Welcome to my blog

2 วัน 1 คืน ซาปา สัมผัสลมหนาวบนดินแดนหลังคาอินโดจีน

สถานที่ท่องเที่ยว : Sun World Fansipan Legend, เมืองซาปา, Vietnam
พิกัด GPS : 22° 18' 16.55" N 103° 46' 33.34" E

ประเทศเวียดนาม นับเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวของคนไทย ด้วยระยะทางที่ใกล้ ไฟลท์บินที่มีเยอะ และค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างถูก ทำให้จำนวนคนไทยที่ไปเวียดนามเยอะขึ้นในทุกปี ปัจจุบัน เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเวียดนามของคนไทย ก็ได้แก่ ดานัง (Danang), ฮอยอัน (Hoi An), ดาลัด (Dalat) รวมทั้ง ซาปา (Sapa) ซึ่งผมจะนำมารีวิวในบล็อกนี้ครับ

รู้จักกับเมืองซาปา (Sapa)

ซาปา (
Sapa) ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของประเทศเวียดนามอีกเมืองหนึ่งที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะที่นี่มีอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี รวมทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยว จุดถ่ายรูปสวยๆ รวมทั้งธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่ผสมผสานทั้งเวียดนาม ฝรั่งเศส และชนเผ่าต่างๆบนที่สูงของเวียดนามที่รวมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว

เมืองซาปาตั้งอยู่ใน จังหวัดหล่าวกาย (Lao Cai) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ติดกับประเทศจีนครับ ความพิเศษของเมืองนี้คือ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และสภาพภูมิประเทศ เนื่องจากซาปาตั้งอยู่บน แนวเทือกเขาหวงเหลียงซาน (Hoang Lien Son Range) ที่มีความสูงมากกว่า 2 พันเมตร ทำให้ซาปามีธรรมชาติแห่งขุนเขาที่งดงาม และมีอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงมกราคม ซาปาจะมีอากาศหนาวเย็นที่สุด จนถึงขั้นติดลบ และอาจมีหิมะตกได้ในบางวันครับ

เช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศเวียดนาม ในอดีตเมืองซาปาก็เคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสที่ปกครองเวียดนามในช่วงนั้น ได้สร้างซาปาให้เป็นเมืองตากอากาศสำหรับหลบอากาศร้อนจัดในช่วงฤดูร้อนของกรุงฮานอย ทำให้สถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองที่ซาปาจะมีลักษณะแบบอาณานิคมฝรั่งเศส (French Colonial)

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ผู้คน โดยคนท้องถิ่นซาปา จะประกอบด้วยหลากหลายชนเผ่า ส่วนใหญ่จะเป็น ชาวม้ง (Hmong)  รองลงมาคือ ชาวเย้า (Yao), ชาวญวน (Kinh), ชาวไต (Tay) และ ชาวซั้ย (Giay) ซึ่งคนส่วนมากจะสื่อสารด้วยภาษาเวียดนามเป็นหลัก แต่เนื่องจากที่นี่กลายสภาพเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ทำให้ชนพื้นเมือง โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว

เที่ยวซาปาช่วงไหนดี

เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆในแถบเวียดนามเหนือ ที่นี่ก็มี 4 ฤดูครับ โดยระหว่างเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม ถือเป็นช่วงที่ฝนชุก บางช่วงก็มีฝนตกหนักและดินถล่ม แต่ช่วงนี้ก็มีข้อดี เพราะเป็นช่วงที่ซาปามีความสวยงามมากที่สุด ถ้าใครมาเที่ยวในช่วงนี้จะได้พบกันทุ่งนาขั้นบันไดเขียวขจีพร้อมกับทะเลหมอก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมร่มและเสื้อกันฝนไว้ด้วยครับ


นอกจากนี้ อีกช่วงที่ซาปาน่าเที่ยวและคนไทยน่าจะชอบกันก็คือ ช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุด เพราะเป็นช่วงที่มีโอกาสเจอหิมะ แต่หิมะที่นี่ก็ไม่ได้ตกตลอดนะครับ ต้องรอลุ้นว่า ลมหนาวจากจีนต้องพัดลงมาแรงๆ รวมทั้งมีสภาพความชื้นและกระแสลมที่เหมาะสม ถึงจะมีโอกาสเจอ

สรุปคือ ซาปาก็เที่ยวได้ตลอดทั้งปี แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน ถ้าอยากเจอหิมะก็ให้ไปช่วงปลายปี อยากได้อากาศแจ่มใส ก็ให้ไปช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน หรือถ้าอยากไปเห็นทุ่งนาขั้นบันไดสีเขียวขจี ก็ต้องไปเที่ยวในช่วงหน้าฝน ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมจนถึงเดือนตุลาคมครับ

การเดินทางจากฮานอยไปยังซาปา

เนื่องจากซาปายังไม่มีสนามบินครับ (ตอนนี้กำลังสร้างอยู่) ดังนั้น วิธีการเดินทางจากฮานอยไปยังซาปาจึงต้องเดินทางบนถนนหรือรถไฟเท่านั้น ได้แก่

1. รถบัส จากฮานอยไปยังซาปามีอยู่ด้วยกันหลายเจ้า แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการ ก็คือ Green bus ค่ารถจะอยู่ที่ 12 USD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งในทริปนี้ผมใช้วิธีนี้ในการเดินทางไปยังซาปาครับ

รถบัสจากฮานอยไปซาปาเกือบทั้งหมดเป็นรถนอนแบบในรูปนี้ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ นอนแล้วปวดคอ แล้วก็ไม่ค่อยปลอดภัยด้วย ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ 

2. รถลีมูซีน (Limosune) อาจจะฟังดูหรูหรา แต่จริงๆแล้ว มันก็อารมณ์คล้ายๆรถตู้ แบบที่มีประมาณ 7-10 ที่นั่งนั่นแหละครับ (นั่งแชร์กับคนอื่นนะ) ค่ารถจะอยู่ที่ประมาณ 25 USD  ข้อดีคือรถจะถึงเร็วกว่ารถบัสเล็กน้อย และรถจะรับส่งถึงโรงแรมเลย (ผมใช้วิธีนี้ในการเดินทางขากลับจากซาปามายังฮานอย)

3. รถไฟ การเดินทางด้วยวิธีนี้ จะไปไม่ถึงซาปาครับ โดยรถไฟจะไปถึงแค่ที่ เมืองหล่าวกาย (Lao Cai City) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดหล่าวกาย จากนั้นเราต้องหารถเดินทางต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะเป็นแท็กซี่ รถบัส หรือรถตู้

การเดินทางทั้งสามวิธีนี้ สามารถจองซื้อตั๋วได้กับ คุณเฮือง (Huong Nguyen) ซึ่งเป็น Travel agency เจ้าดังในแถบเวียดนามเหนือ ใครสนใจสามารถติดต่อสอบถาม หรือซื้อตั๋วได้ตามเฟสบุ๊คด้านล่างนี้เลยครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง

  • ออกเดินทางจากฮานอยในช่วงดึกของวันก่อนหน้า และมาถึงที่ซาปาเวลา 4.00 น. จากนั้นนอนในรถจนถึงตีห้าครึ่ง แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ที่พัก (Pistachio Hotel Sapa)
  • ช่วงเช้า นั่งเคเบิ้ลคาร์และกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขาฟานสิปัน เที่ยวบนยอดเขา
  • ช่วงบ่าย เช็คอินเข้าที่พัก จากนั้นเดินเที่ยวในเมืองซาปา ขึ้นไปดูวิวมุมสูงของเมืองซาปาที่ภูเขาฮัมรง (Ham Rong Mountain)
  • ช่วงเย็น ไปทานหม้อไฟแซลมอนที่ร้าน Hotpot Center Sapa และไอศกรีมร้าน Mixue
  • เดินเล่นชมเมืองยามค่ำคืนใกล้กับทะเลสาบซาปา
วันที่สอง
  • เช้า ซื้อทัวร์เที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดรอบๆเมืองซาปา
  • บ่าย เดินทางกลับเมืองฮานอยด้วยรถลีมูซีน

ที่พักในเมืองซาปา

ผมเลือกพักที่ Pistachio Hotel Sapa ซึ่งคนไทยนิยมมาพักที่นี่ ตามรีวิวของบล็อกเกอร์คนดังหลายคน โดยผมพักที่นี่ 1 คืนที่ห้องพรีเมียมดีลักซ์ เตียงแฝด ราคาจองผ่านอโกด้าอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท พอหารออกมา ก็ตกคนละ 2,000 บาท รวมอาหารเช้าครับ


สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเตือนเกี่ยวกับการจองโรงแรมผ่าน Travel agency ไม่เฉพาะกับที่นี่ แต่ทุกโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมที่ต่างประเทศก็คือ หลังจากจองแล้ว เราควรจะส่งอีเมล หรือโทรสอบถามกับทางโรงแรมว่าได้รับ booking ของเราไหม เพราะสิ่งที่ผมเจอกับที่โรงแรมนี้ก็คือ ทางโรงแรมหา booking ที่เราจองผ่านอโกด้าไม่เจอครับ ผมต้องโทรติดต่อประสานงานกับอโกด้าที่เมืองไทยอยู่เป็นชั่วโมง จนได้ข้อสรุปว่า ทางอโกด้าจองโรงแรมนี้ให้ผมผ่านเอเจนซี่อีกเจ้าหนึ่ง ซึ่งเอเจนซี่เจ้านั้นใส่ชื่อคนจองผิด ก็เลยหาชื่อเราไม่เจอ (อย่างนี้ก็มีด้วย) แม้ว่าปัญหาจะแก้ได้ แต่ก็ทำให้เสียเวลา และเสียอารมณ์กับเมืองนี้ไปเลย

วันที่หนึ่ง

หลังจากที่เราเดินทางมาถึงที่ซาปาและฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้ว ก็ออกไปเที่ยวเลยครับ

ไฮไลท์อย่างหนึ่งของเมืองซาปาที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนยอมนั่งรถ 5-6 ชั่วโมงจากฮานอยมาที่เมืองนี้ นั่นก็คือ ยอดเขาฟานสิปัน (Fansipan Mountain) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเวียดนาม และถือว่าสูงที่สุดในแถบอินโดจีน (ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) ด้วยความสูงถึง 3,143 เมตร ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น หลังคาแห่งอินโดจีน (The roof of china) ซึ่งความสูงระดับนี้ ทำให้บนยอดเขาอากาศจะค่อนข้างหนาว โดยอุณหภูมิในช่วงหน้าหนาว อาจติดลบตลอดทั้งวัน และมีหิมะตกได้

 

ยอดเขาฟานสิปันอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาประมาณ 9 กิโลเมตร สมัยก่อนการเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาแห่งนี้ต้องใช้เวลาเดินจากตัวเมืองซาปาไปกลับประมาณ 5-6 วัน แต่ปัจจุบัน ด้วยสภาพถนนหนทางที่ดีขึ้น ตอนนี้ระยะเวลาในการเดินขึ้นยอดเขาเลยเหลือแค่ 2-3 วันครับ อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นยอดเขาฟานสิปันอีกต่อไป เพราะทาง Sun World ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวได้เข้ามาทำการก่อสร้างรถรางและกระเช้าสำหรับขึ้นยอดเขาฟานสิปัน ทำให้ลดระยะเวลาในการขึ้นยอดเขาฟานสิปันเหลือแค่ 20 นาทีเท่านั้นครับ
 



สำหรับการขึ้นยอดเขา อันดับแรกเราต้องมาซื้อตั๋วที่ ตึกซันพลาซ่า (Sun Plaza) ใกล้ๆกับจัตุรัสใจกลางเมืองซาปา
 

สำหรับตั๋วเพื่อขึ้นไปบนยอดเขาฟานสิปัน จะมีให้เลือกหลายแบบ แต่สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดเลยก็คือ ถ้าเราต้องการขึ้นยอดเขาฟานสิปันจากตรงตึกซันพลาซ่า เราต้องซื้อตั๋ว รถราง (Muong Hoa Monorail train) จากตึกซันพลาซ่า เพื่อไปที่ Hoang Lien station จากนั้นต้องนั่ง กระเช้า (Cable car) เพื่อขึ้นไปที่ Fansipan station ซึ่งตั๋ว รถราง+กระเช้า (ไปกลับ) ปัจจุบันอยู่ที่ 737,000 ดอง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,100 บาทครับ (ราคาแรงใช้ได้เลย)
 

