สถานที่ท่องเที่ยว : พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace), Myanmar
พิกัด GPS : 21° 59' 34.34" N 96° 5' 47.55" E
มิงกาลาบา (สวัสดี) ครับทุกคน วันนี้ผมขออนุญาตกล่าวคำทักทายเป็นภาษาพม่า ซึ่งเป็นภาษาจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยนะครับ
ถ้าพูดถึงพม่า หรือที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น เมียนมา ไปแล้ว ประเทศนี้อาจจะยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทย ทั้งๆที่ไทยกับพม่ามีอาณาเขตติดกันมากกว่า 2,400 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับใครหลายคน อาจจะยังมองประเทศนี้ในแง่ลบ ทั้งในแง่ความปลอดภัย หรือเรื่องราวความบาดหมางในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ในรีวิวชุดนี้ ผมจะพาทุกคนไปพบกับอีกแง่มุมหนึ่งของประเทศนี้ ทั้งในด้านความสวยงาม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้า โดยเมืองที่ผมจะพาไปเที่ยวในทริปนี้มีชื่อว่า มัณฑะเลย์ (Mandalay) ครับ
ทริปนี้ผมไปมาในช่วงระหว่างวันที่ 21-24 ธันวาคม 2562 เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน โดยใช้เวลาอยู่ที่ เมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay city) รวมทั้งเมืองบริวารอย่าง สะกาย (Sagiang), มิงกุน (Mingun), อังวะ (Inwa) และ อมรปุระ (Amarapura) ครับ
รู้จักกับเมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay)
เมืองมัณฑะเลย์ถือเป็นหัวเมืองที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคมใน แถบพม่าตอนบน (Upper Myanmar) ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ถูกเรียกว่าเป็น พม่าแท้ (Real Myanmar) ต่างจากพม่าตอนล่าง (Lower Myamar) ซึ่งเป็นดินแดนที่ประชากรเป็นลูกผสมระหว่างชาวพม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
บริเวณแถบพม่าตอนบน ยังถือเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาวพม่า เนื่องจากเป็นที่ตั้งของอดีตเมืองหลวงต่างๆทั้ง อังวะ สะกาย อมรปุระ และ มัณฑะเลย์ ซึ่งในทริปนี้ เราจะเที่ยวเก็บเมืองเหล่านี้ทั้งหมดครับ
เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในประเทศพม่า รวมทั้งที่เมืองมัณฑะเลย์เป็นวัด ข้อแนะนำอย่างหนึ่งสำหรับการเที่ยวที่นี่ก็คือ ให้ใส่รองเท้าแตะครับ เนื่องจากเวลาเข้าวัด เราต้องถอดรองเท้า จะได้ถอดง่ายๆ และที่นี่ยังห้ามใส่ถุงเท้า หรือถุงน่องเข้าวัดอีกด้วย นอกจากนี้ การแต่งกายเวลาเข้าวัด ก็ควรแต่งกายสุภาพ (กางเกงขายาว ห้ามใส่เสื้อแขนกุด สายเดี่ยว หรือเกาะอก)
Tip: เวลาที่ไปเที่ยว ผมแนะนำให้เตรียมถุงพลาสติกใบใหญ่ๆ 1 ใบ ไว้ใส่รองเท้าไว้ด้วย เนื่องจากบางครั้งเราถอดรองเท้าไว้ข้างนอก อาจโดนขโมย หรือเสียเงินค่าฝากรองเท้า (แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสมากก็ไม่เป็นไร)
แผนเที่ยว
วันที่หนึ่ง
- นั่งเครื่องจากกรุงเทพไปยังเมืองมัณฑะเลย์ด้วยสายการบิน Thai Air Asia (FD244)
- ถึงเมืองมัณฑะเลย์ เดินทางจากสนามบินเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
