Welcome to my blog

3 วัน 2 คืน เจียอี้+อาลีซาน นั่งรถไฟสายป่าตะลุยขุนเขาแห่งไต้หวันภาคใต้


สถานที่ท่องเที่ยว : อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area), Taiwan
พิกัด GPS : 23° 30' 10.49" N 120° 48' 43.54" E

ไต้หวันเป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ บนเกาะไต้หวันนั้น มีอุทยานแห่งชาติอยู่มากมายหลายแห่ง และอุทยานเหล่านี้ยังได้มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ท้องถิ่น เป็นตัวอย่างของการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ กับการอนุรักษ์ได้อย่างลงตัวครับ

ปัจจุบันนั้น อุทยานแทบทุกแห่งของไต้หวันเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่อุทยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area) ซึ่งผมจะมารีวิวในบล็อกนี้ครับ

รู้จักกับอุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area)

อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area)
 เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่อยู่ใน เขตเจียอี้ (Chiayi) โดยมีจุดสูงจุดอยู่ที่ความสูง 2,663 เมตร ทำให้ที่นี่มาอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี จึงมีระบบนิเวศแบบป่าสน (Alpine) ซึ่งแตกต่างไปส่วนอื่นๆของเกาะไต้หวัน บางครั้งที่นี่ก็มีหิมะตกในหน้าหนาวด้วย

 

ในอดีตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติอาลีซานในปัจจุบัน เป็นถิ่นที่อยู่ของ ชนเผ่าเซ่า (Tsou people) ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าพื้นเมืองของไต้หวัน (ในรูปด้านล่าง) ต่อมาในสมัยปลายราชวงศ์หมิง ก็เริ่มมีชาวจีนฮั่นอพยพเข้ามาที่นี่มากขึ้น จนเมื่อจีนในสมัยราชวงศ์ชิง พ่ายแพ้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ทำให้สูญเสียเกาะไต้หวันให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาสำรวจที่นี่ และพบว่า ที่นี่เป็นแหล่งของไม้คุณภาพดี จึงมีการเข้ามาทำอุตสาหกรรมป่าไม้ในแถบนี้ และเพื่อความสะดวก ทางญี่ปุ่นจึงสร้างทางรถไฟหลายสายในเขตป่าตรงนี้ รวมทั้งทางรถไฟเชื่อมไปยังเมืองเจียอี้ด้วย เรียกว่า Alishan Forest Railway เพื่อความสะดวกในการขนส่งไม้ออกจากป่า และแปรรูปส่งกลับไปที่ญี่ปุ่น
 

 
อุตสาหกรรมป่าไม้ที่นี่เฟื่องฟูมากในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ไปจนถึงช่วงแรกๆที่พรรคก๊กมินตั๋งปกครองเกาะไต้หวันด้วยครับ แต่แล้วในช่วงตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ป่าไม้ที่นี่ก็เริ่มร่อยหรอ สิ่งที่ทดแทนรายได้จากอุตสาหกรรมป่าไม้ก็คือ การท่องเที่ยว และด้วยความงดงามของที่นี่ ทำให้ในปัจจุบัน อาลีซานมีผู้มาเยือนทั้งชาวไต้หวันและชาวต่างประเทศรวมกันมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้มหาศาลให้กับคนที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ผลิตชา และวาซาบิ ที่สำคัญของไต้หวันอีกด้วย
 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางด้วยรถไฟจากกรุงไทเปมายังเมืองเจียอี้
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Sunrise Hotel Chiayi)
  • เดินเล่นที่ถนนคนเดินเหวินหัว (Wenhua Night Market) ในเมืองเจียอี้
วันที่สอง
  • เดินทางด้วยรถบัสจากเมืองเจียอี้ไปยังอุทยานแห่งชาติอาลีซาน
  • เดินเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติอาลีซาน ประมาณ 5 ชั่วโมง
  • เดินทางกลับเมืองเจียอี้
วันที่สาม
  • เดินทางออกจากเมืองเจียอี้ เพื่อไปยังเมืองไทจง
ที่พักในเมืองเจียอี้ (Chiayi City)

ทริปนี้ผมเลือกพักใน เมืองเจียอี้ (Chiayi City) แล้วใช้วิธีไปเที่ยวที่อาลีซานแบบ one day trip เอานะครับ หน่อย โดยผมเลือกพักที่ Sunrise Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมอยู่ในตึกแถวกลางเมืองเจียอี้ครับ ที่พักก็ถือว่าพอใช้ได้ อยู่ในระดับมาตรฐาน กลางๆ ใกล้ๆมีร้านอาหาร ถนนคนเดิน และอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเจียอี้
 

 
ผมจองที่พักนี้เป็นเวลา 2 คืน ผ่านอโกด้า ในราคารวม 4,672 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 5,200 บาท ต่อ 2 คน รวมอาหารเช้าครับ (ที่โรงแรมนี้ไม่มีอาหารเช้าให้บริการ แต่เค้าจะให้คูปองร้านอาหาร ให้เราเอาไปแลกเป็นอาหารเช้าที่ร้านฝั่งตรงข้ามโรงแรม)


วันที่หนึ่ง

การเดินทางมายังเมืองเจียอี้ของเรา ผมใช้วิธีนั่งรถไฟธรรมดา ที่เรียกว่า TRA จาก Taipei Main station ในกรุงไทเป รวมใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมงครับ

การเดินทางด้วย TRA แนะนำให้เช็ครอบรถไฟก่อนนะครับ เพราะรถไฟแต่ละขบวนจะใช้เวลาเดินทางที่ไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 2 ชั่วโมงครึ่งไปจนถึง 6 ชั่วโมง ค่ารถไฟจะอยู่ระหว่าง 385 ถึง 598 ดอลลาร์ไต้หวัน แต่ข้อดีของการเดินทางด้วยวิธีนี้ก็คือ ตัวสถานีรถไฟอยู่ใจกลางเมืองเลย 


การเดินทางอีกวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมกันก็คือ รถไฟความเร็วสูง ที่เรียกว่า THSR ครับ รถไฟจะออกจาก Taipei Main station มายังเมืองเจียอี้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถจะอยู่ที่ประมาณ 1,080 ดอลลาร์ไต้หวัน (อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ ถ้าจองเร็ว) แต่ข้อเสียของรถไฟความเร็วสูง นอกจากราคาแพงแล้ว ตัวสถานีรถไฟความเร็วสูง จะอยู่นอกเมืองเจียอี้ ดังนั้นจึงต้องหารถเมล์นั่งเข้ามาในเมืองต่ออีกทีหนึ่ง
 
เนื่องจากในวันนี้เราเดินทางมาถึงที่เจียอี้ค่อนข้างเย็น กว่าจะหาโรงแรมเจอ กว่าจะเช็คอินเข้าที่พัก ก็เย็นมากแล้ว เลยไม่ได้เที่ยวอะไรในเมืองมากนัก มีแค่มาเดินเล่นหาของกินที่ ถนนคนเดินเหวินหัว (Wenhua night market) ก่อนกลับโรงแรมไปพักผ่อน ก่อนที่จะไปเที่ยวอาลีซาน (Alishan) ในวันรุ่งขึ้นครับ

 
วันที่สอง

ในวันนี้ เราไปเที่ยวแบบ One day trip ที่อาลีซานครับ สำหรับวิธีการเดินทางจากเมืองเจียอี้ ไปยังอุทยานแห่งชาติอาลีซานนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ได้แก่

(1) รถบัสสาย 7322 โดยรถเมล์จะออกจากสถานีรถไฟเมืองเจียอี้ ขึ้นไปยังที่ทำการของอุทยานแห่งชาติอาลีซาน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถอยู่ที่ 271 ดอลลาร์ โดยรถบางรอบจะผ่านที่ เฟิ่นฉี่หู (Fenchihu) ซึ่งจะมีตึกไม้โบราณ มีข้าวกล่องรถไฟขาย ถ้าใครมีเวลาเยอะๆ จะแวะเที่ยวก็ได้ครับ (เนื่องจากทริปนี้เรามีเวลาน้อย เลยไม่ได้แวะที่นี่)

(2) รถไฟสาย Alishan Forest railway

สมัยก่อน เราสามารถนั่งรถไฟจากเมืองเจียอี้ ขึ้นไปถึงบนเขาอาลีซานได้เลยครับ แต่เนื่องจากภัยธรรมชาติจาก พายุไต้ฝุ่นมรกต เมื่อปี 2552 ทางรถไฟสายนี้เลยได้รับความเสียหายอย่างหนัก และวิ่งให้บริการเฉพาะจากเมืองเจียอี้ ไปถึงแค่เฟิ่นฉี่หูเท่านั้น ถ้าใครต้องการเดินทางด้วยวิธีนี้ ก็ต้องหารถบัสเดินทางต่อขึ้นไปอีกทีหนึ่ง

