Welcome to my blog

2 วัน 1 คืน โทยามะ แดนสวรรค์ใต้เงาขุนเขาเจแปนเอลป์ (ตอนที่ 2: Takaoka city)


 
สถานที่ท่องเที่ยว : องค์พระใหญ่แห่งเมืองทากะโอกะ (Takaoka Daibutsu), Japan
พิกัด GPS : 36° 44' 44.49

วันที่สอง

แผนเที่ยวในวันนี้ เราทำการเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่เมืองโทยามะ (Toyama city) จากนั้นจะลากกระเป๋าขึ้นรถไฟเพื่อไปเที่ยวยังเมืองที่มีชื่อว่า ทากะโอกะ (Takaoka) แล้วในช่วงเย็นจึงเดินทางต่อไปยังเมืองคานาซาวะ (Kanazawa) ครับ

สำหรับ ทากะโอกะ (Takaoka) นั้น เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดโทยามะ โดยเมืองนี้จะอยู่ระหว่างเมืองโทยามะ (Toyama city) และเมืองคานาซาวะ (Kanazawa)

 
 
จากเมืองโทยามะ การเดินทางมายังเมืองทากะโอกะสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน นั่นก็คือ
  1. ให้นั่งรถไฟ Hokuriku shinkansen จากเมืองโทยามะมาลงที่ สถานี Shin-Takaoka แล้วนั่งรถไฟสาย Johana Line ต่อมาอีก 1 สถานีมาลงที่ สถานี Takaoka
  2. นั่งรถไฟท้องถิ่นสาย Ainokaze Toyama Railway ต่อเดียวถึงสถานี Takaoka เลย

 
ทั้งสองวิธีสามารถใช้ JR Kansai Hokuriku Area pass ได้ครับ ผมแนะนำวิธีที่สองนะ เพราะไม่ต้องต่อรถ (ตอนผมไปเลือกวิธีแรก แล้วต้องรอรถไฟสาย Johana Line ค่อนข้างนาน ยังไงถ้าใครจะไปลองเช็ครอบรถไฟอีกทีนะ)
 

 
จากสถานี Takaoka จะมีทางออกสองฝั่งคือ ฝั่งเหนือ (North Exit) และ ฝั่งใต้ (South Exit) เรามาเริ่มกันที่ฝั่งใต้ (South exit) กันก่อน พอเดินจากทางออกฝั่งใต้ เดินไปประมาณ 850 เมตร จะเจอกับ วัดซุยริวจิ (Zuiryuji Temple) ครับ (วัดนี้มีค่าเข้าชม 500 เยน)
 

 
วัดซุยริวจิ (Zuiryuji Temple) เป็นวัดที่สร้างในปี 1663 เพื่ออุทิศแก่ มาเอดะ โทชินากะ (Maeda Toshinaga) ซึงเป็นขุนนางแห่งตระกูลมาเอะดะที่ในตอนนั้นได้ปกครองตั้งแต่จังหวัดอิชิกาวะไปจนถึงจังหวัดโทยามะ รวมทั้งที่เมืองทากะโอกะแห่งนี้ด้วย
 

วัดนี้เป็นวัดในนิกายเซนครับ สถาปัตยกรรมในวัดนี้จึงเน้นความเรียบง่าย โดยมีการก่อสร้างโดยใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก 
 

ตัววัดประกอบไปด้วยอาคารหลักหลายหลัง รวมถึงประตูใหญ่ (Sanmon), โถงพระ (Butsuden), และหอระฆัง (Shoro)
 

 

เดินออกมาด้านหน้าตัววัดจะมี ถนนคานะยะมาจิ (Kanayamachi street) ซึ่งเดิมเคยเป็นย่านของช่างตีเหล็ก ตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ
 

 
กลับมาที่สถานีกันบ้างครับ เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักการ์ตูนชื่อดังอย่าง โดราเอมอน (Doraemon), ปาร์แมน และ นินจาฮาโตริ ซึ่งที่สถานี Takaoka จะมีการตกแต่งทั้งตัวสถานีรถไฟ ตู้ไปรษณีย์ และรถรางของเมืองในธีมการ์ตูน 2 เรื่องนี้อยู่ทั่วทั้งเมือง
 



 
เนื่องจาก Takaoka เป็นบ้านเกิดของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังอย่าง ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ (Fujiko F. Fujio) คนเขียนการ์ตูนทั้ง 3 เรื่องนี้ ทางการเมืองนี้เลยใช้การ์ตูนเป็น soft power ในการโปรโมทเมืองนี้ไปซะเลย
 

 
เดินออกมาจาก ทางออกสถานีรถไฟฝั่งเหนือ (North exit)  จะเจอกับ ถนนคนเดินโดราเอมอน (Doraemon walking road) ซึ่งเป็นทางเดินที่ประดับไปด้วยรูปปั้นจากตัวการ์ตูนในเรื่องโดราเอมอนอยู่เต็มไปหมด เพราะโดราเอมอนเป็นหนึ่งในการ์ตูนชื่อดังของฟุจิโกะ ฟุจิโอะครับ
 

จากนั้นเดินต่อมาอีกไม่เกิน 10 นาที เราจะพบกับ องค์พระใหญ่แห่งเมืองทากาโอกะ (Takaoka Daibutsu) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ พระองค์นี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี โดยสร้างขึ้นจากบรอนซ์ ด้วยความสูง 16 เมตร และหนัก 65 ตัน
 

 
บริเวณฐานขององค์พระพุทธรูป สามารถเข้าไปชมได้ ด้านในจะเป็นพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่ครับ
 

เดินต่อมาอีกจะเจอกับ สวนสาธารณาซากปราสาททากาโอกะ (Takaoka Kojo Park) ซึ่งสร้างอยู่บนพื้นที่ๆเดิมทีคือ ปราสาททากาโอกะ (Takaoka castle) ที่ถูกเพลิงไหม้ในปี 1821 ก่อนจะปรับปรุงให้พื้นที่นี้เป็นสวนสาธารณะในช่วงยุคปฏิรูปเมจิ
 

 
ภายในสวนสาธารณะมีรูปปั้นของ มาเอดะ โทชินากะ (Maeda Toshinaga) ไดเมียวแห่งแคว้นคากะ ที่เคยปกครองเมืองนี้
 

ภายในสวน ยังมี ศาลเจ้าอิมิสุ (Imizu shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่โบราณของเมือง เชื่อว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคนารา (ปี ค.ศ. 710-794)
 

ตอนช่วงเย็นเราเดินกลับไปที่สถานี Takaoka เพื่อขึ้นรถไฟสาย Himi Line ไปลงที่ สถานี Amaharashi ครับ (รถไฟสายนี้สามารถใช้ Kansai Hokuriku Area Pass ได้)
 

 
ชายฝั่งอะมะฮาราชิ (Amaharashi Coast) เป็นจุดชมวิวที่สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันสวยงามของท้องทะเลและความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาเจแปนแอลป์ที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนับเป็นภาพทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามมากจนติดอันดับ 1 ใน 100 ชายหาดที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (ในรูปด้านล่างคือ ภาพโปรโมทที่นี่)
 

 
อย่างไรก็ตาม การจะเห็นทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน อาจจะต้องพึ่งแต้มบุญสูงซะหน่อย อย่างในทริปนี้ผมไม่เห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ครับ
 



แต่ถ้าไม่คิดอะไร ผมว่าที่นี่ก็ถือว่าบรรยากาศค่อนข้างชิลล์ มีคาเฟ่ vibe ดีให้นั่งพักผ่อนดูวิวทะเล แค่นี้ผมว่าก็คุ้มค่าที่จะมาแล้วครับ
 

ในช่วงเย็น เราเดินทางกลับไปที่สถานี Shin-Takaoka จากนั้นก็นั่ง Hokuriku shinkansen เพื่อเดินทางต่อไปยัง เมืองคานาซาวะ (Kanazawa)  การเดินทางของเราที่จังหวัดโทยามะในทริปนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ครับ


