซึ่งฉันได้ฝึกหัดอย่างมุมานะ ทุกๆเช้า ฉันจะตื่นเวลาตีห้าตรง เพื่อที่จะทำอาหารเช้า และเตรียมอาหารกลางวันให้เขานำไปทานที่ทำงาน อาหารส่วนของฉันมักหนักไปทางมันฝรั่ง เพื่อที่จะเหลือขนมปังไว้ทำแซนวิชให้เวอร์เน่อร์ หรือยามที่ต้องไปเข้าเวรพยาบาลที่สภากาชาด ฉันได้เตรียมเครื่องปรุงอาหารง่ายๆ อย่าง แพนเค้กมันฝรั่ง ไว้ให้เขาทำทานเอง ซึ่งตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เขาอ้วนขึ้นกว่าเดิมสองกิโล. ป้าพอลล่าแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ และสอนไว้เสมอว่า เวอร์เน่อร์ชอบความสะอาดแบบชนิดหมดจดไม่มีฝุ่นจับ ขอให้ถือว่าการเช็ดถูคือเรื่องที่ต้องกระทำอย่างจริงจัง และต้องทำในทุกขณะจิต ซึ่ง..วันหนึ่งที่เขากลับมาถึงบ้าน เขาได้เอามือไปลูบที่ขอบประตูด้านบน ซึ่ง เขาต้องได้พบกับความประหลาดใจที่ได้พบว่ามันสะอาดเกลี้ยงเกลา เพราะ ฉันได้ปีนขึ้นไปเช็ดตามคำสอนของป้าพอลล่า..ที่ได้เตือนไว้ว่า..บททดสอบจะมีมาเรื่อยๆ อย่าวางใจ เวอร์เน่อร์ถึงกับชมเปาะในความเป็นแม่บ้านอนามัยจัดของฉัน (หมายเหตุนะคะ ว่า.... กิตติศัพท์ความเป็นคนสะอาดเนี๊ยบนั้น คือ แม่บ้านเยอรมัน อันเป็นที่รู้กันและมักนำมาใช้ในประโยคชมเชยและเปรียบเทียบในหมู่ชาวตะวันตกเสมอ...วิวันดา) เวอร์เน่อร์เป็นคนที่ชอบวางอำนาจ ชอบเอาเปรียบโดยนิสัยที่แท้จริง แต่ในยามบ้านเมืองอยู่ในยุคเผด็จการเช่นนี้เลยออกจะดูไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่สำหรับคนอื่นๆ หากแต่สำหรับผู้ร่วมงานด้วย..เขาจึงมีปัญหาอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขามักจะใช้วิธีหลีกเลี่ยงด้วยการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างใหญ่โตแทบทุกครั้ง เพราะการสร้างเรื่องโกหกมดเท็จนั้น เวอร์เน่อร์มีความชำนาญอย่างหาตัวจับยาก เขาสามารถสร้างมันขึ้นมาอย่างมีสีสันสุดบรรยาย ตัวอย่างเช่น ถ้าวันไหนเขาเกิดขี้เกียจไปทำงานขึ้นมา เขาจะโกหกบอกที่ทำงานว่า บ้านน้องชายที่เบอร์ลินถูกฝูงบิน RAF ของอังกฤษถล่ม พวกหลานๆไม่มีที่จะซุกหัวนอน ต้องไปนอนอยู่ตามข้างถนน ซึ่งเขาจำเป็นจะต้อง"หยุดงาน" ไปช่วยเหลือ ดูแล ซึ่ง..ที่ทำงานต่างก็พากันเชื่ออย่างหมดใจ อย่างเรื่องของฉันเอง..ในหลายๆปีต่อมาที่เราได้เลิกร้างจากกันไปแล้ว ฉันได้เผอิญรู้จักและสนิทสนมกับภรรยาคนหลังๆของเขา.....