จาก Fansipan station เราต้องเดินต่อไปอีก เพื่อขึ้นไปบน ยอดเขาฟานสิปัน (Fansipan summit) ซึ่งระหว่างทางก็จะมีมุมถ่ายรูปสวยๆเพียบ ทั้งเจ้าแม่กวนอิม พระองค์ใหญ่ พระอารามศิลปะแบบเวียดนาม พร้อมกับวิวทิวทัศน์สวยๆของ เทือกเขาหวงเหลียนซาน (Hoang Lien San Range)
 











ถ้าใครข้อเข่าไม่ดี เดินต่อไม่ไหว ที่นี่ก็มีรถรางขึ้นยอดเขาเหมือนกัน ราคาจะบวกเพิ่มอีก 70,000 ดองครับ
 

บนยอดเขาจะมีสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมพร้อมกับบอกความสูงของยอดเขาฟานสิปันที่ 3,143 เมตร ให้คนมาถ่ายรูปเช็คอิน พร้อมกับมีธงชาติประเทศต่างๆ (รวมทั้งประเทศไทย) เป็นพร็อป แต่คนไทยก็ไปถือธงถ่ายได้ครับ
 



โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่า ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามพลาด สำหรับใครที่เดินทางมาซาปาเลยครับ ผมมาที่นี่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ก็เลยมีข้อแนะนำสำหรับใครที่จะมาเที่ยวที่นี่ ดังนี้นะครับ

1. ข้างบนนี้อากาศหนาวมาก แม้แต่ตอนกลางวัน ช่วงที่ผมไป (เดือนตุลาคม) อุณหภูมิยังอยู่ที่ 6-7 องศา  ใครที่จะไปแนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวแบบจัดเต็มไปเลยครับ

2. อากาศบนยอดเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ก่อนจะขึ้นให้ดูอากาศให้ดี ถ้าฟ้าใส ไม่มีเมฆ แนะนำให้รีบขึ้นเลย แต่ถ้าเมฆดูมืดครึ้ม แนะนำให้รอจนกว่าฟ้าจะใส เพราะบนนั้นมีโอกาสเจอฝน โดยเฉพาะในช่วงดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม จะมีโอกาสเจอฝนสูง

3. สามารถซื้อตั๋วผ่านเอเจนซี่ เช่น Klook หรือ KKday  ราคาจะถูกกว่าซื้อหน้างานเล็กน้อย แต่ข้อเสียคือต้องระบุวัน ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ และถ้าวันที่ซื้ออากาศไม่ดี ก็อาจจะทำให้เที่ยวไม่สนุกครับ ผมเลยแนะนำให้ดูอากาศก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อตั๋วหน้างานจะดีกว่าครับ

4. ถ้าเป็นไปได้ ควรเลี่ยงการขึ้นยอดเขาฟานสิปันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาวของคนเวียดนาม ไม่งั้นอาจจะต้องรอถึง 3 ชั่วโมงกว่าจะต่อคิวขึ้นรถรางและกระเช้า จนไปถึงบนยอเขา

5. ช่วงเช้าทัวร์จะลงที่นี่เยอะ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ขึ้นช่วงบ่าย

 
พวกเราใช้เวลาในช่วงเช้าของทริปในวันที่สองเที่ยวบนยอดเขาฟานสิปันตั้งแต่เช้าบนจนถึงบ่ายๆ พอลงจากเขา ก็ไปหาอาหารเที่ยงกันที่ร้านนี้ครับ
 


ร้านนี้จะขายพวกอาหารหลากหลายประเภท ทั้งอาหารเวียดนาม อาหารตะวันตก ไปจนถึงหม้อไฟปลาแซลมอน ส่วนตัวผมชอบร้านนี้ครับ อาหารอร่อย ราคาถูก ที่สำคัญ ร้านนี้ได้รับคะแนนรีวิวใน Tripadvisor สูงเป็นอันดับต้นๆของเมืองซาปาเลย ใครมาที่เมืองนี้ แนะนำเลยครับ

พอเราทานอาหารเสร็จ เราก็เดินเล่นในเมือง จนกระทั่งไปเจอกับตึกที่ดูเหมือนจะเตรียมทำเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ แม้จะยังไม่เสร็จดี แต่ก็มีมุมให้เราถ่ายรูปเล่น


โบสถ์หินซาปา (Sapa stone church) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซาปา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย โบสถ์นี้เป็นโบสถ์เก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ปี 1902 ในช่วงที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสครับ


จากนั้น เราก็ใช้เวลาในช่วงเย็นมาเที่ยวกันที่ภูเขา ภูเขาฮามรอง (Ham Rong Mountain) ครับ ที่นี่เป็นภูเขาลูกเตี้ยๆตั้งอยู่ใจกลางเมืองซาปา โดยทางขึ้นจะอยู่ด้านหลัง โบสถ์หินซาปา (Sapa stone church) 

ที่นี่จะมีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 70,000 ดอง หรือคนละประมาณ 100 บาท


ฮามรอง (Ham Rong) ในภาษาเวียดนามแปลว่า กรามของมังกร เพราะมีตำนานเล่าว่า สมัยก่อนมีมังกร 2 ตัว เป็นตัวผู้และตัวเมีย ถูกแยกออกจากกันเนื่องจากน้ำท่วม โดยมังกรตัวผู้ถูกพัดไปอยู่บนเทือกเขาหวงเหลียงซาน ส่วนมังกรตัวเมียก็พยายามเงยหน้ามองหามังกรตัวผู้ จนกลายมาเป็นภูเขาฮามรองครับ

ด้านบนของภูเขาถูกดัดแปลงให้เป็นสวน มีมุมถ่ายรูป และมีร้านเช่าชุดเป็นชาวม้ง ทำให้ผมนึกถึง บ้านม้งดอยปุย ที่เชียงใหม่เลย










 
ไฮไลท์ของภูเขาฮามรองคือ วิวทิวทัศน์ที่จะทำให้เรามองเห็นวิวของเมืองซาปาได้ทั้งเมืองแบบนี้ครับ

 


ด้านล่างตรงตีนเขามีโรงแรมอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า Ham Rong Hotel ว่ากันว่าเป็นโรงแรมเก่าแก่  เปิดมาตั้งแต่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ตึกก็เก่า ดูสยองนิดๆ


มาต่อกันที่มื้อเย็นครับ สำหรับที่ซาปาแล้ว อาหารอย่างหนึ่ง ที่อาจจะเรียกได้เป็นอาหารประจำเมือง นั่นก็คือ ปลาแซลมอน เนื่องจากที่ซาปามีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี จึงเหมาะแก่การเพาะเลี้ยงปลาเมืองหนาว ทำให้มีการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนขึ้นหลายแห่ง ร้านค้าต่างๆภายในเมืองจึงมีสารพัดเมนูที่ทำจากปลาแซลมอนครับ


ร้านที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ชื่อว่า Hotpot center ตัวร้านจะตั้งอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบที่เรามองเห็นจากบนภูเขาฮามรอง โดยเมนูแนะนำก็คือ Salmon hotpot ทั้งเซ็ทอยู่ที่ 750,000 ดอง หรือประมาณ 1,200 บาท กินได้ประมาณ 2 คน น้ำซุปจะคล้ายๆกับน้ำซุปของมาม่า ใส่มะเขือเทศ เต้าหู้ มีผักต่างๆให้มาเติมลงในน่ำซุป ส่วนปลาให้มาทั้งตัว แล่มาเรียบร้อย ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ผสมกับผงชูรส


ส่วนตัวผมว่า ปลาคุณภาพดี สด (เพราะเพิ่งจับขึ้นมาเลย) โดยรวมก็ถือว่า พอใจ แต่ข้อเสียคือ ก้างเยอะไปหน่อย อีกอย่างนะครับ ถึงคนที่นี่จะเรียกว่า ปลาแซลมอน แต่จริงๆแล้วมันคือ ปลาเทราต์ นะครับ รสชาติเลยอาจจะไม่เหมือนกับแซลมอนที่เราคุ้นเคยกันเวลากินบุฟเฟต์ที่เมืองไทยนะ


ข้อเสียของร้านนี้คือ ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษนะครับ มีแต่เมนูภาษาเวียดนาม แต่พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ก็เลยใช้วิธีถามพนักงานเอา ใครจะไปก็บอกเค้าว่าเอาเซ็ท Salmon hotpot เหมือนผมก็ได้ครับ คนไทยส่วนใหญ่ที่ไปกินร้านนี้ก็สั่งเซ็ทนี้แหละ

ข้างๆร้าน Hotpot center ยังมีร้านไอศกรีมที่ชื่อว่า Mixue ใครกินแซลมอนเสร็จ แนะนำให้ไปซื้อไอศกรีมโคนที่ร้านนี้ ราคาแค่ 10,000 ดอง หรือประมาณ 15 บาทเท่านั้นเอง


พอซื้อไอศกรีมแล้ว เราก็ถือไปทานเล่น ชมวิวเมืองซาปาในยามค่ำคืน เมืองนี้บรรยากาศดีมากครับ อากาศเย็นสบาย กลางคืนเค้าจะเปิดไฟ แล้วก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆมาจัดแสดงโชว์ให้เราดูด้วย


ปิดท้ายทริปวันนี้ด้วยรูป โบสถ์หินซาปา (Sapa stone church) ยามค่ำคืนครับ
 

วันที่สอง

วันนี้เรายังมีเวลาอยู่ที่ซาปาอีกประมาณครึ่งวันครับ เราเลยตัดสินใจซื้อทัวร์จาก klook เพื่อไปเที่ยวชม ทุ่งนาขั้นบันได ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญของการมาซาปาในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ค่าทัวร์จะอยู่ที่ประมาณ 800 กว่าบาทครับ

ถ้าใครสนใจ สามารถดูรายละเอียดและจองได้ที่นี่
https://www.klook.com/th/activity/13922-lao-chai-ta-van-village-trekking-tour-sapa/


ปัญหาคือ อากาศเช้านี้ไม่ดีเอาซะเลย ฝนตกหนักมาก แถมหมอกก็ลงจัดด้วย จริงๆอยากนอนอยู่ที่โรงแรมต่อ แต่ปัญหาคือซื้อทัวร์ไปแล้ว ยกเลิกไม่ได้ซะด้วย


ทัวร์จะพาเราเดินลัดเลาะไปตามเขา ผ่านคันนาต่างๆ ชมทุ่งนาขั้นบันได ซึ่งจะมีเฉพาะในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนตุลาคมเท่านั้น

 

 

 


ระหว่างทางเจอสารพัดสิ่งมีชีวิต ทั้งควาย ไก่ หมา และงู

 

 

 


ระหว่างทางจะมีชาวม้งคอยเดินตามเรา คอยพยุงช่วยเราเดิน ตอนแรกก็คิดว่า คนพวกนี้ใจดีจัง ปรากฏว่าตอนจบ ตามตื๊อขายของให้เราซะงั้น


โดยรวม ผมว่าทุ่งนาก็สวยดีครับ แต่การเดินทางค่อนข้างลำบาก ทางชัน โคลนเยอะ ยิ่งวันที่ไปฝนตกด้วย เลยค่อนข้างมอมแมมไปซักนิด ใครไม่ใช่สายลุย ไม่แนะนำให้มา ไปหาคาเฟ่ หรือมุมถ่ายรูปสวยๆในเมืองดีกว่า แต่ถ้าใครเป็นสายลุย แนะนำเลยครับ

การเดินทางจากซาปากลับไปยังฮานอย

ผมจองเป็นรถลีมูซีนจากคุณเฮืองครับ รถจะมารับเราประมาณบ่ายสามโมง กลับถึงที่ฮานอยประมาณ 2 ทุ่มครับ ข้อดีของการเดินทางด้วยวิธีนี้คือ รถจะรับและส่งเราถึงโรงแรมเลย ไม่ต้องต่อรถให้วุ่นวาย แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง คืออยู่ที่ประมาณ 700 กว่าบาทต่อขาครับ

จากประสบการณ์ที่พบเจอมา รถลีมูซีนที่นี่ขับน่ากลัวมาก นั่งไปเกร็งไป ลุ้นว่าจะมีชีวิิตรอดกลับมาเขียนรีวิวให้อ่านไหม คนขับก็บริการไม่ค่อยดี ใครจะไปก็เผื่อใจไปด้วยนะครับ 