- เช็คอินเข้าที่พัก (APEX hotel)
- ทานชา กาแฟ ยามบ่าย พร้อมชมวิวเมืองมัณฑะเลย์ที่ภัตตาคารของโรงแรม
- ทานอาหารเย็นที่ APEX sky bar
วันที่สอง
- เช้าเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์
- ทานอาหารเที่ยงที่ Mingalapar restaurant
- บ่ายเที่ยววัดต่างๆรอบเมือง ได้แก่ วัดพระมหามัยมุนี, วิหารชเวนันดอว์, อารามอาตุมาชิ, วัดกุโสดอว์
- เย็นชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Mandalay Hill
วันที่สาม
- เช้าเที่ยวเมืองมิงกุน ชมเจดีย์มิงกุน ระฆังมิงกุน และเจดีย์ชินพิวเม
- ทานอาหารเที่ยงที่ Sagiang Hill restaurant
- บ่าย ชมวิวเมืองสะกายจาก Sagiang Hill จากนั้นนั่งรถม้าชมเมืองอังวะ
- เย็น ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานอูเบ็ง เมืองอมรปุระ
วันที่สี่
- ตื่นสายๆ ทานอาหารเช้าที่โรงแรมชิลล์ๆ
- นั่งรถไปสนามบิน
- บินกลับเมืองไทยด้วยสายการบิน Thai Air Asia (FD245)
ที่พักในเมืองมัณฑะเลย์
ทริปนี้ผมเลือกพักที่ Hotel APEX ซึ่งเป็นโรงแรมระดับมาตรฐานสามดาว ใจกลางเมืองมัณฑะเลย์
ข้อดีของที่นี่มีมากมายครับ ทั้งทำเลที่ตั้ง พนักงานที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี (รวมทั้งภาษาจีนด้วย) ตกแต่งสวยงาม มีสระว่ายน้ำและฟิตเนส นอกจากนี้แขกของทางโรงแรม ยังจะได้รับคูปองอาหารว่างยามบ่าย (Tea break) ที่ภัตตาคารของโรงแรม และที่นี่ยังมี APEX sky bar อยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ซึ่งแขกของโรงแรมจะได้รับสิทธิพิเศษเป็น Cocktail ฟรี 1 drink และส่วนลดค่าอาหารอีก 10% จากข้อดีมากมายของโรงแรมนี้ ผมขอแนะนำที่นี่เลยครับ
ข้อเสียเพียงไม่กี่อย่างของที่นี่คือ ห้องน้ำของโรงแรมนี้ ไม่ได้แยกส่วนเปียกกับส่วนแห้งออกจากกันอย่างชัดเจน เวลาอาบน้ำจะเปียกไปทั้งห้องน้ำ นอกจากนี้ ห้องของโรงแรมไม่ได้เก็บเสียง เสียงจากห้องอื่น และข้างนอก อาจเล็ดลอดเข้ามาได้
ตลอดทริปนี้ ผมจองที่ Hotel APEX เป็นเวลา 3 คืน ตกคืนละ 1,500 บาท หารต่อคนก็ตกคนละ 750 บาทต่อคืนครับ (รวมอาหารเช้าแล้ว)
ใครสนใจโรงแรมนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะครับ https://www.hotelapexmandalay.com/ วันที่หนึี่ง
ทริปนี้เราออกเดินทางจากกรุงเทพครับ ผมนั่งเครื่องบินของสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD 244 ไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์ในช่วงบ่าย
จากสนามบินมัณฑะเลย์ เราสามารถนั่งรถ Airport bus ไปก็ได้ หรือถ้าใครมากันหลายคน แนะนำให้เรียกรถ Taxi จากสนามบินเข้าเมือง ราคาถ้าคิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ 300-500 บาท แต่ถ้าใครไม่อยากเสี่ยงกับรถ Taxi ที่อาจจะโดนโกงได้ ผมขอแนะนำบริการของ Klook ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นชื่อดังในด้านการท่องเที่ยว โดยเราสามารถใช้แอพนี้จองทั้งทัวร์และรถรับส่งต่างๆอย่างค่ารถจากสนามบินเข้าเมือง ถ้าจองผ่าน Klook จะอยู่ที่ 500 กว่าบาท ซึ่งหารกันตกคนละ 100 กว่าบาทเท่านั้นเอง (จ่ายแพงกว่าแท็กซี่ทั่วไปเล็กน้อย แต่แลกกับความสบายใจ ผมว่าคุ้มอยู่นะ)