จริงๆแล้วโทยามะเป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่่มีที่เที่ยวเยอะมากครับ ที่เที่ยวที่คนไทยชอบไปกันค่อนข้างเยอะก็คือ เส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route ซึ่งผมเคยไปและเคยรีวิวไว้แล้ว ในทริปนี้ผมเลยเน้นเที่ยวพวกเมือง และลัดเลาะไปตามชายฝั่งแทน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ เมืองนี้ยังคงความประทับใจ ถ้าใครเที่ยวญี่ปุ่่นหลายๆรอบจนเบื่อพวกเมืองท่องเที่ยวหลักแล้ว แนะนำให้มาตามรอยทริปของผมที่โทยามะได้เลยครับ 

รีิวิวที่จังหวัดโทยามะก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ในบล็อกหน้าจะเป็นบล็อกที่รีวิวเมืองสุดท้ายของทริปโฮกุริคุ นั่นก็คือ คานาซาวะ (Kanazawa) ฝากติดตามกันต่อด้วยครับ

 




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2567    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2567 21:15:22 น.
Counter : 251 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

2 วัน 1 คืน โทยามะ แดนสวรรค์ใต้เงาขุนเขาเจแปนเอลป์ (ตอนที่ 1: Toyama city + Asahi Funakawa)


สถานที่ท่องเที่ยว : สวนสาธารณะคันซุย (Fugan Canal Kansui Park), Japan
พิกัด GPS : 36° 42' 33.69" N 137° 12' 44.10" E

จังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture) อาจจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่นในหมู่คนไทยเหมือนเมืองดังๆ อย่างโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า แต่ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่เมืองยอดฮิต โทยามะก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่มีความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ทิวทัศน์ รวมไปถึงธรรมชาติที่สวยงามของเมืองนี้

ในรีวิวนี้ ผมจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับจังหวัดโทยามะ ผ่านการรีวิวทริป 2 วัน 1 คืนที่จังหวัดนี้ โดยในทริปนี้ผมไปมาในช่วงเดือนเมษายน ปี 2567 ครับ

รู้จักกับจังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture)

จังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture) อยู่ใน ภูมิภาคชูบุ (Chubu) ที่อยู่ทางชายฝั่งภาคกลางของญี่ปุ่นครับ โดยจังหวัดนี้จะอยู่ระหว่าง กรุงโตเกียว (Tokyo) และ เมืองโอซาก้า (Osaka) บน เกาะฮอนชู (Honshu island) ของประเทศญี่ปุ่น และมีเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดที่ชื่อกัน นั่นก็คือ เมืองโทยามะ (Toyama city) 

 
ส่วนในทางประวัติศาสตร์ โทยามะเป็นส่วนหนึ่งของ แคว้นเอ็ตสึ (Etchu province) โดยมีไดเมียวหรือผู้ครองแคว้นจาก ตระกูลมาเอะดะ (Maeda clan) จนกระทั้งเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ แคว้นเอ็ตสึก็ได้ถูกแบ่งและจัดการปกครองใหม่ออกมาเป็นจังหวัดต่างๆอีก 4 จังหวัด รวมทั้งจังหวัดโทยามะมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวของจังหวัดโทยามะก็คือ แนวเทือกเขาเจแปนเอลป์ (Japan Alps) ซึ่งเป็นแนวภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมในหลายจังหวัดของภูมิภาคชูบุ แต่ความพิเศษของจังหวัดโทยามะก็คือ ในวันที่อากาศแจ่มใส เราจะสามารถมองเห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ได้ในหลายๆจุดของเมืองแบบนี้ครับ

 

จริงๆแล้ว เรายังสามารถเที่ยวบนเขาเจแปนเอลป์โดยเริ่มต้นจาก สถานีรถไฟโทยามะ (Toyama Train station) ได้ด้วยนะ ในทริปนี้ผมไม่ได้ไป เพราเคยไปมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และรีวิวลงในบล็อกนี้แล้วครับ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=26-12-2023&group=14&gblog=26

 

จังหวัดโทยามะ ยังเป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกของญี่ปุ่น ได้แก่ หมู่บ้านโกคายามะ (Gokayama village) ซึ่งเป็นบ้านที่ทำจากฟาง โดยมีหลังคาสูงชัน เพื่อป้องกันการสะสมของหิมะที่ตกเยอะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งในทริปนี้ผมไม่ได้ไปที่นี่นะครับ เพราะส่วนตัวเคยไปเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่มีลักษณะคล้ายกันไปแล้ว (ในรูปด้านล่าง)
 

ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิครับ ข้อดีของการมาโทยามะในช่วงนี้ นอกจากซากุระแล้ว ที่นี่ยังมีทุ่งดอกทิวลิปให้ได้ชมหลายแห่ง เพราะโทยามะเป็นจังหวัดที่มีการส่งออกดอกทิวลิปมากที่สุดของประเทศญี่ปุ่น อย่างในทริปนี้ผมได้ไปทุ่งดอกทิวลิปที่ชื่อว่า  Asahi Funakawa Spring Quartet มาด้วยครับ
 
การเดินทางเข้าสู่เมืองโทยามะ

เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของประเทศญี่ปุ่น เมืองโทยามะก็สามารถเดินทางไปมาได้ด้วยรถไฟ ไม่ว่าจะมาจากโตเกียว (Tokyo) โอซาก้า (Osaka) หรือนาโกย่า (Nagoya) โดยปัจจุบันมีรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku Shinkansen มาที่โทยามะ โดยใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการเดินทางจากเมืองนาโกย่า ก็สามารถนั่งรถไฟ Limited Espress ขบวน Hida มาได้โดยตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครับ

 

สำหรับในทริปของผม จะเดินทางมายังเมืองโทยามะจากเมืองฟุกุอิ ด้วย Hokuriku Shinkansen ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมง (แนะนำให้เช็คข้อมูลขบวนรถไฟได้ในแอป Japan Transit Planner)
 
เนื่องจากในทริปนี้ ผมเดินทางเที่ยวหลายเมืองจากโอซาก้า มายัง ภูมิภาคโฮกุริคุ (Hokuriku region) ได้แก่ โทยามะ (Toyama), คานาซาวะ (Kanazawa) และฟุกุอิ (Fukui) เพื่อประหยัดค่าเดินทาง ผมเลยเลือกใช้ JR Kansai Hokuriku Area Pass ซึ่งจะครอบคลุมการเดินทางในแถบเมืองเหล่านี้ รวมทั้งภูมิภาคคันไซ ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า, นารา (Nara), เกียวโต (Kyoto), โกเบ (Kobe) สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน
 
 
ใครที่มีแผนเที่ยวประมาณนี้ แนะนำให้ลองพิจารณาเลือกใช้พาสตัวนี้ดูนะครับ โดยราคาพาสคิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันบาท

ทางไปจอง https://www.klook.com/th/activity/2771-7-day-jr-kansai-hokuriku-area-pass-jr-pass/

 

ส่วนพาสอื่นๆที่สามารถใช้เดินทางไปยังเมืองโทยามะได้ ได้แก่
  • JR Hokuriku Arch Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากโตเกียวไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองโทยามะด้วย (สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน)
  • JR Takayama Hokuriku Area Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากนาโกย่าไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองทากายามะ (Takayama) รวมทั้งเมืองโทยามะด้วย (สามารถใช้ได้ 5 วันติดต่อกัน)
  • JR Alpine-Takayama-Matsumoto Area Tourist Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางเป็นวงกลมจากนาโกย่าไปยังทากายามะ, โทยามะ แล้วขึ้นไปเที่ยวเทือกเขาเจแปนเอลป์บนเส้นทางสาย Tateyama Kurobe Alpine จากนั้นลงจากเขามาที่เมืองมัตสึโมโตะ ก่อนไปจบทริปที่เมืองนาโกย่า (สามารถใช้ได้ 5 วันติดต่อกัน)