(3) รถแท็กซี่ ตรงหน้าสถานีรถไฟเจียอี้ จะมีพวกแท็กซี่มาดักรอครับ ถ้าใครเน้นสะดวก มีงบไม่จำกัด จะเหมาขึ้นไปก็ได้ ราคาคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 2-3 พันบาทต่อเที่ยว แต่ถ้าอยากประหยัด สามารถบอกเค้าขอแชร์รถไปกับผู้โดยสารคนอื่นก็ได้ครับ หารกันก็น่าจะอยู่ที่คนละเกือบพันบาท แต่ต้องเจรจาตกลงดีๆ 

เนื่องจากว่าเรามีเวลาน้อย และต้องการประหยัดงบ เราเลยใช้วิธีนั่งรถบัสขึ้นไปครับ โดยเราต้องมารอรถที่ป้ายรถเมล์ตรงนี้ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของสถานีรถไฟเจียอี้เลย

 
 
 ในระหว่างที่รอ จะมีลุงคนขับแท็กซื่มาถาม มากดดัน ให้ขึ้นรถไปกับเค้า ก็นิ่งๆไว้ครับ ไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวรถก็มาตามเวลาที่โชว์ไว้ที่ป้ายรถเมล์ (ใครจะเดินทางแบบนี้ แนะนำให้มาเช็คเวลาที่ป้ายรถเมล์ก่อนนะ จะได้ไม่พลาด และไม่ต้องรอรถนาน)


 
Tip:
  1. ถ้าเดินทางไปเที่ยวแบบ one day trip จากเมืองเจียอี้ แนะนำให้เลือกรถรอบไม่เกิน 8 โมงนะครับ เพราะใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เดี๋ยวถึงช้าเกินไป เวลาเที่ยวจะน้อย)
  2. ใครเมารถง่าย แนะนำให้กินยาแก้เมามาด้วยนะ เพราะทางโหดใช้ได้เลย
หลังจากใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงที่ทำการอุทยานครับ
 

สำหรับวิธีการเดินทางภายในอุทยานแห่งชาติอาลีซานนั้น มี 2 วิธีครับ คือ เดิน กับนั่งรถไฟ จริงๆแล้ว ถ้าใครเป็นสายเทรค หรือเดินอึด จะเดินหมดนี้เลยก็ได้  แต่ไหนๆมาที่นี่ทั้งที ผมแนะนำให้นั่งรถไฟเที่ยวด้วยจะดีกว่า โดยรูทที่เราจะใช้ในการเดินทางวันนี้ จะเริ่มต้นจากการนั่งรถไฟจาก Alishan station มาลงที่ Zhaoping station จากนั้นจะเดินลัดเลาะในป่า ผ่าน Sister Lake, Shouzhen temple ไปที่ Sacred tree station แล้วเดินต่อมาเรื่อยๆ กลับออกมาที่ประตูทางออกอุทยานเป็นวงกลมตามแผนที่ด้านล่างนี้ครับ
 

ก่อนที่จะเข้าไปที่อุทยานเราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานก่อน อยู่ที่ 150 ดอลลาร์ จากนั้นก็มาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟที่ Alishan station เพื่อเดินทางไปยัง Zhaoping Station ใช้เวลาเดินทางแค่ 6 นาที ค่ารถไฟอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ โดยรถไฟจะมีทุกๆครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึงบ่ายสามโมงครึ่งครับ
 

 
อากาศตอนที่ผมไป เป็นช่วงตอนกลางวันของเดือนเมษายน กำลังดีเลย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไปครับ
 

พอไปถึง ขอถ่ายรูปรถไฟหน่อยครับ รถไฟสีสันสดใส ดูคลาสสิคแปลกตาดี
 
 
จริงๆแล้วที่อาลีซานก็มีโรงแรมนะครับ แต่เท่าที่เช็คราคาแล้วค่อนข้างแพง และคะแนนรีวิวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเลยเลือกพักที่เจียอี้ แล้วมาเที่ยวที่อาลีซานแบบ one day trip เอา
 

ระหว่างทางจะเจอกับต้นไม้ต้นใหญ่ กับไอหมอกเย็นๆ เดินไปฟินมากครับ สายธรรมชาติต้องหลงรักที่นี่แน่นอน
 





เดินไปซักพัก เราจะเจอกับ สระน้ำสองพี่น้อง (Sister Pond) ซึ่งตามตำนานกล่าวไว้ว่า มีพี่น้องสองคนไปตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา พี่น้องทั้งสองจึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่นี่
 

จากสระน้ำเดินไปอีกนิดเดียวจะมีวัดที่ชื่อว่า วัดฉู่เจิ้น (Shouzhen Temple) ซึ่งบริเวณใกล้ๆกันจะมีอาหารและเครื่องดื่มขาย เราเลยแวะมากินข้าวเที่ยงที่นี่ครับ
 

 
หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จ เราเดินมาที่ Giant Tree Broadwalk ซึ่งเป็นทางเดินที่จะพาเราไปยังต้นไม้ขนาดยักษ์ครับ
 



เดินเลาะมาเรื่อยๆ เราจะเจอกับ Sacred Tree Station จากตรงนี้ ถ้าหมดแรงแล้วก็สามารถขึ้นรถไฟกลับไปที่ Alishan station ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นได้
 







คนส่วนใหญ่จะขึ้นรถไฟที่ Sacred Tree station กลับออกไปครับ แต่เรายังมีทั้งเวลาและแรงเหลือ เลยตัดสินใจเดินต่อให้ครบคอร์ส  ระหว่างทางเจอวัดร้างอีก 1 แห่ง
 



 
ต้นไม้ต้นนี้ถูกเรียกว่า Three generation trees เป็นต้นไม้ที่โตซ้อนบนต้นไม้ต้นเก่าที่ตายไปแล้ว รวมสามรุ่น
 

 
เราใช้เวลาที่อาลีซานรวมประมาณ 5 ชั่วโมงก็เดินครบคอร์สตามที่ผมอธิบายไปตอนแรกครับ จากนั้นเราก็เดินออกมาที่ป้ายรถเมล์เพื่อกลับไปยังเมืองเจียอี้
 

 
ถ้าให้มผมรีวิวว่า อาลีซานเป็นยังไง สิ่งแรกที่ต้องบอกก่อนว่า การมาอาลีซานไม่ง่ายเลยครับ เพราะที่นี่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงของไต้หวันอย่างกรุงไทเปพอสมควร เราต้องเดินทางด้วยรถไฟ แล้วมาต่อรถบัสอีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ทางก็ค่อนข้างคดเคี้ยว แล้วยังต่อมานั่งรถไฟภายในอุทยานต่อไปอีก หลายคนเลยมองว่าไม่ค่อยคุ้มค่าที่จะมาเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าอาลีซานก็มีเสน่ห์ในแบบตัวเองครับ ลองคิดดูว่า จะมีซักกี่อุทยานในโลกนี้ที่มีเส้นทางเดินป่าที่สามารถเที่ยวได้โดยรถไฟ และยังมีธรรมชาติ ความร่มรื่น และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาผสมกันได้อย่างลงตัว ที่นี่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นสายเที่ยวเมือง หรือสายช็อปปิ้ง แต่สำหรับสายธรรมชาติแล้ว ผมว่าต้องประทับใจที่นี่ครับ

วันที่สาม

แผนวันนี้ไม่มีอะไรที่เจียอี้แล้วครับ เราเดินทางต่อไปยังเมืองที่ชื่อว่า ไทจง (Taichung) ที่อยู่ทางภาคกลางของเกาะไต้หวัน ซึ่งผมได้เคยนำมารีวิวไปแล้ว ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน สามารถกดคลิก URL ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 07 มกราคม 2567    
Last Update : 7 มกราคม 2567 22:40:42 น.
Counter : 730 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

3 วัน 2 คืน ไทจง+หนานโถว สีสันแห่งไต้หวันภาคกลาง (ตอนที่ 2: ทะเลสาบสุริยันจันทรา+ฟาร์มแกะชิงจิ้ง)


สถานที่ท่องเที่ยว : ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake), Taiwan
พิกัด GPS : 23° 51' 57.37" N 120° 54' 11.93" E

วันที่สอง


เมืองไทจง (Taichung) เป็นเมืองหนึ่งของไต้หวันภาคกลางที่เป็นเมืองใหญ่ และมีรถไฟความเร็วสูงผ่าน ทำให้ที่นี่มีความเหมาะสำหรับใช้เป็นจุดตั้งต้นสำหรับไปเที่ยวยังหลายๆที่ๆอยู่ทางภาคกลางของไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็น ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake), ฟาร์มแกะชิิิงจิ้ง (Cingjing Farm), หมู่บ้านปีศาจซีโถว (Xitou Monster village) เป็นต้น โดยในทริปนี้ ผมจะพาทุกคนลัดเลาะไปยังพื้นที่ใจกลางของเกาะ ซึ่งถูกเรียกว่า หนานโถว (Nantou) ครับ 