วันที่สอง
วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เราได้เที่ยวเมืองมัณฑะเลย์จริงๆจังๆ หลังจากที่วันแรกอยู่แต่ในโรงแรม วันนี้เราจะเริ่มต้นเที่ยวในเมืองมัณฑะเลย์กันก่อนครับ
เนื่องจากมัณฑะเลย์เป็นเมืองขนาดใหญ่ เราไม่สามารถเดินเที่ยวทั้งเมืองได้อย่างแน่นอน ดังนั้นหลายคนจะใช้วิธีเหมารถ หรือไม่ก็ใช้วิธีโบก Taxi เป็นครั้งๆไป ซึ่งราคาและคุณภาพการบริการก็จะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาต่อรองของแต่ละบุคคล แถมบางทียังอาจโดนโกงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการเดินทางภายในเมืองมัณฑะเลย์ทำได้ง่ายขึ้นมาก เนื่องจากมีบริการ grab ภายในเมืองมัณฑะเลย์ โดยเราสามารถใช้แอพเดียวกับที่ใช้เรียกรถต่างๆในเมืองไทยได้เลย รถที่ให้บริการก็มีอยู่หลายประเภททั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถตุ๊กตุ๊ก และรถยนต์ ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไปขึ้นกับประเภทของรถครับ
การเยี่ยมชมโบราณสถานในเมืองมัณฑะเลย์ต้องเสียค่าเข้าชม 10,000 จ๊าด เรียกว่า Mandalay Archaeological Zone Ticket โดยเราสามารถซื้อบัตรนี้ได้จากประตูทางเข้าสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองมัณฑะเลย์ เช่น พระราชวังมัณฑะเลย์, วิหารชเวนันดอว์, อารามอาตุมาชิ
บัตรนี้บัตรเดียวสามารถใช้ชมได้สถานที่ท่องเที่ยวได้เกือบทั้งหมดในเมืองมัณฑะเลย์ (ยกเว้นวัดพระมหามัยมุนี) รวมทั้งในเมืองข้างเคียงอย่างอมรปุระ และอังวะอีกด้วยครับ
สถานที่แรกที่เรามาเยี่ยมชมก็คือ พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace) ซึ่งเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ดังนั้น ผมจะขอเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ให้ฟังพอสังเขป เพื่ออรรถรสในการท่องเที่ยวนะครับ
ในอดีตเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ดินแดนของชาวพม่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอังวะ ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ตองอู (พระเจ้าบุเรงนองอยู่ในราชวงศ์นี้) ต่อมาราชวงศ์ตองอูก็ได้เสื่อมลง ทำให้มอญได้ประกาศเอกราชและได้เข้าตีเมืองอังวะจนพังพินาศ แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ก็ได้มีวีรบุรุษคนหนึ่งของชาวพม่าได้กอบกู้เอกราชจากมอญนั่นก็คือ พระเจ้าอลองพญา ซึ่งได้สถาปนา ราชวงศ์คองบอง อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองพม่า
เมื่อพระเจ้าอลองพญาได้รวบรวมพม่าเป็นปึกแผ่นแล้ว ก็ได้เข้าตีกรุงศรีอยุธยา และสวรรคตลง ณ ชานเมืองอยุธยา หลังจากนั้นพม่าก็ได้มีกษัตริย์อีกหลายพระองค์ เช่น พระเจ้ามังระ พระเจ้าปดุง พระเจ้าจักกายแมง เป็นต้น ในช่วงเวลานั้นพม่าก็มีการย้ายเมืองหลวงอีกหลายครั้ง ตั้งแต่ชเวโบ อังวะ สะกาย และอมรปุระ รวมทั้งผ่าน สงครามอังกฤษ-พม่า จนทำให้เสียดินแดนพม่าตอนล่าง (Lower Myanmar) ไปทั้งหมด
