Welcome to my blog

8 วัน 7 คืน คิวชู สีสันแห่งเกาะใต้ของญี่ปุ่น (ตอนที่ 4: หนึ่งวันที่ยูฟุอิน)


 
สถานที่ท่องเที่ยว : เมืองยูฟุอิน, Japan
พิกัด GPS : 33° 15' 44.49" N 131° 21' 18.90" E

ถ้าถามผมว่า ในบรรดาเมืองทั้งหมดที่ไปมาในทริปคิวชู ผมชอบเมืองไหนมากที่สุด ผมขอตอบอย่างไม่ลังเลเลยครับว่าเป็น เมืองยูฟุอิน (Yufuin) จริงๆแล้วเมืองนี้เป็นแค่เมืองขนาดเล็ก และที่เที่ยวเด่นๆก็ไม่ค่อยจะมีซักเท่าไหร่ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เมืองนี้มีความโดดเด่นก็คือ บรรยากาศของเมือง ที่ทำให้เราสามารถเดินเล่นไปๆมาๆทั่วทั้งเมืองได้ทั้งวันแบบไม่เบื่อ จนเมื่อจบทริป ผมยังรู้สึกเลยว่า หนึ่งวันที่ยูฟุอินไม่พอจริงๆ อะไรที่ทำให้ผมชอบเมืองนี้มากขนาดนั้น ผมจะนำมารีวิวในบล็อกนี้ครับ

รู้จักกับเมืองยูฟุอิน (Yufuin)

ยูฟุอิน (Yufuin) เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาของ จังหวัดโออิตะ (Oita) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะคิวชู ซึ่งจังหวัดโออิตะแห่งนี้มีของขึ้นชื่ออยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ บ่อน้ำพุร้อน หรือ ออนเซ็น (Onsen) นั่นเองครับ โดยคนญี่ปุ่นมักจะนิยมมานอนพักผ่อนคลายตามบ่อน้ำแร่ต่างของจังหวัดโออิตะ แต่เมืองออนเซ็นที่โด่งดังของจังหวัดโออิตะมีอยู่ด้วยกัน 2 เมืองที่เป็นคู่แข่งกัน นั่นก็คือ เบ็ปปุ (Beppu) และ ยูฟุอิน (Yufuin) 

สำหรับที่เมืองยูฟุอินนั้น เดิมทีที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่สมัยก่อนพยายามจะส่งเสริมในด้านการท่องเที่ยวให้เทียบเท่ากับเมืองเบ็ปปุ โดยพยายามชูจุดขายให้เป็นเมืองบ่อน้ำพุร้อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาที่เมืองนี้กลับมีไม่มากเท่าที่ควร  อาจจะเป็นเพราะว่าเมืองนี้อยู่ใกล้กับเมืองเบ็ปปุมาก แล้วก็น้ำพุร้อนของที่นี่ก็มีไม่มากและหลากหลายเท่าที่เบ็ปปุด้วย

ด้วยเหตุนี้ ทางผู้บริหารเมืองในช่วงปี 1970 เลยเปลี่ยนแนวคิดว่า ที่จะทำให้ยูฟุอินเป็นเมืองแบบเบ็ปปุ แต่พัฒนาเอาจุดขายของยูฟุอินจริงๆ มาชูให้กับนักท่องเที่ยวยูฟุอินจึงค่อยๆพัฒนาจนกลายมาเป็นเมืองที่เป็นเมืองบ่อน้ำพุร้อน ที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน จนที่นี่กลายมาเป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาของเมืองอื่นๆในญี่ปุ่นอีกหลายเมืองในเวลาต่อมาครับ


การเดินทางเข้าสู่เมืองยูฟุอิน

จากเมืองฟุกุโอกะ มีทั้งรถบัสและรถไฟมายังเมืองยูฟุอินครับ และสำหรับใครที่จะเดินทางด้วยรถไฟมาที่เมืองนี้ และมีแผนไปเที่ยวหลายๆเมืองบนเกาะคิวชู ผมแนะนำให้ซื้อ JR North Kyushu area Pass  เพราะจะทำให้ประหยัดเงินมากกว่าซื้อตั๋วรถไฟแบบรายเที่ยว (รายละเอียดเรื่องพาส สามารถอ่านได้ในรีวิวตอนแรกนะครับ)

รถไฟขบวน Yufuin no mori

การเดินทางจากเมืองฟุกุโอกะมายังเมืองยูฟุอินด้วยรถไฟ สามารถเดินทางได้ด้วยขบวนรถไฟปกติ และรถไฟขบวนพิเศษที่ชื่อว่า Yufuin no mori ซึ่งเป็นขบวนรถไฟพิเศษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเกาะคิวชูครับ โดยรถไฟขบวนนี้จะเริ่มวิ่งจาก สถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata) ในเมืองฟุกุโอกะ เพื่อไปยังเมืองยูฟุอิน ใช้เวลาเดินทางรวมประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ

ความพิเศษของรถไฟขบวนนี้ก็คือ รถไฟนี้จะมาในธีมรถไฟรีสอร์ทออนเซ็น โดยข้างนอกจะเป็นสีเขียว ส่วนด้านในตกแต่งด้วยไม้ ทำให้ดูคลาสสิคและมีความสวยงาม


 

ความดีงามอีกอย่างของรถไฟขบวนนี้ก็คือ ตู้เสบียง ที่ขายพวกขนมและเครื่องดื่มที่แปรรูปมาจากของขึ้นชื่อของจังหวัดโออิตะ พอซื้อเสร็จ เราก็มานั่งกินตรงที่นั่งแบบนี้ครับ  (แนะนำว่า พอขึ้นมาบนรถไฟยังไม่ต้องรีบซื้อขนมนะ เพราะรถไฟวิ่งนาน มีเวลาทานเยอะ ช่วงแรกๆคนจะกรูกันมาตรงตู้เสบียง แล้วก็จะจับจองที่นั่งกัน แต่พอผ่านไปซัก 1 ชั่วโมง คนจะโล่งแล้วครับ)



ตราประทับครับ จะได้รู้ว่า เราเคยมาขึ้นรถไฟขบวนนี้แล้ว

ถ้าใครวางแผนจะขึ้นรถไฟขบวนนี้แน่ๆ ผมแนะนำให้ซื้อ JR Kyushu pass นะครับ เพราะแค่ค่ารถไฟขาเดียว ก็ปาเข้าไป 5,190 เยนแล้ว ในขณะที่พาสแบบ 3 วัน อยู่ที่ 10,000 เยน และ 5 วัน อยู่ที่ 14,000 เยน ถ้านั่งไปกลับ แค่รถไฟขบวนนี้ก็คุ้มค่าพาสแล้วครับ

ปัญหาอย่างหนึ่งของรถไฟขบวนนี้คือ ด้วยความที่มันได้รับความนิยมมากๆ ที่นั่งจึงเต็มค่อนข้างเร็ว ดังนั้น ถ้าใครอยากขึ้นมากๆ และไม่อยากพลาด แนะนำว่า หลังจากที่ซื้อ JR North Kyushu area pass มาแล้ว ให้จองที่นั่งไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่เมืองไทยเลย แต่มันจะมีค่าจองขาละ 1000 เยนครับ ซึ่งถ้าใครไม่อยากเสียเงินตรงนี้ สามารถไปทำการจองในตอนที่เอา voucher ไปแลก JR pass อันจริงก็ได้ แบบนี้จะฟรีครับ แต่ก็ต้องลุ้นว่า จะมีที่นั่งไหม อย่างตอนผมไป ผมจองทันแค่ขากลับขาเดียวครับ ส่วนขาไป เนื่องจากที่นั่งเต็ม ผมเลยนั่งรถไฟขบวนปกติไปแทน

วิธีการจองที่นั่งล่วงหน้าสามารถอ่านได้ที่นี่นะครับ เค้าเขียนไว้ละเอียดมาก https://go-graph.com/japan-kyushu-yufuin-no-mori/

เมืองยูฟุอินมีอะไรน่าสนใจบ้าง

1. ถนนสายหลักของเมืองยูฟุอิน
(Yufuin main road)

พอเราเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ภาพแรกที่เห็นคือถนนที่ทอดยาว โดยมีฉากหลังคือ ภูเขายูฟุ (Mt.Yufu) ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ตรงนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนที่มาเที่ยวที่เมืองนี้จะต้องแวะมาถ่ายรูปครับ









เดินๆไปเราจะเจอกับ  แม่น้ำโออิตะกาวะ (Oitagawa river) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชิวิตของชาวเมืองยูฟุอินตั้งแต่อดีต จะสังเกตว่า น้ำใสสะอาดมาก บรรยากาศก็ดี ดูเป็นสถานที่ๆเหมาะสำหรับมาพักผ่อนจริงๆ

ระหว่างทางจะมีร้านค้าต่างๆ ที่ออกแบบและตกแต่งได้อย่างมีเอกลักษณ์ จนกลายมาเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้















เจอร้าน Totoro Ghibli House ที่ขายของที่ระลึกจากอนิเมะของ Ghibli studio ถ้าใครเป็นแฟนของอนิเมะจากค่ายนี้ ที่นี่คือสวรรค์เลยครับ