สำหรับทริปที่ซาปาก็จบเพียงนี้ครับ เนื่องจากผมเคยมาที่ซาปาแล้วครั้งหนึ่ง รอบนี้ก็เลยเน้นเก็บที่เที่ยวที่เคยไปแล้วประทับใจอย่าง ยอดเขาฟานสิปัน และสิ่งที่ไม่เคยทำอย่าง ทัวร์ชมทุ่งนาขั้นบันได โดยรวม ผมก็ยังคงชอบเมืองนี้ ส่วนตัวผมว่า ซาปาเป็นเมืองเดียวบนโลกที่สามารถผสมผสานความเป็นฝรั่งเศส และเวียดนาม ให้ไปพบกับวิถีแห่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆบนภูเขาสูงของเวียดนามได้อย่างลงตัวครับ และการมาซาปาแต่ละช่วงฤดูกาลก็มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนกันด้วย อย่างรอบก่อนผมมาช่วงหน้าหนาว ก็ได้บรรยากาศแบบหนึ่ง พอมาเที่ยวในครั้งนี้ มาในช่วงปลายฝน ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง เอาเป็นว่า ถ้าใครมาเที่ยวแถบเวียดนามเหนือ ซาปาเป็นอีกหนึ่งเมืองที่แนะนำว่าต้องมาเลยครับ




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2566    
Last Update : 29 ธันวาคม 2566 22:05:56 น.
Counter : 690 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน ฮานอย+นิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์พันปีแห่งเวียดนามเหนือ (ตอนที่ 3: วัดเจดีย์น้ำหอม)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda), Vietnam
พิกัด GPS : 20° 37' 4.82" N 105° 44' 47.52" E

วันที่สาม

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปที่ฮานอย+นิงห์บิงห์ของเราครับ โดยเรายังมีเวลาเที่ยวอีกเต็มวัน ก่อนจะถึงเวลาบินกลับกรุงเทพในช่วงค่ำๆ ตอนแรก ผมวางแผนไว้ว่า จะไปเที่ยวที่ วัดตามจุ๊ก (Tam Chuc Temple) ซึ่งกำลังเป็นไวรัลอยู่ตามเพจเที่ยวเวียดนามต่างๆ (ในรูปด้านล่างนี้) แต่พอปรึกษากับทางทัวร์ ทางนั้นบอกว่าไม่แนะนำ เพราะอาจจะกลับเย็น และไม่ทันไฟลท์

 
ด้วยเหตุนี้ ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนไปเที่ยวที่ วัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda) ซึ่งอยู่แถบชานเมืองของกรุงฮานอย โดยผมซื้อทัวร์กับคุณเฮือง แกคิดค่าทัวร์อยู่ที่คนละ30 USD หรือประมาณ 1 พันบาท รวมอาหารกลางวัน โดยทริปวันนี้ใช้รถลีมูซีน ซึ่งมีลูกทัวร์แค่ 6 คน รวมพวกผมด้วยครับ


ถ้าใครสนใจจะซื้อทัวร์ไปเที่่ยวที่นี่ สามารถติดต่อสอบถามคุณเฮืองได้ตามเฟสบุ๊คด้านล่างนี้ครับ
 

 
ที่ตั้งของกลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอม

ที่นี่ตั้งอยู่ที่ชานกรุงฮานอยครับ ผมค่อนข้างแปลกใจเหมือนกัน ว่าในขณะที่ในกรุงฮานอยเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่พอออกมาบริเวณชานเมือง กลับเจอสถานที่ๆเงียบสงบแบบนี้

จริงๆแล้ว สมัยก่อนตรงบริเวณวัดเจดีย์หอมก็ไม่ใช่กรุงฮานอยหรอกครับ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ จังหวัดห่าเต็ย (Ha Tay Province) แต่ว่าตอนปี 2008 จังหวัดนี้ได้ถูกยุบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของกรุงฮานอยครับ

 

ประวัติของวัดเจดีย์น้ำหอม

จริงๆแล้วที่นี่ไม่ได้เป็นวัดๆเดียว แต่ประกอบไปด้วยวัดย่อยๆ รวมทั้ง สำนักสงฆ์ ถ้ำสำหรับวิปัสสนา ที่ตั้งอยู่บน ภูเขาหวงติกเซิน (Huong Tich Son Mountain) ตามตำนานกล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2 พันปีก่อน แต่จากการศึกษาทางโบราณคดี เชื่อว่าวัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึง 17 ในสมัย ราชวงศ์เลยุคหลัง (Later Le dynasty) ครับ

 
 
ปัจจุบัน กลุ่มวัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้อยู่ในบัญชีเบื้องต้นมรดกโลก ตั้งแต่ปี 1991 ทำให้มีโอกาสได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในอนาคต และถ้าหากได้รับการขึ้นทะเบียน ที่นี่จะเป็นมรดกโลกแบบผสมแห่งที่สองของประเทศเวียดนามและอาเซียน ต่อจาก แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An Landscape complex) ที่ผมรีวิวเอาไว้ในตอนที่แล้ว
 
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยววัดเจดีย์น้ำหอม

แนะนำให้มาในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมจนถึงธันวาคมครับ เพราะนักท่องเที่ยวจะน้อย และอากาศดี ถ้ามาในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นี่จะเต็มไปด้วยชาวเวียดนามท้องถิ่นที่ออกมาเที่ยว ไหว้พระ และมี เทศกาลวัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda Festival) ที่จะจัดในช่วงหลังเทศกาลเต็ด (ตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีน) ทำให้ในช่วงนั้นคนจะเยอะแบบนี้ 

 

การเดินทางไปยังวัดเจดีย์น้ำหอม

เนื่องจากเราเป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาเวียดนาม วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือ ซื้อทัวร์แบบผมนี่แหละครับ เพราะค่าทัวร์ไปที่นี่ไม่แพง ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง และยังมีไกด์คอยบอกเล่าประวัติของที่นี่ให้เราฟังด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบไปเที่ยวแบบไปกับทัวร์ แนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์จากกรุงฮานอย เพราะที่นี่ไม่มีขนส่งสาธารณะใดๆทั้งสิ้น

 
ล่องเรือในแม่น้ำเอียน (Yen river)

เนื่องจากวัดนี้อยู่ติดกับ แม่น้ำเอียน (Yen river) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ แม่น้ำแดง (Red river) อันเป็นแม่น้ำสายสำคัญในแถบเวียดนามตอนบน เราจึงสามารถเข้าถึงวัดนี้ได้โดยทางน้ำ โดยปกติแล้ว ทางทัวร์จะไปส่งเราที่ท่าเรือของ หมู่บ้านเบ่นดึ๊ก (Ben Duc Village) จากนั้นก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการล่องแม่น้ำไปยังวัด รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรครับ





 
ระหว่างทางจะได้ชมธรรมชาติของภูเขาหินปูน บ้านของผู้คนคน ไปจนถึงเรือของแม่ค้าที่พยายามตื๊อขายของ
 





ไกด์เล่าให้เราฟังว่า ในช่วงเดือนมกราคมไปจนถึงเดือนมีนาคม ที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาแสวงบุญ เรือก็จะพายกันเต็มแม่น้ำไปหมด ร้านค้าต่างๆริมแม่น้ำก็จะเปิดกันเต็มที่ แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปเป็นเดือนตุลาคม ร้านค้าต่างๆเลยปิด แต่ช่วงนี้ก็มีข้อดีคือ บรรยากาศเงียบสงบ ผ่อนคลาย ได้ยินแต่เสียงน้ำไหล และเสียงนกร้อง 




ผ่านไป 1 ชั่วโมง ในที่สุด เราก็มาถึงที่วัดแล้วครับ ตรงบริเวณท่าเรือของวัดก็จะเต็มไปด้วยแม่ค้าที่ขายของที่ระลึกต่างๆให้นักท่องเที่ยว รวมทั้งปลา เต่า และสัตว์ต่างๆให้ผู้ที่มาทำบุญที่วัดนี้
 



 
วัดเทียนฉัว (Thien Chua) เป็นวัดแรกในกลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอมที่เรามาเยี่ยมชมในวันนี้ครับ
 



วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในยุคกษัตริย์ราชวงศ์เลยุคหลัง (Later Le Dynasty) เช่นเดียวกับวัดส่วนใหญ่ในกลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอม โดยคำว่า เทียนฉัว มาจากภาษาจีน แปลว่า วัดที่จะนำพาเราไปสู่สวรรค์
 

ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของ เจดีย์เทียนตรือ (Thien Tru Pagoda) ซึ่งมีความหมายว่า ห้องครัวแห่งสรวงสวรรค์ เพราะด้านในมีหินที่รูปร่างเหมือนแม่ครัวกำลังทำอาหารอยู่ครับ
 

ภายในวัดจะได้รับอิทธิพลทางศิลปะมาจากจีนค่อนข้างเยอะครับ เพราะสมัยก่อนจีนเคยปกครองเวียดนามตอนเหนือ











 







ถัดจากวัดเทียนฉัว จุดต่อไปที่ไปชมก็คือ ถ้ำหวงติก (Houng Tich cave) ซึ่งอยู่ด้านบนของภูเขาหวงติกซาน การเดินทางไปยังถ้ำจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ เดินขึ้น หรือนั่ง เคเบิ้ลคาร์ (Cable Car) แต่ทัวร์นี้จะไม่รวมค่าตั๋วเคเบิ้ลคาร์ซึ่งมีราคาไปกลับ 180,000 ดอง หรือประมาณ 90 บาทครับ
 

 

พอขึ้นมาถึงข้างบน เราต้องเดินลงบันไดต่อไปอีกเล็กน้อยเพื่อไปยังถ้ำ แต่ระหว่างทางร่มรื่น เย็นสบาย และเงียบสงบมากครับ
 



 
ถึงตัวถ้ำแล้ว ว่ากันว่า ปากถ้ำมีรูปร่างเหมือนมังกรกำลังอ้าปากอยู่
 

บนผนังถ้ำมีจารึกตัวอักษรภาษาจีน ที่แปลว่า ถ้ำแห่งสรวงสวรรค์
 

 
ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และเจ้าแม่กวนอิม จึงมีคนเวียดนามท้องถิ่นมาทำพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน
 



 
เชื่อกันว่า น้ำที่ไหลลงมาจากผนังถ้ำเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ชาวเวียดนามจะนำมือมารอง แล้วนำไปพรมตามร่างกาย


ของเซ่นไหว้ครับ หนึ่งในของที่น่าสนใจ ที่ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นก็คือ ส้มโอมือ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Buddha’s Hand Fruit
 

 

ได้เวลากลับแล้วครับ เราต้องเดินย้อนทางเดิม ขึ้นเขาไป เพื่อขึ้นกระเช้า
 

 
จากนั้นก็เดินไปยังท่าเรือ ระหว่างทางก็เจอคนขายนกเพื่อให้คนซื้อไปทำบุญปล่อย (เหมือนเมืองไทยเลย)
 

 
นั่งเรืออีก 1 ชั่วโมงพื่อกลับไปยังท่าเรือเดียวกับที่เราขึ้นเรือมาตอนแรก จากนั้นก็นั่งรถกลับไปยังเมืองเก่าฮานอย (Hanoi Old Quarter) ครับ
 

เนื่องจากเรากลับมาถึงที่ใจกลางกรุงฮานอยประมาณสี่โมงครึ่ง เราเลยยังพอมีเวลามากินกาแฟที่ร้าน Cong Caphe ซึ่งเป็นร้านกาแฟอันดับต้นๆของเวียดนามที่มีเฟรนไชล์อยู่เยอะมาก แทบจะทุกเมืองหลักของเวียดนาม
 

 
ประมาณ 5 โมงครึ่ง เราก็กลับโรงแรมไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ จากนั้นก็เรียก grab ไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับไทย เป็นอันจบทริปเวียดนามเหนือครับ
 


สำหรับภาพรวมทริปนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจครับ จริงๆการมาเวียดนามของผมรอบนี้ ถือเป็นครั้งที่สี่แล้ว และกรุงฮานอยถือเป็นเมืองที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวมากที่สุด (ทั้งๆที่หลายคนมักจะมองว่าที่นี่เป็นแค่เมืองทางผ่าน) คหสต.ผมมองว่า ที่นี่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เป็นเมืองแปลกๆ ที่มีความวุ่นวายจากมอเตอร์ไซค์ มีความไม่เป็นระเบียบ บางมุมก็แอบสกปรกด้วย แต่ที่นี่ก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อาหารอร่อย ประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษา วิถีชีวิตของผู้คน รวมทั้งอัธยาศัยไมตรีของคนที่นี่ ทำให้ฮานอยเป็นเมืองที่ผมยังคงอยากมาเยือนอีกเรื่อยๆครับ

นอกจากฮานอย การมาทัวร์ที่ จังหวัดนิงห์บิงห์ (Ninh Binh) และ กลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda) ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่เกินคาดครับ โดยเฉพาะการมาทัวร์วัดน้ำหอมในวันสุดท้าย ที่จริงๆตอนแรก ผมกะว่าจะเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอบินกลับกรุงเทพ และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ๆเราอยากไปตอนแรกด้วย แต่พอไปจริง ผมกลับชอบที่นี่มาก อาจจะเป็นเพราะวัดเจดีย์น้ำหอม ยังไม่ใช่จุดหมายยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ การมาก็ยังลำบาก (ถ้าไม่ได้มากับทัวร์) ที่นี่เลยยังไม่ถูกทำลายโดยการท่องเที่ยวกระแสหลัก ถ้าใครชอบสถานที่แบบนี้ ผมแนะนำให้ซื้อทัวร์มาที่นี่เลยครับ

สุดท้ายนี้ ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่จะไปเที่ยวเวียดนามแถบนี้ และถ้าไม่รบกวนเกินไป ฝากคอมเม้นใต้บล็อกเป็นกำลังใจให้หน่อยนะครับ ผมจะได้มีกำลังใจในการเขียนบล็อกต่อไป ขอบคุณครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2565    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2567 8:56:04 น.
Counter : 2636 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน ฮานอย+นิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์พันปีแห่งเวียดนามเหนือ (ตอนที่ 2: จ่างอัน+ไบ่ดิงห์)

สถานที่ท่องเที่ยว : แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An Sceninc Landscape) Complex), Vietnam
พิกัด GPS : 20° 15' 39.42

วันที่สอง

หลังจากที่เราเที่ยวกรุงฮานอยในวันแรกไปแล้ว ในวันที่สองของทริป เราจะขยับไปเที่ยวปริมณฑลของกรุงฮานอยกันบ้าง ซึ่งจังหวัดที่นักท่องเที่ยวชอบไปกันก็คงหนีไม่พ้น จังหวัดนิงห์บิงห์ (Ninh Binh) ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกชื่อดังที่คนไทยรู้จักกันในนาม ฮาลองบก ครับ


นิงห์บิงห์ (Ninh Binh) เป็นจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาค ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง (Red River Delta) ซึ่งถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเวียดนาม เช่นเดียวกับกรุงฮานอย

ที่นี่มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของผู้คนชาวเวียดนามมานับพันปี ทำให้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อดีตราชธานีของเวียดนามอย่าง ฮวาลือ (Hoa Lu) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองในยุคราชวงศ์ดิงห์ และราชวงศ์เล ก็ตั้งอยู่ในจังหวัดนี้ครับ

นอกจากนี้ สิ่งที่โดดเด่นมากๆของจังหวัดนิงห์บิงห์ ก็คือภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาที่มีความสวยงาม ว่ากันว่า จังหวัดนี้มียอดเขาจำนวน 99 ยอด จึงถือกันว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ คณะปฏิวัติของโฮจิมินห์ จึงตั้งฐานทัพขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรกก่อนทำการสงครามกับฝรั่งเศสเพื่อแยกเวียดนามเป็นประเทศเอกราช

นิงห์บิงห์ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดของเวียดนามที่มีที่เที่ยวเยอะมาก พวกนักท่องเที่ยวฝรั่งโดยเฉพาะสายแบ็กแพ็คเกอร์จะนิยมมาพักค้างคืน จากนั้นก็จะเช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวตามจุดต่างๆ แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อยแบบเรา ก็สามารถซื้อทัวร์แบบ One day trip จากกรุงฮานอยมาเที่ยวที่นี่ก็ได้ โดยทัวร์จังหวัดนิงห์บิงห์จะมีให้เลือกหลายโปรแกรม ส่วนใหญ่ในช่วงเช้า เค้าจะพาเราไปเที่ยว วัดไบ่ดิงห์ (Bai Dinh Pagoda) หรือ เมืองโบราณฮวาลือ (Hoa Lu) อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนในช่วงบ่ายก็จะพาเราไปล่องเรือชมภูเขาหินปูน ซึ่งจะมีให้เลือกหว่าง ตามก๊ก (Tam Coc) หรือ จ่างอัน (Trang An) นอกจากนี้ บางทัวร์ก็อาจจะมีโปรแกรมในช่วงเย็นด้วย แต่ราคาก็จะบวกขึ้นไป เช่น พาไป จุดชมวิวถ้ำมัว (Mua Cave), ปั่นจักรยาน, เรียนทำอาหาร เป็นต้น

ทัวร์พวกนี้ยังแบ่งได้ออกเป็น 2 เกรดคือ รถบัสมาตรฐาน (Standard bus) กับ รถลีมูซีน (Limousine) ครับ ข้อดีของรถลีมูซีนคือ จำนวนลูกทัวร์จะน้อยกว่า ที่นั่งกว้างกว่า และอาหารกลางวันดีกว่า แต่ราคาจะแพงกว่า

สำหรับในทริปนี้ ผมเลือกเป็น ทัวร์ไบ่ดิงห์+จ่างอัน+ถ้ำมัว (Bai Dinh + Trang An + Mua cave) โดยจองผ่าน klook ในราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,400 บาท โดยจองเป็นรถบัสมาตรฐานรวมอาหารกลางวัน

ถ้าใครสนใจโปรแกรมนี้ สามารถดูรายละเอียดและจองได้ที่ลิงค์นี้ครับ

https://www.klook.com/activity/50822-bai-dinh-trang-mua-cave-tour-hanoi/?spm=Experience_SubVertical.Activity_LIST&clickId=c840925293

อันนี้เป็นรถที่ใช้พาทัวร์ครับ เป็นรถบัส ข้างในสะอาด ไกด์พูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่เนื่องจากเพื่อนร่วมทริปเกือบทุกคนเป็นคนเวียดนาม เค้าเลยพูดภาษาเวียดนามเป็นหลัก แต่ก็ให้ข้อมูลกับเราเป็นภาษาอังกฤษด้วย

วัดไบ่ดิงห์ (Bai Dinh Pagoda) เป็นจุดแรกที่เราแวะเที่ยวครับ เนื่องจากที่นี่เป็นวัดที่ใหญ่มาก จนไม่สามารถเดินดูได้ทั้งหมด เค้าเลยมีรถรางให้บริการ ซึ่งเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกนอกจากค่าทัวร์คนละ 30,000 ดอง

วัดนี้เป็นวัดโบราณที่มีอายุนับพันปี แต่สถาปัตยกรรมที่เราเห็นส่วนใหญ่เพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อปี พ.ศ.2553 ไปนี่เอง โดยการก่อสร้างจะยึดแบบแผนการก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของเวียดนาม ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจีนค่อนข้างมาก



สิ่งก่อสร้างที่นี่ล้วนมีขนาดใหญ่โตอลังการทั้งอาคาร ลานพิธี และสวน สถาปัตยกรรมของวัดนี้สร้างขึ้นด้วยหิน ไม้ และกระเบื้อง ด้วยผีมือช่างพื้นถิ่นชั้นครู



ภายในวิหารนี้ มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่ 

ระฆังของวัดไบ่ดิงห์ครับ เป็นมีระฆังที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามสูง 22 เมตร หนัก 36 ตัน

ภายในบริเวณระเบียงวิหาร มีการตั้งรูปพระอรหันต์จำนวน 500 องค์ เรียงรายยาวที่สุดในโลก เป็นระยะทางรวมกันถึง 3 กิโลเมตร





ไกด์ของเราให้ข้อมูลว่า วัดนี้เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ถ้ามาเที่ยวเองคงใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเที่ยวครบ นอกจากนี้ วัดนี้ยังเคยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานวันวิสาขบูชาโลกเมื่อปี พ.ศ.2557 อีกด้วย

โดยรวมผมชอบที่นี่มากนะครับ เป็นวัดที่สวย ใหญ่ และเงียบสงบ แต่อย่างที่บอก เนื่องจากเรามากับทัวร์ เวลาในการเยี่ยมชมเลยน้อย ถ้ามีโอกาสมาเวียดนามครั้งหน้า อยากมาแวะเที่ยวที่นี่เต็มๆสักวันครับ

มาต่อกันที่มื้อเที่ยงกันบ้าง จริงๆแล้วของขึ้นชื่อของจังหวัดนิงบิงห์ก็คือ เนื้อแพะภูเขา ครับ ทางทัวร์นี้เลยจัดให้เป็นอาหารกลางวันสำหรับพวกเรา ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในค่าทัวร์หมดแล้ว



อาหารที่ทานวันนี้ ไฮไลท์คือ เนื้อแพะคลุกกับสมุนไพรต่างๆ เพื่อดับกลิ่น เรียกว่า dê tái chanh ถ้าใครทานเนื้อแพะเป็น จะอร่อยครับ แต่ถ้าทานไม่เป็น ก็กินอย่างอื่นไปล่ะกัน อาหารก็ไม่ได้ดีมาก เรียกว่ากินประทังหิว เพื่อไปทัวร์ต่อ

หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จ ก็ได้เวลาเที่ยวต่อที่จุดต่อไป นั่นก็คือ แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An) ครับ

ปัจจุบันเวียดนามมีมรดกโลกอยู่ 8 แห่งด้วยกัน ในจำนวนนี้ ประกอบไปด้วย มรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง มรดกโลกทางวัฒนธรรมอีก 5 แห่ง ส่วนอีก 1 แห่ง เป็นมรดกโลกแบบผสม ซึ่งเป็นเพียงแห่งเดียวของเวียดนาม และของอาเซียน นั่นก็คือ แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An Scenic Landscape Complex) ที่เราจะไปชมในช่วงบ่ายของวันนี้

ที่นี่จะเป็นการล่องเรือแบบที่มีคนพายในแม่น้ำที่มีภูเขาหินปูนล้อมรอบ มีการลอดถ้ำต่างๆ ซึ่งถ้าใครมาเอง เค้าจะให้เราเลือกรูทอยู่ด้วยกัน 3 เส้นทาง (Routes) ได้แก่

  • เส้นทางแรกลอด 3 ถ้ำ
  • เส้นทางที่สอง ลอด 4 ถ้ำ
  • เส้นทางที่สาม ลอด 9 ถ้ำ

ราคาแต่ละรูทจะเท่ากัน ตกคนละ 250,000 ดอง หรือคนละประมาณ 350-400 บาท แต่สำหรับทัวร์นี้ ค่าเรือจะรวมอยู่ในค่าทัวร์อยู่แล้ว โดยจะเป็นการลอด 4 ถ้ำครับ



ที่นี่ค่อนข้างเคร่งเรื่องความปลอดภัยครับ ผู้โดยสารทุกคนต้องใส่เสื้อชูชีพ

คนพายเรือให้เราวันนี้ครับ เป็นคุณป้าอายุ 60 กว่าแล้ว แต่แข็งแรงมาก พายเรือให้เราได้เป็นชั่วโมงๆ เลยครับ (ป้าแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะ แต่พอดีผมนั่งเรือไปกับครอบครัวชาวเวียดนาม เค้าเลยแปลให้เราฟัง)

บรรยากาศชมภูเขาหินปูนสวยๆ คล้ายกับที่ ฮาลองเบย์ (Halong Bay) ทางทัวร์ไทยเลยตั้งชื่อว่า ฮาลองบก แต่อย่าเผลอเอาคำนี้ ไปพูดกับคนเวียดนามนะครับ เค้าไม่รู้จัก ต้องเรียกว่า จ่างอัน (Trang An) ครับ







นั่งเรือไปชิลล์ๆ ระหว่างทางมีการลอดถ้ำ 4 ถ้ำ บางถ้ำเราต้องนอนขนานไปกับเรือ เพราะระดับน้ำในแม่น้ำสูงมาก 



เรือจะมีการแวะให้เราเดินลงไปสักการะวัดริมน้ำแถวนั้นด้วยครับ





ช่วงที่ผมไป โชคดีตรงที่อากาศดีมาก ไม่มีแดด แต่ฝนไม่ตก และมีลมเย็นๆพัดมาตลอด ทำให้ทริปที่จ่างอันประทับใจมากครับ แต่ถ้าใครมาช่วงตั้งแต่พฤษภาคมจนถึงตุลาคม แนะนำให้เตรียมร่ม ครีมกันแดด และหมวกมาด้วยนะครับ ไม่งั้นอาจจะเปียกฝน หรือผิวไหม้ได้

โดยรวมผมพอใจกับที่นี่มากนะครับ สถานที่สวย บรรยากาศดี นอกจากนี้ สิ่งที่ผมชอบคือ การบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าใครเคยไปทัวร์ฮาลองบกสมัยก่อน อาจจะเจอหลายเรื่องที่ไม่ประทับใจ เช่นโดนคนพายเรือบังคับให้เราให้ทิป ไม่งั้นจะไม่พายเข้าฝั่ง หรือบางคนก็เจอคนพายเรือขายของตามตื๊อให้ซื้อของ ทำให้เสียบรรยากาศในการเที่ยว แต่สำหรับผมที่ไปจ่างอันล่าสุดในทริปนี้ ไม่เจออะไรแบบนี้เลยครับ 

มากันที่จุดสุดท้ายของทริปในวันนี้ นั่นก็คือ จุดชมวิวถ้ำมัว (Mua Cave) จริงๆแล้ว ถ้ำมัวก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดนิงห์บิงห์ ซึ่งทัวร์แบบ one day trip ไม่ว่าจะเป็น จ่างอัน+ไบ่ดิงห์ หรือ ตามก๊อก+ฮวาลือ ก็มักจะใส่ที่นี่เป็นสถานที่สุดท้ายของโปรแกรม แล้วคิดเงินเพิ่ม แต่ถ้าใครไม่อยากแวะ ก็สามารถตัดที่นี่ออกได้ ค่าทัวร์จะได้ถูกลง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หรือคนที่มีปัญหาสุขภาพต่างๆ (โดยเฉพาะข้อเข่า) สามารถตัดที่นี่ออกได้เลยครับ เดี๋ยวมาดูกันว่าทำไม ผมถึงแนะนำอย่างนั้น

ถ้ำมัว มีความหมายแปลได้ว่า ถ้ำเต้นระบำ (Dancing cave) ครับ เพราะมีเรื่องเล่าว่าสมัยก่อนที่นี่ถูกใช้สำหรับให้จักรพรรดิเวียดนามชมการแสดงเต้นระบำของนางกำนัล ปัจจุบันถ้ำนี้ก็ยังมีอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่มีใครสนใจถ้ำนี้กันเท่าไหร่ เพราะที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น นั่นก็คือ จุดชมวิวถ้ำมัว (Hang Mua Viewpoint)

การขึ้นไปยังจุดชมวิวต้องปีนบันไดมากถึง 500 ขั้น นี่คือสาเหตุว่า ทำไมผมถึงไม่แนะนำให้ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพมาที่นี่



มีคนกล่าวว่า การขึ้นไปยังจุดชมวิวถ้ำมัว เหมือนการไต่อยู่บนกำแพงเมืองจีน ทำให้มีคนเปรียบเทียบว่า ที่นี่เป็น Mini version of the great wall

ที่จุดสูงสุดของจุดชมวิวนี้คือ มังกรหินแกะสลัก ซึ่งเราสามารถขึ้นไปถ่ายรูปกับรูปปั้นนี้ได้ แต่ทางขึ้นอันตรายมากครับ ถ้าก้าวพลาดนิดเดียว อาจจะตกเขาได้เลย ผมเลยตัดสินใจไม่ขึ้นไปดีกว่า เพื่อความปลอดภัย

ถ้ำมัวเป็นสถานที่สุดท้ายของทัวร์นี้ เราจบทริปวันนี้ตอน 6 โมงเย็น จากนั้นก็เดินทางกลับถึงกรุงฮานอยตอน 2 ทุ่มกว่าๆครับ โดยรวมผมประทับใจทัวร์นี้มาก อาจจะเป็นเพราะว่า วันที่ไปอากาศดี ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่มีฝนหรือแดดเลย เพิ่อนร่วมทัวร์ที่มีแต่ชาวเวียดนามก็น่ารัก เห็นเราเป็นชาวต่างชาติเพียงกลุ่มเดียวก็พยายามช่วยแนะนำและดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ใครที่มีแผนจะไปเที่ยวกรุงฮานอย ผมแนะนำทัวร์นี้เลยครับ

สำหรับรีวิวตอนนี้ก็ของจบเพียงเท่านี้นะครับ ในตอนหน้าผมจะมารีวิวการเที่ยวทริปนี้ในวันสุดท้ายของทริป ฝากติดตามต่อในตอนหน้าด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2565    
Last Update : 28 ธันวาคม 2566 23:32:44 น.
Counter : 3690 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน ฮานอย+นิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์พันปีแห่งเวียดนามเหนือ (ตอนที่ 1: เที่ยวกรุงฮานอย)


สถานที่ท่องเที่ยว : วิหารวรรณกรรม, กรุงฮานอย, Vietnam
พิกัด GPS : 21° 1' 36.78


ประเทศเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศใกล้บ้านเรา ที่ตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพง และที่เที่ยวมีความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยวทางธรรมชาติ และที่เที่ยวทางวัฒนธรรม ทำให้หลังโควิด เวียดนามน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางลำดับแรกๆของนักท่องเที่ยวไทย และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยทริปนี้ผมไปเที่ยวเวียดนามในแถบ เวียดนามเหนือ (Northern Vietnam) ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยผมได้เที่ยวที่ กรุงฮานอย (Hanoi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประถเทศเวียดนาม และ จังหวัดนิงห์บิงห์ (Ninh Binh) ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่คนไทยเรียกว่า ฮาลองบก ดังนั้นใครที่จะวางแผนเที่ยวเวียดนามโซนนี้ ลองเอาแผนเที่ยว และข้อมูลต่างๆที่ผมลงไว้ในบล็อกนี้ ไปประยุกต์ปรับใช้ดู หวังว่ารีวิวชุดนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ

รู้จักกับกรุงฮานอย (Hanoi)

กรุงฮานอย (Hanoi) เป็นเมืองหลวงในปัจจุบันของเวียดนามครับ แม้ว่าจะเป็นเมืองหลวงแต่ฮานอยกลับไม่ใช่เมืองที่มีประชากรมากที่สุด โดยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของเวียดนามก็คือ นครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) ซึ่งในภูมิภาคเวียดนามใต้ ส่วนฮานอยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ


ความน่าสนใจของกรุงฮานอยก็คือ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ครับ เนื่องจากฮานอยถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกๆของชาวเวียดนาม โดยมีการสถาปนาฮานอยขึ้นเป็นราชธานีเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1010 ซื่งอยู่ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์ลี้ ในชื่อว่า ทังล็อง (Thang Long) ซึ่งแปลว่า มังกรเหิน หลังจากนั้นเวียดนามก็สลับกันระหว่างช่วงที่เป็นเอกราช กับช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ทำให้กรุงฮานอย รวมทั้งภูมิภาคเวียดนามเหนือทั้งจะหมดจะได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ และประเพณีจากจีนค่อนข้างมาก สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ก็ได้แก่ ป้อมปราการทังล็อง (Thang Long Citadel) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก รวมทั้ง วัดเจดีย์เฉินก๊วก (Tran Quoc Pagoda), วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature) และ วัดหง็อกเซิน (Ngoc son temple) ครับ


ต่อมาในปี ค.ศ.1702 หลังจากเวียดนามสามารถขยายอิทธิพลลงไปทางตอนใต้ได้อย่างสมบูรณ์ ศูนย์กลางการปกครองจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ เมืองเว้ (Hue) ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของเวียดนาม เมืองฮานอยจึงค่อยๆถูกลดบทบาทลง จนเมื่อเวียดนามได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทางการฝรั่งเศสได้สถาปนากรุงฮานอยให้เป็นเมืองหลวงของ แคว้นตังเกี๋ย (Tonkin) ซึ่งเป็นเขตปกครองของอินโดจีนฝรั่งเศสที่ครอบคลุมเวียดนามเหนือทั้งหมด ทำให้เวียดนามรวมทั้งกรุงฮานอย ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรม ศาสนา รวมทั้งภาษาจากฝรั่งเศสเข้ามาผสมด้วยครับ


เมื่อเวียดนามได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1945 แต่เวียดนามก็ยังคงถูกแบ่งแยกออกเป็น ประเทศเวียดนามเหนือ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ และ ประเทศเวียดนามใต้ ซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สลับกับเป็นเผด็จการทหาร กรุงฮานอยก็ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามเหนือ จนเมื่อเวียดนามรวมชาติกันได้สำเร็จในปี ค.ศ.1975 กรุงฮานอยจึงได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของเวียดนามทั้งประเทศ


ข้อควรระวังสำหรับการมาเทีี่ยวที่กรุงฮานอย

ทุกประเทศและทุกเมืองบนโลกมีทั้งคนดีและคนไม่ดีครับ สำหรับเวียดนามก็เช่นกัน ใครที่จะมาเวียดนาม โดยเฉพาะที่เมืองใหญ่อย่างกรุงฮานอยอาจจะต้องมีข้อควรระวังที่ค่อนข้างเยอะซะหน่อย ได้แก่
  • ไม่ควรโชว์ของมีค่าหรือเงินในที่สาธารณะ
  • กระเป๋าเงิน พาสปอร์ต และของมีค่าต่างๆ เก็บใส่กระเป๋าให้ดี และแนะนำให้สะพายด้านหน้า
  • ควรเก็บสำเนาเอกสารสำคัญ รวมทั้งเงิน ไว้หลายๆจุด ป้องกันการสูญหาย
  • เวลาซื้อของ พยายามเตรียมเงินให้พอดี ป้องกันการโดนโกง
  • หลีกเลี่ยงการขึ้น Taxi ที่ไม่ใช่ยี่ห้อดังอย่าง Mailinh, Vinasun หรือ Grab รวมทั้งรถสามล้อ และมอเตอร์ไซค์รับจ้างต่างๆ
  • เวลาซื้อทัวร์, เลือกโรงแรม หรือร้านอาหาร แนะนำให้ลองอ่านรีวิวใน tripadvisor ไว้ก่อน
  • อย่าเดินทางออกนอกเส้นทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่เปลี่ยวในเวลากลางคืน

นอกจากเรื่องคน ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มอเตอร์ไซค์ ครับ เพราะที่นี่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก บางทีก็ขึ้นมาวิ่งบนฟุตปาท ระวังโดนชน เวลาข้ามถนนก็ค่อยๆข้าม ดูซ้ายขวาดีๆ ส่วนตัว ผมแนะนำให้ข้ามไปพร้อมๆกับคนเวียดนาม แต่ถ้าไม่มีคนข้ามด้วย ก็ควรรอให้รถน้อยๆค่อยข้ามครับ
 
ทริคการข้ามถนนที่เวียดนามที่หลายคนแนะนำก็คือ ทำใจให้สบาย แล้วข้ามถนนไปเลย แต่เดินด้วยความเร็วคงที่ เดี๋ยวพวกรถจะหลบเราเอง ตามคลิปด้านล่างนี้ครับ
 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบาย (Noi Bai International Airport) ด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD642 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
  • ฝากกระเป๋าที่โรงแรม แล้วไปทานอาหารเช้าที่ร้าน Pho 10
  • ถ่ายรูปกับโบสถ์เซนต์โจเซฟ แล้วเรียก grab ไปยังพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum), สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum), วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda), ป้อมปราการทังล็อง (Thang long Citadel), พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารเวียดนาม (Vietnam Military History Museum), วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature), ทะเลสาบคืนดาบ (Sword Lake) และวัดหง็อกเซิน (Ngoc son temple)
  • ทานอาหารเย็นที่ร้าน Bun Cha Ta
วันที่สอง
  • ซื้อทัวร์เต็มวัน เที่ยวจังหวัดนิงห์บิงห์ โดยเลือกโปรแกรม วัดไบ่ดิงห์ (Bai Dinh Pagoda), แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An Landscape Complex) และ จุดชมวิวถ้ำมัว (Hang Mua Viewpoint)
วันที่สาม
  • ซื้อทัวร์เต็มวันเที่ยว วัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda)
  • เย็น เดินทางไปสนามบิน
  • เดินทางกลับไทยด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD645 กลับถึงกรุงเทพ 22.40
ที่พักในกรุงฮานอย