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากฟุกุอิ มาถึงที่เมืองโทยามะ (Toyama city) / นำกระเป๋าฝากไว้ที่โรงแรม (Toyama Manten Hotel)
  • เช้า: เดินเล่นที่ซากปราสาทโทยามะ (Toyama Castle Ruin Park) / ชมซากุระที่ริมฝั่งแม่น้ำมัตสึ (Matsu river)
  • บ่าย: นั่งรถไฟไปยังสถานี Tomari/ ชมสวนดอกไม้ที่ Asahi Funakawa Spring Quartet
  • เย็น: เดินเล่นชมสวนสาธารณะคลองฟุกัง (Fugan Canal Park)
วันที่สอง
  • เช็คเอาท์ แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองทากะโอกะ (Takaoka)
  • เช้า: เที่ยววัดซุยริวจิ (Zuiryuji Temple) / พระใหญ่ทากะโอกะ (Takaoka Great Buddha) / ซากปราสาททากะโอกะ (Takaoka Castle Park) 
  • บ่าย-เย็น: ชมวิวเทือกเขาเจแปนเอลป์ริมทะเลที่ชายฝั่งอะมาฮาราชิ (Amaharashi coast)
  • เดินทางต่อไปยังเมืองคานาซาวะ (Kanazawa)

ที่พักในเมืองโทยามะ (Toyama city)

ทริปนี้ผมพักที่ Toyama Manten Hotel ครับ โดยราคาห้องแบบ Twin bed ถ้าจองผ่าน booking.com คิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่คืนละ 2,400 บาท ไม่รวมอาหารเช้า

 

 
ข้อดีของที่นี่คือ ราคาค่อนข้างถูก (ถ้าเทียบกับโรงแรมอื่นๆของญี่ปุ่น), ห้องสะอาด, พนักงานเป็นมิตร แถมมีออนเซ็นให้แช่ด้วย (เห็นภูเขาหิมะจากออนเซ็นด้วยครับ) ส่วนข้อเสียคือ ห้องเก่า กับทำเลที่ไกลจากสถานีรถไฟไปซะหน่อย แต่เดินได้ครับ (ประมาณ 1.2 กิโลเมตร) ถ้าใครมีกระเป๋าใบใหญ่ แนะนำให้ขึ้นรถรางครับ (ค่ารถราง 210 เยน ให้ลงที่ป้าย Sakurabashi)
 

วันที่หนึ่ง

ทริปในวันแรกของเรา เริ่มต้นจากเมืองฟุกุอิครับ โดยเรานั่งรถไฟสาย Hokuriku shinkansen จากเมืองฟุกุอิ มายัง เมืองโทยามะ (Toyama city) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ จังหวัดโทยามะ (Toyama prefecture) ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง
 

ถึงแล้วครับ สถานีรถไฟโทยามะ (Toyama railway station) ช่วงที่ผมไปซากุระกำลังบานพอดี
 

เอกลักษณ์ของเมืองนี้ก็คือ รถราง
 

เดินจากสถานีไปทางทิศใต้ (South Exit) ไปประมาณ 20 นาที (1.4 กิโลเมตร) เราจะพบกับ แม่น้ำมัตสึกาวะ (Matsukawa River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดนี้ มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเจแปนเอลป์ (Japan Alps) ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวโทยามะ (Toyama Bay)
 



จุดเด่นของแม่น้ำสายนี้คือ ถ้าเรามาถูกช่วง จะพบกับดอกซากุระเป็นแนวยาวกว่า  2.5 กิโลเมตร ซึ่งจะมีกิจกรรมคือ การนั่งเรือลอดซุ้มซากุระ
 

 
เดินต่อจากทางเดินริมแม่น้ำไปอีกนิด จะมี ซากปราสาทโทยามะ (Toyama Castle Ruin) ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปี 1543 ในยุคเซ็งโกคุ และต่อมาก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของ ตระกูลมาเอดะ (Maeda clan)
 

 

ปราสาทนี้ถูกทำลายหลายครั้ง ทั้งจากไฟไหม้และสงคราม ปัจจุบันปราสาทที่เราเห็นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1954-1958
 

บริเวณส่วนหอคอยหลัก (Tenshu) ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของปราสาทนี้ และจังหวัดโทยามะ โดยมีค่าเข้าชม 210 เยน
 

รอบๆปราสาทจะเป็นสวนและลานกิจกรรม เพื่อให้ชาวโทยามะใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ตรงนี้เข้าฟรีครับ
 

เดินเล่นรอบปราสาทซักพัก เราก็เดินกลับไปยัง สถานีรถไฟโทยามะ (Toyama Railway station) เพื่อนั่งรถไฟขบวนท้องถิ่นเพื่อไปยังสถานีเล็กๆที่ชื่อว่า โทมาริ (Tomari station)

การเดินทางไปยังสถานี Tomari ปกติแล้วจะมีค่ารถไฟอยู่ที่ 1,020 เยน โดยรถไฟสายนี้เป็นรถไฟเอกชน ไม่สามารถใช้ JR pass ได้ แต่ถ้าไปในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายน ซึ่งจะมีการจัดงาน Asahi funakawa “spring quartet” เราสามารถซื้อตั๋วไปกลับได้ที่สถานี Toyama ในราคา 1,000 เยนครับ
 

ระหว่างนั่งรถไฟไปยังสถานี Tomari เราจะได้เห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ตลอดทางเลย
 

เมื่อมาถึงที่สถานี Tomari ให้เดินมาหน้าสถานี เพื่อต่อแถวขึ้นรถชัตเติ้ลบัสฟรีไปยังทุ่งดอกไม้ที่งานเทศกาล Asahi funakawa “spring quartet” ซึ่งโดยปกติแล้ว งานนี้จะจัดในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายนของทุกปี (สำหรับในปี 2024 งานจัดในช่วงวันที่ 1-17 เมษายนครับ)

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีวันเปิดปิดงานเทศกาลจะไม่ตรงกันนะครับ ขึ้นกับสภาพอากาศของแต่ละปี โดยสามารถเช็ควันได้ที่เว็บไซต์นี้ https://www.asahi-tabi.com/ 

 

 
สิ่งที่เป็นที่ดึงดูดให้คนมางานเทศกาลนี้ นั่นก็คือ ทุ่งดอกไม้แบบนี้ และถ้ามาถูกวัน ถูกเวลา เราจะพบกับความพิเศษ 4 อย่างที่พบเห็นได้พร้อมๆกัน นั่นก็คือ
  • ทือกเขาเจแปนเอลป์ที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว
  • ดอกซากุระสีชมพู
  • ดอกผักกาด (Rapeseed) สีเหลือง
  • ดอกทิวลิปหลากสีสัน
ในแต่ละปี ผู้ดูแลที่เป็นเกษตรกรปลูกทิวลิปในพื้นที่ จะพยายายามปลูกทิปลิปและดอกผักกาด ให้ออกดอกบานพร้อมๆกับซากุระ ซึ่งช่วงเวลาเฉลี่ยจะอยู่ราวกลางเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ในบางปีก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อน เร็ว หรือ ช้า ขึ้นอยู่กับการบานของซากุระที่แปลผันตามสภาพอากาศ อย่างในตอนที่ผมไป เป็นวันที่ 14 เมษายน 2567 เป็นช่วงที่ดอกซากุระบานเต็มที่พอดี แล้วอากาศก็ดี ถือว่าเป็นทริปที่แต้มบุญสูงมาก
 




 

มาดูกันที่ต้นซากุระกันบ้างครับ ที่นี่จะปลูกซากุระเป็นแนวยาวริมคลอง คนญี่ปุ่นแถวนั้นก็มานั่งเล่นชมบรรยากาศกัน
 






ช่วงเวลาตอนบ่ายแก่ๆ เราก็นั่งรถไฟกลับไปยังสถานี Toyama แล้วเดินออกทางประตูทางออกฝั่งเหนือ (North Exit) เพื่อไปยังสถานที่สุดท้ายของวันนี้ นั่นก็คือ สวนสาธารณะคังซุย (Fugan canal kansui park) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะริมน้ำใจกลางเมืองโทยามะ มีบึงน้ำขนาดใหญ่กลางสวนเชื่อมต่อกับ คลองฟุกัง (Fugan Canal) ซึ่งไหลลงสู่ทะเลญี่ปุ่น
 

 
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของสวนนี้ก็คือ สะพาน Heaven’s gate ซึ่งจะเปิด Light up ในช่วงกลางคืน จะทำให้สวนนี้ดูสวยยิ่งขึ้น (แนะนำให้มาเที่ยวสวนนี้ตอนเย็นๆ ไปจนถึงหัวค่ำ จะได้ชมบรรยากาศตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ตก จนถึงช่วงที่เปิดไฟครับ)
 