ในปี พ.ศ.2400 พระเจ้ามินดง ได้ทำการย้ายเมืองหลวงอีกครั้งจากเมืองอมรปุระ มาที่เมืองมัณฑะเลย์ตามคำทำนายของโหรหลวงว่า ที่นี่เป็นทำเลทองที่จะทำให้พม่ารอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษได้ เมืองนี้จึงถูกสร้างขึ้นใหม่ มีการตัดถนนและวางผังเมืองเป็นอย่างดีตามแบบตะวันตก รวมทั้งมีการสร้างพระราชวังไม้สักที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในอุษาคเนย์
สำหรับพระเจ้ามินดงนั้น พระองค์เป็นกษัตริย์พม่าที่มีพระราชินี และพระสนมเป็นจำนวนมากกว่า 50 พระองค์ ในบรรดาพระสนมทั้งหมด มี พระนางอเลนันดอ ที่ว่ากันว่าเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง และมีอิทธิพลในราชสำนักมาก พอสิ้นพระเจ้ามินดงแล้ว พระนางก็กุมอำนาจในราชสำนัก และสถาปนา เจ้าชายธีบอ ซึ่งเป็นเจ้าชายที่กิดจากพระสนมปลายแถวขึ้นเป็นกษัตริย์ (จะได้ควบคุมง่ายๆ) รวมทั้งจัดแจงอภิเษกลูกสาวของพระนางคือ พระราชินีศุภยาลัต ให้เป็นพระราชินีของพระเจ้าธีบออีกด้วย (คนด้านล่างในรูปคือ พระเจ้าธีบอ และพระราชินีศุภยาลัต)
เรื่องราวที่อื้อฉาวที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าธีบอก็คือ การสังหารหมู่ที่พระราชวังมัณฑะเลย์ โดยพระนางศุภยาลัตซึ่งเวลานั้นได้กุมอำนาจทั้งหมดไว้แล้ว ได้วางแผนจัดการเสี้ยนหนามทางการเมืองนั่นก็คือ เชื้อพระวงศ์ต่างๆของราชวงศ์คองบองให้สิ้นซากด้วยการประหารชีวิตด้วยท่องจันทน์ จากนั้นก็ได้ขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วโยนพระศพเหล่านี้ลงไปในหลุม ว่ากันว่า การประหารต้องใช้เวลาถึง 3 คืน เนื่องจากมีคนจำนวนมากเป็นร้อยๆศพถูกฆ่า และต้องทำในเวลากลางคืนเท่านั้น ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เพื่อกลบเสียงโหยหวนจากคนที่กำลังจะถูกฆ่า พระราชินีศุภยาลัตได้จัดงานเลี้ยงประโคมเครื่องดนตรีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพระเจ้าธีบอ
ท้ายที่สุดในปี พ.ศ.2428 อังกฤษก็ได้ยกทัพล่องตามแม่น้ำอิรวดีเข้ามายึดเมืองมัณฑะเลย์ได้สำเร็จ พระเจ้าธีบอ พระราชินีศุภยาลัต และพระนางอเลนันดอก็ได้ถูกนำตัวไปอยู่อินเดีย เป็นการปิดฉากราชวงศ์คองบองที่ปกครองพม่าได้เป็นเวลากว่า 120 ปี เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ตรงนี้ได้ถูกนำไปเขียนเป็นบทประพันธ์เรือง พม่าเสียเมือง ของมรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และได้นำมาดัดแปลงเป็นละครต่างๆเรื่อง เพลิงพระนาง และ รากนครา อีกด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม คราวเคราะห์ของพระราชวังนี้ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองเมืองมัณฑะเลย์ ก็ได้ใช้พระราชวังมัณฑะเลย์เป็นศูนย์กลางการปกครอง จนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้ยึดครองพม่ารวมทั้งเมืองมัณฑะเลย์ได้เป็นผลสำเร็จ และได้ใช้พระราชวังมัณฑะเลย์เป็นฐานบัญชาการ ดังนั้น เพื่อขับไล่ญี่ปุ่นออกไป อังกฤษจึงทิ้งระเบิดใส่พระราชวังมัณฑะเลย์จนไหม้เป็นจุล พระราชวังที่เห็นทุกวันนี้เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่เลียนแบบพระราชวังเดิม