หนานโถว (Nantou)  เป็นเขตเทศมณฑลที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของไต้หวัน (รองจากเขตเทศมณฑลฮวาเหลียนทางตะวันออกของประเทศ) หนานโถวตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ จึงเป็นเขตเดียวของไต้หวันที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล
 

หนานโถวมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาจึงทำให้ที่นี่มีอากาศเย็นสบาย จึงเป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยว พื้นที่ที่มีชื่อเสียงที่คนนิยมไปเที่ยวกัน ได้แก่ ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake) และ ชิงจิ้งฟาร์ม (Qingjing Farm) ซึ่งเราได้ไปเที่ยวมาในทริปนี้ครับ

จริงๆแล้ว การเดินทางจากเมืองไทจงไปยังทะเลสาบสุริยันจันทรา และชิงจิ้งฟาร์ม ทำได้ค่อนข้างสะดวก เพราะมีรถบัสจากสถานีรถไฟไทจง ไปทั้งสองที่นี่เลย เพียงแต่ว่า จะใช้เวลาเดินทางมากหน่อย แต่เนื่องจากเรามีเวลาแค่วันเดียว และอยากเก็บทั้งสองที่นี้ เราเลยตัดสินใจจองทัวร์จาก KKday ในราคาคิดเป็นเงินไทยเพียง 793 บาทเท่านั้น (ราคาในช่วงนั้นนะ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าใครจะไป ลองเช็คดูอีกทีหนึ่ง)

ถ้าใครสนใจทัวร์นี้จองได้ที่นี่นะครับ
https://www.kkday.com/th/product/33413-sun-moon-lake-qingjing-day-tour-from-taichung-taiwan

 

ทัวร์นี้จะมารับเราที่โรงแรมในช่วงเช้าครับ โดยช่วงเวลาที่มารับเค้าจะแจ้งเราทาง Whatsapp อีกทีหนึ่ง แต่จะอยู่ระหว่าง 8.30-9.00 น. โดยทัวร์นี้จะเป็นทัวร์กลุ่มเล็กประมาณ 6 คน รถที่มารับจะเป็นรถขนาดกะทัดรัด ไม่ใช่รถทัวร์คันใหญ่ๆแบบหลายๆทริปที่เคยไปมาก่อนหน้านี้
 

 
หลังจากเดินทางจากโรงแรมไปประมาณ 1 ชั่วโมง ทางทัวร์เค้าจะมาเรามาแวะเข้าห้องน้ำ ทานกาแฟ และถ่ายรูปเล่นที่คาเฟ่ จากตรงนี้เราเริ่มสัมผัสถึงลมเย็นๆแล้วครับ เพราะตรงนี้เข้าสู่ที่ราบสูงของเขตหนานโถวแล้ว
 



ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake) เป็นสถานที่แรกที่ทัวร์พาเรามาเยี่ยมชมครับ ที่นี่ถือเป็นแหล่งน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะไต้หวัน ตั้งอยู่ใจกลางของเกาะเลย
 


 
ที่มาของชื่ออันไพเราะของทะเลสาบนี้ มาจากรูปร่างของทะเลสาบ ที่ทางด้านฝั่งตะวันออกของทะเลสาบคล้ายกับมีพระอาทิตย์ ในขณะเดียวกันทางด้านตะวันตกคล้ายกับมีพระจันทร์ ส่วนชื่อภาษาไทยต้องยกเครดิตให้ทัวร์ไทยต่างๆ ที่คิดชื่อกันเก่งมากครับ
 

บริเวณรอบๆทะเลสาบ เป็นที่อยู่ของ ชนเผ่าเซ่า (Tsou people) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองบนเกาะไต้หวัน (ในรูปด้านล่าง) ทางการรัฐบาลไต้หวันเลยมีการสร้างสวนสนุก โดยเป็นธีมชนเผ่าพื้นเมือง เรียกว่า The Formosan Aboriginal Culture Village ซึ่งส่วนตัว ผมมองว่า เป็นการนำเอาวัฒนธรรมท้องถิ่น มาใช้ประโยชน์ได้อย่างชาญฉลาดทีเดียว
 

ทัวร์นี้จะพาเราล่องเรือไปที่ วัดพระถังซัมจั๋ง (Xuanzang temple) ซึ่งเป็นวัดที่ถูกใช้เป็นที่เก็บอัฐิของ พระถังซัมจั๋ง พระสงฆ์ชาวจีนที่ได้เดินทางไปยังชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกมายังแผ่นดินจีนในสมัยราชวงศ์ถัง จนเป็นที่มาของวรรณกรรมจีนอันโด่งดังอย่างเรื่อง ไซอิ๋ว นั่นเอง
 


ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อพระถังซัมจั๋งได้มรณภาพลงในปี ค.ศ.664 พระธาตุหรืออัฐิส่วนหนึ่งได้ถูกประดิษฐานอยู่ที่เมืองนานกิงของประเทศจีน จนเมื่อเกิดสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นได้นำเอาอัฐไปไว้ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองไซตามะของประเทศญี่ปุ่น


 เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงทศวรรษที่ 1950  มีการจัดประชุมใหญ่เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนิกชนทั่วโลกที่ประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลไต้หวันได้ส่งพระอาวุโสไปร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งในครั้งนั้นทางญี่ปุ่นได้เปิดให้ผู้เข้าประชุมได้ชมอัฐิส่วนกะโหลกศีรษะของพระถังซัมจั๋ง เมื่อผู้แทนของไต้หวันกลับมาถึงประเทศ ก็ได้เสนอรัฐบาลไต้หวันให้ทวงคืนอัฐินั้นจากญี่ปุ่น รัฐบาลไต้หวันและญี่ปุ่นจึงตกลงกันในปี 1955 ให้แบ่งอัฐินั้นออกเป็น 2 ส่วน ครึ่งหนึ่งคงอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และอีกครึ่งหนึ่งส่งคืนไต้หวัน จนมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้จนถึงปัจจุบันครับ

 
บริเวณทางขึ้นของวัด จะมีร้านอาม่าขาย ไข่ต้มใบชา ซึ่งเป็นของขี้นชื่อของที่นี่ ใครมีโอกาสมาที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา แนะนำให้มาลองทานกันดูนะ ว่ากันว่า กินไข่ต้มใบชา 1 ฟอง อายุจะยืนขึ้น 1 ปี
 

จากวัดพระถังซัมจั๋ง ทางทัวร์ก็พาเราล่องเรือมายังจุดต่อไป เรียกว่า ท่าเรืออีเตาเส้า (Ita Thao Pier)  ตรงจุดนี้จะเป็นร้านขายของกินเรียงรายเต็มไปหมด ทางทัวร์จะให้เรากินข้าวกลางวันที่นี่ครับ (จ่ายเองนะ ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์) แต่นอกจากร้านอาหารแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวทะเลสาบที่สวยที่สุดด้วย
 





ทัวร์ให้เวลาเราอยู่ที่จุดนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง พอได้เวลาก็เรียกเราขึ้นเรือกลับฝั่ง ระหว่างทาง เราจะเจอกับ เกาะล่าหลู่ (Lalu island) ซึ่งเป็นเกาะขนาดจิ๋ว ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบสุริยันจันทราพอดี ว่ากันว่าเกาะนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าเซ่า จึงถูกอนุรักษ์ไว้ โดยห้ามนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเกาะนี้ครับ
 

 
หลังจากที่เราเที่ยวที่ทะเลสาบสุริยันจันทราเสร็จแล้ว ทางทัวร์เค้าจะพาเราไปแวะซื้อของฝากที่ร้านขนมแห่งหนึ่ง โดยช่วงที่ผมไปทัวร์เค้าจะแจกคูปองช็อปปิ้งจากทางรัฐบาลไต้หวันให้ด้วย เหมือนเป็นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของเค้า จากนั้นก็ขึ้นเขาเพื่อไปที่ ฟาร์มแกะชิงจิ้ง (Cingjing Farm)
 

ที่นี่จะมีค่าเข้าที่ยังไม่ได้รวมอยู่ในค่าทัวร์ครับ โดยค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 200 ดอลลาร์ สำหรับเข้าชมทุ่งหญ้า และสกายวอร์ค
 

เนื่องจากในเขตหนานโถว มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง และมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น สวิตเซอร์แลนด์แห่งเกาะไต้หวัน ซึ่งเป็นที่เหมาะสมในการทำการเกษตร และปศุสัตว์แบบเมืองหนาว หนึ่งในนั้นก็คือการทำฟาร์มแกะ โดยจุดเริ่มต้นของการทำฟาร์มแกะที่นี่ ก็เพื่อให้ทหารผ่านศึกที่ปลดประจำการหลังจากยุคสงครามกลางเมืองจีน ได้มีอาชีพ และมีงานทำ จึงมีการเปิดฟาร์มแห่งนี้ขึ้น ตั้งแต่ปี 1961 โดยปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของ สภาทหารผ่านศึกไต้หวัน (Veterans Affairs Council of the Republic of China)
 