 
พอเราเดินไปบนสะพานจะสามารถมองเห็นวิวของเทือกเขาเจแปนเอลป์ ส่วนด้านล่างจะมีต้นซากุระ และร้านสตาร์บัคที่ได้ชื่อว่าเป็น ร้านสตาร์บัคที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
 



 
ปิดท้ายที่ภาพยามค่ำคืนของสวนนี้ครับ ถือเป็นการจบวันแรกของทริปโทยามะได้อย่างประทับใจ
 

 
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2567    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2567 21:18:10 น.
Counter : 219 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

4 วัน 3 คืน ฟุกุอิ ดินแดนไดโนเสาร์ของประเทศญี่ปุ่น (ตอนที่ 3: Katsuyama city)


สถานที่ท่องเที่ยว : พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งจังหวัดฟุกุอิ (Fukui Prefectural Dinosaur Museum), Japan
พิกัด GPS : 36° 5' 5.27

ที่จังหวัดฟุกุอิ (Fukui) ของประเทศญี่ปุ่น จะมีเมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่เมืองหนึ่งครับ ที่นี่เป็นที่ตั้งของแหล่งขุดค้นโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น มีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก รวมทั้งยังมีวัดขนาดใหญ่ ปราสาท และศาลเจ้าญี่ปุ่นตั้งอยู่กลางป่า เมืองนี้มีชื่อว่า คัตสึยามะ (Katsuyama) ครับ


วันที่สาม

สำหรับแผนการเดินทางในวันนี้ เรานั่งรถไฟท้องถิ่นของจังหวัดฟุกุอิสาย Katsuyama Eiheiji Line ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อมายัง เมืองคัตสึยามะ (Katsuyama) โดยจะมีค่าเดินทางขาละ 820 เยน แต่เนื่องจากรถไฟขบวนนี้มีพาสที่ใช้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้ไม่จำกัดใน 1 วัน ที่เรียกว่า One day Unlimited Ticket All Echizen Line ราคา 1,200 เยน ผมเลยแนะนำให้ซื้อเป็นพาส เพราะราคาถูกกว่า และถ้ามี Have Fun in Fukui Pass หนึ่งในสิทธิของพาสตัวนี้ก็คือ เราสามารถแลก One day Unlimited Ticket All Echizen Line ได้ด้วย เพราะฉะนั้น วางแผนเที่ยวดีๆ จะประหยัดไปได้หลายต่อเลย


การเที่ยวที่เมืองนี้ เราต้องใช้รถเมล์ครับ ปัญหาคือ รถเมล์ที่เมืองนี้มีน้อย โดยเฉพาะในวันธรรมดา ผมเลยแนะนำให้พยายามจัดแพลนเที่ยวเมืองนี้ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพราะรอบรถเมล์จะมีเยอะกว่า  แต่ข้อดีของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นรวมทั้งที่เมือง Katsuyama คือถึงแม้รอบรถเมล์จะมีน้อย แต่ตรงเวลาครับ เราเลยวางแผนการเที่ยวได้ง่าย

ถ้าใครมีแผนจะไปเที่ยวที่เมืองนี้แบบนั่งรถเมล์แบบผม แนะนำให้ไปขอข้อมูลเรื่องรอบรถเมล์ที่ออฟฟิศของการท่องเที่ยวจังหวัดฟุกุอิที่หน้าสถานีรถไฟฟุกุอิ ใกล้ๆกับห้าง Happiring อีกทีนะครับ เผื่อตารางรถเมล์มีการเปลี่ยนแปลง (ถ้าพลาดรถเมล์ อาจต้องรอเป็นชั่วโมงเลย)

เรามาถึงที่เมือง Katsuyama ตอน 9.48 น.ครับ จากสถานีเรานั่งรถเมล์ไปที่ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จังหวัดฟุกุอิ (Fukui Prefectural Dinosaur Museum) ที่ว่ากันว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ดีที่สุดติด 1 ใน 3 ของโลก ส่วนการจัดแสดงที่นี่มีภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่เข้าใจ
 

จริงๆแล้วพิพิธภัณฑ์นี้มีค่าเข้าชม 1,000 เยนครับ แต่ถ้าเรามี Have Fun in Fukui Pass เราสามารถที่จะใช้สิทธิจากพาสนี้เข้าพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ได้ฟรีเลย (คุ้มมาก)
 

เมื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ สิ่งแรกที่เราจะเจอก็คือ หุ่นจำลองทีเร็กซ์ ตัวใหญ่ขนาดเท่าของจริงมารอต้อนรับเรา (ขยับได้ด้วยนะ)
 

นอกจากนี้ยังมีหุ่นจำลองไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งโครงกระดูกไดโนเสาร์ด้วย
 








เนื่องจากบริเวณที่เป็นหุบเขาของเมือง Katsuyama แห่งนี้ มีการค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ถึง 5 ได้แก่ ฟุกุอิแรปเตอร์ (Fukui Raptor) ตัวในรูปด้นล่าง, ฟุกอิซอรัส (Fukuisaurus), ฟุกุอิเวเนเตอร์ (Fukuivenetor), ฟุกุอิไตตัน (Fukuititan) และ โคชิซอรัส (Koshisaurus) นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมที่นี่ถึงมีจุดขายเป็นไดโนเสาร์ และมีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ดีๆแบบนี้
 

ไม่เฉพาะไดโนเสาร์นะครับ ที่นี่ยังจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ยุคโบราณอื่นๆ เช่น กลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่บินได้ หัวกะโหลกของมนุษย์ยุคโบราณ ช้างแมมมอธ กวางยักษ์
 







นอกจากนี้ที่นี่ยังสามารถชมการทำงานของนักบรรพชีวินวิทยาที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณอย่างใกล้ชิดผ่านตู้กระจกด้วยครับ
 

เราเที่ยวที่นี่จนถึงตอน 12.26 จากนั้นก็นั่งรถเมล์ต่อไปที่ วัดไดชิซัง เซไดจิ (Daishizan Seidaiji Temple) ซึ่งมีไฮไลท์คือ องค์พระใหญ่เอจิเซ็นไดบุตสึ (Echizen Daibutsu) (วัดนี้มีค่าเข้าชม 500 เยนครับ)
 





วัดนี้จริงๆเป็นวัดใหม่ครับ สร้างเมื่อปี 1987 โดย คุณคิโยชิ ทาดะ (Kiyoshi Tada) ผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัทรถแท็กซี่ที่โอซาก้าและทำธุรกิจจนร่ำรวย และด้วยความที่เขาเป็นคนเมืองคัตสึยามะ เขาจึงอยากตอบแทนบ้านเกิดด้วยการสร้างทั้งวัดและปราสาทเพื่อให้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มายังที่นี่


วัดนี้สร้างขึ้นด้วยศิลปะสมัยราชวงศ์ถังของจีนครับ ไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ องค์พระใหญ่เอจิเซ็นไดบุตสึ (Echizen Daibutsu) ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า บิรุชานะ เนียวไร (Birushana Ryonai) โดยองค์พระนี้จำลองมาจากองค์พระพุทธรูปที่ ถ้ำผาหลงเหมิน ที่ เมืองลั่วหยาง ของจีน และถือเป็นพระพุทธรูปในร่มที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูงถึง 17 เมตร (สูงกว่าพระพุทธรูปที่วัดไทโดจิ เมืองนารา)
 

อีกจุดหนึ่งที่กลายมาเป็นมุมถ่ายรูปใน IG ที่ฮอตฮิตในหมู่คนญี่ปุ่นก็คือ บริเวณผนังทั้งสองข้างของโถงที่เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระใหญ่ จะเต็มไปด้วยพระพุทธรูปหิน 1,281 องค์
 



 
วัดนี้ยังมีเจดีย์แบบห้าชั้นที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นครับ โดยเจดีย์นี้มีความสูงถึง 75 เมตร ด้านบนจะมองเห็นวิวมุมสูงของเมือง Katsuyama   รวมทั้ง ปราสาทคัตสึยามะ (Katsuyama castle) ที่เราจะไปเที่ยวเป็นจุดต่อไป
 