ผมเลือกพักที่ Meritel Hanoi ซึ่งเป็นโรงแรมเปิดใหม่ระดับสี่ดาวครึ่ง ตกแต่งค่อนข้างหรู ห้องดีมาก สะอาด พนักงานก็บริการดีมาก บางคนพูดภาษาไทยได้ด้วย ผมพักที่นี่ 2 คืน โดนเลือกห้อง deluxe เตียงแฝด รวมเป็นเงินไทย 3,879 บาท พอหารออกมา ก็ตกคนละ 970 บาทต่อคน ต่อคืนครับ

 





วันที่หนึ่ง

แม้ว่าผมจะเคยไปเวียดนามมาก่อนแล้ว แต่สำหรับทริปเวียดนามเหนือในครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางไปเวียดนามเป็นครั้งแรกหลังจากที่เวียดนามเปิดประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผมเลยค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ โดยในช่วงที่ผมไป เวียดนามไม่ต้องใช้เอกสารอะไรเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผลตรวจ ATK, ใบรับรองการฉีดวัคซีน รวมทั้งประกันโควิด ขอแค่มีพาสปอร์ตก็สามารถอยู่ท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามโดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นเวลา 30 วันครับ

ทริปนี้เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยัง ท่าอากาศยานานาชาติโหน่ยบาย (Noi Bai International Airport) ประตู่สู่เวียดนามเหนือ ด้วยสายการบิน Thai Air Asia ไปถึงที่เวียดนามเวลา 8.30 ตรงเวลาเป๊ะ เราใช้เวลาผ่านตม. ไม่ถึง 2 นาที ก็เข้าสู่ประเทศเวียดนามอย่างผ่านฉลุย ไม่โดนถามซักคำครับ


จากสนามบินเราเดินทางเข้าเมืองโดยรถเช่าจาก Klook เพื่อไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ เพื่อเอากระเป๋าฝากกระเป๋าไว้อน จากนั้นก็ได้เวลาตะลุย กรุงฮานอย (Hanoi) 


เนื่องจากว่า เราไม่ได้ทานอาหารเช้ามา เลยฝากท้องไว้ที่ ร้าน Pho10 เป็นมื้อเช้ารวมกับมื้อเที่ยงไปเลย เพราะวันนี้ต้องใช้พลังงานในการเดินเที่ยวชมเมืองฮานอยอีกค่อนข้างเยอะ


เฝอร้านนี้เป็นเฝอเนื้อครับ โดยเราสามารถเลือกส่วนของเนื้อและระดับความสุกได้ น้ำซุปมีรสหวานจากผัก (สามารถปรุงรสตามใจชอบ ด้วยมะนาว น้ำปลา พริก) แนะนำให้สั่งปาท่องโก๋มทานคู่กัน ค่าเฝอ 1 ชามคิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ประมาณ 90-100 กว่าบาทครับ


ข้อเสียของร้านนี้คือ พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ (แม้ว่าจะมีลูกค้าชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะ) แต่ว่าไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะร้านนี้เมนูมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย เวลาจะสั่งให้ชี้เมนู กับใช้ภาษามือเอา

จากร้าน Pho 10 เดินมาอีกนิดเดียว เราจะพบกับสัญลักษณ์ของกรุงฮานอย นั่นก็คือ มหาวิหารเซนต์โจเซฟ (St.Joseph Catedral) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม โดยในช่วงนั้นมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเข้ามา ทางการฝรั่งเศสจึงสร้างมหาวิหารนี้ขึ้น เพื่อใช้ประกอบศาสนกิจของคริสตศาสนิกชน โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมของมหาวิหารนี้ ได้สร้างขึ้นตามรูปแบบของ มหาวิหารนอทเทอร์ดาม (Notre-Dame Catedral) ที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส


ผมเห็นคนไทยหลายคนชอบมาถ่ายรูปเช็คอินที่โบสถ์นี้ แต่จริงๆแล้ว อีกด้านหนึ่งโบสถ์นี้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างน่าเศร้าเหมือนกันครับ เพราะเดิมที บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของ วัดเบ๋าเทียน (Bao Thien Pagoda) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่ศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดของชาวเวียดนาม แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองเวียดนามเหนือ ฝรั่งเศสก็รื้อทำลายวัดนี้ทิ้ง และสร้างโบสถ์นี้คร่อมทับแทน แม้ว่าชาวเวียดนามในสมัยนั้นจะพยายามคัดค้าน และต่อต้าน แต่ก็ไม่เป็นผล โบสถ์นี้จึงถือเป็นทั้งสัญลักษณ์ และก็เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของเมืองฮานอยไปพร้อมๆกัน


จากโบสถ์เซนต์โจเซฟ เราก็กดเรียก grab ไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ Ho Chi Minh Complex ซึ่งประกอบด้วยสถานที่หลายแห่ง ได้แก่ สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum), พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) และ วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) ครับ

โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) หรือที่บางคนเรียกว่า ลุงโฮ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดของชาวเวียดนาม เพราะเป็นผู้นำในการเรียกร้องเอกราชของเวียดนามจากฝรั่งเศส ต่อมาเวียดนามได้รับเอกราชในปี 1945 แต่ก็ถูกแบ่งแยกออกเป็น เวียดนามเหนือ ที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ และ เวียดนามใต้ ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (แต่ก็มีช่วงที่เป็นเผด็จการทหาร) โดยโฮจิมินห์ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเวียดนามเหนือตั้งแต่ปี 1945-1969


ต่อมาเมื่อโฮจิมินห์เสียชีวิต ทางการเวียดนามเหนือก็ได้ก่อสร้าง สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum) ขึ้น ด้านในจะมีร่างของท่าน ซึ่งศพถูกดองไว้ด้วยกรรมวิธีพิเศษจากสหภาพโซเวียต เพื่อจัดแสดงในโลงแก้ว ให้คนเวียดนามได้เข้ามาทำความเคารพสักการะครับ (แต่ก็มีบางคนบอกว่า ร่างที่จัดแสดงในโลง เป็นหุุ่นขี้ผึ้ง)

ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ เพราะกว่าจะถึงก็หมดเวลาเข้าชมแล้ว (เค้าให้เข้าชมได้เฉพาะช่วงเช้าก่อน 10.30 น. เท่านั้น)



บริเวณเดียวกับสุสาน จะมี พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mesuem) ที่ด้านในจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ จดหมายต่างๆ ที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงที่เวียดนามทำการเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส (ที่นี่มีค่าเข้า 40,000 ดอง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 60 บาทนะครับ)


พอเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์จะเจอกับรูปปั้นขนาดยักษ์ของลุงโฮกำลังโบกมือต้อนรับพวกเรา


สิ่งที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์บางส่วนครับ จะมีความเป็นชาตินิยมหน่อยๆ ไม่แปลกใจว่า ทำไมคนเวียดนามถึงภูมิใจในชนชาติของตนเองมากขนาดนี้



ภาพลุงโฮและคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสม ที่ปกครองเวียดนามสมัยที่ยังไม่โดนแบ่งแยกเป็นเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ถ่ายในปี 1946 ครับ


จดหมายจากลุงโฮฉบับจริง เขียนเพื่อเรียกร้องให้คนเวียดนามลุกขึ้นมาต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส ที่พยายามกลับเข้ามาปกครองเวียดนามในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง


ส่วนตัว ผมว่าพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างน่าสนใจ ถ้าใครเป็นสายมิวเซียมหรือเป็นสายประวัติศาสตร์ น่าจะชอบที่นี่ ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ ผมคงอยู่เป็นชั่วโมงเลยครับ เสียดายเรามีเวลาน้อย เลยต้องรีบไปเที่ยวต่อยังจุดต่อไป นั่นก็คือ วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์


วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่มาก อายุยาวนานถึง 400 ปี ร่วมยุคเดียวกับกรุงศรีอยุธยา ตามตำนานกล่าวว่า มีกษัตริย์องค์หนึ่งอยากได้โอรส แต่ก็ไม่มีซะที จนกษัตริย์องค์นี้ฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมมาปรากฏตัวที่สระบัว และประทานโอรสให้พระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ก็มีพระโอรสจริงๆ จึงทรงสร้างวัดขนาดเล็กขึ้นตรงสระบัวแห่งนี้เพื่อบูชาเจ้าแม่กวนอิม ปัจจุบันคนเวียดนามนิยมมาขอพรที่วัดแห่งนี้เพื่อขอลูกครับ


จาก Ho Chi Minh Complex เดินไปอีกนิดเดียว ก็จะพบกับ ป้อมปราการทังล็อง (Thang Long Citadel) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก้

อย่างที่อธิบายไปในตอนแรกครับ ฮานอยเป็นเมืองหลวงประวัติศาสตร์ของชาวเวียดนามที่มีอายุยาวนานนับพันปี แต่ในช่วงเวลานั้น เวียดนามก็ถูกรุกรานจากจีนบ่อยๆ จึงต้องมีการสร้างป้อมปราการแห่งนี้ขึ้นมาในยุค ราชวงศ์ลี้ (Ly Dynasty)

 
ภายในป้อมปราการครับ





ที่นี่เป็นทั้งป้อมปราการ และเป็นพระราชวังครับ ปัจจุบันพระราชวังถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ด้านในก็มีการจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ข้าวของเครื่องใช้ วัฒนธรรมในราชสำนักของเวียดนามให้เราได้ชมกัน






ส่วนตัวผมชอบที่นี่มากนะ ให้เดินเล่นทั้งวันยังได้เลย ช่วงที่ไปนิทรรศการก็น่าสนใจ ใครเป็นสายมิวเซียม แนะนำที่นี่เลยครับ (ค่าเข้าที่นี่ 30,000 ดอง หรือประมาณ 45 บาทครับ)

จากป้อมปราการทังล็อง เดินไปอีกนิดเดียว (อยู่ติดๆกันเลย) เราจะเจอกับ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารเวียดนาม (Vietnam Military History Museum) ที่จัดแสดงเกี่ยวกับ สงครามเวียดนาม (Vietnam War) ซึ่งเป็นสงครามระหว่างฝั่งเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่ถูกแบ่งแยกออกจากกันตาม สนธิสัญญาเจนิวา และภายหลังเวียดนามทั้งสองก็ถูกรวมประเทศกัน ภายใต้การนำของเวียดนามเหนือที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์



ถ้าถามคนเวียดนาม เค้าจะเรียกสงครามเวียดนามว่า สงครามอเมริกา เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นชาติที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเวียดนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์ ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์นี้จึงมีการจัดแสดงซากเครื่องบินรบของทางสหรัฐที่ถูกยิงตกลงมาในช่วงสงครามเวียดนาม
 


นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีซากหอคอยเก่าที่เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการทังล็องหลงเหลืออยู่ ซึ่งด้านบนจะมีธงชาติเวียดนามประดับไว้


ที่นี่มีค่าเข้า 40,000 ดองนะครับ และถ้าใครเอากล้องมา จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก

สิ่งที่น่าสนใจคือ ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ผมเจอกับรูปปั้นของ วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์คนสำคัญของสหภาพโซเวียต ซึ่งคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นคอมมิวนิสต์สายโซเวียต ดังนั้น เราจึงเจอรูปปั้นของเลนินได้ตามเมืองสำคัญแทบทุกเมืองของเวียดนาม รวมทั้งที่กรุงฮานอยครับ

 

จากฝั่งตรงข้ามอนุสาวรีย์เลนิน เราก็เรียก grab ต่อไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature) ครับ

วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature) หรือที่ภาษาเวียดนามเรียกว่า วันเหมี่ยว (Van Mieu) สร้างขึ้นโดยกษัตริย์เวียดนามเพื่ออุทิศแด่ ท่านขงจื้อ โดยวิหารจะอยู่ติดกับ กว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับขุนนางในสมัยก่อน ทำให้กล่าวกันว่า ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนาม (อารมณ์เดียวกับวัดโพธิ์ของบ้านเราที่บอกว่า วัดนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของไทยนั่นแหละครับ)