2. หมู่บ้านดอกไม้ (Yufuin Floral Village)

เป็นธีมพาร์คเล็กๆ ที่ด้านในจะตกแต่งให้อารมณ์เหมือนเราอยู่ในหมู่บ้านในนิทานครับ



ด้านในจะมีพวกคาเฟ่สัตว์ต่างๆ ทั้งแมว นกฮูก สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ และยังมีสัตว์ต่างๆทั้งแพะ แกะ กระต่าย ให้เราป้อนอาหาร รวมทั้งร้านค้าขายของที่ระลึกต่างๆด้วยครับ (ราคาแรงนะ เราเลยแวะมาถ่ายรูปอย่างเดียว)



3. ทะเลสาบคินริน (Kinrin lake)

ใครมายูฟุอินต้องมาที่ทะเลสาบนี้ครับ เพราะที่นี่คือสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลย ที่นี่เป็นทะเลสาบที่ใต้น้ำจะมีบ่อน้ำพุร้อนผุดขึ้นมา ทำให้อุณหภูมิของน้ำอุ่น แม้ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหนก็ตาม อย่างตอนที่ผมไปช่วงเดือนมกราคมที่อากาศหนาวมาก แต่ปลาคาร์ฟก็ยังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบได้ชิลล์ๆ

ด้านหลังตรงนั้นเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะนะครับ พอมาตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ภาพนี้เลยกลายเป็นภาพจำของเมืองยูฟุอินไปเลย

พอเราเดินไปด้านหลัง เราจะเจอกับศาลเจ้าเล็กๆที่ชื่อว่า ศาลเจ้าเท็นโซ (Tenso shrine) ซึ่งเป็นศาสนสถานที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองนี้ ส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวจะเดินไม่ค่อยถึงตรงนี้หรอกครับ แต่ถ้าใครมายูฟุอิน แนะนำให้เดินมาที่นี่ บริเวณนี้จะมีเก้าอี้ให้เรานั่งมองดูวิวทะเลสาบชิลล์ๆแบบเป็นเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน


 

อาหารการกิน

นอกจากที่เที่ยวแล้ว เมืองนี้ยังเด่นเรื่องของกินครับ จริงๆ ผมเดินเที่ยวไปกินไปตลอดทางเลย แต่ร้านที่อร่อยแสงออกปาก จนอยากจะแนะนำให้มาชิมกัน มีดังต่อไปนี้ครับ

1. ร้าน Yufu Mabushi Shin

เค้าว่ากันว่า ถ้ามายูฟุอินแล้วไม่ได้มาทานร้านนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองนี้ครับ ร้านนี้จะอยู่บนถนนสายหลักของเมือง ใกล้กับสถานีรถไฟ ถ้าใครจะมาทานต้องเผื่อเวลาเยอะๆนะ เพราะคิวยาวมาก

ร้านจะขายแค่ไม่กี่เมนูครับ ที่ผมแนะนำคือ ข้าวหน้าปลาไหล กับข้าวหน้าเนื้อ ที่อบในหม้อดิน เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงต่างๆ สำหรับผม ถือว่าอร่อยแบบแปลกๆครับ เพราะไม่เคยกินข้าวหน้าปลาไหล กับข้าวหน้าเนื้อแบบนี้เหมือนกัน

2. ร้าน B-Speak

ร้านนี้ขายเค้กแยมโรลชื่อดังที่สุดของเมืองยูฟุอินที่ใครมาที่นี่ก็ต้องซื้อกลับไป เค้กที่นี่มีหลายรสครับ แต่แนะนำให้ซื้อรสออริจินัล ใครที่ไม่ทานหวานจะชอบร้านนี้มาก เพราะเค้กที่นี่หวานน้อย แต่กลมกล่อม เนื้อเค้กนุ่ม ไม่ค่อยเลี่ยน แต่ข้อเสียของที่นี่คือ เค้กไซส์เล็กจะหมดเร็วมาก เราเลยต้องซื้อไซส์ใหญ่กลับไปแทน

3. ร้าน Milch

จริงๆร้านนี้มีสาขาในประเทศไทยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นที่สนามบินดอนเมือง สยามพารากอน เดอะมอลล์งามวงศ์วาน แต่จากการที่ผมไปลองทานทั้งสาขาที่ประเทศไทย และสาขาออริจินัลที่เมืองยูฟุอิน ส่วนตัวผมว่า ที่ยูฟุอินดีกว่าเยอะมาก

ที่นี่ขายทั้งชีสคัพและพุดดิ้งครับ อันนี้อร่อยจริง ส่วนตัวผมให้เป็น The best ของเมืองนี้เลย

4. ร้าน Yufuin Kinsho Croquettes

ตอนแรกร้านนี้ไม่อยู่ในโพยครับ แต่เราเดินผ่านหน้าร้านแล้วได้กลิ่นหอมมาก เลยตัดสินใจซื้อเลย 5555

เนื่องจากวันที่เราไปที่ยูฟุอินอากาศหนาวมาก พอกินกับคร็อกเก้ร้านนี้ ขอบอกเลยว่าฟินมาก เรื่องความอร่อยไม่ต้องพูดถึง แสงออกปากเลยครับ สมกับที่เค้าได้รับรางวัล Croquettes Gold Medal ระดับประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่เที่ยว ที่กิน และการเดินทางของผมที่เมืองยูฟุอินในทริปนี้ครับ จริงๆเมืองนี้เหมาะสำหรับการมาเที่ยวแบบ one day trip เพราะอยู่ไม่ไกลจากเมืองฟุกุโอกะ แต่ถ้าใครมีเวลามากกว่านั้น ก็สามารถมานอนค้างได้ครับ ตอนเขียนรีวิวนี้ ผมยังเสียดายอยู่เลยที่ให้เวลากับเมืองนี้น้อยไปหน่อย ถ้ามีโอกาสมาอีก อยากจะมานอนค้างที่นี่ซักคืนสองคืนครับ




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2566    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2566 21:58:18 น.
Counter : 269 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

8 วัน 7 คืน คิวชู สีสันแห่งเกาะใต้ของญี่ปุ่น (ตอนที่ 3: ฝ่าฝูงมหาชนที่ดาไซฟุ)


สถานที่ท่องเที่ยว : ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมันกุ (Dazaifu Tenmangu shrine), Japan
พิกัด GPS : 33° 31' 16.33" N 130° 32' 4.99" E

วันที่สอง

หลังจากที่เมื่อวาน เราเดินทางมาถึงที่เมืองฟุกุโอกะ และได้เที่ยวที่วัดนันโซอิน พร้อมๆกับดูกันดั้มที่ห้าง Lalaport กันไปแล้ว ในวันนี้เราจะเดินทางออกนอกตัวเมืองกันบ้างครับ สำหรับเมืองที่เราจะไปกันในวันนี้ เป็นเมืองที่อยู่ในเขตจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka prefecture) ที่ชื่อว่า ดาไซฟุ (Dazaifu) ครับ


การเดินทางไปยังเมืองดาไซฟุ

จากสถานีรถไฟฮากาตะให้นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่ สถานีเทนจิน (Tenjin) จากนั้นให้นั่งรถไฟเอกชนที่ชื่อว่า นิชิเท็ตสึ (Nishitetsu) ไปลงที่ สถานีฟูสึไคจิ (Futsukaiji) แล้วเปลี่ยนสายไปลงที่ สถานีดาไซฟุ (Dazaifu) ครับ

 

พอออกจากสถานีรถไฟที่สถานีดาไซฟุ อันดับแรกคือตกใจก่อนเลย อาจจะเป็นเพราะช่วงที่ผมไปเป็นวันหยุดต่อเนื่องจากช่วงเทศกาลปีใหม่ คนเลยเยอะมาก
 

ระหว่างทางไป ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมังกุ (Dazaifu Tenmangu) เราจะพบกับสารพัดของกินที่น่าทานเต็มไปหมด


 
บนถนนเส้นนี้จะมีร้านสตาร์บัคส์ที่ว่ากันว่า เป็นร้านที่ดีไซน์ได้สวยที่สุดในญี่ปุ่นครับ โดยสตาร์บัคส์ร้านนี้ สร้างขึ้นโดยใช้คอนเซ็ปต์ คิกุมิ (Kigumi) ซึ่งเป็นเทคนิคสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ใช้ไม้มาประกอบเข้าด้วยกันเป็นโครงบ้านเรือนโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว แต่ใช้เพียงแค่การการเจาะรู บากรอยต่างๆ ตามท่อนไม้เท่านั้น (เสียดายช่วงที่ผมไป คนเยอะมาก เลยไม่ได้เข้าไปทาน)
 



 
ระหว่างเดินบนถนนเส้นนี้ ก็เจอน้องอยู่หน้าร้านขายของฝากแห่งหนึ่งครับ
 

 
ของกินขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็คือ ขนมโมจิย่างไส้ถั่วแดง (Umegae machi) ใครมาต้องทานเลยครับ อร่อยมาก แป้งคือดี ไส้ก็อร่อย เรียกว่าอร่อยแสงออกปากเลยครับ
 