เกริ่นมายาวเหยียด เรามาดูกันดีกว่าว่า พระราชวังนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ถ้ามองจากด้านนอก เราจะเห็นคูน้ำและกำแพงสูงยาวเหยียดแบบนี้ ว่ากันว่า ตอนสร้างพระราชวังมัณฑะเลย์มีการฝังคนเป็นๆถึง 52 คนตามประตูต่างๆ หลายคนเชื่อว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้วิญญาณเหล่านี้เคียดแค้น จึงเกิดเรื่องไม่ดีต่างๆมากมายขึ้น
ประตูที่นักท่องเที่ยวจะเข้าได้คือ ประตูตะวันออก (East gate) เท่านั้น เมื่อเข้าประตูนี้แล้วให้เดินไปซื้อตั๋วกับทหาร ซึ่งต้องเตรียมพาสปอร์ตไว้ใช้แลกบัตรห้อยคอเพื่อแสดงตนเป็น Visitor ด้วยครับ
จากบริเวณบูธขายตั๋วไปถึงพระราชวังจะต้องเดินเข้าไปอีก 900 เมตร ใครเดินไหวก็เดิน แต่ถ้าเดินไม่ไหว สามารถเรียกมอเตอร์ไซค์แถวนั้นให้พาเข้าไปส่งยังด้านในได้
(ถ้าใครตัดสินใจเดิน อย่าถ่ายรูปส่งเดชนะ เพราะตรงนั้นเป็นค่ายทหาร เป็นพื้นที่ความมั่นคง อาจจะมีปัญหาได้ เราสามารถถ่ายรูปได้เฉพาะด้านในพระราชวังเท่านั้น)
เมื่อเดินจากประตูตะวันออกก่อนถึงพระราชวังจะพบกับ Relic tower หรือที่เก็บพระบรมอัฐิของพระเจ้ามินดง (ปัจจุบันไม่ได้เก็บแล้ว)
จาก Relic tower เราจะเห็นตัวพระราชวังตั้งอยู่ไม่ไกลครับ
ถึงแล้วครับ พระราชวังมัณฑะเลย์
หุ่นจำลองของพระเจ้ามินดง และพระนางนันมาดอ พระอัครมเหสี
หุ่นจำลองของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของพม่า กับพระราชินิศุภยาลัต
ทางเดินไปยังพระตำหนักต่างๆของพระราชวังมัณฑะเลย์
สิ่งปลูกสร้างและพระตำหนักบางส่วนครับ
แท่นบรรทมของพระราชินีศุภยาลัต
หอคอยพระราชินีศุภยาลัต เป็นหอคอยที่ใช้มองทั่วทั้งเมืองมัณฑะเลย์ ว่ากันว่า เมื่ออังกฤษบุกมาถึงเมืองมัณฑะเลย์แล้ว แต่พระราชินีศุภยาลัตไม่เชื่อว่าพม่าจะแพ้ จึงปีนหอคอยนี้ขึ้นมาดู และเมื่อพบว่าเป็นความจริง พระนางก็เป็นลมสลบไป
เมื่อเดินขึ้นไปบนหอคอย เราจะได้เห็นพระราชวังมัณฑะเลย์ในมุมสูง
ใกล้ๆกับหอคอยมีอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปแทรกอยู่
มีคู่บ่าวสาวถ่ายรูปพรีเวดดิ้งในพระราชวังมัณฑะเลย์ด้วยครับ
ผมเที่ยวชมพระราชวังมัณฑะเลย์ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยง หลายๆคนอาจจะบอกว่าที่นี่ไม่มีอะไร เที่ยวแป๊บเดียวก็หมด แต่ผมว่า ถ้าจะเที่ยวให้ครบ ถ่ายรูปชิลล์ๆ ต้องใช้เวลาถึง 2-3 ชั่วโมงเลยครับ
จากพระราชวังมัณฑะเลย์ ผมก็เดินออกทางประตูเดิม แลกพาสปอร์ตคืน และเรียก grab ไปทานอาหารเที่ยงที่ร้าน Mingalabar restaurant
ใครที่อยากทานอาหารพม่าแท้ๆ ผมแนะนำร้านนี้เลยครับ ร้านตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้กับพระราชวังมัณฑะเลย์ ได้รับคะแนนรีวิวเป็นอันดับหนึ่งใน Tripadvisor
ข้อดีของร้านนี้คือ ถูกมาก และสะอาด ส่วนอาหารรสชาติถูกปากไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับลิ้นแต่ละคนครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบอาหารพม่าเลยคิดว่า ไม่อร่อยเลย ในขณะที่เพื่อนร่วมทริปกลับชมว่าอร่อยมาก เอาเป็นว่า ถ้าใครได้ไปมัณฑะเลย์ก็ลองชิมดู แล้วมารีวิวกันด้วยนะครับว่าคิดยังไงกันบ้าง
หลังจากเติมพลังด้วยอาหารพม่าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยวกันต่อครับ โดยเราได้เรียก grab เพื่อไปยังที่ต่อไป นั่นก็คือ วิหารชเวนันดอว์ (Shwenandw Monastery)