 


ช่วงที่ผมไป เป็นช่วงที่นักเรียนมัธยมเวียดนามสำเร็จการศึกษาพอดี หลายคนเลยหอบชุดครุยมาถ่ายรูป รวมทั้งมาขอพรต่อท่านขงจื้อ เพื่อให้ตัวเองสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ (มีความเชื่อว่า ถ้ามาขอพรกับที่นี่ จะทำให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษาครับ)


ที่นี่มีค่าเข้า 30,000 ดอง หรือราวๆ 45 บาทครับ แต่ถ้าใครเป็นนักศึกษาไม่ว่าระดับไหนก็ตาม แนะนำให้เอาบัตรนักศึกษาไปด้วย จะได้ลดครึ่งราคาครับ

จากวิหารวรรณกรรม เราก็เรียก grab ต่อ เพื่อมายัง ทะเลสาบฮวานเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake)

ทะเลสาบฮวานเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake)
หรือที่คนไทย เรียกว่า ทะเลสาบคืนดาบ (Sword Lake) ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตเมืองเก่า

ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยที่เวียดนามทำสงคราม สู้รบกับประเทศจีนสมัยราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเล เหล่ย  (King Le Loi) กษัตริย์แห่งเวียดนามได้สงครามมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่สามารถเอาชนะทหารจากจีนได้สักที ทำให้เกิดความท้อแท้พระทัย เมื่อได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ ได้มีปาฎิหาริย์ เต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้นำดาบวิเศษมาให้พระองค์ เพื่อทำสงครามกับกองทัพจีน หลังจากที่พระองค์ได้รับดาบมานั้น พระองค์ได้กลับไปทำสงครามอีกครั้ง และได้รับชัยชนะเหนือประเทศจีน ทำให้บ้านสงบสุข


ต่อมา ขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีเต่าตัวเดิมโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ทันใดนั้นดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบครับ
 

ตรงกลางทะเลสาบจะเป็นที่ตั้งของ วัดหงอกเซิน (Ngoc Son temple) หรือที่ทัวร์ไทยนิยมเรียกว่า วัดเนินหยก ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ทัพเวียดนามคนหนึ่งที่ได้ต่อสู้ และเอาชนะพวกมองโกลที่เข้ามารุกรานเวียดนาม
 


ภายในวัดจะมีเต่าที่เชื่อว่า เป็นเต่าในตำนานสตาฟเอาไว้อยู่ จริงๆ เต่าตามตำนาน จริงๆน่าจะเป็น ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ยังสามารถพบได้ในทะเลสาบแห่งนี้ มาจนถึงปัจจุบันครับ


สำหรับการเดินทางไปยังวัดหงอกเซิน จะต้องผ่านสะพานสีแดงที่เรียกว่า สะพานแทฮุก (The Huc Bridge) ซึ่งแปลว่า สะพานแสงอาทิตย์
 

นอกจากวัดหงอกเซิน ตรงกลางทะเลสาบยังมีหอคอยโบราณ ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ท้าปสั่ว (Tháp Rùa) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่า เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เหตุการณ์ตามตำนานที่ได้กล่าวไปในตอนแรกครับ


สิ่งที่ชอบมากของกรุงฮานอยคือ ตอนเย็นของวันหยุด เค้าจะมีการปิดถนนริมทะเลสาบฮวานเกี๋ยมเพื่อให้เป็นถนนคนเดิน และก็เป็นพื้นที่สำหรับให้เยาวชนประเทศเค้าได้มาทำกิจกรรม แสดงดนตรี เต้นเคป็อป เล่นกีฬากันตามความชอบของแต่ละคน อยากให้บ้านเรามีอะไรแบบนนี้บ้างจัง





มื้อเย็นมื้อแรกของทริปฮานอย+นิงห์บิงห์ ผมมาทานอาหารท้องถิ่นของแถบเวียดนามตอนเหนือ ที่เรียกว่า บุ๋นจ่า (Bun Cha) ซึ่งเป็นขนมจีนชนิดหนึ่งทานคู่กับหมูย่าง โดยจะผสมคาราเมลลงไปทำให้หมูย่างมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทานคู่กับซอสรสเค็มหวานที่ใส่มะละกอดองและแคร์รอตดอง รวมทั้งผักหลายชนิด ได้แก่ ผักกาดหอม ผักชี ผักบุ้งสายหรือผักบุ้งจักเป็นฝอย ถั่วงอก


ร้านที่จะมาแนะนำวันนี้ ชื่อว่า ร้าน Bun Cha Ta ครับ โดยพิกัดร้านนี้จะอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบฮวานเกี๋ยมครับ สามารถเดินไปได้ โดยรวมแนะนำครับ ร้านดูสะอาด พนักงานน่ารัก พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก และที่สำคัญอาหารอร่อย ดีต่อสุขภาพด้วย เพราะมีแต่ผัก ส่วนแป้งก็มีนิดเดียว (ส่วนตัวผมว่า เป็นอาหารในต่างแดนที่อร่อยเป็นอันดับต้นๆเลย)


จบจากของคาว ก็มาต่อของหวานเป็นไอศกรีมที่ ร้าน Kem Trang Tien จริงๆแล้ว ร้านนี้เป็นไอศกรีมร้านดังมากในหมู่คนเวียดนาม ถือเป็นของขึ้นชื่อของกรุงฮานอยเลย แต่คนต่างชาติไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ พอดีผมมีเพื่อนที่เป็นคนฮานอยแนะนำมา เลยลองมาชิมดู
 
       

ที่ผมสั่งคนเวียดนามจะเรียกว่า Com เป็นไอศกรีมรสข้าว ราคา 12,000 ดอง ซึ่งโดยรวมก็อร่อยดี พอกินได้ แต่ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่ (เข้าใจได้ว่า ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยรู้จัก) แต่คนเวียดนามคงชอบแหละ เพราะต่อคิวกันยาวเลย


พอชิมไอศกรีมเสร็จ เราก็เดินเล่นต่ออีกนิดหน่อยจากนั้นเราก็กลับที่พัก เพื่อพักผ่อนเอาแรงสำหรับการเที่ยวในวันถัดไป รีวิวกรุงฮานอยในตอนแรกก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนจะมาเที่ยวเวียดนาม ถ้าชอบบล็อกนี้ หรือเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ รบกวนคอมเม้นบอกใต้บล็อกนี้หน่อยนะครับ ผมจะได้มีกำลังใจเขียนต่อไป ขอบคุณครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2565    
Last Update : 9 ธันวาคม 2566 22:43:02 น.
Counter : 4542 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน บานาฮิลล์ หมู่บ้านฝรั่งเศสแห่งดินแดนเวียดนามกลาง


สถานที่ท่องเที่ยว : บาน่าฮิลล์ (ฺฺBana Hill) เมืองดานัง, Vietnam
พิกัด GPS : 16° 1' 42.53" N 108° 1' 57.39" E


ถ้าใครเล่นพันทิปห้องบลูแพลนเน็ต หรือติดตามเพจท่องเที่ยวต่างๆ คงต้องเคยผ่านตา สะพานมือ ที่เคยเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์อย่างแน่นอน สะพานนี้อยู่ที่บาน่าฮิลล์ที่ผมจะมารีวิวในบล็อกนี้นี่แหละครับ

รู้จักกับบาน่าฮิลล์ (Bana Hill)

ถ้าใครเล่นพันทิปห้องบลูแพลนเน็ต หรือติดตามเพจท่องเที่ยวต่างๆ คงต้องเคยผ่านตา สะพานมือ ที่เคยเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์อย่างแน่นอน สะพานนี้อยู่ที่บาน่าฮิลล์ที่ผมจะมารีวิวในวันนี้นี่แหละครับ

บาน่าฮิลล์ (Bana Hill) เป็นสถานตากอากาศของชาวฝรั่งเศสในยุคที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสครับ ที่มาคือ ชาวฝรั่งเศสที่มาจากเมืองหนาว พอมาเจออากาศร้อนของเวียดนาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ก็เลยทนไม่ไหว จึงต้องการหาสถานที่เย็นสบายไว้สำหรับคลายร้อน ทำให้ในช่วงนั้นมีการสร้างสถานีตากอากาศขึ้นตามภูเขาสูงต่างๆทั่วทั้งเวียดนามทั้งใน ซาปา (Sapa) ในเวียดนามเหนือ, ดาลัต (Dalat) ในเวียดนามใต้ รวมทั้ง บาน่าฮิลล์ (Bana Hill) ในเวียดนามกลาง ครับ

สำหรับบาน่าฮิลล์ ตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่า Truong Son Mountain ทางตะวันตกของเมืองดานัง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,500 เมตร ทำให้ที่นี่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ฝรั่งเศสจึงก่อตั้งที่นี่ขึ้นเป็นเมืองตากอากาศขึ้นในปี 1919

แต่หลังจากที่เวียดนามได้รับเอกราชและเข้าสู่ยุคสงครามเวียดนาม เนื่องจากดานังอยู่ใกล้สมรภูมิรบ ทำให้ที่นี่ถูกทิ้งร้างลง จนเมื่อบริษัท Sun World ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสวนสนุกและการท่องเที่ยว ได้เข้ามาทำการสำรวจและมองเห็นศักยภาพของที่นี่ บาน่าฮิลล์จึงถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยมีการสร้างทั้งสวนสนุก โรงแรม ร้านอาหาร และธีมพาร์ค จนทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองดานัง

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง

  • เดินทางสู่บาน่าฮิลล์
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Mercure Bana Hill French Village)
  • เที่ยวชมบานาฮิลล์ ได้แก่ ชมสะพานมือ (Golden bridge), สวนฝรั่งเศส, พระพุทธรูปขาว (Lin Ung pagoda)
  • เล่นเครื่องเล่นที่ Fantasy park
วันที่สอง
  • ตืื่นแต่เช้า ถ่ายรูปเล่นที่หมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village)
  • สาย: ลงจากบานาฮิลล์ เดินทางไปยังสนามบิน
  • เดินทางกลับประเทศไทย 


ที่พักบนบาน่าฮิลล์

การมาเที่ยวบาน่าฮิลล์ สามารถมาเที่ยวได้ทั้งแบบ one day trip จากเมืองดานัง หรือมาเที่ยวแบบค้างคืนก็ได้ แต่ถ้ามีโอกาส แนะนำให้มาค้างคืนจะดีกว่า เพราะเราจะได้เห็นบรรยากาศศยามเช้าของเมืองในช่วงที่คนจากข้างล่างยังไม่ขึ้นมา ทำให้ถ่ายรูปได้ชิลล์ๆ บวกกับอากาศเย็นๆ ให้อารมณ์เหมือนเรามาเที่ยวอยู่ในยุโรปยุคกลาง

บนบาน่าฮิลล์ มีที่พักเพียงแห่งเดียวนั่นก็คือ Mercure Bana Hill French Village ซึ่งเป็นโรงแรมสี่ดาวในราคาที่ไม่ค่อยย่อมเยาเท่าไหร่ ข้อดีของที่พักนี้คือ ให้อารมณ์เหมือนเรามาพักในปราสาทสไตล์ยุโรป อย่างในรูปนี้คือตึกที่ผมพักครับ

ทริปนี้ผมเลือกที่พักแบบ Deluxe Twin Bed ในราคา 5,196 บาท ความแปลกของห้องพักที่นี่ที่คนไทยอาจจะไม่คุ้นชินก็คือ ห้องส้วม กับห้องอาบน้ำในห้องจะแยกกันเป็นคนละห้อง ซึ่งบางคนอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ อันนี้ต้องทำใจไว้ล่วงหน้าครับ

ภาพวิวจากหน้าต่างห้องพักของผม จะเห็นโบสถ์กลางเมืองเลยครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่นี่ https://www.mercure-danang-banahills-french-village.com/


วันที่หนึ่ง

การเดินทางมายังบานาฮิลล์


จากเมืองดานัง เมืองฮอยอัน หรือสนามบินดานัง เราสามารถเรียก grab มายังบานาฮิลล์ได้ทั้งหมด โดยค่ารถจะแตกต่างกันตามจุดเรียก ซึ่งจะอยู่ประมาณ 400,000 ถึง 600,000 ดองครับ