จากสถานีรถไฟ ผ่านถนนคนเดินมาไม่ไกล เราก็มาถึงที่ศาลเจ้า
 

ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมังกุ (Dazaifu Tenmangu shrine) เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งการเรียนของชาวญี่ปุ่น โดยเทพองค์นี้ มีเรื่องเล่าว่าสมัยเป็นมนุษย์ มีชื่อว่า สุกะวาระนะ มิจิซาเนะ (Sugawara no Michizane) ซึ่งเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการสอบเข้ารับราชการ และไต่เต้าจนขึ้นเป็นขุนนางใหญ่ จนกลายเป็นคนสนิทของสมเด็จพระจักรพรรดิ แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันเมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จสวรรคต ท่านจึงถูกเนรเทศมาอยู่ที่เมืองนี้ และเสียชีวิต จึงมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นที่นี่ครับ
 

 
ตัวศาลเจ้าครับ เชื่อกันว่า ตรงนี้เป็นที่ฝังร่างของท่านมิจิซาเนะ คนมหาศาลเลยมาต่อแถวเพื่ออธิษฐานขอพรตรงนี้ (ผมไม่ได้เข้าไปข้างในนะ เพราะคิดว่า ดูจากจำนวนคนที่มา คงต้องรอคิวหลายชั่วโมงเลย)
 



 
ตรงหน้าทางเข้าศาลเจ้า เราจะเจอกับรูปปั้นวัวที่มีคนมาต่อคิวถ่ายรูป เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่า หลังจากที่มิจิซาเนะสิ้นใจ สัตว์ที่แบกร่างของท่านก็คือวัว ทำให้เชื่อกันว่าการมาลูบวัวตัวนี้จะทำให้โชคดีในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษา
 

เดินต่อมาจะเจอกับสะพานครับ สะพานนี้มี 2 ช่วง ตีความความหมายได้ว่า ช่วงแรกเป็นช่วงที่ เราเดินทางจากอดีตข้ามสะพานช่วงแรกมาจนถึงปัจจุบัน แล้วก็ข้ามต่ออีกช่วงไปสู่อนาคตนั่นเองครับ
 



บริเวณด้านหลังของศาลเจ้า เราจะเจอ ศาลเจ้าเทนไค อินาริ (Tenkai Inari Shrine) ซึ่งกว่าจะถึงตัวศาลเจ้า จะเจอกับเสาโทริอิเรียงรายยาวไปจนถึงตัวศาลเจ้าที่อยู่บนเขา
 





เดินย้อนกลับมาตรงบริเวณศาลเจ้าดาไซฟุเทนมังกุ ก็เจอกับร้านนี้ ผมอดใจไม่ไหว เลยจัดไปครับ ความดีงามของพวกสตรีทฟู้ดที่ญี่ปุ่นคือ ขนาดเราเลือกร้านมั่วๆยังอร่อยเลย
 



พอทานเสร็จ ตอนบ่ายเราก็นั่งรถไฟย้อนกลับมาที่เมืองฟุกุโอกะ (ย่านเท็นจิน) จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่ ย่านกิออน (Gion) ครับ
 
ย่านกิออน (Gion)

ย่านนี้เป็นย่านเมืองเก่าของเมืองฟุกุโอกะครับ ทำให้ที่นี่จะมีวัดและศาลเจ้าเก่าแก่ประจำเมืองหลายแห่ง ที่โดดเด่นก็ได้แก่

1. 
วัดโทโชจิ (Tocho-Ji temple) 

เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายชินงอน (Shingon) เช่นเดียวกับวัดนันโซอินที่ผมไปมาเมื่อวาน วัดนี้สร้างขึ้นโดยพระสงฆ์ที่มีชื่อว่า โคโบไดชิ (Kobo-Daishi) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้ก่อตั้งนิกายชินงอน ในปี 806 ในยุคเฮอัน ปัจจุบันวัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนี่งในโบราณสถานของจังหวัดฟุกุโอกะ เนื่องจากมีความเก่าแก่มากกว่า 1200 ปี
 



 
ภายในวัดยังมีสุสานของ ตระกูลคุโรดะ (Kuroda family) ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ของเมืองฟุกุโอกะในอดีต


ไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ เจดีย์สีแดงแบบญี่ปุ่น 5 ชั้น
 

สิ่งที่โดดเด่นของวัดนี้ก็คือ พระพุทธรูปไม้ ที่ชื่อว่า ฟุกุโอกะไดบุตสึ (Fukuoka Daibutsu) หรือ พระใหญ่แห่งฟุกุโอกะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากไม้แกะสลักทั้งหมด และถือเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยสูงถึง 10.8 เมตร และหนักถึง 30 ตัน โดยพระองค์นี้สร้างขึ้นในปี 1988 และใช้เวลาในการสร้างนานถึง 4 ปี (ตรงส่วนนี้ของวัดจะมีค่าเข้าชมครับ อยู่ที่คนละ 50 เยน
 

วัดนี้มาง่ายมากครับ. ให้นั่งรถไฟใต้ดินของเมืองฟุกุโอกะมาลงที่ สถานีรถไฟใต้ดินกิออน (Gion subway station) ทางออกหมายเลข 1 ก็จะเจอตัวกับวัดเลยครับ (วัดปิด 16.45 น. แต่แนะนำว่าให้มาก่อน 16.00 น.นะครับ จะได้เที่ยวชมแบบสบายๆ ไม่รีบเร่งจนเกินไป)

2. วัดโชฟุคุจิ (Shofukuji temple)

วัดนี้เป็นวัดสำคัญครับ เพราะถือเป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายเซน (Zen) แห่งแรกของญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1195 โดยพระสงฆ์ที่ชื่อว่า เมียวอัน เออิไซ (Myoan Eisai) หลังกลับจากการเรียนพระพุทธศาสนาจากประเทศจีน และต่อมานิกายเซนก็ได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น เนื่องจากได้รับความนิยมในหมู่ซามูไรที่เป็นชนชั้นปกครองในอดีต

 

 
นิกายเซนจะเน้นความเรียบง่ายครับ จะสังเกตว่าวัดจะดูเรียบๆ แต่สงบ อันเป็นหัวใจหลักของนิกายเซน (ต่างจากนิกายชินงอน ที่จะเน้นความสวยงามและยิ่งใหญ่)
 




 

ที่ตั้งของวัดนี้อยู่ด้านหลังวัดโทโชจินะครับ เดินไปอีกนิดเดียวไม่เกิน 300 เมตร

3. ศาลเจ้าคุชิดะ (Kuchida shrine)

เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองฟุกุโอกะ สร้างในปี 757 มีอายุมากกว่า 1200 ปี ว่ากันว่าการมาขอพรที่นี่ จะทำให้ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจและการค้าขาย นอกจากนี้ศาลเจ้านี้ยังเป็นที่จัดเทศกาลสำคัญของเมืองฟุกุโอกะ นั่นก็คือ เทศกาลแห่เสลี่ยงยักษ์ หรือ Hakata Gion Yamakasa festival ซึ่งเป็นเทศกาลที่จะจัดในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี

 

ตอนผมไปเป็นช่วงปีใหม่ คนเลยต่อคิวจนล้นออกมานอกศาลเจ้าเลยครับ เท่าที่สังเกต ช่วงปีใหม่คนญี่ปุ่นจะนิยมมาขอพรที่ศาลเจ้า ทั้งศาลเจ้าคุชิดะ และศาลเจ้าดาไซฟุ ในขณะที่วัดในศาสนาพุทธ คนจะค่อนข้างน้อย เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะมีแต่คนต่างชาติที่มาเที่ยวครับ
 

 
ราเมนข้อสอบ ร้านอิชิรันราเมน (Ichiran ramen)

ในเมืองฟุกุโอกะ มีของกินขึ้นชื่ออยู่หลายอย่าง แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุด นั่นก็คือ ฮากาตะราเมน (Hakata Ramen) ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองนี้ครับ 

สำหรับร้านฮากาตะราเมนชื่อดังที่สุดของเมืองก็คือ ร้านอิชิรันราเมน (Ichiran ramen) หรือ ราเมนข้อสอบ ที่ใครหลายคนคุ้นเคยกัน จริงๆแล้ว ร้านนี้มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ ก่อนจะแพร่หลายไปทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น และในต่างประเทศหลายประเทศ ซึ่งเราสามารถหาร้านนี้ทานได้จากหลายๆสาขาทั่วทั้งเมืองฟุกุโอกะเลยครับ แต่ในทริปนี้ผมเลือกมาทานที่ห้างคาแนลซิตี้ (Canal city) ใกล้ๆกับย่านกิออนที่เราเพิ่งไปเที่ยวมา

 

วิธีการทาน เราต้องเดินไปสั่งและจ่ายเงินที่ตู้กดครับ โดยเมนูของร้านจะมีให้เลือกแค่ ซุปทงคัตสึ หรือว่า ซุปกระดูกหมู อย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ต้องเลือกคุณสมบัติต่างๆของราเมนที่เราต้องการ ทั้งความเข้มข้นของซุป ความเผ็ดของน้ำซุป ความนุ่มของเส้น และอื่นๆ ทั้งหมดนี้จะเขียนติ๊กๆ ใส่ในกระดาษแบบฟอร์มของทางร้าน คล้ายๆกับการทำข้อสอบครับ
 