เธอเล่าให้ฟังว่า เวอร์เน่อร์ได้เคยเล่าให้ฟังถึง พ่อของฉันได้ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตึก เท่านั้นไม่พอ เขายังบอกว่า พ่อได้เอาเครื่องพิมพ์ดีดแขวนคอช่วยถ่วงน้ำหนักอีกด้วย ฉันเองก็สงสัยเหลือเกินว่า ทำไมเวอร์เน่อร์ต้องโกหกมากมายถึงขนาดนั้น แต่เมื่อมานึกๆดู เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าที่จะสร้างเรื่องให้เธอฟังเพื่อความบันเทิง นั่นคือสิ่งที่เขาถนัดทำเพราะในยุคนั้น ชีวิตคนช่างอับเฉา อยู่ใกล้กับความตายตลอดทุกนาที การสร้างสีสันโกหกปลิ้นปล้อนเล็กๆน้อยๆ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครนำมาใส่ใจ นอกจากฟังเอาสนุก เวอร์เน่อร์และฉันไม่เคยเอ่ยถึงเรื่อง"ยิว" กันเลย เพราะมันเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างที่สุดของเราทั้งสอง เขาทราบดีว่าพื้นฐานการศึกษาของฉันนั้นไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งฉันไม่พยายามเอ่ยถึงมันเช่นกัน เพราะไม่อยากสร้างปมเขื่องในครอบครัวหรือทำตัวเหนือกว่าเขาด้วยประการทั้งปวง แต่อย่างน้อยก็ได้นำความรู้เดิมมาช่วยได้ในยามที่ เห็นว่า..เขากำลังเสียทีให้กับอลิซาเบธในการหย่าร้าง ฉันได้ให้ข้อมูลไปว่า..ในข้อตกลงของการเลี้ยงดูบุตร เขาควรจะขอต่อศาลในการที่จะมีโอกาสเลี้ยงดูบุตรสาว แม่หนูบาร์เบิลคราวละหกอาทิตย์ เพราะเขามีสิทธิในการร้องขอ ในฐานะบิดา ซึ่งฉันได้ขยายเพิ่มเติมไปว่า.. "ถ้าขอแค่ระยะสั้นๆ แค่วันหยุดเพียงวันสองวันนั้น คุณจะไม่มีโอกาสสนิทสนมกับลูกเลย แต่ถ้าขอรับมาเลี้ยงคราวละหกอาทิตย์นั้น คุณจะได้ใกล้ชิด ไปเที่ยวไหนๆด้วยกันได้" เวอร์เน่อร์จึงขอต่อศาลไปตามที่แนะนำ และได้รับอนุญาตตามนั้น ในเดือนมกราคม 1943 ที่การหย่าร้างได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เขาดีอกดีใจ ถึงกับโอบเอวฉันเต้นว้อลทซ์ไปรอบๆห้อง ฮัมเพลงตามไปอย่างเบาๆ เขาชมว่า "มันวิเศษจริงๆเลยที่มีทนายความมาอยู่ด้วยในบ้านเนี่ย" ทุกๆเดือน เขาจะส่งเงินบางส่วนไปซื้อรถ(ที่กำลังอยู่ในการประกอบสร้างเพื่อประชาชน) ตามนโยบายของนาซี รถนั้นคือ รถ Volkswagen ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งาน เรียบง่าย และประหยัด แต่ฉันไม่มีความศรัทธาในเรื่องนี้แต่อย่างใด บอกตรงๆว่า..ไม่เชื่อ เพราะอย่างไรเสีย..มันก็คือนโยบายสูบเงินจากชาวบ้านแบบง่ายๆนั่นเอง ฉันได้บอกเขาว่า "คุณไม่มีทางได้รถนั่นมาครอบครองหรอก เชื่อเถอะ" "ได้ไง..ผมส่งเงินไปหลายงวดแล้วนะ " "ฉันสาบานได้เลย ที่รัก ..ว่า ไม่มีทาง" เขามองหน้าฉันนิ่งๆอยู่อึดใจ และอาจฉุกคิดขึ้นมาได้ หรืออาจจะเป็นลางสังหรณ์บางประการ ว่า สิ่งที่ฉันพูดมานั้นอาจเป็นความจริง เขาจึงล้มเลิกการผ่อนรถนั่นไป และสุดท้ายเขาก็คือ ชาวเยอรมันผู้โชคดีคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนที่ไม่ได้ถูกนาซีปล้นทรัพย์ส่วนนี้ไปได้ เรื่อง"หลับนอน" ก็อีกเช่นกัน..