 
จากวัด เรานั่งรถเมล์ต่อมาที่ ปราสาทคัตสึยามะ (Katsuyama castle) ซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่โดยเงินทุนจากคุณคิโยชิ ทาดะ คนเดียวกับที่สร้างวัดที่เราไปมาก่อนหน้านี้ (ปราสาทมีค่าเข้า 500 เยน)
 

พอซื้อตั๋วเข้าชมปราสาท เราก็ขึ้นลิฟต์ไปดูวิวชั้นบนสุดก่อนเลย ปราสาทนี้ถือเป็นปราสาทที่สูงที่สุด เพราะสูงถึง 57.8 เมตร ด้วยศิลปะแบบเดียวกับปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ที่จังหวัดเฮียวโงะ


ด้านในก็จัดแสดงโบราณวัตถุที่ค้นพบที่เมืองนี้ ของจริงบ้าง ของจำลองบ้าง
 



 
จากปราสาท เรานั่งรถเมล์ต่อมายังจุดสุดท้าย นั่นก็คือ ศาลเจ้าฮากุซังเฮเซนจิ (Hakusan Heisenji Shrine)
 



ศาลเจ้านี้เดิมทีเป็นวัดครับ เนื่องจากสมัยก่อนศาสนาพุทธกับศาสนาชินโตในประเทศญี่ปุ่นอยู่รวมกันอย่างแยกกันไม่ออก ตามประวัติศาสตร์ วัดนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.717 เพื่อเป็นที่พักของพระสงฆ์ และต่อมาก็ได้พัฒนากลายเป็นเมืองทางศาสนาบริเวณตีน ภูเขาฮากุซัง (Hakusan)
 

 
ว่ากันว่าในช่วงพีคสุด เมืองศาสนาแห่งนี้มีศาลเจ้า 48 แห่ง และวัดอีก 36 แห่ง มีพระสงฆ์มากกว่า 8,000 รูปอาศัยอยู่ที่นี่ แต่แล้วในปี ค.ศ.1574 เมืองนี้ก็พ่ายแพ้ และถูกเผาทำลายจนหมด เหลือเพียงบริเวณที่เป็นศาลเจ้านี้ที่ถูกบูรณะขึ้นมาเมื่อ 500 ปีก่อน
 

 
สิ่งแรกที่เจอเมื่อมาถึงที่ศาลเจ้านี้คือ ป้ายเตือนให้ระวังหมี ครับ เพราะที่นี่เข้าเขตป่าแล้ว
 

 
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของศาลเจ้านี้คือ พรมมอสแบบนี้ครับ อลังการจนบางคนบอกว่า เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเทพนิยายเลย
 



 
ต้นไม้บริเวณศาลเจ้านี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 450 ปี
 

 
เราใช้เวลาอยู่ที่ศาลเจ้านี้ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ หลังจากนั้นก็นั่งรถเมล์ต่อไปกลับไปสถานีรถไฟ แล้วนั่งรถไฟกลับไปยังเมืองฟุกุอิ ทริปในวันที่สามที่จังหวัดฟุกุอิก็จบเพียงเท่านี้ครับ

วันที่สี่

วันนี้ไม่มีแผนเที่ยวแล้วครับ เราเดินทางออกจากจังหวัดฟุกุอิ เพื่อไปเที่ยวต่อยัง จังหวัดโทยามะ (Toyama) ซึ่งผมจะเอามารีวิวในตอนต่อๆไปนะครับ


สำหรับภาพรวมของจังหวัดฟุกุอิตลอดทั้งทริป 4 วันที่ผ่านมา ถือว่าชอบจังหวัดนี้มากกว่าที่คิดครับ โดยส่วนตัวผมชอบไดโนเสาร์นะ และวัตถุประสงค์ของทริปนี้จริงๆก็คือจะมาดูพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แค่นั้น แต่พอทำแผนเที่ยว ก็เริ่มรู้สึกว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิด ผมเลยแพลนเที่ยวที่นี่ 4 วัน 3 คืนไปเลย และพอเที่ยวจริงก็ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่ประทับใจ จึงอยากชวนให้ทุกคนมาเที่ยวที่นี่กันครับ

รีวิวในส่วนของจังหวัดฟุกุอิก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ใครมีคำถามอะไร ทิ้ง message ไว้ที่ด้านล่าง หรือหลังไมค์มาถามในพันทิปก็ได้ ยินดีตอบทุกคำถามครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2567    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2567 21:12:23 น.
Counter : 158 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

4 วัน 3 คืน ฟุกุอิ ดินแดนไดโนเสาร์ของประเทศญี่ปุ่น (ตอนที่ 2: Ichijdani + Eiheiji)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดเอเฮจิ (Eiheiji Temple) จังหวัดฟุกุอิ, Japan
พิกัด GPS : 36° 3' 25.17


ย้อนกลับไปใน ยุคเซ็งโกคุ (Sengoku) ตั้งแต่ปี 1467 ไปจนถึงปี 1615 ช่วงนั้น เป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นมีความแตกแยก เนื่องจากรัฐบาลของโชกุนอ่อนแอลงจนไม่สามารถปกครองแว่นแคว้นต่างๆได้ ผู้มีอิทธิพลในแต่ละท้องถิ่นก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นผู้ครองแคว้นต่างๆ ที่เรียกว่า ไดเมียว (Daimyo) และบริเวณหุบเขาของจังหวัดฟุกุอิในปัจจุบัน ก็มีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งคือ ตระกูลอะซากุระ (Asakura) ได้ทำการยึดอำนาจ สถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครอง แคว้นเอจิเซ็น (Echizen) อันมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ เมืองอิจิโจดานิ (Ichijodani) ที่ผมจะมารีวิวในตอนนี้ครับ
 

เนื่องจากเมืองอิจิโจดานิ และแคว้นเอจิเซ็นอยู่บนเส้นทางการค้าของญี่ปุ่น รวมทั้งยังอยู่ใกล้ทะเล สามารถค้าขายกับต่างประเทศได้ แคว้นเอจิเซ็นจึงมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าในยุครุ่งเรือง เมืองนี้มีประชากรมากกว่า 10,000 คนซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น แต่แล้วในปี 1573 เมืองนี้ก็ถูกทำลายโดยกองทัพของ โอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaka) ลงจนเหลือแต่ซาก และเมืองนี้ก็ค่อยๆถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำ จนเมื่อปี 1967 ซากเมืองโบราณก็ถูกขุดค้นขึ้น และยังมีการขุดค้นอยู่มาจนถึงในปัจจุบันครับ
 

 
วันที่สอง

สำหรับการเดินทางในวันที่สองของทริปฟุกุอิ เราจะออกเดินทางจากตัวเมืองไปยังเมืองอิจิโจดานิด้วยรถไฟครับ จากนั้นเราจะเดินเที่ยวที่เมืองนี้ในช่วงเช้า ก่อนจะนั่งรถมินิบัสต่อไปยัง วัดเอเฮจิ (Eiheiji Temple) ในช่วงบ่าย

จากเมืองฟุกุอิ การเดินทางไปยังเมืองอิจิโจดานิ ต้องนั่งรถไฟสาย Kuzuryu Line ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีครับ (ถ้าใครซื้อ Kansai Hokuriku Pass เหมือนผม สามารถใช้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้ โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม)

 

เรามาถึงแล้วครับ เมือง Ichijodani จะสังเกตว่าที่นี่เป็นเมืองในหุบเขาที่เป็นปราการธรรมชาติ ทำให้ที่นี่สามารถอยู่รอดในยุคสงครามได้โดยไม่โดนทำลายมานานกว่าร้อยปี
 



 
อันดับแรก เพื่อให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของที่นี่ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามากันที่ พิพิธภัณฑ์ตระกูลอาซาคุระแห่งเมืองอิจิโจดานิ (Ichijodani Asakura Family Museum) ซึ่งจะมีค่าเข้าอยู่ที 700 เยน พิพิธภัณฑ์นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ สามารถเดินลัดเลาะคันนาของชาวบ้านไปได้เลยครับ
 
 