ความแปลกของร้านนี้คือ ที่นั่งจะมีลักษณะเป็นช่องคูหาเล็กๆ และมีฉากกั้นด้านข้าง ซึ่งการออกแบบให้เป็นแบบนี้ ก็เพื่อให้คนทานได้โฟกัสกับราเมน โดยไม่ถูกคนรอบข้างรบกวน และการทำแบบนี้ จะทำให้ลูกค้าหมุนเวียนเข้าออกร้านมากขึ้น (อาจจะเป็นเพราะการจัดที่นั่งแบบนี้ ทำให้คนไม่ได้คุยกัน เลยทานเสร็จได้ไวขึ้นนั่นเองครับ)
 

พอเราทานราเมนเสร็จ ก็ค่ำพอดี ผมเลยตัดสินใจกลับที่พักไปพักผ่อน ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่เที่ยวทั้งหมดที่ผมไปมาในวันที่สองของทริปครับ หวังว่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่จะเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นที่ภูมิภาคนี้ สำหรับในตอนหน้า เราจะพาไปเที่ยวยังเมืองอื่นๆในภูมิภาคคิวชูเหนือกันต่อ ฝากติดตามในบล็อกต่อไปด้วยนะครับ




 

Create Date : 30 เมษายน 2566    
Last Update : 30 เมษายน 2566 22:26:09 น.
Counter : 293 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

8 วัน 7 คืน คิวชู สีสันแห่งเกาะใต้ของญี่ปุ่น (ตอนที่ 2: ฟุกุโอกะ ประตูสู่เกาะคิวชู)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple), จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka), Japan
พิกัด GPS : 33° 37' 11.23" N 130° 34' 23.00" E

วันที่หนึ่ง

เริ่มต้นทริปในวันแรกกันครับ ทริปนี้เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เพิ่มเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติฟุกุโอกะ (Fukuoka) บนเกาะคิวชู ด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD736 ครับ ข้อดีของเที่ยวบินนี้ก็คือ จะออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองตอนดึก แล้วก็ไปถึงที่ฟุกุโอกะในตอนเช้า เราเลยสามารถเที่ยวได้ตั้งแต่วันแรก เป็นการประหยัดค่าโรงแรมไปได้ 1 คืน

รูทนี้จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงครับ ถือเป็นรูทที่ใช้เวลาเดินทางนานที่สุดของสายการบิน Thai Air Asia และจะทำการบินด้วยเครื่องบินแบบ Airbus A321 Neo ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางด้วยเที่ยวบินนี้ สามารถดูรีวิวได้จากคลิปนี้จากทาง HFLIGHT นะครับ เค้ารีวิวละเอียดดีมาก

เมื่อเราเดินทางไปถึงที่สนามบินฟุกุโอกะ จะมีเจ้าหน้าที่ของทางการญี่ปุ่นมาตรวจสอบการลงทะเบียนของเราในเว็บ Visit Japan ซึ่งถ้าเราลงทะเบียนครบถ้วนสมบูรณ์ เราจะได้ QR code 3 อัน เอาไว้โชว์กับเจ้าหน้าที่ 3 จุด ได้แก่ ด่านกักกันโรค, ด่านตรวจคนเข้าเมือง และ ด่านศุลกากร 

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทะเบียนในเว็บ Visit Japan สามารถดูได้ที่นี่ครับ https://travel.trueid.net/detail/VRe9z5JgbwMR

(สำหรับใครที่วางแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ไม่ต้องใช้หลักฐานการฉีดวัคซีนใดๆแล้วครับ พูดง่ายๆคือ ไม่ฉีดวัคซีนเลยก็เข้าญี่ปุ่นได้แล้ว แต่ยังคงต้องลงทะเบียนในเว็บ visit japan อยู่)

การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง

จริงๆสนามบินฟุกุโอกะ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะเลยครับ โดยเราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินหรือรถบัสของทางสนามบินเพื่อไปยังศูนย์กลางของเมืองที่ สถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata Train station) ก็ได้ ราคาพอๆกันคือ อยู่ที่ 260 เยน (รถไฟใต้ดิน) และ 270 เยน (รถบัส) ครับ แต่ถ้าใครจะเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน จะต้องนั่งรถชัตเติ้ลบัสฟรีของทางสนามบินจากอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (International terminal) เพื่อไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆกับอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic terminal) ก่อน ซึ่งถ้าใครมีสัมภาระเยอะๆ อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ผมเลยแนะนำให้ขึ้นรถบัสดีกว่าครับ เพราะรถจะมารับเราที่ International Terminal เลย

รู้จักกับเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka City)

เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka city) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู และมีใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหกของญี่ปุ่น ที่นี่เป็นเมืองหลวงของ จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka Prefecture) และมีศูนย์กลางของเมืองอยู่ที่ สถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata Train station) ครับ

หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมชื่อสถานีรถไฟ กับชื่อเมืองถึงไม่เหมือนกันเหมือนกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในอดีตครับ

จริงๆก่อนหน้านั้น บริเวณที่เป็นเมืองฟุกุโอกะในปัจจุบันประกอบไปด้วยเมืองใหญ่ 2 เมืองที่มีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นนั่นก็คือ เมืองฟุกุโอกะ ซึ่งเป็นเมืองเอกของแคว้นที่มีซามูไรเป็นผู้ปกครอง ในขณะที่ เมืองฮากาตะ ก็ถือเป็นเมืองการค้าขนาดใหญ่บนเกาะคิวชู และมีพ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลเป็นผู้ปกครอง ต่อมาในปี 1889 หลังจากเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ ระบบเจ้าผู้ครองแคว้นหรือไดเมียวได้ถูกยกเลิกไป และญี่ปุ่นมีการปฏิรูปการปกครองเป็นระบบจังหวัดต่างๆ จึงมีการรวมเอา 2 เมืองนี้เข้าไว้ด้วยกัน ปัญหาคือ เมืองนี้จะถูกเรียกว่าอะไรดี เพราะทั้งสองเมืองก็ถือเป็นเมืองใหญ่ ในตอนแรกสุด ก็มีการประชุมตกลงกันว่าจะใช้ชื่อเมืองว่า ฮากาตะ (เพราะศูนย์กลางการปกครองของเมืองอยู่ทางฝั่งนี้) แต่แล้วก็มีซามูไรกลุ่มหนึ่ง บุกเข้ามาในที่ประชุม และบังคับให้ใช้ชื่อเมืองว่าฟุกุโอกะ และก็มีการใช้ชื่อเมืองนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนชื่อฮากาตะนั้น จะเอาไว้ใช้เรียกย่านที่เป็นศูนย์กลางของเมืองฟุกุโอกะซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟในปัจจุบัน

การเดินทางภายในเมืองฟุกุโอกะค่อนข้างสะดวกครับ เพราะที่นี่มีทั้งรถเมล์ และระบบรถไฟใต้ดินซึ่งเชื่อมต่อไปยังศูนย์กลางของเมืองที่สถานีรถไฟฮากาตะ สำหรับระบบรถไฟใต้ดิน ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 สาย แต่สายที่เราจะใช้ในการเดินทางเป็นหลักคือ สายสีส้ม หรือ Airport line ซึ่งจะวิ่งผ่านจุดสำคัญๆของเมืองอย่างสนามบิน ย่านฮากาตะ (Hakata), ย่านเทนจิน (Tenjin) รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆของเมืองอีกหลายแห่งครับ นอกจากระบบรถไฟใต้ดินแล้ว เรายังสามารถเดินทางไปเที่ยวยังเมืองข้างเคียงภายในจังหวัดฟุกุโอกะได้ด้วยระบบรถไฟของ JR และระบบรถไฟเอกชน ซึ่งในทริปนี้ เราได้ใช้สำหรับการเดินทางไปยัง วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple), ห้าง LaLaport และ เมืองดาไซฟุ (Dazaifu)

ที่พักในเมืองฟุกุโอกะ

ในเมืองฟุกุโอกะ มีอยู่ 2 ย่านด้วยกันที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพัก นั่นก็คือ ย่านฮากาตะ (Hakata) และ ย่านเทนจิน (Tenjin) ครับ สำหรับย่านฮากาตะนั้น จะเหมาะกับคนที่ต้องการเที่ยวไปยังต่างเมือง เพราะใกล้สถานีรถไฟของ JR ทำให้เดินทางไปมาระหว่างเมืองค่อนข้างสะดวก ในขณะที่ย่านเทนจินจะเป็นย่านแหล่งช็อปปิ้ง เหมาะกับคนที่เป็นสายช็อป เพราะมีห้างสรรพสินค้าเพียบ (แต่ไม่ได้เยอะเท่าที่โตเกียวนะ)

สำหรับทริปนี้ ผมเลือกพักที่ย่านฮากาตะครับ เพราะผมไม่ใช่สายช็อป แล้วก็ต้องการเดินทางไปยังเมืองต่างๆด้วย ก็เลยต้องการเน้นเดินทางสะดวก