ที่เขาจัดให้เป็นระบบและระเบียบ ว่า เราต้องเข้านอนพร้อมกัน ตื่นพร้อมกัน ไม่มีใครสามารถทำตัวอ้อยอิ่งหรืออ้อยสร้อยบนฟูกได้ และการให้ความสุขแก่เขานั้น ต้องมีครบถ้วน จะหาข้อแก้ตัวว่า ปวดหัวตัวร้อน หรือทำงานดูแลคนใข้ ดูแลปัดกวาดบ้านมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน ขอพัก ก็ไม่ได้ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะถ้าจะอยู่ในถ้ำเสือ ก็ต้องเลี้ยงเสือให้อิ่มหนำสำราญ ไม่มีการโต้แย้งให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องยาก คุณๆคงไม่ค่อยเข้าใจ ว่าผู้หญิงที่หมดสิ้นหนทาง ถึงขนาดต้องเสแสร้งว่าเป็นคนอื่นตลอดเวลาอย่างฉัน จะไปหาความรื่นรมย์ในเรื่อง"อย่างว่า" ได้อย่างไร คำตอบคือ..ได้ค่ะ ได้อย่างไม่มีปัญหา เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งเดียวที่มีส่วนช่วยอย่างมากในการผ่อนคลายความเครียดที่สุมอยู่ในสมองและในใจถึงแม้จะเดี๋ยวด๋าวก็ตาม แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ ฉันรู้สึกดีๆกับเวอร์เน่อร์มากขึ้นทุกวัน ปัญหาก็ยังมีอีก คือ ภรรยาเก่าของเขา อลิซาเบธที่ไม่ยอมปล่อยวางในเรื่องของฉันเอาเสียเลย ถึงแม้ว่า เธอจะได้ย้ายออกไปอยู่ที่เมืองอื่นแล้วก็ตาม แต่..ฉันรู้สึกได้ว่า เธอไม่ได้จากไปไหนเลย เพราะไม่ว่าบนโต๊ะอาหาร หรือ บนเตียงของเรา เหมือนมีเงาของเธอวูบวาบอยู่ตรงนั้นตรงนี้ คุณนายซีคเกลอร์ เพื่อนบ้านได้เล่าให้ฟังว่า.. "ตอนที่คุณไปทำงาน อลิซาเบธมาแวะที่นี่ ยังถามถึงคุณเลย ว่า ผู้หญิงเวียนนีสคนนั้นเป็นใครกันนะ ลูกเต้าเหล่าใครกัน ฉันก็เลยบอกเธอไปว่า..กรีทเป็นคนดี ที่เธอน่าจะดีใจที่แม่หนูบาร์เบิลได้แม่เลี้ยงที่แสนวิเศษอย่างนี้" จากคำบอกเล่า..ฉันสังเกตเห็นได้ถึงแววตาแห่งความ"สะใจ"ของเพื่อนบ้านที่ได้ประสบความสำเร็จในการที่สร้างเพลิงพิโรธให้กับอลิซาเบธได้ เท่านั้นไม่พอ..อลิซาเบธยังไปเที่ยวบอกเพื่อนบ้านคนอื่นๆด้วยว่า ถ้าเกิดเวอร์เน่อร์ยังรักเธออยู่ และต้องการที่จะกลับมาดีกันอีก เธอก็โอเค.. นี่คือสิ่งที่สร้างความกังวลให้ฉันอย่างเอกอุ เพราะว่า..ฉันต้องการที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา หากแต่เรื่องแต่งงานนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไหนจะต้องมีการเช็คประวัติ และที่มาทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง.. แต่ถ้าไม่แต่ง..เกิดอลิซาเบธย้ายกลับเข้ามาจริงๆ..จะทำอย่างไร? อย่าว่าแต่..อิทธิพลของเธอยังหลอนฉันได้ขนาดนี้เลย แม้แต่เวอร์เน่อรเองก็โดนหยอกอยู่เมื่อไหร่ เขานั้นถึงขนาดถูกครอบงำเลยทีเดียว.. คืนหนึ่ง..ขณะที่เราอยู่ในครัว ฉันกำลังนั่งชุนถุงเท้าเงียบๆ เขากำลังนั่งอ่านหนังสือ ที่ขอยืมมาจากห้องสมุดในที่ทำงาน สักพัก..