การใช้ grab ในเมืองใหญ่ของเวียดนาม รวมทั้งในเมืองท่องเที่ยว เราสามารถใช้ app เดียวกับที่ใช้กดเรียก grab ในประเทศไทยได้เลยครับ

ข้อควรระวัง: ระหว่างเดินเที่ยวอยู่ อาจจะมีคนอ้างตัวว่าตัวเองเป็นคนขับ grab หรือ Uber อย่าหลงเชื่อนะครับ ส่วนใหญ่หลอกลวง ให้เลือกขึ้นเฉพาะรถที่เรากดเรียกมาจาก app ในโทรศัพท์มือถือของเราเท่านั้นครับ (เช็คได้จากทะเบียนรถที่มารับว่า ตรงกับในแอปหรือเปล่า)


เคเบิ้ลคาร์สำหรับการขึ้นบาน่าฮิลล์

วิธีการขึ้นมาบนบาน่าฮิลล์มีเพียงวิธีเดียวคือ เคเบิ้ลคาร์ (Cable car) สำหรับคนที่ค้างคืน เราต้องนั่งรถมาที่ส่วน Reception ของโรงแรม Mercure Bana Hill French village เพื่อจัดการเช็คอินและซื้อบัตรขึ้นกระเช้าที่นี่ (เป็นคนละที่กับคนที่ขึ้นกระเช้าทั่วไป)

ข้อดีอีกอย่างของการพักที่ Mercure Bana Hill French village ก็คือ เราจะได้บัตรสำหรับขึ้นกระเช้าในราคาพิเศษคือ 400,000 ดอง (คนอื่นจะจ่าย 650,000 ดอง) นอกจากนี้ เราจะได้กระเช้าแบบ private คือมีเฉพาะกลุ่มเราด้วยครับ โดยค่ากระเช้านี้ รวมค่าเครื่องเล่น และค่าเข้าชมส่วนต่างๆบนนี้เกือบทั้งหมดแล้ว (ข้อมูลเก่าแล้วนะครับ ราคาปรับขึ้นแล้ว ใครจะไปเช็คดูอีกทีครับ)

อัพเดทปี 2022 ค่ากระเช้าขึ้นบานาฮิลล์ตอนนี้ ขึ้นเป็น 850,000 ดอง หรือประมาณ 1200 บาทแล้วนะครับ ราคาแรงขึ้นพอสมควรเลย แนะนำให้รีบไปเที่ยวกันนะ ก่อนที่เค้าจะปรับราคาขึ้นอีก

Cable car ของที่นี่มีความพิเศษอยู่ 4 ประการคือ

  • เป็น Cable car ที่ยาวที่สุดในโลก (5 กิโลเมตร)
  • เป็น Cable car ที่อยู่สูงที่สุดในโลก (1,291 เมตร)
  • สาย Cable ยาวที่สุดในโลก (11,587 เมตร)
  • Cable car ที่มีน้ำหนักรวมกันมากที่สุดในโลก (141 ตัน)
อาหารการกินบนบาน่าฮิลล์

ร้านอาหารที่นี่มีอยู่เยอะ แต่ร้านเดียวที่เปิดบนบานาฮิลล์ในช่วงเย็น เป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสที่ชื่อว่า L’etable bana hill ซึ่งราคาก็ถือว่าแพงในระดับหนึ่งเลย แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือกก็เลยต้องกิน TT

 
 
อาหารที่ร้านนี้ จริงๆก็ไม่ได้แย่นะครับ ถือว่า รสชาติตามมาตรฐานอาหารฝรั่งทั่วไป ส่วนตัวผมชอบอาหารตะวันตกอยู่แล้ว ก็เลยทานได้อร่อย แต่อย่างที่แจ้งไป ราคาแรงจริงๆ (เห็นรีวิวใน Tripadvisor ให้คะแนนร้านนี้ไม่ดีเท่าไหร่)
 
สถานที่ท่องเที่ยวบนบาน่าฮิลล์

ที่เที่ยวบน Bana Hill สามารถแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ได้แก่
  • หมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village)
  • สวนสนุก Fantasy park
  • สวนฝรั่งเศส (Le Jardin D’ Amour)
  • สะพานมือ (Golden bridge)
  • พระพุทธรูปขาว (Shakyaminu Buddha)
  • โรงบ่มไวน์
  • Lin Chua Linh Tu temple เป็นวัดที่อยู่บนจุดสูงสุดของ Bana Hill
 
หมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village)

อยู่บริเวณรอบๆที่พักของเรานี่แหละครับ ใครที่ค้างคืนที่โรงแรมเมอร์เคียว แนะนำให้ตื่นแต่เช้า (ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า) เพื่อที่จะสามารถถ่ายรูปเล่นชิลล์ๆรอบหมู่บ้านได้โดยไม่ติดคน เพราะมวลมหาประชาชนจากข้างล่างยังไม่ขึ้นมาครับ
 
 
 
 
 
 
ลูกโลกมีตรา Sun World ซึ่งเป็นบริษัทสวนสนุกยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม ตั้งอยู่หน้าโรงแรม Mercure ที่เราพัก ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่
 
 
ไฮไลท์สำคัญของ French Village ก็คือ โบสถ์กลางเมืองที่ชื่อว่า St.Denis Church ซึ่งเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic
 
 

สะพานมือ (Golden Bridge)

ถือเป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของทริปนี้และบน Bana Hill เพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง (ปี 2018) ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิต และทำให้เมืองดานังกลายเป็นกระแสขึ้นมาครับ
 
 
สะพานแห่งนี้มีความยาว 150 เมตร ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสถานี Cable car กับสวนฝรั่งเศส
 
 
 
โรงบ่มไวน์ Debay wine cellar

เป็นโรงบ่มไวน์เก่าแก่อายุมากกว่า 100 ปี สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศส

 
 
ที่นี่สร้างขึ้นเป็นห้องเก็บไวน์ที่อยู่ลึกลงไปเกือบ 100 เมตร ไวน์จึงถูกเก็บรักษาที่อุณหภูมิระหว่าง 16-20 องศาเซลเซียส ปัจจุบันยังมีการใช้งานอยู่ ใครที่ชอบไวน์สามารถชิมและซื้อกลับได้ด้วยครับ
 
 

 
พระพุทธรูปขาว (Shakyaminu Buddha)

อยู่ในบริเวณของ วัดหลินอึ้ง (Linh Ung ัtemple) (ชื่อเดียวกันวัดหลินอึ้งที่แหลมเซินจาในตัวเมืองดานัง) เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาว ให้อารมณ์เหมือนเราอยู่ในยอดเขาที่ไหนซักแห่งในประเทศจีน

 

 
สวนฝรั่งเศส (Le Jardin D’ Amour)

เป็นสวนที่คนรักดอกไม้คงจะชอบแน่นอนครับ

 

 



 
ไฮไลท์อย่างหนึ่งของสวนที่นี่คือ ดอกลาเวนเดอร์ (Lavender) แม้ว่าจะไม่ได้มีเยอะแยะมากมาย แต่ก็ถือว่าเดินเที่ยวได้เพลินๆ ให้อารมณ์เหมือนได้มาเยือนที่เมืองโพรวองซ์ (Provence) ของประเทศฝรั่งเศส

 
สวนสนุก Fantasy Park

ที่นี่เป็นสวนสนุกในร่มบน Bana Hill เหมาะกับเด็กๆ และวัยรุ่น (แต่แก่ๆก็เล่นได้นะ) ข้างในมีเครื่องเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tower drop ride, รถบั๊ม, บ้านผีสิง, เกมปีนหน้าผา รวมทั้งสารพัดเครื่องเล่นทั้งแบบ 3D, 4D และ 5D (ทั้งหมดนี้ เราไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกแล้ว สามารถต่อคิวเล่นได้เลยครับ)



 
ส่วนตัวผมชอบเล่นอันนี้ครับ เค้าเรียกว่า Luge  เป็นรถเลื่อนให้เราได้ขับชมวิวสวยๆของ Bana Hill
 
 
วัด Lin Chua Linh Tu

เป็นวัดจีนอีกแห่งหนึ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดของ Bana Hill ที่ความสูง 1,487 เมตร ที่นี่บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบกว่าวัดหลินอึ้ง (วัดที่มีพระพุทธรูปขาว)  และที่สำคัญ ที่นี่ยังมีการประกอบศาสนกิจจริงๆด้วยครับ

 

 

 

 
 
Tips เล็กๆน้อยๆสำหรับการมาเยี่ยมชมบาน่าฮิลล์
  • เนื่องจากบาน่าฮิลล์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองดานัง ดังนั้น ในช่วงกลางวันคนจะเยอะมาก ถ่ายรูปแล้วจะติดแต่หัวคน ดังนั้น ใครอยากมาถ่ายรูปสวยๆ แนะนำให้นอนค้างบนนี้สักคืน แล้วพยายามตื่นแต่เช้า บาน่าฮิลล์ก็จะเป็นของเราครับ 
  • อากาศบนนี้เปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย สามารถมีทั้งร้อน ฝน และหนาวได้ใน 1 วัน ใครที่จะมา จึงต้องวางแผนการเที่ยวให้ดีๆ เช่น ถ้าเจอฝนก็ให้หลบเข้าไปเที่ยวใน Fantasy park หรือถ้าแดดออก ก็ควรจะออกไปเดินถ่ายรูปเล่นที่ French Village  หรือสะพานมือ (Golden bridge)
  • แนะนำให้มาเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่วันหยุด เพราะคนน้อย และค่าโรงแรมจะถูกกว่า
บาน่าฮิลล์เป็น 1 ในสถานที่ๆทั้งผมและเพื่อนร่วมทริปชอบมากที่สุดในเวียดนามเลยครับ ทั้งสถาปัตยกรรม เครื่องเล่น บรรยากาศต่างๆ ให้อารมณ์เหมือนเราอยู่ในเมืองไหนซักแห่งของยุโรป และที่สำคัญ ช่วงที่ผมไปอากาศดีมาก แทบไม่เจอฝนเลย เจอแต่อากาศเย็นๆสะใจมาก ดังนั้น ถ้าใครมาดานัง ที่นี่ถือเป็น 1 ในสถานที่ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
 
การเดินทางจากบาน่าฮิลล์ไปยังสนามบินดานัง

เวลาแห่งความสุขหมดลงแล้วครับ ในที่สุดก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว จากบาน่าฮิลล์ เราต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดานัง ซึ่งจริงๆวิธีการเดินทางไปยังสนามบินก็มีอยู่หลายวิธี ตั้งแต่ แท็กซี่, grab, รถเช่าพร้อมคนขับ แต่ในทริปนี้ ผมให้ทางโรงแรมที่บาน่าฮิลล์หารถให้เลย โดยเค้าคิดราคาอยู่ที่ 520,000 ดอง หรือคิดเป็นเงินไทยก็ 700 กว่าบาท (ถ้าไปหลายคน หารออกมาก็ถือว่าคุ้มอยู่)

 
เนื่องจากไฟลท์ของเราเป็นไฟลท์บ่ายครับ เราเลยต้องมาถึงสนามบินตอน 11 โมง เพื่อความปลอดภัย และไม่ให้เสี่ยงตกเครื่อง เราเลยลงจากบานาฮิลล์ตอน 8 โมงครึ่ง ซึ่งข้อดีของการค้างคืนบนนี้ และลงในเวลาเช้า ก็คือ เราไม่ต้องรอคิวกระเช้า ลงไปได้เลย (เพราะคนส่วนใหญ่จากข้างล่างเพิ่งขึ้นมา)
 
 
โดยรวมแล้ว บานาฮิลล์ถือเป็นอีกหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ผมประทับใจและอยากบอกต่อมากๆครับ การมาที่นี่อาจจะเรียกได้ว่า จ่ายแค่หลักพัน แต่ได้อารมณ์เหมือนมาเที่ยวยุโรป ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมภูมิภาคนี้ถึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในเวลาอันรวดเร็ว

สำหรับรีวิวนี้ ก็คงจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนมาเที่ยวที่บานาฮิลล์นะครับ ส่วนใครที่มีคำถามอะไร สามารถทักมาถามได้ทั้งทางหลังไมค์ หรือคอมเม้นใต้โพสต์นี้ได้เลยครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2563    
Last Update : 1 ธันวาคม 2566 22:51:57 น.
Counter : 23312 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.