ทริปนี้ผมเลือกพักที่ Hotel WBF Grande Hakata เป็นโรงแรมตั้งอยู่ในเมืองฟุกุโอกะ ใกล้กับสถานี Hakata ในระยะที่เดินได้ (ประมาณ 800 เมตร) ข้อดีของที่นี่คือ ที่ตั้งโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถไฟ ทำให้ไปไหนมาไหนได้สะดวก หาของกินก็ง่าย ส่วนบริการอื่นๆก็ตามมาตรฐานญี่ปุ่นทั่วไป แต่ข้อเสียของที่นี่คือ ห้องค่อนข้างแคบตามสไตล์โรงแรมในญี่ปุ่นครับ

ผมพักที่โรงแรมนี้รวม 4 คืน (แบ่งเป็น 3 คืนแรกของทริป และ1 คืนสุดท้ายก่อนบินกลับกรุงเทพ) เป็นห้อง Twin bed สำหรับ 2 คนโดยจองผ่านอโกด้า รวมเป็นเงินไทย 11,326 บาท (หารต่อคนอยู่ที่ 5663 บาท)

วัดนันโซอิน (Nanzoin temple)

หลังจากที่เราเอาของไปฝากไว้ที่ๆพัก เราก็ไปเที่ยวที่วัดนี้ครับ จริงๆวัดนี้อยู่นอกเมืองฟุกุโอกะนะ วิธีการเดินทางคือ ต้องขึ้นรถไฟของ JR จากสถานีรถไฟฮากาตะ มาลงที่ สถานีรถไฟคิโดะ นันโซอินมาเอะ (Kido Nanzoin-mae station) ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ค่ารถไฟอยู่ที่ 380 เยน

จากสถานีรถไฟ เดินไปอีกนิดเดียวจะถึงตัววัดครับ วัดนี้เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายชินงอน ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน 88 วัดบนเส้นทางแสวงบุญของเกาะคิวชู จริงๆก่อนหน้านี้วัดนี้อยู่ที่ ภูเขาโคยะซัง (Koyasan) ที่จังหวัดวากายามะ (Wakayama) ในภูมิภาคคันไซ (Kansai) แต่ต่อมาในปี 1886 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนาพุทธ กับศาสนาชินโต รวมทั้งความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น วัดจึงถูกขับไล่ให้มาตั้งอยู่บนเกาะคิวชูแทนมาจนถึงปัจจุบัน

ไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ พระนอน ครับ พระนอนองค์นี้สร้างขึ้นจากทองสำริด และถือเป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ใหญ่เท่าเครื่องบิน Boeing 747)

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระองค์นี้ก็คือ ที่นี่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างประเทศพม่า กล่าวคือ ในอดีตวัดนี้ได้บริจาคสิ่งของต่างๆ ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องเขียน และของใช้ต่างๆ ให้กับเด็กในประเทศพม่า และเพื่อเป็นการตอบแทน ทางการพม่าเลยส่งพระบรมสารีริกธาตุมาให้ กับทางวัด ทางวัดจึงมีการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้คือ เพื่อเป็นที่บรรจุของพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมานั่นเอง

ว่ากันว่า การมาขอพรที่วัดนี้จะทำให้เกิดโชคลาภครับ เพราะมีข่าวลือว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นด้วยเงินของเจ้าอาวาสที่ถูกหวยหลายครั้ง คนไทยหลายคนมาขอพรที่พระพุทธรูปองค์นี้ (ด้วยการลูบที่พระบาท หรือฝ่าเท้าขององค์พระ)

 

โดยส่วนตัว ผมชอบวัดนี้นะครับ เพราะบรรยากาศที่นี่เงียบสงบ (แม้ว่าวันที่ไปคนจะเยอะก็ตาม) นอกจากนี้บริเวณวัดยังมีพวกรูปปั้น เทวรูป และศิลปะต่างๆ ที่ผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ถือเป็นการเปิดทริปคิวชูที่เป็นสิริมงคลมากครับ











ห้างลาลาพอร์ต (LaLa Port)

ในช่วงเย็นของทริปวันแรก เรามาเดินเล่นกันที่ห้างนี้ จริงๆ ห้างลาลาพอร์ตมีอยู่หลายสาขาทั่วทั้งญี่ปุ่น แต่สาขาที่ฟุกุโอกะมีความโดดเด่นคือ จะมี กันดั้ม ขนาดใหญ่อยู่หน้าห้าง ซึ่งกันดั้มตัวนี้เป็นกันดั้มตัวที่ใหญ่ที่สุดของญี่ป่น (ว่ากันว่าใหญ่เท่าตัวจริงเลย)



หลังจากดูกันดั้มเสร็จ เราก็เดินขึ้นมาที่ชั้น 3 ของห้าง ซึ่งจะมี Food court อยู่ มื้อนี้เราทานเป็นข้าวหน้าเนื้อ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,200 เยนครับ

การเดินทางมายังห้างนี้ ให้นั่งรถไฟของ JR จากสถานีฮากาตะ มาลงที่ สถานีทาเกชิตะ (Takeshita) แล้วเดินต่อไปอีก 750 เมตรนะครับ

พอทานเสร็จ เราก็กลับโรงแรมไปเช็คอิน แล้วพักผ่อนเอาแรงสำหรับเที่ยวในวันรุ่งขึ้นครับ ริวิวในวันแรกของทริปคิวชูเหนือก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ




 

Create Date : 06 มีนาคม 2566    
Last Update : 30 เมษายน 2566 21:08:26 น.
Counter : 959 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

8 วัน 7 คืน คิวชู สีสันแห่งเกาะใต้ของญี่ปุ่น (ตอนที่ 1: เตรียมตัวเที่ยวคิวชู)

สถานที่ท่องเที่ยว : ภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso), จังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto), Japan
พิกัด GPS : 32° 59' 59.83


ในบรรดาประเทศต่างๆทั่วโลก คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ถือเป็นจุดหมายปลายทางลำดับต้นๆที่คนไทยอยากไปเยือนมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะประเทศนี้มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ตลอดจนความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมานั้น ทำให้การเดินทางไปยังต่างประเทศ รวมทั้งประเทศญี่ปุ่นทำได้ยาก เพราะทางการรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจปิดพรมแดน และปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ เป็นเวลามากกว่า 3 ปี จนมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ประเทศนี้ก็กลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ทริปญี่ปุ่นทริปแรกหลังโควิดของผมจึงเกิดขึ้นครับ

สำหรับทริปนี้ ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างโตเกียว โอซาก้า หรือเกียวโต นะครับ แต่ผมเลือกที่จะไปยังเกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เกาะนั้นมีชื่อว่า เกาะคิวชู (Kyushu)  ครับ ทริปนี้ผมเดินทางในช่วงระหว่างวันที่ 2-9 มกราคม 2566 รวมเป็นระยะเวลา 8 วัน 7 คืน โดยเราเที่ยวใน ภูมิภาคคิวชูเหนือ (Northern Kyushu) ใน 4 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่ ฟุกุโอกะ (Fukuoka), นางาซากิ (Nagasaki), คุมาโมโต้ (Kumamoto) และ โออิตะ (Oita) ครับ

รู้จักกับเกาะคิวชู (Kyushu Island)

ในทางภูมิศาสตร์ประเทศญี่ปุนประกอบด้วยเกาะใหญ่ 4 เกาะ เหนือสุดคือ เกาะฮอกไกโด (Hokkaido) ถัดลงมาก็คือ เกาะฮอนชู (Honshu) ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่อย่าง โตเกียว (Tokyo) และ โอซาก้า (Osaka) ส่วนอีก 2 เกาะ ได้แก่ เกาะชิโกกุ (Shikoku) ซึ่งเป็นเกาะที่เล็กที่สุด กับ เกาะคิวชู (Kyushu) ซึ่งเป็นเกาะที่ผมจะนำมารีวิวในบล็อกชุดนี้ครับ

ถ้าไม่นับหมู่เกาะโอกินาว่า (Okinawa) เกาะคิวชูถือเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ใต้สุดของญี่ปุ่น และในทางภูมิศาสตร์ เกาะนี้ยังสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือ

1. ภูมิภาคคิวชูตอนเหนือ (Northern Kyushu) ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ฟุกุโอกะ (Fukuoka), คุมาโมโต้ (Kumamoto), นางาซากิ (Nagasaki), ซากะ (Saga) และ โออิตะ (Oita) โดยในรีวิวชุดนี้ ผมจะรีวิวเฉพาะเกาะคิวชูส่วนนี้เท่านั้นนะครับ

2. ภูมิภาคคิวชูตอนใต้ (Southern Kyushu) มีอยู่ 2 จังหวัดคือ มิยาซากิ (Miyazaki) และ คาโกชิมะ (Kagoshima) และบางแหล่งข้อมูลยังรวมเอา โอกินาว่า (Okinawa) ทั้งจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคคิวชูตอนใต้ด้วยครับ