หนังสือเล่มนั้นก็ร่วงสู่พื้น เขาผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และพูดออกมาอย่างกราดเกรี้ยวว่า "คุณต้องรับผิดชอบในปัญหาเรื่องเงินของเรา เพราะคุณมันใช้จ่ายอย่างไม่บันยะบันยัง ซื้อเสื้อผ้ามาก็ใช้มันแค่หนสองหนก็ทิ้ง เพราะขี้เกียจซัก ขี้เกียจรีดหาความเป็นลูกผู้หญิงสักนิดก็ไม่มี" ฉันนั่งงงไปหมด..เขากำลังพูดถึงฉันหรือถึงใครกัน มองไปรอบๆห้องห้องก็ไม่มีใคร นอกจากฉันที่นั่งหัวโด่อยู่คนเดียว แต่ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมานั่น มันไม่ใช่ฉันเลยสักนิด "เวอร์เน่อร์คะ..มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย?" ฉันถามออกไปอย่างเบาๆด้วยความมึนงง ซึ่งเขาไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ พาตัวเดินกลับไปกลับมา งุ่นง่าน เอามือเสยผมไปมา และพูดต่อว่า "ผมทำงานหนักยังกับวัวกับควาย โกหกปั้นเรื่องหลอกคนเขาไปทั่วเพื่อที่จะหาสิ่งของมาปรนเปรอให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญให้กับคุณหรือ บาร์เบิล คุณก็ยังไม่มีวันพอใจ ยังมีหน้ามาบอกว่า เพื่อนคนนั้นมีไอ้โน่น คนนี้มีไอ้นี่ อยากได้มันไปหมด" มาถึงตอนนี้ ฉันก็เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอลิซาเบธ และทุกคำพูดที่เขากล่าวมานั้น อาจจะมาจากจิตใต้สำนึกบทโต้แย้ง บทวิวาทะที่เขาและเธอเคยมีให้ต่อกัน "คุณคะ..คุณหย่ากับอลิซาเบธแล้วนะ อย่าเก็บมันมาคิดต่อไปเลย..ฉันค่ะ ฉัน..กรีท..ที่เรากำลังอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไงคะ หยุดคิดเรื่องเก่าๆเถอะค่ะ" เขากลับทุบกำปั้นเปรี้ยงไปบนโต๊ะทานข้าว มันแรงเสียจนทั้งช้อนและมีดกระดอนขึ้นมา จานที่จัดวางอยู่สั่นระริก เขาตะโกนว่า "ผมจะไม่ทนต่อไปแล้ว ในบ้านนี้ผมคือนาย..ที่คุณต้องเชื่อฟัง ไม่มีการซื้อของเข้ามาอีกต่อไป คุณจะต้องใช้ของเก่าๆที่มีอยู่ทั้งหมด ถ้าของจำเป็นของบาร์เบิล ผมจะเป็นคนซื้อเอง เข้าใจไหม??" สิ้นประโยค..เขาก็ทรุดตัวลงนั่งฮวบไปบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่อ่อนล้า ซึ่งกว่าฉันจะเรียกให้ขวัญกลับมาสู่เนื้อสู่ตัวเขาได้ ก็นานพอสมควร บัดนั้น ฉันได้สำนึกได้ว่า..กำลังอยู่กินกับคนที่บ้าๆบอๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ..คนดีๆที่ไหนเขาจะยอมมาร่วมหอลงโรงกับผู้หญิงยิวอย่างฉันกันเล่า?? ของมีค่าที่สุดอีกชิ้นหนึ่งที่เวอร์เน่อร์มีในครอบครอง นั่นคือ เครื่องรับวิทยุ ที่เขาได้ใช้เศษกระดาษยัดไว้ตรงปุ่มหมุนหาคลื่น เพื่อเป็นการล๊อคให้ฟังได้แต่คลื่นของสถานีเยอรมัน วิทยุคือสิ่งเดียวที่สร้างความบันเทิงให้กับชาติในยามนั้น ถึงแม้ว่าจะมีแต่ข่าวรายงานสงครามรายวันก็ตามที แต่ก็ยังสามารถรับฟังเพลงจากคอนเสิร์ตต่างๆได้ ส่วนรายการโปรปะกันดาของนายเกิบเบิลส์นั้น มีแทรกเข้ามาได้ในทุกเมื่อเช่นกัน ถ้าใครบังอาจฟังข่าวจากต่างแดนละก้อ มีโทษร้ายแรงถึงขนาดส่งไปทรมานในค่ายนรก และคนที่ทำความผิดสถานนี้นั้นมีให้นับได้เป็นพันๆคนทีเดียว ในช่วงของเดือนกุมภาพันธ์ต้นๆเดือน(1943) ข่าววิทยุได้รายงานมาว่า ทัพเยอรมันถูกต้านจนต้องถอยร่นออกมาในสงครามสตาลินกราด แต่แนวทางในการนำเสนอข่าว ออกมาในลักษณะแบบไม่ค่อยเคร่งเครียดเท่าไหร่ ตามสไตล์กลบเกลื่อนแบบฉบับของเกิบเบิ้ลส์ กล่าวคือ ก่อนการรายงานจะมีเสียงรัวของกลองมาปลุกใจนำมาเป็นการประเดิม ตามด้วยเสียงเพลงของ เบโธเฟน ฟิฟธ์ ซิมโฟนี่ ก่อนที่จะมีเสียงว่า "สงครามสตาลินกราดได้มาถึงที่สิ้นสุด ทหารของเราได้ต่อสู้จนถึงโลหิตหยาดหยดสุดท้าย กองพลที่หกภายใต้การนำของแม่ทัพพอลลัสถูกฝ่ายตรงข้ามที่มีกำลังเหนือกว่า เข้าควบคุมสถานะการณ์อยู่ในตอนนี้" ฟังแล้ว..ช่างออมชอมเสียจริง..แต่..ฮิตเล่อร์ได้ประกาศให้ทุกคนไว้อาลัยให้กับความสูญเสียของประเทศชาติในครั้งนี้ถึงสี่วัน มหรสพทุกชนิดให้งดหมด.. วันที่ 18 กุมภาพันธ์ เสียงของนายเกิบเบิ้ลส์ได้ออกอากาศถึงการประกาศสงครามแบบสู้ตายทิ้งทวน ที่เรียกร้องให้ชาวเยอรมันทุกคนยอมสละชีวิต ร่างกายและวิญญาณ ให้กับท่านผู้นำเพื่อที่จะนำชัยชนะมาสู่ประเทศชาติ มาถึงตรงนี้...ผู้คนนับพันนับหมื่นได้ไปชุมนุมกันแวที่สวนลุมพินี เอ๊ย..ไม่ใช่ ไปที่สเตเดี้ยม ต่างไชโยโห่ร้องกันว่า Fuhrer befiehl, wir folgen!" ใจความว่า..ขอท่านผู้นำบัญชามาเลย พวกเราจะยอมทำตาม.. นี่คือ..อานุภาพของการสื่อโปรปะกันดาล้วนๆ เพราะรัฐบาลได้ควบคุมสื่อมาอย่างหมดจดมาเป็นเวลาช้านาน จนผู้คนไม่รู้ถึง"อันตราย"ที่จะตามมาจากการแพ้สงคราม สตาลินกราดในครั้งนี้ อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่า..กองทัพเยอรมันที่พ่ายแก่รัสเซียนั้นยับเยินเสียหายอย่างน่าทุเรศใจแค่ไหน นี่ยังไม่นับการพ่ายแพ้ของจอมทัพรอมเมลที่ เอล อาลาเมน แถมการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อาฟริกาเหนือนั่นอีก ไม่มีใครเข้าใจหรือสังหรณ์เลยว่า..นั่นคือจุดพลิกผันของเยอรมันที่กำลังจะเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ ทุกคนยังเชื่ออย่างหมดใจว่า..อีกไม่นาน อังกฤษจะต้องกลายมาเป็นเมืองขึ้น รวมทั้งที่อื่นในโลกนี้ด้วย.. ในเมื่อฉันได้อยู่กับคนที่ไม่ค่อยฉลาดนักอย่างเวอร์เน่อร์ ข่าวของนาซีคือสิ่งเดียวที่เราต้องบริโภคเข้าไปทุกๆวัน
Create Date : 24 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:07:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 782 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
WIWANDA |
|
|
|
|