ตามที่ผมได้เล่าไปในตอนต้นเกี่ยวกับพระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพระราชวังไม้สักที่สวยงามที่สุดในอุษาคเนย์ แต่กลับถูกกองทัพอังกฤษถล่มด้วยระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจนแหลกเป็นจุล แต่สิ่งที่น่าดีใจก็คือ ยังมีบางส่วนของพระราชวังเหลือรอดมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ วิหารชเวนันดอว์ (Shwenandw Monastery) แห่งนี้นั่นเอง
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของวิหารนี้นั่นก็คือ งานแกะสลักไม้สักตามผนังต่างๆที่มีทั้งความประณีต และสวยงาม (ลองจินตนาการดูครับว่า ในอดีต พระราชวังมัณฑะเลย์ที่มีตำหนักต่างๆเป็นแบบนี้ทั้งหมด จะสวยงามขนาดไหน)
ในอดีตวิหารนี้คือ พระราชมณเฑียรทอง ซึ่งสร้างด้วยไม้สักและปิดทองทั้งหลัง แต่ปัจจุบันทองคำได้ลอกออกไปหมดเหลือแต่ไม้ ว่ากันว่า พระเจ้ามินดงได้มานั่งสมาธิและสิ้นพระชนม์ที่วิหารแห่งนี้ พระเจ้าธีบอจึงสั่งให้ย้ายวิหารนี้มาอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน
ใกล้ๆกับวิหารชเวนันดอ จะมีพระอารามที่ชื่อว่า อารามอาตุมาชิ (Atumashi Monastery)
อารามนี้ พระเจ้ามินดงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บพระไตรปิฎกหลวง โดยคำว่า อาตุมาชิ หมายถึงงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ สมัยก่อนจะมีพระประธานองค์ใหญ่ที่มีเพชรเม็ดใหญ่ประดิษฐานอยู่ด้วย แต่เพชรได้หายไประหว่างการจลาจลช่วงที่อังกฤษบุกมัณฑะเลย์ แถมต่อมาอารามนี้ก็เกิดเพลิงไหม้อีก อารามที่เห็นในปัจจุบันจึงเป็นของใหม่ทั้งหมดครับ
หลังจากเที่ยวชมพระอารามอาตุมาชิเสร็จแล้ว เราก็เรียก grab ต่อไปยัง วัดพระมหามัยมุนี (Maha Myat Muni Temple) ครับ
พระมหามัยมุนี (Maha Myat Muni Buddha Image) ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพม่า เดิมทีพระพุทธรูปนี้ไม่ได้อยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์หรอกครับ แต่ประดิษฐานอยู่ที่แคว้นยะไข่ ซึ่งสมัยก่อนยะไข่เป็นอาณาจักรอิสระ ไม่ได้ขึ้นกับพม่า จนเมื่อรัชสมัยของ พระเจ้าปดุง (คนที่ทำสงครามเก้าทัพกับไทย) พม่าได้ทำสงครามชนะยะไข่ จึงได้เคลื่อนย้ายพระพุทธรูปนี้ล่องตามแม่น้ำขึ้นมาถึงเมืองมัณฑะเลย์
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ตอนที่สร้างพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทานลมหายใจให้กับพระพุทธรูป ชาวยะไข่และชาวพม่าจึงถือว่า พระพุทธรูปนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ทุกวันตอนตีสี่จึงมีพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี
นอกจากพระมหามัยมุนีแล้ว ที่วัดนี้ยังมีรูปหล่อสำริดทั้งทวารบาล สิงห์ และช้างเอราวัณ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รูปหล่อเหล่านี้ จริงๆแล้วมีต้นกำเนิดมาจากนครวัด แต่สาเหตุที่มาอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์แห่งนี้ เนื่องจาก เมื่อนครวัดถูกอาณาจักรอยุธยาตีแตก รูปปั้นเหล่านี้ก็ถูกนำมาที่อยุธยา จนเมื่อเสียกรุงครั้งที่หนึ่ง พระเจ้าบุเรงนองก็สั่งให้นำรูปหล่อเหล่านี้มาไว้ที่กรุงหงสาวดี และพอสิ้นพระเจ้าบุเรงนอง กรุงหงสาวดีก็ถูกยะไข่ตีแตก รูปปั้นเหล่านี้ ก็ถูกนำไปอยู่ที่ยะไข่เป็นเวลากว่า 200 ปี จนเมื่อพระเจ้าปดุงพิชิตยะไข่ได้ รูปปั้นจึงถูกนำมาอยู่ที่วัดพระมหามัยมุนีมาจนถึงปัจจุบันครับ