เกาะคิวชูถือเป็นเกาะที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ดินแดนแห่งไฟ (Land of fire) เนื่องจากเกาะนี้เป็นที่ตั้งของ ภูเขาไฟมีพลัง (Active volcano) เป็นจำนวนมากถึง 9 ลูก ตัวอย่างเช่น ภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso) ที่อยู่ทางตอนกลางของเกาะคิวชู และเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยภูเขาไฟนี้เพิ่งจะประทุครั้งล่าสุดไปเมื่อปี 2021 นี่เองครับ นอกจากนี้เกาะคิวชู ยังเป็นภูมิภาคที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดของญี่ปุ่น เพราะมีรอยเลื่อนมีพลังพาดผ่าน แผ่นดินไหวครั้งที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2016 ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto) ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งร่องรอยของความเสียหายยังคงมีปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบัน

พูดถึงด้านร้ายๆกันไปแล้ว เรามาดูด้านที่ดีของดินแดนแห่งไฟนี้กันบ้างครับ ผู้คนบนเกาะคิวชูมีความเชื่อว่า ภูเขาไฟต่างๆบนเกาะเป็นสิ่งที่ให้พลังแห่งชีวิตแก่พวกเขา และทำให้ธรรมชาติบนเกาะมีความอุดมสมบูรณ์ จนสามารถประกอบอาชีพทางการเกษตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ ข้าว และปศุสัตว์ นอกจากนี้ ความร้อนจากใต้พิภพยังทำให้บนเกาะนี้มีแหล่งน้ำพุร้อนเป็นจำนวนมาก (1 ใน 3 ของแหล่งน้ำพุร้อนทั่วทั้งญี่ปุ่นอยู่บนเกาะคิวชู) ที่นี่จึงถือเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมออนเซ็นของญี่ปุ่น 

 

นอกจากนี้ เกาะคิวชูยังได้ชื่อว่าเป็น ประตูสู่ญี่ปุ่น (Gateway to Japan) อีกด้วยครับ เนื่องจากที่นี่เป็นจุดที่มีการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี จีน หรือชาติตะวันตก นับตั้งแต่อดีต โดยมีเมืองท่าสำคัญ ทั้ง นางาซากิ (Nagasaki) และ ฮากาตะ (Hakata) ที่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของจังหวัดฟุกุโอกะ ทำให้มีการหลั่งไหลทางวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามาที่เกาะนี้เป็นจำนวนมาก

เที่ยวช่วงไหนดี

เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของญี่ปุ่นครับ อากาศที่นี่มีอยู่ 4 ฤดู ได้แก่

1. 
ฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม  ข้อดีของการมาช่วงนี้คือ อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป ถ้ามาถูกช่วงจะเป็นช่วงที่ดอกซากุระบาน แต่ข้อเสียคือ ตั๋วเครื่องบินแพงครับ

2. ฤดูร้อน ตั้งเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนกันยายน ข้อดีของการมาช่วงนี้คือ เป็นช่วงเทศกาลต่างๆของญี่ปุ่น ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน และค่าตั๋วเครื่องบินยังค่อนข้างถูก แต่ข้อเสียคือ เรื่องอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางช่วงอาจเจอฝนหรือพายุไต้ฝุ่นได้

3. ฤดูใบไม้ร่วง ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นอีกหนึ่งช่วงที่น่ามาเที่ยว เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย มีใบไม้เปลี่ยนสีให้เราดูด้วย แต่ก็มีโอกาสเจอฝนได้บ้าง นอกจากนี้ในช่วงเดือนธันวาคม อากาศถือว่าหนาวไปซะหน่อย สำหรับคนไทย

4. ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป อากาศในฤดูหนาวที่นี่ไม่ได้หนาวเหมือนส่วนอื่นของญี่ปุ่น ในเมืองใหญ่โอกาสเจอหิมะตกค่อนข้างยาก ต้องขึ้นไปบนเขาหรือออกนอกเมืองถึงจะเจอหิมะ

สำหรับในทริปนี้ ผมไปในช่วงต้นเดือนมกราคม ซึึ่งถือเป็นช่วงกลางฤดูหนาวเลย แต่อากาศก็ไม่ได้หนาวขนาดติดลบครับ โดยอุณหภูมิช่วงที่ผมไปจะอยู่ที่ 0-11 องศา ไม่มีฝน และไม่มีหิมะตก ยกเว้นบนภูเขาไฟอาโสะครับ
 
 
 เวลา

เวลาที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งที่เกาะคิวชูเร็วกว่าที่ประเทศไทย 2 ชั่วโมงครับ และในช่วงที่ผมไปเมืองที่นี่ค่อนข้างเงียบเร็วนะครับ แค่สองทุ่มเมืองก็เงียบสนิทแล้ว (อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาว) แล้วก็พระอาทิตย์ตกเร็วด้วย แค่ 5 โมงเย็นก็มืดแล้วครับ

ตม.และวีซ่า

การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในระยะสั้น (ไม่เกิน 15 วัน) สำหรับคนที่ถือพาสปอร์ตไทยนั้น ไม่ต้องใช้วีซ่าครับ แต่หลังจากโควิดระบาด ทางการญี่ปุ่นได้กำหนดให้คนที่จะเข้าประเทศญี่ปุ่นต้องลงทะเบียนในเว็บไซต์ Visit Japan ตามเว็บไซต์นี้ครับ  https://www.vjw.digital.go.jp/main/#/vjwplo001 

(สำหรับใครที่วางแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ไม่ต้องใช้หลักฐานการฉีดวัคซีนใดๆแล้วครับ พูดง่ายๆคือ ไม่ฉีดวัคซีนเลยก็เข้าญี่ปุ่นได้แล้ว แต่ยังคงต้องลงทะเบียนในเว็บ visit japan อยู่)


สำหรับเงื่อนไขการเข้าประเทศญี่ปุ่น อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดนะครับ ในอนาคตอาจจะยกเลิก หรืออาจจะมีมาตรการอื่นเพิ่มขึ้นมา ซึ่งใครจะเดินทางไปต้องเช็คข้อมูลที่อัพเดทอีกทีนะครับ

ผู้คนและความปลอดภัย

เช่นเดียวกับส่วนอื่นของญี่ปุ่น ผู้คนที่เกาะคิวชูให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีครับ นอกจากนี้ สิ่งที่ผมรู้สึกแตกต่างจากญี่ปุ่นส่วนอื่นๆก็คือ ผมรู้สึกว่า คนที่นี่เป็นมิตรกว่าผู้คนตามเมืองใหญ่อย่างกรุงโตเกียว และยังสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีกว่าผู้คนจากญี่ปุ่นส่วนอื่น อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่นี่มีประวัติศาสตร์ที่ติดต่อกับชาวต่างชาติมาอย่างยาวนาน เลยค่อนข้างคุ้นชินกับชาวต่างชาติ ส่วนเรื่องความปลอดภัย เกาะคิวชู ถือว่าปลอดภัยมากครับ ใครๆก็ไปเที่ยวได้ ผู้หญิงคนเดียวก็สามารถเดินทางไปเที่ยวได้สบายๆ

 

ระบบเงินตราและค่าครองชีพ

ปัจจุบันค่าเงินญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับเงินบาทอ่อนค่าลงมาก จากที่สมัยก่อนจะอยู่ที่ 1 เยน เท่ากับ 0.33 บาท แต่ปัจจุบันเหลือแค่ประมาณ 0.25 บาทเท่านั้น (ถ้าจะแปลงเงินเยนเป็นเงินบาทให้หาร 4) ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับเที่ยวญี่ปุ่นที่สุด แนะนำให้รีบๆไปเลย

ส่วนเรื่องค่าครองชีพ ของที่นี่ไม่แพงเท่าตามเมืองใหญ่ครับ หลายอย่างถูกจนตกใจเลย ใครอยากเที่ยวญี่ปุ่น แต่งบประมาณมีจำกัด แนะนำให้มาที่เกาะคิวชูเลยครับ

 

การเดินทางเข้าสู่เกาะคิวชู

เมืองที่ใหญ่ที่สุด และถือเป็นประตูสู่เกาะคิวชูคือ เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ครับ ที่นี่มีสนามบินนานาชาติขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า ท่าอากาศยานนานาชาติฟุกุโอกะ (Fukuoka International Airport) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะ จากกรุงเทพ มีไฟลท์บินไปลงที่นี่อยู่หลายสายการบิน ได้แก่ Thai Air Asia (จากสนามบินดอนเมือง), Thai Vietjet Air (จากสนามบินสุวรรณภูมิ) และ การบินไทย  (จากสนามบินสุวรรณภูมิ) สำหรับทริปนี้ผมเลือกบินกับ Thai Air Asia ซึ่งออกเดินทางจากกรุงเทพตอนดึก ไปถึงที่ฟุกุโอกะในช่วงเช้า ใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง (ใช้เวลาน้อยกว่าบินไปโตเกียวหรือโอซาก้า)

 

 
เมื่อไปถึงที่สนามบินที่ฟุกุโอกะแล้ว เราสามารถเลือกที่จะเข้าเมืองได้ด้วย 2 วิธีคือ รถ Airport bus และ รถไฟใต้ดิน (Subway) ราคาของการเดินทางทั้งสองวิธีจะพอๆกัน คืออยู่ที่ 260-270 เยน แต่เนื่องจากตัวสถานีรถไฟใต้ดินไม่ได้อยู่ที่ International Terminal ถ้าจะขึ้นรถไฟใต้ดินต้องต่อรถ shuttle bus ฟรีของสนามบินไปลงที่ domestic terminal อีกทีหนึ่ง ดังนั้นถ้าใครกระเป๋าเยอะ และไม่สะดวกจะลากของขึ้นๆลงๆรถ ผมแนะนำให้ขึ้น Airport bus จะดีกว่า เพราะรถจะมารับถึง International Terminal เลย
 