ในเมื่อเป็นฟาร์มแกะ เราจึงได้พบกับ ฝูงแกะพันธุ์คอร์ริเดล และ บาร์บาโดส ที่ออกมากินหญ้าท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ 
 





ขยับมาที่สกายวอร์คกันบ้าง จากบนนี้ เราจะได้ชมวิวของภูเขาในเขตหนานโถว หนึ่งในนั้นก็คือ ภูเขาเหอหวนซาน (Hehuanshan) ซึ่งมีความสูง 3,422 เมตร (ถ้าใครค้างคืนที่ฟาร์มแกะชิงจิ้ง สามารถซื้อทัวร์ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาลูกนี้ได้ครับ)
 



 
ปิดท้ายทริปวันนี้ด้วย The Old England ซึ่งเป็นคฤหาสน์สไตล์อังกฤษของเศรษฐีชาวไต้หวัน ปัจจุบันถูกปรับปรุงให้เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ซึ่งเราเข้าไปไม่ได้ แต่ถ่ายรูปได้จากข้างนอก
 



โดยรวมทัวร์วันนี้ถือว่าพอใจเลยครับ ราคาที่ได้มาถูกมาก แต่คุ้มค่า ได้เที่ยวถึงสองที่ในวันเดียว ถ้าใครมีแผนมาไทจง และมีเวลาน้อย แต่อยากมาเที่ยวทั้งทะเลสาบสุริยันจันทรา และฟาร์มแกะชิงจิ้ง แนะนำให้ซื้อทัวร์แบบนี้ จะสะดวกกว่าเที่ยวเองครับ แต่ถ้าใครมีเวลาพอ ควรนอนค้างคืน ไม่ว่าจะเป็นที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา หรือชิงจิ้งฟาร์มจะดีกว่า เพราะจริงๆทั้งสองที่นี้ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆอีกเยอะ และการมาค้างคืน จะได้สัมผัสบรรยากาศที่เงียบสงบ และสวยงามมากกว่าการไปเที่ยวในลักษณะ one day trip แบบนี้ครับ
 
วันที่สาม

วันนี้กลับบ้านแล้วครับ เราไม่มีแพลนเที่ยวอะไรแล้ว นอกจากนั่งรถของ U bus จากสถานีรถไฟไทจง ไปยังสนามบินเถาหยวน ในราคา 320 ดอลลาร์ไต้หวัน โดยผมเลือกรถรอบ 8 โมงเช้า ไปถึงที่สนามบินประมาณ 11 โมงครับ (รถมาถึงช้ากว่าเวลาที่กำหนดประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะรถติดมาก)

ปล.ใครจะลอกแผนนี้ แนะนำให้ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้า อย่างน้อย 1 วันนะครับ ถ้าซื้อหน้างานอาจจะไม่ได้รถรอบที่ต้องการ เดี๋ยวไปไม่ทันเครื่องออก

เราบินด้วยสายการบิน Thai Air Asia กลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพครับ แต่ก็ดีเลย์จากกำหนดประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะเครื่องบินมีปัญหาทางเทคนิคอะไรซักอย่าง แต่ถึงได้อย่างปลอดภัยก็โอเคครับ

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านรีวิวเที่ยวที่เมืองไทจงและหนานโถว ของผมนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่วางแผนจะเที่ยวที่นี่ ถ้าใครมีคำถามอะไร คอมเม้นไว้ใต้บล็อกนี้ได้เลยครับ 

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 02 มกราคม 2567    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2567 22:02:20 น.
Counter : 285 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

3 วัน 2 คืน ไทจง+หนานโถว สีสันแห่งไต้หวันภาคกลาง (ตอนที่ 1: เมืองไทจง+พื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ย)


สถานที่ท่องเที่ยว : พื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ย (Gaomei Wetlands), เมืองไทจง (Taichung), Taiwan
พิกัด GPS : 24° 18' 27.57" N 120° 33' 2.30" E

ถ้าพูดถึงไต้หวัน หลายคนคงจะนึกถึง วัดหลงซาน (Longshan Temple), ย่านซีเหมินติง (Ximending) หรือ เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen) ที่ตั้งอยู่รอบๆเมืองหลวงอย่างกรุงไทเปเท่านั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ไต้หวันเป็นเกาะใหญ่ และยังมีอีกหลายเมือง รวมทั้งอีกหลายๆสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปเยือน

สำหรับในรีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนลงมาเที่ยวที่ภาคกลางของไต้หวันกันบ้างครับ บริเวณภาคกลางของเกาะไต้หวันจะมีเมืองสำคัญ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเกาะ นั่นก็คือ เมืองไทจง (Taichung) ซึ่งเป็นประตูไปสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ทะเลสาบสุริยันจันทรา ซึ่งตั้งอยู่ใน เขตหนานโถว (Nantou) โดยในรีวิวชุดนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่พวกนี้กันครับ

รู้จักกับเมืองไทจง (Taichung)

นครไทจง (Taichung city) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะไต้หวัน และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศ รองจากกรุงไทเป โดยมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน

ในอดีตไทจง เป็นพื้นที่ของ ชนเผ่าผิงผู่ (Pingpu people) ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าพื้นเมืองของเกาะไต้หวัน (ในรูปด้านล่าง) แต่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ได้เริ่มมีการอพยพของชาวจีนฮั่นเข้ามาบนเกาะไต้หวัน รวมทั้งบริเวณเมืองไทจงตรงนี้ด้วย

 

ช่วงที่ไทจงมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด เกิดขึ้นในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยทางการญี่ปุ่น ตั้งใจจะทำให้ไทจงเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองทางภาคกลางของเกาะไต้หวัน ทำให้เมืองนี้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการสร้างทั้งอาคาร สถานที่ราชการ ถนน รถไฟ และท่าเรือ ว่ากันว่าในยุคนั้น ไทจง ได้รับสมญานามว่าเป็น เกียวโตแห่งฟอร์โมซา (Kyoto of Formosa) เพราะมีความเงียบสงบและงดงามเหมือนเมืองเกียวโตของญี่ปุ่น
               
ปัจจุบันเมืองไทจงเป็นเมืองที่มีความทันสมัย มีศูนย์การค้า และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง นอกจากนี้ ไทจงยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพอากาศดีที่สุดของเกาะไต้หวันอีกด้วยครับ

การเดินทางเข้าสู่เมืองไทจง

การเดินทางจากเมืองต่างๆของไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็น ไทเป (Taipei), เกาสง (Kaoshuing), เจียอี้ (Chiayi) และ เถาหยวน (Taoyuan) มายังเมืองไทจงค่อนข้างง่ายครับ เพราะที่นี่มีรถไฟทั้ง รถไฟความเร็วสูง (HSR) และ รถไฟธรรมดา (TRA) ผ่านมา สำหรับสถานีรถไฟธรรมดาจะอยู่ใจกลางเมืองครับ ส่วนสถานีรถไฟความเร็วสูงจะอยู่นอกเมือง เราจะต้องนั่งรถเมล์ฟรีต่อเข้ามาในเมืองอีกทีหนึ่ง

 

อีกวิธีหนึ่งสำหรับใครที่เดินทางจาก ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน (Taoyuan International Airport) และต้องการเดินทางมาที่ไทจงโดยตรงเลย ผมแนะนำให้ขึ้น รถบัสสาย 1623 จากสนามบินมาที่สถานีรถไฟไทจงเลยครับ วิธีนี้สะดวกกว่าขึ้นรถไฟความเร็วสูง และใช้เวลาในการเดินทางรวมพอๆกัน โดยเราสามารถซื้อตั๋วรถบัสได้ล่วงหน้าผ่าน KKday ตามลิงค์นี้เลย https://www.kkday.com/en/product/21432

การเดินทางภายในเมืองไทจง

จริงๆ ไทจงมี MRT นะครับ แต่ปัจจุบัน ณ ปี 2566 MRT ยังไม่ครอบคลุมทั่วทั้งเมืองไทจง การเดินทางที่สะดวกที่สุดก็คือ นั่งรถเมล์ ซึ่งเราสามารถเช็คได้ว่าจะขึ้นรถเมล์สายไหนจาก google map ได้เลยครับ แต่ข้อเสียของการใช้ google map ก็คือ แม้ว่าสายรถเมล์ที่แสดงจะถูกต้อง แต่เวลาที่รถเมล์มาถึงจะไม่ตรง ก็เอาไว้ดูเป็นแนวทางเฉยๆล่ะกันว่า จะเอาไว้ใช้ขึ้นรถเมล์สายไหน ส่วนนอีกวิธีที่สะดวกกว่าคือ แท็กซี่ครับ ค่าแท็กซี่ที่นี่แพงกว่าที่ไทยเล็กน้อย ถ้าเดินทางใกล้ๆก็พอรับได้อยู่  

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ช่วงเช้า: เดินทางมาถึงเมืองไทจง/ เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรม
  • เที่ยวในเมือง ได้แก่ สถานีรถไฟไทจง (Taichung Old Railway Station) และ ร้านไอศกรีมมิยาฮาร่า (Miyahara Ice cream)
  • ช่วงบ่าย: ซื้อทัวร์เพื่อไปเที่ยวพื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ย (Gaomei Wetland)
  • ค่ำ: หาของกิน และเดินเล่นที่ตลาดกลางคืนเฟิ่งเจีย (Fengchia Night Market)
วันที่สอง
  • ซื้อทัวร์เต็มวันจาก KKday เที่ยวทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake) และฟาร์มแกะชิงจิ้ง (Cingjing Farm)
วันที่สาม
  • เดินทางด้วยรถเมล์ไปยังสนามบินเถาหยวน (Taoyuan international Airport) เพื่อบินกลับกรุงเทพ

ที่พักที่เมืองไทจง

เราเลือกพักที่ Inhouse hotel Taichung ครับ ที่นี่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟไทจง (สถานีรถไฟปกตินะ ไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง) ในระยะที่เดินได้ ส่วนเรื่องห้องของที่นี่ถือว่าอยู่ในระดับโอเคเลยครับ ห้องใหญ่ สะอาด มีอ่างอาบน้ำ อาหารเช้าก็ค่อนข้างดี ใกล้ๆยังมีตลาดนัดที่คนไต้หวันท้องถิ่นนิยมมาเดินกัน

ผมจองที่พักที่นี่เป็นเวลา 2 คืน โดยจองตรงผ่านเว็บไซต์ของโรงแรม (https://taichung.inhousehotel.com/en/) ในราคารวม 1,950 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 2,202 บาท ราคานี้เป็นราคาสำหรับ 2 คน รวมอาหารเช้าครับ




วันที่หนึ่ง

จริงๆ ทริปนี้เป็นทริปยาวครับ สำหรับทริปที่เมืองไทจงเป็นส่วนหนึ่งของทริปไต้หวัน 8 วัน 7 คืน โดยก่อนหน้านั้น ผมได้ไปเที่ยวที่ อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan) ซึ่งตั้งอยู่ใน เขตเจียอี้ (Chiayi) ก่อนจะเดินทางย้ายเมืองมาที่เมืองไทจง

หลังจากเราฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พัก (เพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน) ก็ได้เวลาสำรวจเมืองไทจงกันครับ ที่แรกที่เรามาก็คือ อาคารสถานีรถไฟไทจงหลังเก่า (Old Taichung Train Station) ซึ่งเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในปี 1917 ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์ตะวันตกแบบเรเนซองต์ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของเมืองไทจงที่ทางการญี่ปุ่นตั้งใจจะปั้นให้เป็นศูนย์กลางการปกครองของเกาะ

 



 
ปัจจุบัน อาคารหลังนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นสถานีรถไฟอีกแล้วครับ เพราะตัวสถานีรถไฟได้ย้ายไปยังอาคารหลังใหม่ที่อยู่ข้างๆกัน แต่ก็ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้เกี่ยวกับรถไฟไต้หวัน และใช้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆของชาวเมืองไทจง
 



 
ที่ต่อไปที่เราไปเที่ยวนั่นก็คือ ร้านไอศกรีมที่ชื่อว่า มิยาฮาร่า (Miyahara) ครับ ความน่าสนใจของที่นี่คือ ตัวอาคารที่เป็นที่ตั้งของร้านมีความเก่าแก่ย้อนกลับไปถึงในยุคที่ไต้หวันยังคงเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในเวลานั้นที่นี่ถูกใช้เป็นคลินิกจักษุวิทยา (รักษาโรคเกี่ยวกับดวงตา) ของ นายแพทย์มิยาฮาร่า ทาเคโอะ (Miyahara Takeo)
 

ต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นสำนักงานสาธารณสุขของเมืองไทจง และได้ถูกทิ้งร้าง จนร้านไอศกรีมร้านนี้ได้เข้ามาทำการซื้อตึก จึงได้รีโนเวทร้านให้เป็นแบบในปัจจุบัน ให้อารมณ์เหมือนเราอยู่ในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์
 





ส่วนไอศกรีมนั้น เอาตรงๆ ผมว่าไม่อร่อย แพงด้วย ส่วนของฝากอื่นๆในร้าน ถือว่าโอเคครับ แต่ราคาแรงไปนิด 
 

ในช่วงบ่ายแก่ๆ ถึงตอนเย็นของทริปวันแรกที่ไทจง เรามีแผนไปเที่ยวที่ พื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ย (Gaomei Wetland) ครับ จากที่ผมหาข้อมูลมา จากเมืองไทจงไปยังเกาเหม่ยห่างกันประมาณ 40 กิโล และแม้ว่าจะมีรถเมล์จากในเมืองไปถึง แต่รอบรถมีน้อยมาก ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ (ถ้าขากลับตกรถ จะเป็นเรื่องใหญ่เลย) หรือถ้าจะเหมาแท็กซี่ ราคาก็ค่อนข้างแพงครับ ผมเลยหาข้อมูลต่อว่า พอจะมีทัวร์พาเราไปเที่ยวที่นี่บ้างไหม จนกระทั่งไปเจอกับทัวร์ใน Klook ซึ่งเป็นทัวร์แบบ Join group ขายในราคา 750 ดอลลาร์ไต้หวัน โดยทัวร์จะมารับจากหน้าร้านไอศกรีมมิยาฮาร่า
 

เกาเหม่ยเป็นพื้นที่ราบใกล้ชายทะเลครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 2,000 ไร่ ความโดดเด่นของที่นี่ก็คือแนวทุ่งกังหันลมขนาดใหญ่ที่เรียงตัวยาวมากกว่า 10 อัน
 

 

เดิมทีแล้ว ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงของชาวจีนฮั่นที่ชื่อว่า เกาหมี่ (Gaomi) ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเกาเหม่ยในยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ปัจจุบัน ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองไทจง โดยคนไต้หวันท้องถิ่นจะนิยมขับรถมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่กัน เพราะบรรยากาศดี ชิลล์ มีความเป็นชายทะเล โดยไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ สะพานไม้ที่ทอดยาวออกไปกว่า 800 เมตร
 
 

 
ด้วยความเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ทำให้ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มีสิ่งมีชีวิตมากมายทั้งปู หอย และปลาตีน รวมทั้งนกและแมลงต่างๆอีกด้วย
 



 
เราอยู่ที่เกาเหม่ยจนถึงพระอาทิตย์ตกดินครับ จากนั้นเราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองไทจง โดยผมให้ทางทัวร์ไปส่งที่ ตลาดกลางคืนเฟิ่งเจีย (Fengchia Night Market) เพื่อไปหาอาหารเย็นทานต่อ

ตลาดกลางคืนเฟิ่งเจีย (Fengchia Night Market) เป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวันครับ ตั้งอยู่ใกล้กับ มหาวิทยาลัยเฟิ่งเจีย (Fengchia University) โดยจะขายสินค้าหลากหลายตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง ในราคาค่อนข้างย่อมเยา เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาวไต้หวันนั่นเอง
 

 
ผมไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศที่นี่มา แต่เอาเป็นว่า คึกคักครับ เป็นย่านวัยรุ่น สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นของที่วัยรุ่นชอบ ตั้งแต่เที่ยวไต้หวันมา ส่วนตัวผมชอบตลาดที่นี่มากที่ีสุดแล้ว

หลังจากเที่ยวตลาดเสร็จ เราก็กลับโรงแรมไปเช็คอิน นอนพักผ่อน ก่อนที่ในวันรุ่งขึ้นจะไปเที่ยวต่อที่ ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake) และ ฟาร์มแกะชิงจิ้ง (Cingjing) ซึ่งการเดินทางทั้งหมดนี้ ผมจะมารีวิวต่อในตอนหน้านะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2566    
Last Update : 7 มกราคม 2567 22:38:42 น.
Counter : 416 Pageviews.  

1 วัน หยางหมิงซาน พื้นที่สีเขียวชานกรุงไทเป


 
สถานที่ท่องเที่ยว : ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qingtiangang), Taiwan
พิกัด GPS : 25° 9' 56.53

ถ้าพูดถึงเมืองหลวง โดยเฉพาะเมืองหลวงที่เป็นมหานคร หรือเมืองหลวงที่สำคัญ คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงภาพตึกระฟ้า ย่านธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ หรือบ้านเรือนผู้คนที่หนาแน่น แต่สำหรับที่กรุงไทเป ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไต้หวันแล้ว ที่นี่กลับแตกต่างออกไปครับ เพราะนอกจากตึกสูงที่สุดในโลกอย่าง ตึกไทเป 101 แล้ว ที่นี่ยังมีอุทยานแห่งชาติตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง และสิ่งที่น่าสนใจคือ อุทยานนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นที่ตั้งของ ภูเขาไฟมีพลัง (Active volcano) ซึ่งปัจจุบันยังมีบ่อน้ำเดือด ไอร้อน ควันประทุ และมีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่เกิดจากการไหลของธารลาวาจากภูเขาไฟ ที่นี่มีชื่อว่า หยางหมิงซาน (Yangmingshan National Park) ครับ

รู้จักกับอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน (Yangmingshan National Park)

หยางหมิงซาน (Yangmingshan)
เดิมมีชื่อว่า เคาซาน (Caoshan) แต่ต่อมา เจียงไคเช็คซึ่งเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน ได้ทำการเปลี่ยนเป็นชื่อ หยางหมิงซาน (Yangmingshan) ตามชื่อของ หวังหยางหมิง (Wang Yang Ming)  ซึ่งเป็นนักปรัชญาและขุนนางสมัยราชวงศ์หมิงที่เขาชื่นชอบ

 

หยางหมิงซานเป็น 1 ใน 9 อุทยานแห่งชาติของไต้หวัน โดยมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งกรุงไทเป และเขตนิวไทเป ซึ่งเป็นเขตปริมณฑล โดยตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงไทเปไปประมาณ 20 กิโลเมตร
 

พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่มีความสูงตั้งแต่ 200 ไปจนถึง 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอาณาเขตมากกว่า 7 หมื่นไร่ และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ทั้งจุดแคมป์ปิ้ง, เส้นทางเดินป่า, ปีนเขา, ชมสัตว์ป่า, น้ำตก, ต้นไม้, ป่าไม้, บ่อน้ำแร่

ในแต่ละช่วงฤดูกาลของหยางหมิงซานก็จะมีความงดงามที่แตกต่างกันออกไปครับ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม เราจะได้พบกับดอกไม้บาน เช่น ดอกซากุระที่จะบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ถ้ามาในช่วงเดือนตุลาคมจะมีลานหญ้าสีน้ำเงิน หรือถ้ามาในช่วงเดือนธันวาคมจนถึงมกราคม ที่นี่ก็มีโอกาสเจอหิมะตกได้ครับ (ไม่ได้ตกประจำนะ นานๆจะตกซะทีหนึ่ง)

การเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน

เนื่องจากเป็นพื้นที่อุทยาน ที่นี่จึงไม่มีรถไฟใต้ดินไปถึงครับ วิธีง่ายที่สุดคือ ให้เดินทางมาที่ สถานี Taipei main station ทางออก Y6 เราจะเจอกับป้ายรถเมล์แบบในรูปด้านล่าง จากนั้นให้ รถเมล์สาย 260 นั่งไปจนสุดสายจะถึงที่อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน

 

การเดินทางภายในอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน

เมื่อนั่งรถเมล์ ถึงที่ป้ายหลักของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานแล้ว เราจะต้องต่อเป็น รถมินิบัสของอุทยาน (สาย 108) เพื่อเที่ยวชมจุดต่างๆภายในอุทยาน ซึ่งรถมินิบัสนี้จะวิ่งแบบวนลูป ตั้งแต่เวลา 7:00-17:30 ในราคา 15 ดอลลาร์ไต้หวันต่อเที่ยว รถจะออกทุกๆ 30 นาทีสำหรับวันธรรมดา และทุกๆ 10 นาทีในวันหยุดครับ

ป้ายรถเมล์ภายในอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน จะมีอยู่ด้วยกัน 10 แห่ง โดยสาย 108 จะครบทุกป้าย เราอยากเที่ยวจุดไหน ก็ลงที่จุดนั้นได้เลย โดยผมมีแผนการเดินทางดังนี้ครับ
  • จากป้ายรถเมล์หลักหน้าอุทยาน นั่งรถเมล์สาย 108 ไปลงที่ ป้ายเสียวโหย่วเคิ่ง (Xiaoyoukeng) เพื่อไปเที่ยวชมภูเขาไฟที่ Volcanic Geological Landscape Area
  • จากนั้น นั่งรถเมล์สาย 108 จากป้ายเสียวโหย่วเคิ่งไปที่ที่ ป้ายเหลิงสุ่ยเคิ่ง (Lengshuikeng) Bus เพื่อไปชม บ่อน้ำนม (Milk Pond), สะพานแขวนจิงชาน (Jingshan suspension bridge) แล้วเดินมาเรื่อยๆจนถึง ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qing Tian Gang)
  • จากทุ่งหญ้า นั่งรถเมล์สาย S15 กลับเข้ากรุงไทเป
ข้อควรรู้: บนอุทยานไม่มีร้านอาหารนะ มีแต่ตู้กดน้ำ ถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี่ทั้งวัน แนะนำให้เตรียมอาหารมาเองด้วย หรือจะมาซื้อทานที่มินิมาร์ทตรงหน้าอุทยานก่อนก็ได้ครับ

เสี่ยวโหย่วเคิ่ง (Xiao You Keng)

บริเวณนี้ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานเลยครับ และที่ผมมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะอยากมาดูที่นี่แหละ

 

จุดนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 805 เมตร เป็นจุดชมภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ของไต้หวัน เลยมีควัน ผสมกับกลิ่นแก๊สซัลเฟอร์ฉุนๆ ให้แสบจมูกเล็กน้อย แต่ไม่ได้แรงเท่าภูเขาไฟหลายๆลูกที่ผมเคยไปมาก่อนหน้านี้ครับ
 



ทางอุทยานได้ทำทางเดินไว้อย่างดีเลยครับ สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าเผลอเดินไปยังเขตพื้นที่ห้ามเข้า เพราะอาจเกิดอันตรายจากความร้อน และดินสไลด์ที่ยังเกิดขึ้นได้
 

จริงๆแล้วจากตรงนี้สามารถเดินเทรลได้ โดยจะเป็นการปีนภูเขาที่สูงที่สุดของอุทยานที่ชื่อว่า ฉีซิงชาน (Qixingshan) ซึ่งมีความสูง 1,120 เมตร ซึ่งเราไม่ได้เดินครับ เพราะตั้งใจจะเก็บแรงไว้เดินที่จุดอื่นต่อ

สำหรับที่เสี่ยวโหย่วเคิ่ง พอได้มาเทีี่ยวแล้ว ผมเฉยๆกับที่นี่นะครับ อาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ผมเพิ่งจะไปเที่ยว ภูเขาไฟอาโสะ ที่ญี่ปุ่นมา แล้วก็ก่อนหน้านั้น ผมยังเคยไปเที่ยว ภูเขาไฟที่อินโดนีเซีย มาแล้วด้วย พอเจอที่นี่ที่ไม่อลังการเท่า ผมเลยยังไม่ค่อยประทับใจเหมือนกับภูเขาไฟที่เคยไปมาก่อนหน้านี้

เหลิงสุ่ยเคิ่ง (Lengshuikeng)

พอเราลงจากป้ายรถเมล์จะเจอกับบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่เท้าก่อนเลยครับ ส่วนใหญ่ผมเห็นแต่ลุงๆป้ามาแช่กันนะ ส่วนเรา เนื่องจากยังไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยเท่าไหร่ ก็เลยเดินลุยไปเข้าป่าไปเลยครับ

 

เดินเข้าป่าไปไม่ไกล จะเจอ บ่อน้ำนม (Milk Pond) ซึ่งเป็นบึงขนาดเล็กๆ ที่น้ำในบึงมีสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมที่เกิดจากซัลเฟอร์ที่ผุดขึ้นมา เนื่องจากใต้พื้นดินบริเวณนี้เป็นภูเขาไฟ  
 

จากบ่อน้ำนม เราจะเดินไปยัง ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qingtiangang) รวมระยะทางในการเดินประมาณ 1.7 กิโลเมตร อาจจะฟังดูไกลหน่อย แต่พอเดินจริงๆ ผมว่าชิลล์นะ เพราะอากาศเย็น และทางเดินเค้าทำไว้ดีมาก เดินไปเรื่อยๆ ชมนก ชมไม้ แป๊บเดียวก็ถึงครับ
 

ระหว่างทาง เราจะเจอกับ สะพานแขวนจิงชาน (Jingshan suspension bridge)
 



ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qingtiangang)

สำหรับผม ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานครับ ด้วยสภาพบรรยากาศทุ่งหญ้ากว้างใหญ่บนภูเขา มีวัวควายกำลังกินหญ้าอยู่  น่าเสียดาย ตอนที่ผมไป หมอกลงจัดมาก แต่ก็เป็นบรรยากาศที่แปลกตาดี (อย่างกับ Silent Hill)

 