 
ด้านในจะจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของทีนี่ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้ว รวมทั้งยังมีแบบจำลองของเมือง โบราณวัตถุที่ค้นพบ แต่ที่เป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์นี้ก็คือ เราได้เห็นการขุดค้นทางโบราณคดีภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยครับ
 







 
จากพิพิธภัณฑ์เราเดินมาที่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ของตระกูลอิจิโจดานิ (Ichijodani Asakura Historic Ruins) ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที ความโชคดีของผมคือ ทริปนี้ไปช่วงซากุระบานพอดี และเมืองนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่สวยที่สุดของจังหวัดฟุกุอิด้วย 
 






เวลามาเที่ยวญี่ปุ่น ผมชอบมาดูฝาท่อของแต่ละเมือง ที่จะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เมืองนี้ก็เช่นกันครับ
 

เราเดินมาถึงตัวซากแล้วครับ ปัจจุบันไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากซากประตูอันนี้
 

ว่ากันว่าตรงนี้คือสวนดอกไม้ภายในตัวปราสาทครับ  ตอนนี้เหลือแต่ซาก
 



 
เดินมาอีก 200 เมตร จะมี เมืองจำลองอิจิโจดานิ (Ichijodani Restored Townscape) ซึ่งจะจำลองสภาพเมืองในสมัยนั้น รวมทั้งวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต (ที่นี่มีค่าเข้า 330 เยนครับ)
 

 

 





จากเมืองจำลอง ตรงด้านหน้ามันจะมีป้ายรถเมล์ ซึ่งเราสามารถนั่งรถเมล์ไปที่ วัดเอเฮจิ (Eiheiji Temple) ต่อได้ ในราคา 450 เยน ใช้เวลาเดินทางแค่ 20 นาที แต่ปัญหาคือ รอบรถมีน้อยมาก ถ้าพลาดรถทีหนึ่งอาจจะต้องรอ 2-3 ชั่วโมง และข้อมูลตามอินเตอร์เน็ตอาจจะไม่ตรงและไม่อัพเดท ดังนั้น ใครที่จะไปตามรอย ผมแนะนำว่า ก่อนเดินทางมาที่นี่ ให้ไปขอตารางรถเมล์ที่ออฟฟิศการท่องเที่ยวจังหวัดฟุกุอิในเมือง (อยู่ตรงสถานีรถไฟฟุกุอิ ใกล้ๆกับห้าง Happiring) ให้เรียบร้อย จะได้วางแผนเที่ยวได้

วัดเอเฮจิ (Eiheiji Temple) เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายเซน ซึ่งจะเน้นความเรียบง่ายครับ วัดนี้ถูกก่อตั้งในปี 1244 โดย พระโดเก็น เซ็นจิ (Dogen Zenji) ซึ่งเป็นผู้นำเอาศาสนาพุทธนิกายเซนจากจีนมาเผยแพร่ในญี่ปุ่น
 

ภายในวัดจะมีค่าเข้าชมคนละ 500 เยน แต่ถ้าใครสนใจพระพุทธศาสนานิกายเซนของญี่ปุ่น ก็สามารถมานอนค้างและฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ โดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

(รายละเอียดสามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ของวัด https://daihonzan-eiheiji.com/en/)

 

ชื่อวัดนี้มีความหมายว่า วัดแห่งสันติสุขชั่วนิรันดร ซึ่งจุดแรกที่เราจะเจอก็คือ ประตูคาระมง (Karamon Gate) ที่จะเปิดเฉพาะในโอกาสที่พิเศษจริงๆ เช่น เมื่อจักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จมาเยือน และจะมีแต่จักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถผ่านประตูนี้ได้
 

บรรยากาศรอบๆ มีแต่ความสงบครับ เวลาเข้าชมต้องสำรวม
 



บริเวณห้องโถงใหญ่ที่เรียกว่า  โถงซันโชคากุ (Sanshokaku Hall) บนเพดานจะมีภาพประดับทั้งสิ้น 320 ภาพ วาดเป็นภาพดอกไม้บ้าง สัตว์บ้าง ซึ่งทั้งหมดคือปริศนาธรรม ให้ผู้คนสามารถมานั่งฝึกจิต พิจารณาภาพต่างๆ และเชื่อกันว่าหากใครสามารถหาภาพปลาคาร์ฟ (2 ภาพ) สิงโต (2 ภาพ) และกระรอก (1 ภาพ) เจอก็จะมีความสุขสมหวังในชีวิต  
 



ปัจจุบัน วัดนี้ยังมีพระสงฆ์ญี่ปุ่นจำพรรษาอยู่ครับ และเนื่องจากวัดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของกฎระเบียบที่เคร่งครัด ทำให้พระสงฆ์ที่มาเรียนวิชาที่วัดนี้จะได้รับการยอมรับในแวดวงพระพุทธศาสนาญี่ปุ่น
 

จบแล้วครับ สำหรับการเที่ยวจังหวัดฟุกุอิในวันที่สอง หลังจากเที่ยววัดเสร็จ เราก็นั่งรถเมล์สาย Fukui-Eiheiki Line กลับไปที่สถานีรถไฟฟุกุอิ เป็นอันจบวันที่ประทับใจครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2567    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2567 21:11:44 น.
Counter : 213 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

4 วัน 3 คืน ฟุกุอิ ดินแดนไดโนเสาร์ของประเทศญี่ปุ่น (ตอนที่ 1: Fukui City)


สถานที่ท่องเที่ยว : สถานีรถไฟฟุกุอิ (Fukui Railway Station), Japan
พิกัด GPS : 36° 3' 43.64" N 136° 13' 24.74" E


ทริปนี้ผมไปมาในวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ปี 67 โดยเป็นทริปยาวเที่ยวในแถบ ภูมิภาคโฮคุริคุ (Hokuriku) -ของประเทศญี่ปุ่น ไล่ตั้งแต่จังหวัด ฟุกุอิ (Fukui), อิชิกาวะ (Ishikawa) และ โทยามะ (Toyama) เป็นเวลารวมกันทั้งสิ้น 7 วัน 6 คืนครับ โดยในรีวิวชุดนี้ ผมจะขอรีวิวแบ่งเป็นทีละจังหวัด ซึ่งบล็อกนี้ ผมจะเริ่มรีวิวที่ จังหวัดฟุกุอิ (Fukui) ก่อน โดยผมได้ใช้เวลาอยู่ที่จังหวัดนี้ยาวๆถึง 4 วัน 3 คืนครับ
 
รู้จักกับจังหวัดฟุกุอิ (Fukui)

ถ้าพูดถึง จังหวัดฟุกุอิ (Fukui) มั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ไม่น่าจะรู้จักที่นี่กัน จริงๆแล้วฟุกุอิ เป็นจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่นที่อยู่ในแถบ ภูมิภาคโฮคุริคุ (Hokuriku)  โดยที่ตั้งของจังหวัดนี้จะอยู่ทางตอนเหนือของเมืองที่คนไทยรู้จักกันอย่าง โอซาก้า (Osaka) และมีพื้นที่ติดกับ จังหวัดเกียวโต (Kyoto) ที่เป็นเมืองหลวงเก่าอันโด่งดังนั่นเอง

 

แม้ว่าจังหวัดฟุกุอิจะอยู่ติดกับเกียวโต แต่ที่ผ่านมา ที่นี่ก็เหมือนเป็นจังหวัดที่ถูกลืม อาจจะด้วยการเดินทางในสมัยก่อนที่ยังไม่สะดวกมากนัก แต่หลังจากที่มีการเปิดใช้งานรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku Shinkansen ผ่านที่จังหวัดนี้ ที่นี่ก็เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น โดยสิ่งที่ทำให้ฟุกุอิเป็นที่รู้จักก็คือ ไดโนเสาร์ นั่นเองครับ
 