ภายในวัดยังมีอนุสาวรีย์ของ ตะโดเมงสอ ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้าปดุง ผู้ที่ทำสงครามเอาชนะยะไข่ และนำพระมหามัยมุนีมาอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ได้สำเร็จ
จากวัดพระมหามัยมุนี เราก็เรียก grab เพื่อไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ วัดกุโสดอว์ (Kuthodaw Pagoda) ครับ
วัดกุโสดอว์สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์การสังคยานาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 ในรัชสมัยพระเจ้ามินดงด้านในมีจารึกพระไตรปิฎก 74,000 พระธรรมขันธ์ จารึกลงบนหินอ่อน 729 แผ่น และทำมณฑปครอบไว้จึงถือเป็น หนังสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (The largest book in the world)
จารึกพระไตรปิฎกของวัดนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกความทรงจำของโลก โดยองค์การยูเนสโก้ ในปี 2013 อีกด้วย
นอกจากนี้ วัดนี้ยังมี เจดีย์มหาโลกมารชิน (Maha Lawka Marazein) ซึ่งจำลองมาจากเจดีย์ชเวซิกองที่เมืองพุกาม
จากวัดกุโสดอว์ เราก็เรียก grab ไปยังจุดหมายสุดท้ายของทริปวันนี้ นั่นก็คือเนินเขามัณฑะเลย์ (Mandalay Hill) ซึ่งเป็น ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่า เพราะเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ที่ภูเขาลูกนี้ และทำนายว่า เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาลูกนี้จะเป็นเมืองที่รุ่งเรือง นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมพระเจ้ามินดง จึงย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระมาอยู่ที่มัณฑะเลย์
ภูเขาลูกนี้สูง 240 เมตร มีทางเดินเป็นบันได 1,729 ขั้นเป็นระยะทาง 400 เมตร สามารถเดินขึ้นได้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือถ้าใครไม่อยากเหนื่อย สามารถนั่งรถขึ้นมาก็ได้ครับ (แนะนำให้ขาขึ้นนั่งรถ ส่วนขากลับเดินลง จะได้ไม่เหนื่อยมาก)
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวทั้งชาวพม่าและชาวต่างชาติจะขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ครับ เพราะเราจะได้เห็นวิว 360 องศา และมองเห็นไปจนถึงแม่น้ำอิรวดีเลย
จบไปแล้วนะครับ สำหรับการเที่ยว 1 วันในเมืองมัณฑะเลย์ตั้งแต่พระราชวัง, วัดต่างๆ ไปจนถึงจุดชมวิวของเมืองมัณฑะเลย์ ทั้งหมดนี้ผมใช้ grab เดินทางทั้งหมดซึ่งถือว่าเที่ยวได้สะดวกมากๆ ใครมาเมืองนี้ ผมแนะนำเลยครับ
ในตอนหน้า ผมจะพาออกนอกเมืองมัณฑะเลย์กันบ้าง รอบๆเมืองมัณฑะเลย์ยังมีเมืองโบราณที่มีความสวยงามและมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่มากมายทั้งสะกาย มิงกุน อังวะ และอมรปุระ ทั้งหมดนี้ ฝากติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง