กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนสิบสอง

            หลังจากที่คนทั้งสองลับร่างๆไปนั้น  ฉันพอเข้าใจอะไรได้ขึ้นอย่างลางๆว่า นี่คือเหตุผลที่เปปปิพยายามบ่ายเบี่ยงเสมอ ในเรื่องที่จะออกไปจากออสเตรีย
            เขาจะไปได้อย่างไร ในเมื่อ แอนนาออกอาการกราดเกรี้ยว ทั้งพยายามขู่ด้วยการฆ่าตัวตายแบบที่เห็น
            โซ่พันธนาการที่รัดรึงเขาไว้นั้น มันช่างแข็งแรงที่ปลดออกได้ยากยิ่ง เพราะโซ่นั้น คือสิ่งที่แอนนาเรียกว่า "ความรัก"

            เราทั้งหมด.. นั่งนิ่งเงียบ ปล่อยให้เสียงของการล้างผลาญในคืน Kristallnacht  ดังกรีดก้องกังวานเข้าไปในหู และบาดเข้าไปถึงใจ..

            มิมีแต่งงานกับมิโล..ในเดือน ธันวาคม 1938 และได้หลบหนีออกไปยังอิสราเอลได้ในเดือน กุมภาพันธ์ 1939
            แม่ต้องขายเครื่องเรือนเกือบหมดทุกชิ้นเพื่อจะจ่ายค่าเดินทางแบบใต้โต๊ะ ซึ่งแม่บอกว่า..มีเงินเหลือพอที่จะยัดเยียดฉันให้ออกไปนอกประเทศได้อีกคน
            แต่..ฉันปฏิเสธความหวังดีของแม่ครั้งนี้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะ ฉันคงทนไม่ได้ที่จะต้องจากชายผู้เป็นที่รักไปสุดขอบฟ้า

            ข่าวร้ายๆของบ้านเมืองได้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่ฮิตเล่อร์ได้เข้ามาเหยียบย่างในออสเตรีย..และในที่สุด
            ฮิตเล่อร์ก็ได้เข้าไปยึดครองเชคโกสโลวาเกียอย่างง่ายดาย ตามความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
            นาย แชมเบอร์เลน  ในเดือน มีนาคม 1939  
            แม่รับฟังข่าวนี้ด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยากในชีวิต และพึมพัมขึ้นมาว่า
            "ถ้าพวกโกยิม..ไม่มาปกป้องกันเองแล้ว..เราจะหวังว่าเขาจะมาช่วยเหลือเราได้อย่างไร?"
            { Goy หรือ Goyim คือ คำที่ชาวยิวเรียกชาวตะวันตกที่ไม่ใช่ยิว }
            ข่าวร้ายๆต่อมาคือ เหล่าญาติของพวกเราที่เชคโก..ต่างได้ถูกจับเข้าคุกและต้องยอมเสียทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่มี เพื่อแลกกับอิสรภาพ
            หลายคนต้องลี้ภัยเข้าไปในรัสเซีย..

            เราพยายามไปเยี่ยมตาที่เมืองสตอคเคโรบ่อยๆ เพราะ ตาเริ่มเจ็บออดๆแอดๆ  บรรดาน้องและญาติของแม่ก็ไปผลัดกันไปดูแลอย่างไม่ให้ขาดตอน



            วันหนึ่ง..มีทหารมาทุบโครมๆที่หน้าประตูบ้าน เสียงนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่ว่า ท้องใส้มันเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
            ข่าวที่ทหารคนนั้นนำมาบอก..
            นั่นคือ รัฐบาลนาซีได้ยึดบ้านและร้านค้าจักรยานของตาไปให้แก่ชาวออสเตรียนคริสเตียนที่แสนดีไปแล้ว
            และ..นั่นหมายถึงว่า เราต้องไปรับตามาอยู่ด้วย  หมดสิ้นกันที..สตอคเคโรที่รัก...!!
            หมดสิ้นไปหมด บ้านที่เปรียบเสมือนชีวิตของตาและยายที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่าสี่สิบปี  ข้าวของทุกอย่างไม่ว่าถ้วยโถโอชาม   จนถึงเตียงไม้เก่าแก่ ผ้าลูกไม้ถักของยาย ถูกปล้นเอาไปอย่างต่อหน้าต่อตา

            ฉันดูแลตาอย่างใกล้ชิด และพยายามปรุงอาหารที่ชอบให้  ตาจะขอบคุณเบาๆ แต่คงแย้งด้วยความเกรงใจอย่างเต็มที่ว่า
            "อร่อยสู้ที่ยายทำไม่ได้นะ"
            "หนูทราบค่ะ..ตา"
            "เอ้อ..แล้วยายไปไหนล่ะ"
            "ยายเสียแล้วค่ะ"
            "อ้อ..จริงนะ..ลืมไป" ตาพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน ทอดสายตามองดูมือของตัวเองที่เต็มได้รอยแตกและหยาบกร้านจากการทำงานหนักมาตลอดชีวิต และไม่วายถามว่า
            "เมื่อไหร่..จะกลับไปบ้านได้ซะที?"
            แต่..ตาก็ไม่ได้ทรมานอะไรมากมาย เพราะ วันรุ่งขึ้นตาก็ได้จากไปอย่างสงบ..
            บ้านที่ตาคร่ำครวญถึง และอยากจะกลับไปอย่างเหลือเกินนั้น..คือ เลขที่ 12 Donaustrasse, Stockerau ทุกวันนี้มันก็ยังถูก(คนอื่น)ครอบครองอยู่



            มาถึงคราวของเราบ้าง..คุณนายฟาลัตผู้ดูแลตึกได้มาหาเราพร้อมด้วยน้ำตาและจดหมายขับไล่ในมือ..บอกว่า
            "เข้าของตึกก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลนาซีสั่งมา"
            ฉันและแม่จึงต้องออกจากบ้านที่เราเคยอยู่..ไปยังสลัมยิวในเวียนนา ซึ่งที่นั่นคือ แฟลตของป้าของมิโล
            คุณนาย เมมอง ที่มีญาติหญิงวัยกลางคนอีกสองคน
            ที่รวมอยู่ด้วย เมื่อเราไปเพิ่มอีกสอง รวมเป็นห้า.. ห้องพักเล็กๆนั่น จึงต้องอยู่กันอย่างแออัด  ที่วันๆนึงต้องเดินชนกันไม่รู้ว่ากี่รอบ
            แต่ไม่ว่าครั้งไหน เราต่างมักขอโทษกันด้วยมารยาทอันดีทุกครั้ง

            ฉันและแม่ ช่วยกันหาเลี้ยงชีพด้วยการรับซ่อมแซมเสื้อผ้า  ไม่ใช่การตัดเย็บตามสั่งอย่างแต่ก่อน  
            ยิ่งในระยะนั้น การเย็บที่เราได้รับทำมากที่สุด..นั่นคือ การเอาเข้า..เพราะชาวยิวทุกคนรอบข้าง เริ่มผอมเอา ผอมเอา..
            แต่..เยาท์สกี้ แม่ญาติสาวของฉันกลับอ้วนเอา อ้วนเอา...เธอได้หาโอกาสคุยกับฉันในวันหนึ่งด้วยใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา
            "ฉันรู้ดีนะ ว่าไม่ควรจะมาท้องเอาในตอนนี้ แต่ออตโตเขากำลังจะออกไปรบที่แนวหน้า จะมีโอกาสกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้   เราเลย..เลย..รักกันถี่ไปหน่อย มันก็เลยท้องเนี่ย..จะทำอย่างไรดีล่ะ ช่วยกันคิดหน่อยซิ..
            บางทีพวกเขาคงไม่ทำอะไรกับเด็กหรอกนะ  
            เธอว่ามั๊ยย..อีดิธ  มันน่าจะมีทางยกเว้นนะ เพราะอย่างน้อยพ่อของเด็กก็ไม่ใช่ยิว แถมยังเป็นทหารอีกด้วย"
            "งั้นมั๊ง.."  ฉันตอบไปตามแกน ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้..นาซีหรือ..จะมีการยกเว้น
            "ฉันพยายามสมัครไปหางานทำเป็นแม่บ้านที่อังกฤษ..คิดว่าเขาอาจจะไม่รู้ว่าฉันท้อง แต่ที่ไหนได้ พวกเขารู้ทันทีที่เห็นฉันเลย" พูดจบ เยาท์สกี้ก็หันมาจ้องตาฉันเขม็ง
            พร้อมทั้งเน้นเสียงพูดต่อไปว่า
            "ฉันจะท้องไม่ได้นะ อีดิธ..ฉันต้องไปหาหมอให้เร็วที่สุด"