เนื่องจากในอดีตในยุคครีเตเชียสเมื่อกว่า 65 ล้านปีก่อน บริเวณหุบเขาของจังหวัดฟุกุอิที่ปัจจุบันคือ เมืองคัตสึยามะ (Katsuyama) เป็นถิ่นที่อยู่ของไดโนเสาร์มากมายหลากหลายสายพันธุ์ แต่สิ่งที่ทำให้บริเวณนี้มีความพิเศษก็คือ ชั้นดินตรงนี้มีการฟอร์มตัวหินตะกอน ทำให้ซากดึกดำบรรพ์มีการทับถมเกิดเป็นฟอสซิล บริเวณนี้จึงมีการค้นพบไดโนเสาร์มากที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และมากเป็นอันดับต้นๆของโลก ในบรรดาไดโนเสาร์ที่ค้นพบทั้งหมด มีอย่างน้อย 5 สายพันธุ์ที่เป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ ได้แก่
  • ฟุกุอิแรปเตอร์ (Fukui Raptor)
  • ฟุกอิซอรัส (Fukuisaurus)
  • ฟุกุอิเวเนเตอร์ (Fukuivenetor)
  • ฟุกุอิไตตัน (Fukuititan)
  • โคชิซอรัส (Koshisaurus)

 
ส่วนในด้านประวัติศาสตร์ ฟุกุอิเป็นที่ตั้งของแคว้นโบราณ ที่มีเจ้าผู้ครองแคว้นหรือไดเมียวเป็นผู้ปกครองนั่นก็คือ แคว้นเอจิเซ็น (Echizen) โดยผู้ปกครองแคว้นนี้จะเป็นคนใน ตระกูลอาซาคุระ (Asakura clan) ซึ่งเป็นแคว้นที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเนื่องจากอยู่บนเส้นทางการค้าระหว่างเอโดะ (Edo) และเกียวโต (Kyoto) รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นเส้นทางทางทะเลติดต่อกับต่างประเทศได้ด้วย แต่เนื่องจากตระกูลนี้อยู่คนละฝั่งกับโอดะ โนบุนากะ แคว้นเอจิเซ็นจึงถูกรุกรานและเมืองหลวงของแคว้นที่ปัจจุบันคือ เมืองอิชิโจดานิ (Ichijodani) ก็ถูกเผาทำลายทั้งหมด (เมืองนี้เดี๋ยวผมจะเอามารีวิวในตอนหน้านะครับ)

หลังจากสงครามที่ทุ่งเซกิกาฮาระ เมื่อตระกูลโทกุกาวะ สามารถรวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น บริเวณที่เป็นจังหวัดฟุกุอิในปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของ ตระกูลมัตสึไดระ (Matsudaira) ซึ่งสืบทอดมาจากลูกชายคนที่สองของโชกุนโทกุกาวะ จนถึงยุคปฏิรูปเมจิ จังหวัดฟุกุอิจึงถูกตั้งขึ้นในปี 1871 โดยมีเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการปกครองชื่อว่า นครฟุกุอิ (Fukui city)

 

 
ปัจจุบันฟุกุอิถือว่าเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างจะชนบทและห่างไกล คนไทยน้อยคนที่จะมาเที่ยวที่นี่ รีวิวก็หาได้น้อยเหลือเกิน ผมเลยจะมารีวิวจังหวัดนี้ ในบล็อกนี้และบล็อกต่อๆไปนะครับ

การเดินทางเข้าสู่จังหวัดฟุกุอิ

ปัจจุบันการเดินทางมาที่จังหวัดฟุกุอิทำได้ง่ายมากครับ เพราะรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku Shinkansen เพิ่งเปิดให้บริการมายังจังหวัดนี้เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2567 ทำให้การเดินทางจากโตเกียวใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนใครที่เดินทางจากโอซาก้าหรือเกียวโต ให้นั่งรถไฟด่วนพิเศษขบวน Thunderbird ไปยังเมืองที่มีชื่อว่า สึรุกะ (Tsuruga) จากนั้นให้นั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku shinkansen มายัง เมืองฟุกุอิ (Fukui City) โดยทั้งหมดนี้จะใช้เวลาเดินทางรวมการเปลี่ยนขบวนรถไฟประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ

 

สำหรับในทริปของผม จะเป็นการเดินทางมายังฟุกุอิจากสนามบินคันไซในจังหวัดโอซาก้าจากนั้นก็จะเดินทางต่อไปยังเมืองต่างๆของภูมิภาคโฮคุริคุ ดังนั้น เพื่อให้ประหยัดค่าเดินทาง ผมเลยเลือกใช้ JR Kansai Hokuriku Area Pass ซึ่งจะครอบคลุมการเดินทางในแถบเมืองเหล่านี้ รวมทั้งภูมิภาคคันไซ ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า, นารา (Nara), เกียวโต (Kyoto), โกเบ (Kobe) โดยสามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน

ใครที่มีแผนเที่ยวประมาณนี้ แนะนำให้ลองพิจารณาเลือกใช้พาสตัวนี้ดูนะครับ โดยราคาพาสคิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันบาท

ทางไปจอง https://www.klook.com/th/activity/2771-7-day-jr-kansai-hokuriku-area-pass-jr-pass/

 

ส่วนพาสอื่นๆที่สามารถใช้เดินทางไปยังจังหวัดฟุกุอิได้ ได้แก่
  • JR Hokuriku Arch Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากโตเกียวไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองฟุกุอิด้วย (สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน)
  • JR Takayama Hokuriku Area Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากนาโกย่าไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองทากายามะ (Takayama) รวมทั้งเมืองฟุกุอิด้วย (สามารถใช้ได้ 5 วันติดต่อกัน)

บัตร Have Fun in Fukui Pass

ข้อดีของการมาเที่ยวในบางจังหวัดที่ไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวที่โด่งดังของญี่ปุ่นก็คือ ทางการท้องถิ่นจะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างๆเราๆประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะ ที่ฟุกุอิก็เช่นกันครับ ที่นี่จะมีพาสที่เรียกว่า บัตร Have Fun in Fukui Pass

 

ข้อดีของการซื้อพาสตัวนี้ก็คือ เราจะสามารถเลือกสิทธิพิเศษ 3 อย่างในลิสต์ต่อไปนี้
  • ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จังหวัดฟุกุอิ (Prefectural Dinosaur Museum)
  • ตั๋วเข้าชมปราสาทมารุโอกะ (Maruoka castle)
  • ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอจิเซ็นมัตสึชิมะ (Echizen Matsushima Aquarium)
  • ตั๋วขึ้นรถไฟสาย Echizen Railway แบบไม่จำกัดจำนวนเที่ยวเป็นเวลา 1 วัน
  • บัตรเข้า Awara onsen
  • บัตรรับประทานอาหารมูลค่า 1,200 เยนตามร้านค้าที่กำหนดในจังหวัดฟุกุอิ
  • ตั๋วคูปองช็อปปิ้ง 1,000 เยนที่ห้าง Happiring
 
พาสตัวนี้สามารถซื้อได้ผ่าน Klook ครับ และถ้าใครมีแผนจะซื้อ JR Kansai Hokuriku Area Pass อยู่แล้ว แนะนำให้ซื้อคู่กันไปเลย จะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อแยก


แผนเที่ยว
 
วันที่หนึ่ง
  • เช้า: เดินทางจากสนามบินคันไซในจังหวัดโอซาก้ามายังเมืองฟุกุอิ
  • บ่าย: เช็คอินเข้าที่พัก (Hotel Route Inn Fukui Ekimae)
  • บ่าย-เย็น: เที่ยวในเมือง ได้แก่ สถานีรถไฟเมืองฟุกุอิ, สวนโยโกะกัง (Yokokan garden), ซากปราสาทฟุกุอิ (Fukui castle ruin) และทางเดินริมแม่น้ำอะซุวะ (Asuwa River Cherry Blossom Row)
 
วันที่สอง
  • เช้า: นั่งรถไฟท้องถิ่นสาย Kuzuryu line เพื่อไปเที่ยวเมืองอิจิโจดานิ (Ichijodani)
  • ชมพิพิธภัณฑ์ตระกูลอาซาคุระแห่งเมืองอิจิโจดานิ (Fukui Prefectural Ichijodani Asakura Family Museum), ซากปรักหักพังประวัติศาสตร์อิจิโจดานิ (Ichijodani Asakura Castle Ruin) และเมืองจำลองอิจิโจดานิ (Ichijodani Restored Townscape)
  • บ่าย: นั่งรถเมล์ท้องถิ่นไปยังวัดเอเฮจิ (Eiheiji Temple) / เที่ยววัดเอเฮจิ
  • เย็น: เดินทางกลับเข้าตัวเมือง (นครฟุกุอิ)
 
วันที่สาม
  • เช้า: เดินทางด้วยรถไฟท้องถิ่นสาย Echizen railway  เพื่อไปยังเมืองคัตสึยามะ (Katsuyama)
  • เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองคัตสึยามะได้แก่ ศาลเจ้าฮากุซันเฮเซนจิ (Hakusan Heisenji shrine), พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จังหวัดฟุกุอิ (Fukui Prefectural Dinosaur Museum),วัดพระใหญ่เอจิเซ็น (Echizen Daibutsu) และปราสาทคัตสึยามะ (Katsuyama castle)
  • เย็น: เดินทางกลับเข้าตัวเมือง (นครฟุกุอิ)
 
วันที่สี่
  • เดินทางออกจากเมืองฟุกุอิ ไปยังจังหวัดโทยามะ (Toyama)
ที่พักในเมืองฟุกุอิ

ทริปนี้ผมพักที่ Hotel Route Inn Fukui Ekimae เป็นที่พักติดสถานีรถไฟของเมืองฟุกุอิเลย สามารถเดินไปได้ไม่เกิน 3 นาที โดยผมจองโรงแรมนี้ผ่านแอป Booking.com ได้ในราคาคืนละ 1,800 บาทรวมอาหารเช้าครับ

 
 
สำหรับสภาพโดยรวมของที่นี่ ก็ถือว่าดีงามตามมาตรฐานญี่ปุ่น สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีออนเซ็นให้แช่ด้วย อาหารเช้าก็ถือว่าดีกว่าที่คิด เป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น แต่ก็มีหลากหลายพอสมควร ถ้าใครเดินทางมาที่นี่ ผมแนะนำเลยครับ
 
วันที่หนึ่ง

การเดินทางของเราในวันแรกของทริปนี้ ผมเริ่มจากสนามบินสุวรรณภูมิมาเปลี่ยนเครื่องที่ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Noi Bai International Airport) ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม จากนั้นก็บินต่อไปที่ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport) ของจังหวัดโอซาก้า ด้วย สายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airline) ครับ

 
 
ปัจจุบันการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น เราสามารถเลือกได้ว่าจะกรอกใบตม.แบบกระดาษ หรือกรอกผ่านเว็บ Visit Japan (https://www.vjw.digital.go.jp/main/#/vjwplo001)  ก็ได้ แต่ว่ากันว่า บางสายการบินเลิกแจกใบตม.แบบกระดาษแล้วนะ ดังนั้น ใครจะไป แนะนำให้กรอกผ่านเว็บไปจะดีกว่า เดี๋ยวนี้กรอกง่าย ไม่ยากเหมือนสมัยก่อนแล้ว
 
 
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อผ่านตม.ออกมาคือ การแลกพาสครับ หลายคนที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆคงทราบดีว่า การใช้พาส ถ้าวางแผนดีๆ จะทำให้ประหยัดค่าเดินทางไปได้เยอะเลย อย่างในทริปนี้ผมเลือกใช้ Kansai Hokuriku Area Pass ซึ่งถ้าจ่ายค่ารถไฟทั้งหมดแบบรายเที่ยว จะต้องเสียเงินมากกว่า 1 หมื่นบาท แต่พอเราใช้พาส เราจะจ่ายแค่ 4 พันกว่าบาทเท่านั้น ประหยัดไปมากกว่าครึ่ง อย่างไรก็ตาม พาสเหล่านี้ เราต้องซื้อก่อนเดินทางเท่านั้น ซึึ่งในทริปนี้ผมเลือกซื้อผ่านแอป Klook เมื่อเราจ่ายเงินเรียบร้อย เราจะได้ออกมาเป็นวอยเชอร์ เมื่อมาถึงที่ญี่ปุ่น เราต้องหาออฟฟิศของการรถไฟญี่ปุ่น (JR west) เพื่อแลกเป็นพาสตัวจริงอีกที

 
สำหรับออฟฟิศสำหรับแลกพาสที่สนามบินคันไซจะอยู่ที่ชั้น 2 บริเวณทางเชื่อมระหว่างสนามบินกับห้าง Aeroplaza ครับ พอแลกออกมาเป็นพาสจริงเสร็จ ก็สามารถบอกเค้าให้ช่วยจองที่นั่งสำหรับรถไฟจากสนามบินคันไซไปยังฟุกุอิได้เลย หรือจะจองด้วยตัวเองผ่านตู้ก็ได้ครับ

ถึงแล้วครับฟุกุอิ สิ่งแรกที่โดดเด่นของที่นี่ก็คือ สถานีรถไฟครับ อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่า ฟุกุอิเป็นเมืองแห่งไดโนเสาร์ ทางการจังหวัดฟุกุอิเลยนำเอาหุ่นจำลองของไดโนเสาร์ตั้งอยู่หน้าสถานีเลย โดยไดโนเสาร์ที่จัดแสดงหน้าสถานีตรงที่ เป็นสายพันธุ์ที่ค้นพบที่จังหวัดฟุกุอิแห่งนี้ครับ

 
 




นอกจากหุ่นจำลองของไดโนเสาร์แล้ว ที่นี่ยังมีภาพวาดสามมิติไดโนเสาร์สายพันธุ์ค่างๆ และยังมีกิมมิคต่างๆเกี่ยวกับไดโนเสาร์ทั่งทั้งสถานีเลยครับ
 




 
จากสถานีเราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรม แล้วก็เดินไปที่ ซากปราสาทฟุกุอิ (Fukui Castle Ruin) ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดย ยูกิ ฮิเดยาสุ (Yuki Hideyasu) บุตรชายคนที่สองของโชกุนโทกุกาวะ อิเอยาสุในปี 1601 ปัจจุบันเหลือแต่ซาก แต่ก็เป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองฟุกุอิ
 

 

เดินมาจากปราสาทไม่ไกลมาก จะเจอกับ สวนโยโกะกัง (Yokokan Garden) ซึ่งเป็นสวนประจำ ตระกูลมัตสึไดระ (Matsudaira) ที่ปกครองเมืองฟุกุอิในสมัยก่อน สวนนี้มีค่าเข้าชมคนละ 220 เยนครับ
 





พอถึงช่วงเย็นๆ เราก็เดินมาเที่ยวต่อที่ ริมแม่น้ำอะซุวะ (Asuwa River Cherry Blossom Row) ที่ปกติในช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายน จะดอกซากุระจะเบ่งบานเป็นแนวยาวเป็นกิโลๆ จนที่นี่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมซากุระที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น
 


 

 
ทริปนี้แต้มบุญผมสูงมากครับ เพราะผมไปช่วงสงกรานต์ที่ปกติซากุระตรงนี้จะโรยไปแล้ว แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ตอนที่ไปเป็นช่วงที่ซากุระกำลังบานเต็มที่ (Full Bloom) พอดี
 

มื้อเย็นวันนี้ เรามากินข้าวที่ร้าน Fuku Fuku chaya ที่ชั้นสองของห้าง Happaring ของกินในวันนี้เป็น เซตข้าวมันปูซูไว ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนี้

เซตนี้ทั้งเซต ราคาไม่เบาครับ อยู่ที่ 2680 เยน โชคดีที่เรามีคูปองที่ได้จาก Have Fun in Fukui Pass เลยประหยัดไปได้เกือบครึ่งเลย

 

พอเราทานอาหารเย็นเสร็จ ก็กลับไปเช็คอินเข้าที่พัก แล้วก็พักผ่อน การเที่ยวที่ฟุกุอิในวันแรกก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ

ในตอนหน้าผมจะมารีวิวการเที่ยวที่จังหวัดนี้กันต่อ โดยผมจะไปเที่ยวที่เมืองประวัติศาสตร์ของแคว้นเอจิเซ็น อย่าง เมืองอิจิโจดานิ (Ichijodani) จากนั้นจะไปเที่ยวที่วัดนิกายเซ็นอย่าง วัดเอเฮจิ (Eiheiji temple) ฝากติดตามกันต่อด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2567    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2567 21:11:20 น.
Counter : 290 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1  2  3  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.