ทุ่งหญ้านี้เกิดจากการไหลของลาวาจากภูเขาไฟครับ และเมื่อเวลาผ่านไป พวกแร่ธาตุจากใต้พิภพที่มากับลาวา ก็ได้สะสมอยู่ที่พื้นดินตรงนี้ ทำให้พื้นที่ตรงนี้มีความอุดมสมบูรณ์ กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ชาวบ้านใกล้ๆแถวนั้น เลยเอาวัวควายมาเลี้ยงแบบกึ่งปล่อยตรงนี้

ควายที่ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง ไม่ได้มีตลอดทั้งปีนะครับ ถ้าใครไปช่วงหน้าหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมจะไม่เจอ เพราอากาศหนาวเดินไป วัวควายอยู่ไม่ได้ ชาวบ้านเค้าจะเอาไปเก็บตามคอก

 



แม้ว่าวัวควายพวกนี้จะเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ แต่ก็มีป้ายเตือนว่าอย่าไปแหย่มันนะ เดี๋ยวมันหงุดหงิดขึ้นมาจะโดนขวิดเอา และเพื่อความไม่ประมาท ทางอุทยานก็ได้เตรียมรั้วกันไว้แล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็วิ่งเข้ารั้วกั้นตรงนี้เลย
 



ถ้าใครมีเวลาเยอะ สามารถเดินเล่นเป็นวงกลมรอบทุ่งหญ้า (Circular trail) รวมระยะทาง 2.4 กิโลเมตรได้เลยครับ แต่เราเหนื่อยแล้ว เลยเดินไปขึ้นรถเมล์สาย S15 กลับเข้ากรุงไทเปดีกว่า
 





สำหรับภาพรวมของที่นี่ โดยรวมก็ถือว่าชอบครับ อากาศเย็นสบาย แล้วก็ได้เห็นอะไรที่ไม่มีในบ้านเราอย่างภูเขาไฟด้วย ข้อดีของหยางหมิงซานคือ ที่นี่เป็นที่เที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงไทเป ทำให้เดินทางง่าย เหมาะกับคนที่มาเที่ยวไต้หวัน และอยากหาที่เที่ยวธรรมชาติ แต่มีเวลาไม่เยอะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2566    
Last Update : 24 ธันวาคม 2566 21:40:51 น.
Counter : 1164 Pageviews.  

1 วัน จีหลง+นิวไทเป สีสันชายฝั่งภาคเหนือของเกาะไต้หวัน


สถานที่ท่องเที่ยว : เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street), เขตนิวไทเป, Taiwan
พิกัด GPS : 25° 9' 56.70" N 121° 34' 31.31" E


หลังจากที่สองวันแรกของทริป เราได้เที่ยวในกรุงไทเปไปพอสมควรแล้ว ในวันนี้เราจะออกนอกเมืองกันบ้างครับ โดยในวันนี้เราจะนั่งรถเพื่อขึ้นไปยังชายฝั่งทางตอนเหนือสุดของเกาะไต้หวัน ซึ่งที่นั่นจะประกอบไปด้วยเมืองใหญ่ 2 เมือง ได้แก่ จีหลง (Keelung) และ นิวไทเป (New Taipei) ทั้งสองเมืองนี้ ถ้าเทียบกับประเทศไทย ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจังหวัดปริมณฑลที่ล้อมรอบเมืองหลวงอยู่ คล้ายๆกับจังหวัดนนทบุรี หรือสมุทรปราการของบ้านเรานั่นเอง


รู้จักกับเมืองจีหลง (Keelung)

เป็นเมืองชายทะเลที่ตั้งอยู่ปลายสุดทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน เดิมทีเมืองนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของ ชนเผ่าเคอทาเก๋อหลัน (Ketagalan People) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง (ในรูปด้านล่าง) แต่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ก็ได้มีคณะสำรวจชาวสเปนเดินทางมาที่บริเวณแถบนี้ และได้สร้างเป็นเมืองขึ้นชื่อว่า ซานซัลวาดอร์ (San Salvador) แต่ต่อมาเมืองนี้ก็ได้ถูกยึดครองโดยชาวฮอลันดา และได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น นูร์ท ฮอลแลนด์ (Noort Hoollant) จนเมื่อชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ ได้เข้ามาขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปได้สำเร็จในสมัยราชวงศ์ชิง
 
 
จีหลงเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นได้เริ่มมีการสร้างท่าเรือแบบสมัยใหม่ขึ้นที่นี่ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเมืองนี้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ เป็นรองแค่เมืองเกาสง (Kaoshuing) ทางภาคใต้ นอกจากนี้ เมืองจีหลงยังเป็นเมืองที่มีฝนตกมากที่สุดของไต้หวันด้วยด้วย ทำให้ที่นี่ได้สมญานามว่าเป็น ท่าเรือแห่งสายฝน (The Rainy Port)

รู้จักกับเมืองนิวไทเป (New Taipei City)

ภาษาจีนจะเรียกที่นี่ว่า ซินเป่ย์ (Xinbei) เขตนี้จะล้อมรอบกรุงไทเป และเมืองจีหลง ซึ่งแต่เดิมพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกรุงไทเปที่พิ่งแยกออกมาเมื่อปี 2010 นี่เอง ซึ่งสาเหตุที่แยกออกมา เนื่องจากจำนวนประชากรของเขตนี้มีจำนวนเยอะขึ้น จนแซงหน้ากรุงไทเปไปแล้ว ทำให้ที่นี่ถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นอีกหนึ่ง  เทศมณฑล เพื่อให้มีฐานะเทียบเท่ากับเทศมณฑลไทเป

สิ่งที่น่าสนใจของเขตนี้คือ ในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ได้มีการค้นพบว่า ที่นี่มีสายแร่ทองคำ จึงมีการทำเหมืองขึ้น ปัจจุบันยังมีร่องรอยของประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ได้แก่ เมืองจิ่วเฟิ่น (Jiufen) อันโด่งดังนั่นเองครับ

 
การเดินทางไปยังจีหลงและนิวไทเป

ทริปในวันนี้ เรานั่งรถเมล์เที่ยวล้วนๆเลยครับ โดยเราเริ่มต้นจาก Taipei Main Station (Kuokuang Bus Station) เพื่อเดินทางไปยัง อุทยานธรณีเย่หลิว (Yehliu Geeopark) แล้วนั่งรถเมล์ต่อไปยัง เมืองจีหลง (Keelung) ทานข้าวเที่ยงที่ ร้าน A6263 แล้วไปชมบ้านหลากสีที่ ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing harbor) จากนั้นก็เดินทางไปยัง เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street) โดยระหว่างทางจะแวะเที่ยว ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea) และน้ำตกทองคำ (Golden waterfall) ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางทั้งหมดนี้ ผมขอสรุปตามแผนผังข้างล่างนี้นะครับ

 
อุทยานธรณีเย่หลิว (Yehliu Geopark)

จาก Taipei Main Station เรานั่งรถเมล์ลัดเลาะชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันมาถึงที่นี่ก่อนเลยครับ

 

 
สำหรับอุทยานธรณีเย่หลิว ตั้งอยู่ในเขตนิวไทเป ซึ่งถ้าดูแผนที่ อุทยานนี้จะเป็นแหลมยื่นออกไปสู่ ทะเลจีนตะวันออก (East China Sea) โดยแหลมนี้มีความยาวประมาณ 1,700 เมตร


 
สิ่งที่โดดเด่นของอุทยานธรณีเย่หลิวก็คือ ลักษณะของหินต่างๆที่มีรูปทรงที่ดูแปลกตา ให้เราจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ ตัวอย่างเช่น เห็ด ปลาวาฬ  ไอศกรีม เต้าหู้ สิงโต ซึ่งหินต่างๆเหล่านิ้เกิดจากการกัดกร่อนของคลื่นลม และน้ำทะเล
 










 
ไฮไลท์สำคัญของที่นี่ก็คือ หินเศียรราชินี (Queen’s Head Rock) ซึ่งว่ากันว่าคล้ายกับส่วนหัวของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งของอังกฤษ



 
บริเวณอุทยานธรณีเย่หลิวจะมี อนุสาวรีย์ของหลินเทียนเจิ้น (The Statue of Lin Tienzhen) ซึ่งเป็นชาวประมงท้องถิ่นที่พยายามจะช่วยนักเรียนคนหนึ่งที่ตกลงไปในน้ำขณะเดินทางมาทัศนศึกษาที่นี่ แต่เป็นที่น่าเศร้าตรงที่ทั้งคู่สูญหายไปในทะเล พอเรื่องทราบถึงประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก จึงมีการสั่งการให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่นี่ และได้นำเรื่องราวความกล้าหาญของชาวประมงคนนี้ใส่ลงไปในตำราเรียนของไต้หวัน เพื่อยกย่องความกล้าหาญ และความเสียสละของเขา
 

 
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 120 ดอลลาร์ไต้หวัน, เด็ก 60 ดอลลาร์ไต้หวัน
 