            สรุปว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากติดต่อไปที่เพื่อนเก่า โคห์น ที่เพิ่งจบแพทย์ศาสตร์ พร้อมทั้งใบประกอบโรคศิลป
            แต่เมื่อไปถึง..จึงทราบว่า พวกนาซีได้ยึดทุกอย่างไปจากเขาจนสิ้น แม้กระทั่งการห้ามทำการรักษา  โคห์นเล่าให้พวกเราฟังว่า
            เอลฟิ  เวสเตอร์ไมย์ ได้เข้าเป็นสมาชิกนาซี และได้อนุญาตให้ทำการรักษาวินิจฉัยโรคทั้งๆที่ยังไม่จบแพทย์ศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
            แต่ด้วยความเวทนา..โคห์นจึงตรวจครรภ์ของเยาท์สกี้อย่างตามมีตามเกิด  แต่ไม่สามารถกระทำ abortion ให้ได้
            เพราะเขาบอกว่า มันเสี่ยงต่อชีวิตจนเกินไป เพราะเครื่องไม้เครื่องมือไม่มี
            อีกทั้ง..เป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เขาบอกว่า
            "กลับไปบ้านเถอะ ไปรักษาตัวเองจนถึงกำหนดคลอด แล้วก็เลี้ยงเขาให้ดี"
            เยาท์สกี้จึงกลับไปบ้าน ไปช่วยออตโต..เก็บข้าวของลงกระเป๋าเพื่อจะออกไปรบที่แนวหน้าโปแลนด์
            ก่อนลาจาก..เขาจูบเธอ พร้อมกับสัญญาว่าจะกลับมา


            >>>ขออธิบายเพิ่มนิดนึงค่ะ..ในยุคสมัยนั้น ยิวในยุโรปมีหลายประเภท ที่มาแตกแขนงแยกออกไปเพราะการแต่งงานผสมนั้นก็มีมาก
            บางคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ต้นตระกูลเป็นยิว เพราะไม่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมา..พวกนี้เขาเรียกว่า พวก Secular  หมายถึงพวก "outside of religion"
            แต่มักจะทราบกันด้วยนามสกุล ที่มักมีต่อด้วย baum , thal, meyer  นี่ละค่ะ
            ในยุคที่มีการต่อต้านยิว..หลายๆคนจึงต้องเปลี่ยนนามสกุลถึงกับมีการซื้อขายเอกสารอันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หรือ มีการให้พวกไฮโซตกยาก(ที่มี von..ทั้งหลาย)
            ยอมรับเป็นลูกบุญธรรมก็มี (ตัวอย่างคือ รมต.ต่างประเทศของฮิตเล่อร์ นาย Joachim von Ribbentrop ที่ไปขอใช้นามสกุลของคนอื่น ทั้งๆที่ของตัวเองได้ทำลายหลักฐาน
            ไปหมดจนเป็นที่น่าสงสัย)  ช่วงข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุดอย่างนั้น เงินซื้อได้ทุกอย่างเชียวค่ะ