การเดินทางระหว่างเมืองบนเกาะคิวชู

หลายคนคงทราบกันดีนะครับ ว่าประเทศญี่ปุ่นถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะการขนส่งระบบราง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟธรรมดา, รถไฟความเร็วสูง (ชินกันเซ็น), รถไฟใต้ดิน, รถราง รวมไปถึงรถเมล์ต่างๆ และก็เช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศญี่ปุ่น การเดินทางบนเกาะคิวชูก็ถือว่าสะดวกสบาย เพราะมีรถไฟที่ครอบคลุมตามเมืองใหญ่ต่างๆที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เราไปมาทั้งหมดในทริปนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่ารถไฟของญี่ปุ่นราคาค่อนข้างสูง ถ้าเราต้องจ่ายเป็นเที่ยวๆ คงหมดเงินไปเยอะ แต่ข้อดีของการมาเที่ยวที่นี่ก็คือ ประเทศญี่ปุ่นเค้าจะมีสิ่งที่เรียกว่า เจอาร์พาส (JR Pass) ซึ่งเป็นตั๋วรถไฟแบบเหมา สำหรับใช้ขึ้นรถไฟไม่จำกัดจำนวนเที่ยวในบริเวณ หรือภูมิภาคที่กำหนด (อันนี้ให้เป็นข้อมูลไว้ สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนนะครับ ส่วนคนที่ไปบ่อยๆคงรู้ดีล่ะ)

 

สำหรับพาสที่เราใช้ในทริปนี้ก็คือ North Kyushu Area pass แบบ 5 วัน โดยผมจองผ่าน klook ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3,600 บาท (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ ตอนนั้น) โดยเราสามารถใช้พาสนี้สำหรับใช้ขึ้นรถไฟระหว่างเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟุกุโอกะ (Fukuoka), นางาซากิ (Nagasaki), คุมาโมโต้ (Kumamoto) และ ยูฟุอิน (Yufuin) รวมไปถึง ภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso) ด้วยครับ

ใครที่วางแผนจะมาเที่ยวที่เกาะคิวชู แต่ไม่ได้มีเวลาเที่ยวนานเหมือนผม North Kyushu Area pass ยังมีแบบ 3 วันด้วยนะครับ หรือถ้าใครอยากเที่ยวทั้งเกาะคิวชูเลย ก็สามารถซื้อเป็น All Kyushu Area Pass เลยก็ได้ครับ

 
ถ้าเราซื้อพาสนี้ผ่าน klook เราจะได้เป็นวอยเชอร์ และเมื่อไปถึงที่ญี่ปุ่นแล้ว ให้เอาวอยเชอร์นี้ไปแลกเป็นพาสตัวจริงได้ที่สถานีรถไฟ Hakata ในเมืองฟุกุโอกะนะครับ และใครที่จะใช้พาสนี้ ผมแนะนำให้ไปแลกพาสตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงเลยนะ แม้ว่าจะยังไม่เปิดใช้พาสในวันนั้นก็ตาม เพราะเราต้องใช้พาสในการจองรถไฟขบวนพิเศษ เช่น Aso boy หรือ Yufuin no mori ซึ่งจะเต็มค่อนข้างเร็ว จึงควรจองตั้งแต่เนิ่นๆ (รายละเอียดเกี่ยวกับรถไฟขบวนพิเศษนี้ ผมจะอธิบายในรีวิวตอนต่อๆไปนะครับ)
 
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานนานาชาติฟุกุโอกะ (Fukuoka International Airport) ด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD736
  • เช้า เดินทางถึงฟุกุโอกะ (Fukuoka) เดินทางไปยังโรงแรมด้วยรถไฟใต้ดิน
  • ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วไปเที่ยวที่วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)
  • เย็น ไปเที่ยวที่ห้าง Lalaport / ชมกันดั้มยักษ์ที่ตั้งอยู่หน้าห้าง
วันที่สอง
  • นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองดาไซฟุ (Dazaifu)
  • เที่ยวศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu tenmangu shrine) และตะลุยกินที่ถนนคนเดินหน้าศาลเจ้า
  • กลับไปยังเมืองฟุกุโอกะ เดินเล่นเที่ยวชมวัดและศาลเจ้าต่างๆที่ย่านเมืองเก่ากิออน (Gion)
วันที่สาม
  • เปิดใช้งาน North Kyushu pass เป็นวันแรก
  • นั่งรถไฟสาย Yufuin No mori เพื่อไปเที่ยวยังเมืองยูฟุอิน (Yufuin) แบบ one day trip
  • เที่ยวชมเมืองยูฟุอิน/ เดินไปทะเลสาบคิริน (Lake Kirin) / ถ่ายรูปริมทะเลสาบ
  • เดินทางกลับไปยังเมืองฟุกุโอกะ
วันที่สี่
  • เดินทางไปยังเมืองนางาซากิ (Nagasaki)
  • เที่ยวชมเมืองนางาซากิ ได้แก่  สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park), พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic bomb museum), มหาวิหารอุราคามิ (Urakami Cathedral) และจุดที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงบนเมืองนางาซากิ (Nagasaki hypecenter park)
  • เย็น: ชมพระอาทิตย์ตกดินจากบนภูเขาอินาสะ (Mt.Inasa)
วันที่ห้า
  • เดินชมร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของเมืองนางาซากิ ได้แก่ ศาลเจ้าซูวะ (Suwa shrine),  วัดโซฟุคุจิ (Sofukuji temple), วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji temple), สะพานแว่นตา (Meganebaeshi bridge), โบสถ์โออุระ (Oura church) สวนริมทะเลนางาซากิ (Nagasaki seaside park) และย่านไชน่าทาวน์ของเมืองนางาซากิ
  • เย็น เดินทางต่อไปยังเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto)
วันที่หก
  • นั่งรถไฟไปเที่ยวยังภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso) แบบ one day trip
  • เที่ยวชมปากปล่องภูเขาอาโสะ และทุ่งหญ้าคุซาเซนริ (Kusasenri)
  • เดินทางกลับเมืองคุมาโมโตะ
วันที่เจ็ด
  • เช้า เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle)
  • บ่าย ไปดูห้องทำงานของหมีคุมามงที่คุมามงสแควร์ (Kumamon square)
  • เย็น เดินทางกลับเมืองฟุกุโอกะ
วันที่แปด
  • เช้าตรู่ เดินทางไปยังสนามบิน
  • บินกลับกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD737
ที่พัก

ทริปนี้ผมพักอยู่ด้วยกัน 3 โรงแรมใน 3 เมืองด้วยกันนะครับ

1. Hotel WBF Grande Hakata

เป็นโรงแรมตั้งอยู่ในเมืองฟุกุโอกะ ใกล้กับสถานี Hakata ในระยะที่เดินได้ครับ (ประมาณ 800 เมตร) ข้อดีของที่นี่คือ ที่ตั้งโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถไฟ ทำให้ไปไหนมาไหนได้สะดวก หาของกินก็ง่าย ส่วนบริการอื่นๆก็ตามมาตรฐานญี่ปุ่นทั่วไป (ข้อเสียของที่นี่คือ ห้องค่อนข้างแคบตามสไตล์โรงแรมในญี่ปุ่นครับ) ผมพักที่โรงแรมนี้รวม 4 คืน (แบ่งเป็น 3 คืนแรกของทริป และ1 คืนสุดท้ายก่อนบินกลับกรุงเทพ) เป็นห้อง Twin bed  สำหรับ 2 คนโดยจองผ่านอโกด้า รวมเป็นเงินไทย 11,326 บาท (หารต่อคนอยู่ที่ 5663 บาท)

 

2. Hotel  Cuore Nagasaki Ekimae

ผมพักที่นี่ 1 คืนที่เมืองนางาซากิครับ ข้อดีของที่นี่คือ ใกล้กับสถานีรถมาก แล้วก็ยังใกล้กับป้ายรถรางสำหรับเดินทางรอบเมืองนางาซากิ นอกจากนี้ห้องยังถือว่าใหญ่ เมื่อเทียบกับโรงแรมญี่ปุ่นหลายที่ แต่ที่นี่ก็มีข้อเสียคือ พนักงานน้อย และตรงฟร้อน บางช่วงจะไม่มีพนักงานให้บริการครับ แต่เราสามารถเช็คอินด้วยตัวเองผ่านตู้อัตโนมัตินะ ไม่ยาก ผมจองที่พักนี้ผ่านอโกด้า เป็นห้องแบบ Twin bed สำหรับ 2 คน คิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ 2732 บาท (หารต่อคนอยู่ที่คนละ 1366 บาทครับ) 

 