 
ร้าน A6263

ร้านนี้อยู่ในเมืองจีหลง (Keelung) เลยครับ แต่จะหายากหน่อย เพราะเป็นร้านค่อนข้างลับเหมือนกัน (แต่ตอนนี้ไม่ค่อยลับล่ะ เพราะมีคนไทยหลายคนไปรีวิว) 

วิธีเดินทาง ให้นั่งรถเมล์มาลงในเมืองจีหลงจากนั้นให้เดินมาที่ ตลาดเหรินอ้าย (Ren Ai Market) แล้วเดินขึ้นมาชั้นสอง จะเจอกับป้ายอันนี้

 
 
เวลาจะสั่งอาหารที่นี่ ทางร้านจะให้ใบสำหรับเขียนสั่งอาหารมา แต่ปัญหาคือ มันมีแต่ภาษาจีนครับ  ดังนั้นใครที่อ่านจีนไม่ออก พูดจีนไม่ได้ แต่อยากมากิน แนะนำให้ใช้ google translate แปลเอานะครับ มันจะแปลออกมางงๆหน่อย แต่ก็พอเข้าใจอยู่

อาหารสั่งมา 4 อย่างคือ ข้าวหน้ากุ้ง, ข้าวหน้าเซ็ทซาซิมิรวม (รวมซุปมิโซะ), ซุปรวมมิตรทะเล, ปลาหมึกนึ่ง โดยส่วนตัวชอบข้าวหน้ากุ้งมากที่สุด รสชาติแปลกดี แต่อร่อย นอกนั้นก็อร่อยดี วัตถุดิบสดมาก คนไทยน่าจะชอบ เพราะรสชาติที่คนไทยคุ้นเคย ทั้งหมดนี้ หมดไปประมาณ 6 ร้อยกว่าบาท โดยรวมก็ถือว่าโอเค พอใจกับรสชาติและคุณภาพอาหารครับ
 

 
ถ้าใครจะมาทานที่ร้านนี้ ให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆเลยครับ คิวยาวมาก โดยเฉพาะตอนเที่ยงๆ

ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing harbor)

ท่าเรือนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในปี 1934 ครับ และถือเป็นท่าเรือประมงทื่ใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวันในยุคนั้น แต่ต่อมาเมื่อไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของจอมพลเจียงไคเช็ก ที่นี่ก็ค่อยๆถูกลดบทบาทลงไป จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทางรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองจีหลง ได้ทำการปรับปรุง ทาสีบ้านเรือน ทำให้ที่นี่กลายมาเป็นแลนด์มาร์ค และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้ไปเลย

 

Tip: หลายรีวิวแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ช่วงเช้านะครับ เพราะถ่ายรูปออกมาจะไม่ย้อนแสง
 
ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea)

จริงๆ ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในแผนตอนแรกครับ แต่เนื่องจากเราต้องการนั่งรถเมล์จากเมืองจีหลงไปยังเมืองโบราณจิ่วเฟิ่น แล้วต้องมาเปลี่ยนสายรถเมล์ตรงนี้พอดี ก็เลยตัดสินใจขอแวะเที่ยวหน่อยล่ะกัน

บริเวณนี้จะเป็นจุดชมวิวทะเลสองสี นั่นก็คือ สีเหลืองกับสีฟ้าครับ ทำให้คนไต้หวันเรียกทะเลตรงนี้ว่า ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea)  ซึ่งสีเหลืองของน้ำทะเลตรงนี้ เกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำในอดีต ทำให้สารเคมีจากการทำเหมืองแร่ไหลลงไปในทะเล ซึ่งจริงๆแล้วอันตรายครับ แต่ก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทัวร์มาลงเต็มไปหมด

 

 
สิ่งที่น่าสนใจกว่าทะเลคือ ตึกบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังป้ายรถเมลทะเลหยินหยาง ตึกนี้มีชื่อว่า 13 Floor ruin หรือเรียกในภาษาจีนว่า ซุ่ยหนานตง ซึ่งเคยถูกใช้เป็นโรงถลุงแร่ทองมาก่อน โดยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1933 ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น จนเมื่อถึงปี 1971 เมื่อทองคำบนภูเขานี้ค่อยๆลดลง ตึกนี้ก็ได้ถูกปิดตัวลง และถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวคู่กับทะเลหยินหยางครับ
 

 
น้ำตกสีทอง (Golden waterfall)

เดินขึ้นเขาจากจุดชมวิวจทะเลหยินหยาง จะเจอกับน้ำตกสีทองนี้ครับ
 
 
ความแปลกของน้ำตกนี้ก็คือสีของเนินเขาของน้ำตกจะเป็นสีทอง ซึ่งเกิดจากตอนช่วงที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำ ได้มีแร่ธาตุปนเปื้อนอยู่ในน้ำ และแร่ธาตุเหล่านี้ก็ได้ทำปฏิกิริยากับเนินเขา จนกลายเป็นสีทองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
 

 
เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street)

จิ่วเฟิ่น (Jiufen) เป็นหมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของ เขตลุ่ยฟาง (Ruifang) ของเขตเทศมณฑลนิวไทเปทางตอนเหนือสุดของเกาะไต้หวัน

ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปตั้งแต่ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยในช่วงนั้นได้มีการทำเหมืองทำคำขึ้นใกล้ๆตรงนี้ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เป็นจำนวนมาก จึงมีการสร้างบ้านเรือนขึ้นจนกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ซึ่งบ้านเรือนเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากชาวญี่ปุ่นด้วย ทำให้เมื่อเราเดินเข้าไปในหมู่บ้าน จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ผสมผสานระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอย่างลงตัว



 
จุดที่เป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นก็คือ มุมมหาชนตรงข้ามกับโรงน้ำชา Amei Tea House ตอนผมไปมีแต่คนไทยไปยืนรอถ่ายกันเต็มไปหมด เพราะช่วงที่ไปเป็นวันหยุดตอนเทศกาลสงกรานต์พอดี

 

แผนตอนแรกสุดคือ เราจะมาหาน้ำชาทานที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม Amei Tea house พร้อมกับชมวิวเพลินๆ แต่พอมาถึงก็เพิ่งรู้ว่า มันต้องจองมาก่อน ผ่านทาง klook หรือ kkday ครับ เลยอดเลย

แต่ถึงพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะที่จิ่วเฟิ่น  ยังมีร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านอื่นๆขายเรียงรายเต็มไปหมด แต่ร้านที่ไม่ควรพลาดเลย ก็คือ ร้าน A-Jou Peanut Ice Cream Roll ซึ่งเค้าจะขายเป็นไอศกรีมรสหวานผสมถั่วตัดห่อด้วยแผ่นแป้งแบบนี้ (สามารถเลือกได้ว่าผักชีไหม แต่สำหรับคนไทย ไม่ใส่จะถูกปากมากกว่าครับ)
 
 
เนื่องจากคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก เจ้าของร้านอาหาร และพนักงานที่นี่หลายคนที่เมืองนี้ก็เลยพูดภาษาไทยได้ด้วย และบางร้านยังมีป้ายภาษาไทยด้วยนะ อย่างร้านขายไส้กรอกไต้หวันร้านนี้ ก็มีป้ายภาษาไทย แต่พอแปลออกมา ผมว่ามันดูแปลกๆนะ
 
 
ที่จิ่วเฟิ่นจะมีการแขวนโคมไฟสีแดงตกแต่งรอบๆ จึงมีคนนำไปร่ำลือกันว่า จิ่วเฟิ่นคือเมืองต้นแบบของฉากในหนังอนิเมะเรื่อง Spirit Away ของค่ายสตูดิโอจิบลิ แต่ผู้สร้างและค่าย ก็ออกมาปฏิเสธหลายรอบแล้วนะครับว่า ไม่ใช่ ฉากในหนังมาจากหลายสถานที่ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นที่ใดที่หนึ่ง แต่นักท่องเที่ยวหลายคนก็เชื่อไปแล้วแหละ ทำให้ที่เมืองนี้มีการขายของที่ระลึกต่างๆจากหนังเต็มไปหมด

 


จิ่วเฟิ่นเป็นที่สุดท้ายของทริปในวันนี้ครับ พอเริ่มค่ำเราก็นั่งรถกลับเข้าตัวเมืองไทเป ทริปที่จีหลงและนิวไทเปแบบเต็มวันก็จบเพียงเท่านี้ครับ

สำหรับทริปในวันนี้ ถือเป็นวันที่เราได้เที่ยวได้หลายที่มาก และทุกที่ถือเป็นไฮไลท์ของไต้หวันเลย ไม่ว่าจะเป็นอุทยานธรณีเย่หลิว เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น หรือที่เที่ยวใหม่ที่เพิ่งได้รับการโปรโมทอย่างบ้านหลากสี ที่ท่าเรือเจิ้งปิน ถ้าใครจะมาตามรอยก็สามารถลอกแผนของผมได้เลยครับ 

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2566    
Last Update : 24 ธันวาคม 2566 21:41:12 น.
Counter : 771 Pageviews.  

1  2  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.