            ฉันและแม่ถึงคราวถังแตกอย่างรวดเร็ว เพราะ ค่าจ้างในการซ่อมเสื้อผ้านั้นมันช่างน้อยนิด
            เหลือแค่ชิ้นละ สตางค์แดงเดียว(หนึ่ง groschen ออสเตรีย หรือเทียบเท่ากับ หนึ่ง pfennigs เยอรมัน)
            จนเราทั้งสองต้องใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
            แม่ปวดฟันอย่างสุดแสนทรมาน จะไปหาหมอยิวก็ไม่ได้ เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกห้ามการรักษา
            และด้วยความช่วยเหลือของเปปปิ แม่จึงได้มีโอกาสไปหาหมออารยัน
            ซึ่ง หมอต้องการค่าถอนฟันเป็นทอง  แม่จึงต้องถอดสร้อยให้ไปเส้นหนึ่ง หมอส่ายหน้า..บอกว่าไม่พอ  แม่ก็ถอดให้ไปอีกเส้นหนึ่ง..หมอก็ยังส่ายหน้าอีก..
            ในที่สุด แม่ต้องถอดไปให้อีกเส้น รวมเป็นสาม...สำหรับฟันผุๆเพียงซี่เดียว

            ฉันพยายามไปตามเก็บหนี้เก่าๆซึ่งเป็นค่าผ่อนจักรยานและจักรเย็บผ้า..ที่ลูกค้าซื้อเงินผ่อนไปจากตา..
            แต่..ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ และปิดประตูใส่หน้า เพราะ ในตอนนั้นไม่มีใครโง่มาจ่ายเงินคืนให้"ยิว" เพราะ รัฐบาลได้สนับสนุนการ"ชักดาบ"ครั้งนี้อย่างทั่วถึง
            น้ามาเรียน..น้องสาวของแม่คนหนึ่งได้แต่งงานไปกับ
            นายอดอล์ฟ โรบิเชค ที่ทำงานให้กับบริษัทดานูป อันเป็นบริษัทเดินเรือส่งสินค้า ที่ Belgrade
            ซึ่งน้ามาเรียนได้ฝากพัศดุอันเป็นกล่องที่เต็มไปด้วยอาหารแห้ง เครื่องกระป๋อง มาให้เราได้อาศัยใช้ยังชีพแบ่งกันกินทั้งบ้าน  รอดตายไปได้อย่างลำเค็ญ

            ถ้าคุณคิดว่า..พวกออสเตรียนทั้งหลายที่ต่างอ้างว่า ไม่เคยรู้เรื่องเลยในการพวกยิวได้ถูกปล้นทรัพย์สิน..และถูกบีบคั้นอย่างแสนสาหัสขนาดนี้..
            ฉันจะบอกให้ฟังว่า..ทุกอย่างคือการมดเท็จทั้งสิ้น พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจทุกอย่าง เพราะ ครั้งหนึ่ง ฉันถูกตำรวจจับในการเดินข้ามถนนผิดระเบียบ และจะต้องเสียค่าปรับที่เป็นจำนวนเงินไม่น้อย
            แต่พอตำรวจทราบว่า ฉันเป็นยิว..เขาก็ปล่อยตัวฉันไปอย่างง่ายๆ เพราะ พวกเขารู้ดีว่า ขังไว้ในคุกก็ป่วยการ  เปลืองขนมปังปล่าวๆปลี้ๆ เพราะ พวกยิวต่างกรอบเป็นข้าวเกรียบทั้งนั้น
            ฉะนั้น..พวกคุณเห็นหรือยังว่า..ไอ้ที่มาอ้างกันปาวๆว่า ไม่เค๊ย  ไม่เคยรู้เรื่องเลย..ว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์(ชาวยิว)นั้น..ไม่เป็นความจริงแน่นอน !!




Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:34:57 น. 0 comments
Counter : 1284 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]