3. Dormy Inn Kumamoto Natural Hot Spring

เป็นที่พักที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ครับ ตั้งอยู่ในเมืองคุมาโมโตะ ข้อดีคือ ห้องกว้าง สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีออนเซ็นให้บริการด้วย แม้ว่าข้อเสียใหญ่ของที่นี่คือ ไม่ได้ติดกับสถานีรถไฟ แต่ก็อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอย่าง ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) ผมจองที่พักนี้ผ่านอโกด้า เป็นห้องแบบ Twin bed สำหรับ 2 คน รวม 2 คืน คิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ 6040 บาท (หารต่อคนอยู่ที่คนละ 3020 บาทครับ)

 

 
งบประมาณ         

ทริปนี้รวมทั้งหมดตลอดทั้งทริป 8 วัน 7 คืน ผมหมดไปประมาณ 33,000 บาทต่อคน แบ่งเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ รวมน้ำหนักกระเป๋า 10,500 บาท ค่าที่พัก 7 คืน รวมเป็นเงิน 10,049 บาท ค่า JR pass 3,600 บาท นอกเหนือจากนั้น เป็นค่าเข้าชมสถานที่ ค่าอาหาร ขนม น้ำจากตู้กด ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น รถราง รถไฟใต้ดิน และรถเมล์ แต่ยังไม่รวมค่าของฝากต่างๆนะครับ

สำหรับรีวิวของทริปคิวชูเหนือในตอนแรก ก็จบลงเพียงเท่านี้นะครับ ในตอนหน้า เราจะมาเจาะทีละเมืองกัน เริ่มต้นที่ เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งถือว่าเป็นประตูสู่เกาะคิวชู ฝากติดตามในตอนต่อไปด้วยนะครับ




 

Create Date : 04 มีนาคม 2566    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2566 21:28:43 น.
Counter : 670 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

3 วัน 2 คืน โอกินาว่า เกาะสวรรค์ทะเลใต้ของญี่ปุ่น (ตอนที่ 7: กินช็อปส่งท้ายที่ถนน Kokusai Dori)

 
สถานที่ท่องเที่ยว : ถนน Kokusai Dori, Naha, Japan
พิกัด GPS : 26° 12' 54.78" N 127° 41' 5.73" E
 
วันที่สาม (ต่อ)

ความเดิมในตอนที่แล้ว ผมได้จบการทัวร์ครึ่งวันในส่วนใต้ของเกาะโอกินาว่าโดยรถทัวร์พาเรามาส่งที่เดิมคือ ถนน Kokusai dori ตอน 13.30 ซึ่งก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี

ร้านอาหารที่ผมจะแนะนำในวันนี้ ผมขอแนะนำร้าน Yunangi ซึ่งอยู่ในซอยที่ติดกับถนน Kokusai dori (ลองหาพิกัดได้ใน google map นะครับ) ร้านอาจจะดูไม่ใหญ่มาก แต่รับรองอร่อยแน่นอน
 

สาเหตุที่อยากแนะนำร้านนี้คือ ร้านนี้เป็นร้านที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ร้านอาหารอันดับหนึ่งของ Naha โดย tripadvisor โดยอาหารทั้งหมดเป็นอาหารท้องถิ่นสไตล์โอกินาว่าครับ
 

จริงๆก็อร่อยทุกอย่างแหละ แต่ที่ผมชอบมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งก็คงเป็น ขาหมูราดซอสสาเก จานนี้จานนี้ครับ 
 


อีกจานที่แนะนำคือ Okinawa Soba ซึ่งเป็นราเมนกระดูกหมูสไตล์โอกินาว่า



และจานสุดท้ายที่ขอแนะนำเป็นอาหารประจำชาติของชาวโอกินาว่า นั่นก็คือ มะระขี้นกผัดไข่ (คนโอกินาว่าเชื่อว่ามะระขี้นกมีประโยชน์ต่างๆมากมาย ทั้งขับพิษ ขับร้อน และบำรุงร่างกาย และเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ชาวโอกินาว่าอายุยืน)



หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรายังมีเวลาเหลืออีก 2-3 ชั่วโมง ผมจึงใช้เวลาที่เหลืออีก 2-3 ชั่วโมงในการช็อปปิ้งที่ถนน Kokusai Dori


ของฝากที่คนทั่วไปมักนิยมซื้อกลับบ้าน ได้แก่


- ทาร์ตมันม่วง (ฺBeni Imo Tart)



- รูปปั้นเจ้าชิซา (Shisa) สัตว์ในตำนานของชาวริวกิว ซึ่งจะมีรูปปั้นประดับอยู่ทุกบ้าน เพราะเชื่อว่าจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ออกไปได้



- Umibudo เป็นสาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งมีมากในแถบทะเลโอกินาว่าเวลาทานจิ้มกับโชยุ หรือเป็นเครื่องเคียงปลาดิบ หรือทานกับข้าวเปล่าๆได้
 

ได้เวลาสมควรเราก็เดินทางไปสนามบิน 

Note! อย่าลืมว่า เราต้องไปขึ้นเครื่องที่ Low cost airline terminal ซึ่งต้องต่อรถบัสไปอีกที ดังนั้นจึงควรเผื่อเวลาไปบ้างนะครับ แต่ก็ไม่แนะนำให้ไปถึงอาคาร Low cost airline terminal เร็วเกินไป เนื่องจากที่นั่งมีอยู่อย่างจำกัด และเค้าก็ค่อนข้างประหยัดแอร์ (ร้อนมาก!) จึงควรบริหารดีๆ ไม่ควรไปเร็วหรือช้าเกินไป (แนะนำให้มาถึงสนามบิน 18.00 . กำลังดีที่สุด)
 

เนื่องจากเป็นอาคารสนามบิน Low cost ดังนั้นเราต้องบริการตนเองตั้งแต่ปริ๊นบอร์ดดิ้งพาสโดยคอมพิวเตอร์ แล้วค่อยเดินไปโหลดกระเป๋ากับจนท.อีกที (ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง)

เมื่อถึงเวลาอันสมควร เค้าก็จะเรียกเราเข้าไปรอขึ้นเครื่องข้างในครับ

อันนี้เป็น Flight ของเรา แต่เวลาจริงเครื่อง delay ไปประมาณครึ่งชั่วโมง อาจจะเป็นเพราะตรงเส้นทางบินมีไต้ฝุ่นกำลังเคลื่อนผ่านพอดี (อันนี้ต้องให้อภัย)

 

Note: ใครจะไปเที่ยวในช่วงระหว่างเดือนพค. ถึงตค. แนะนำให้เช็คพยากรณ์อากาศดีๆนะครับ ถ้าเกิดดวงแตก ไต้ฝุ่นเข้า อาจมีการเลื่อนหรือยกเลิกไฟลท์ได้ ยังไงก็ควรหาทางหนีทีไล่ในกรณีนี้ไว้ด้วย 

บทสรุป

สำหรับโอกินาว่าถ้าใครศึกษาประวัติศาสตร์จริงๆจะรู้ครับว่า โอกินาว่าไม่ใช่ญี่ปุ่น เกาะนี้ก็เพิ่งจะถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เอง ดังนั้นจะให้การเดินทางสะดวกสบายเหมือนญี่ปุ่น main land ก็คงเป็นไปไม่ได้ และถ้าจะคาดหวังว่าจะมาเที่ยวดูศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น การมาเที่ยวที่นี่คงไม่ตอบโจทย์ครับ

ผมว่าการมาเที่ยวโอกินาว่า เหมือนมาเที่ยวอีกประเทศหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งญี่ปุ่น หรือจีน โอกินาว่ามีสเน่ห์เฉพาะตัว ทั้งผู้คน วัฒนธรรมและอาหารในแบบที่หาไม่ได้ในประเทศไหน อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นมีอิทธิพลมากๆต่อโอกินาว่า ทำให้มาตรฐานการดำรงชีพต่างๆ ทั้งความปลอดภัย ความเป็นระเบียบ และความสะอาดก็อยู่ในมาตรฐานญี่ปุ่น ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆโดยส่วนตัวผมชอบทุกที่เลยครับ แม้ว่าการเดินทางเข้าถึงจะทำได้ลำบาก จึงจำเป็นต้องซื้อทัวร์ หรือเช่ารถขับ แต่ผมว่าก็คุ้มค่าที่จะได้เข้ามาชมครับ

ตอนอื่นๆ

ตอนที่ 1: เตรียมตัวเที่ยวโอกินาว่า

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=11-11-2017&group=14&gblog=11

ตอนที่ 2: รู้จักกับสายการบินพีชแอร์

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=15-11-2017&group=14&gblog=12

ตอนที่ 3: อุโมงค์ลับแห่งเกาะโอกินาว่า

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=22-11-2017&group=14&gblog=13

ตอนที่ 4: เรียนประวัติศาสตร์ที่ปราสาทชูริ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=24-11-2017&group=14&gblog=14

ตอนที่ 5: ซื้อทัวร์เที่ยวตอนเหนือของเกาะ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=26-11-2017&group=14&gblog=15

ตอนที่ 6: เที่ยวถ้ำยักษ์ที่ Okinawa World

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=26-11-2017&group=14&gblog=16

ตอนที่ 7: กิน ช็อปส่งท้ายที่ถนน Kokusai Dori

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=03-12-2017&group=14&gblog=17




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2560    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2565 11:52:46 น.
Counter : 640 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.